นั่นคือ ซึ่งนอกจากกราฟิกดีไซน์เนอร์จะต้องรู้จักการเลือกใช้สี โทน ไล่ระดับ ต้องทราบเทคนิคว่าสีไหนควรใช้ด้วยกัน ควรนำมาตัดกัน หรือสีไหนที่เป็นสีต้องห้าม ไม่ควรนำมาใช้ด้วยกันอย่างเด็ดขาด เพื่อให้งานที่ออกมาดูสวยงาม สะดุดตา ถูกใจลูกค้า และสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่นักออกแบบมือใหม่จะต้องทราบก็คือเรื่องโหมดสี (Color Mode) 2 โหมดหลัก ๆ ที่ใช้ในงานสื่อออนไลน์และโหมดสีที่ใช้ในระบบงานพิมพ์ (ออฟเซต อิงค์เจ็ท ดิจิตอล) เป็นระบบสีที่ต่างกัน วันนี้เราจึงจะพาคุณไปรู้จักกับระบบสี RGB และ CMYK รวมถึงวิธีการเลือกใช้งานเพื่อให้เหมาะกับงานออกแบบด้านต่าง ๆ กัน
เมื่อเห็นเปรียบเทียบรูปเดียวกันซ้ายกับขวา จะเห็นได้ว่าสีสด ๆ จี๊ด ๆ จะแสดงผลได้ดีเมื่อเราเลือกใช้ RGB Mode ส่วนสีทางขวาซึ่งเป็น CMYK จะแสดงผลให้ใกล้เคียงความเป็นจริง ๆ ของงานพิมพ์มากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเรากำลังทำงานในโหมด CMYK นั้น เราอาจจะต้องระวังการเลือกใช้สีมากขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเราอาจจะกำลังใช้สีที่ไม่ได้พิมพ์ได้จริง เมื่อดูจากจออาจจะดู Artwork เราสวยงามแต่ทำไมพิมพ์ออกหม่นเพี้ยนตุ่นหมอง นั่นก็เป็นเพราะว่าเรายังไม่ได้ดูเรื่องขอบเขตของสีที่พิมพ์ได้ให้ดีพอ (CMYK Gamut) ใน Illustrator Photoshop จะมี Function เตือนเรื่อง Gamut อยู่แล้ว เราก็สามารถนำมาใช้ช่วยเราได้ กล่าวโดยสรุปคือโหมด RGB เหมาะสำหรับทำกราฟิกออกแบบแบนเนอร์ใช้งานแสดงผลที่จอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ โดยมักจะเน้นให้ไฟล์เล็กกระชับสีสวยสด ใช้ความละเอียดที่ 72 DPI ขึ้นไปเซฟไฟล์เป็น JPEG, PNG, GIF, smallest file PDF ขนาดเล็ก ๆ เพื่อให้โหลดไม่เปลืองค่าเน็ต โหลดได้เร็ว ส่วนโหมด CMYK เหมาะสำหรับทำกราฟิกใช้แสดงผลผ่านงานพิมพ์ โดยเน้นที่ไฟล์ใหญ่ละเอียด คมชัด สีสันตรงตามโปรไฟล์ที่กำหนด ใช้ความละเอียดที่ 300DPI ขึ้นไป เซฟไฟล์เป็น AI, PSD, EPS, TIF, Highest Quality PDF ขนาดใหญ่ที่ไม่ลดทอนคุณภาพ เพื่อให้รายละเอียดแบนเนอร์ออกมาครบถ้วนที่สุด ถ้าเราเอาไปใช้สลับกัน ไฟล์ดูจอก็จะใหญ่หนักสีตุ่นไม่สวย ไฟล์พิมพ์ก็จะแตกสีเพี้ยน ดังนั้นเมื่อทราบความแตกต่างของระบบสีกัน 2 ระบบแล้ว เชื่อว่านักออกแบบคงจะทราบวิธีการเลือกระบบสีเพื่อให้เหมาะกับงานและปิดงานในขั้นตอนสุดท้ายได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักออกแบบ Artwork สำหรับพิมพ์โปสเตอร์, ใบปลิว, ป้ายไวนิล ที่ต้องส่งโรงพิมพ์ควรตั้งค่าสีเป็นระบบ CMYK ไว้ตั้งแต่แรกเพื่อป้องกันสีผิดเพี้ยนและเพื่อให้ได้งานออกมามีคุณภาพสูง ถูกใจลูกค้า วิธีการเซตตั้งค่าเมื่อเปิดไฟล์ใหม่ใน Adobe Photoshopo หรือ Adobe Illustrator ให้เลือกโหมดให้ถูกต้องได้เลยจาก Properties ตามภาพ เราสามารถเปลี่ยนโหมดสีที่จะใช้ ได้จากการเลือกเมนูจากพาเนล Color โดยคลิก จากนั้นเลือกโหมดสีที่ต้องการ เติมสีให้วัตถุ (Fill Color)สำหรับการกำหนดสีให้กับวัตถุนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น กำหนดจากพาเนล Color , Color Picker , พาเนล Swatch , หรือพาเนล Gradient เป็นต้น ซึ่งสามารถเลือกใช้แต่ละวิธีได้ตามความจำเป็นและความถนัด หลังจากที่แสดงพาเนล Color แล้ว เราจะมาเติมสีให้กับวัตถุกันตามขั้นตอน ดังนี้เติมสีพื้นและสีเส้นจาก Color Picker การเติมสียังสามารถใช้ Color Picker ในการกำหนดสีพื้นและสีเส้นได้โดยคลิกเลือกจากแถบแยกสีหรือป้อนตัวเลขค่าสีเอง นอกจากนี้แล้วยังสามารถเปลี่ยนและเลือกสีในโมเดลต่างๆ ได้ด้วย โดยมีขั้นตอนดังนี้เติมสีพื้นและสีเส้นด้วยเครื่องมือในทูลบ็อกซ์ ในการเลือกสีเพื่อนำไปใช้ตกแต่งภาพนั้น สีที่เลือกจะปรากฏในช่อง Fill และ Stroke ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมืออื่นบนทูลบอกซ์ที่อยู่ใกล้เคียง ในการสลับหรือเปลี่ยนแปลงสีใหม่ได้ดังนี้
สีที่มีในพาเนล Swatches นั้นเป็นสีสำเร็จที่โปรแกรมได้เตรียมไว้ให้แล้วเป็นชุดๆ ซึ่งมีทั้งหมด 3 แบบคือ สีแบบทึบ , แบบไล่โทนและลวดลายพื้น (Pattern) ซึ่งผู้เรียนสามารถกำหนดสีต่างๆ เหล่านี้ให้จากพาเนล Swatches ก่อนอื่นผู้เรียนจะต้องเปิดพาเนล Swatches ขึ้นมาใช้งานโดยเลือกเมนูคำสั่ง Windows เลือกพาเนล Swatches จะปรากฏพาเนลที่มีการกำหนดรูปแบบ ต่าง ๆดังนี้ ในพาเนล Swatches สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นมุมมองต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างสะดวกขึ้น โดยคลิกปุ่ม แล้วเลือกรูปแบบต่างๆ ดังนี้ สำหรับขั้นตอนในการเติมสีจากพาเนล Swatches มีดังนี้ สร้าง Pattern ใหม่ในพาเนล Swatchesนอกจากการสร้างสีใหม่ตามวิธีข้างต้นแล้ว ผู้เรียนยังสามารถทำการสร้าง Pattern ไว้ใช้งานได้อีกด้วย โดยมีขั้นตอนดังนี้ การเติมสีแบบไล่โทนจะช่วยให้ภาพดูมีมิติและมีความสวยงามมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการไล่ระดับสี จากสีหนึ่งไปยังอีกสีหนึ่ง โดยใช้ทิศทางการไล่อยู่สองทาง คือ การไล่แบบแนวตรงและแบบวงกลม และจะทำงานร่วมกับเครื่องมือ Gradient และพาเนล Gradient โดยเลือกพาเนล Gradient มาไว้บนโปรแกรมโดยคลิกเลือกเมนูคำสั่ง Windows เลือกคำสั่ง Gradient ซึ่งจะมีส่วนประกอบของพาเนลดังนี้ขั้นตอนการเติมสีแบบ Gradient มีดังนี้
หากต้องการไล่โทนสีให้มากกว่าที่มีอยู่ ให้คลิกเลือกวัตถุที่ต้องการเพิ่มจำนวนจุดสีหลังทำตามขั้นตอนดังนี้ วิธีที่ 1 จากพาเนล Gradient วิธีที่ 2 จากพาเนล Swatches การลดจำนวนจุดสีเมื่อทำการเพิ่มจำนวนไปแล้ว และต้องการลดจำนวนจุดสีบางจุดที่ไม่ต้องการออกไปจากวัตถุ สามารถทำได้ดังนี้การคัดลอกจุดสี สำหรับสีบางสีที่ต้องการใช้หลายตำแหน่ง สามารถคัดลอกจากจุดเดิมไปยังจุดสีใหม่ได้ โดยที่ไม่ต้องผสมสีใหม่ โดยคีย์ Alt บนแป้นพิมพ์ค้างไว้แล้วคลิกลากจุดสีต้นแบบออกไปวางยังตำแหน่งใหม่จะเห็นว่าจุดสีที่เพิ่มขึ้นมาจะมีสีเดียวกับจุดสีที่เป็นต้นฉบับ ดังภาพ หากต้องการเก็บสี Gradient ที่สร้างขึ้นเองไว้ใช้งานในครั้งต่อไปก็สามารถทำได้โดยเก็บไว้ในพาเนล Swatches โดยมีขั้นตอนคือปรับแต่งทิศทางและการกระจายของสีด้วยเครื่องมือ Gradient หลังจากกำหนดสีแบบไล่โทนให้กับวัตถุไม่ว่าจะเป็นแบบแนวตรง หรือ แบบรัศมีวงกลมก็ตาม เราสามารถเปลี่ยนจุดศูนย์กลาง ทิศทาง และระยะการกระจายตัวของสีเหล่านี้ได้ใหม่ตามต้องการ ดังนี้เติมสีและเส้นด้วยพาเนล Graphic Styles Style เป็นชุดรูปแบบสีและเส้นรวมทั้งมีกราฟิกพิเศษ เช่น การเติมเงา , การไล่โทนสีแบบหลอดไฟนีออน , ทำขอบแบบหยัก , สีพื้นแบบลายเส้น เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการดึงคุณสมบัติของ Filter และ Effect เข้ามาใช้ โดยโปรแกรมจะรวบรวมและเก็บไว้เป็นหมวดๆ อยู่ใน Graphic Style Libraries ซึ่งวิธีการเปิดพาเนล Graphic Styles ทำได้โดยคลิกที่เมนูคำสั่ง Window เลือกคำสั่ง Graphic Styles โดยมีรายละเอียดดังนี้วิธีการใช้งานสไตล์ (Style)วิธีการเปิดใช้ไลบรารีสไตล์ (Style Libraries) ดูดสีจากวัตถุอื่นด้วยเครื่องมือ Eyedropper Eyedropper เป็นการเลือกใช้สีอีกวิธีหนึ่ง โดยจะทำการเลือกสีพื้น , สีและรูปแบบเส้น , ความโปร่งใส รวมไปถึงรูปแบบของฟอนต์จากวัตถุต้นแบบมาใช้ และยังสามารถเลือกสีจากภาพบิทแมพมาใช้งานได้ด้วย ซึ่งจะทำให้ภาพวาดมีสีสันที่เหมือนจริง โดยมีวิธีการใช้งานดังนี้เทสีให้ภาพด้วยเครื่องมือ Live Paint Bucket Live Paint Bucket ใช้ในการเติมสีให้ชิ้นวัตถุที่มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆด้วยเส้น Path หรือด้วยวัตถุอื่นที่ซ้อนทับกันอยู่ โดยไม่ต้องเลือกวัตถุไว้ก่อน ซึ่งสามารถเทสีลงไปได้เลยทันที โดยมีขั้นตอนดังนี้ สำหรับการไล่โทนสีแบบ Gradient โดยใช้พาเนล Gradient นั้นเป็นการไล่สีตามแนวทีมีให้ คือ แนวตรง (Linear) หรือเป็นวงกลม (Radial) เท่านั้น อย่างไรก็ตามการวาดภาพที่มีแสงเงาแบบซับซ้อนหรือภาพแบบเหมือนจริงนั้น การไล่โทนสีแบบนี้อาจไม่เพียงพอ เนื่องจากทิศทางของเงาหรือโทนสีนั้นไม่ได้เป็นเส้นตรงหรือเป็นวงกลมเสมอไป ดังนั้นหากต้องการวาดภาพในลักษณะนี้แล้วก็ควรใช้การเติมสีแบบ Gradient Mesh การเติมสีแบบนี้จะเป็นการเติมสีแบบอิสระเหมือนกับการใช้พู่กันระบายสี ทั้งนี้ก่อนอื่นจะต้องสร้างตาข่ายสำหรับเป็นโครงสร้างในการเติมสีก่อน ซึ่งจะเป็นเส้นตารางในแนวตั้งและแนวนอน โดยการเติมสีนั้นจะเติมจากจุดตัดของเส้น โดยแต่ละจุดก็จะเก็บคุณสมบัติสีของตัวเองและเมื่อเติมสีให้กับจุดสีก็จะทำการกระจายออกไปพร้อมๆ กับไล่โทนไปหาสีที่จุดอื่นบริเวณรอบๆ การกระจายของสีนั้นจะขึ้นอยู่กับจำนวนของเส้นตาข่าย หากเส้นมีน้อยระยะห่างแต่ละจุดมากก็จะทำให้สีกระจายได้ในวงกว้างดังภาพด้านซ้าย แต่หากจำนวนตาข่ายมีมากระยะห่างในแต่ละจุดก็จะน้อย จึงทำให้สีกระจายได้ในวงแคบๆ ดังภาพด้านขวาการสร้างตาข่ายด้วยเครื่องมือ Mesh การสร้างตาข่ายด้วยเครื่องมือ Mesh เป็นการสร้างตาข่ายแบบอิสระ โดยสร้างจุดตัดของเส้นในแนวตั้งและแนวนอนตามการคลิกตรงตำแหน่งบนวัตถุ โดยมีขั้นตอนดังนี้
เป็นการสร้างตาข่ายโดยแบ่งออกเป็นช่องแถวและคอลัมน์ที่มีขนาดเท่าๆ กัน และมีลักษณะของเส้นตาข่ายที่แปรเปลี่ยนไปตามรูปทรงของวัตถุ ซึ่งมีขั้นตอนในการสร้างดังนี้
Rows กำหนดจำนวนแถว หลังจากสร้างตาข่ายแล้วยังสามารถเติมสีให้กับจุดตัดของเส้นตาข่ายดังนี้ 1. คลิกเลือกจุดสีด้วยเครื่องมือ Direct Selection หรือเครื่องมือ Lasso ในกรณีที่ต้องการเลือกหลายจุดพร้อมๆ กัน กดคีย์ Shift ค้างไว้ขณะคลิกลากเพื่อเพิ่มกลุ่มของจุดสีในบริเวณอื่นๆ 2. คลิกกำหนดสีจากพาเนล Swatches , Color หรือ Color Guide หากเป็นการวาดภาพตามต้นแบบ เราสามารถใช้เครื่องมือ Eyedropper ดูดสีจากภาพต้นแบบมาใช้ได้ ซึ่งจะทำให้ภาพมีความเหมือนจริงมากขึ้น กำหนดความโปร่งใสของสีด้วยพาเนล Transparency การปรับแต่งความโปร่งใสจะส่งผลให้วัตถุนั้นมีความจางลงจนมองเห็นวัตถุอื่นที่อยู่ด้านหลังได้ โดยค่า Opacity ที่ 100 % จะทำให้สีวัตถุทึบที่สุด ในขณะที่ค่า Opacity ที่ 0 % วัตถุจะโปร่งจนมองไม่เห็น ซึ่งการปรับค่าความโปร่งใสจะต้องทำที่พาเนล Transparency ดังนี้ |