เอา เงิน ไป ทํา อะไร ดี

หากเรามีเงินก้อนอยู่ในมือ จะเก็บใส่เซฟไว้ที่บ้านก็ใช่เรื่อง อยากจะทำอะไรซักอย่างให้เงินมันงอกเงย อยากได้กำไร อยากได้ดอกเบี้ย อยากได้เงินปันผลคุ้มๆ แต่ไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนที่ช่องทางไหนดี วันนี้มาดามพร้อมให้คำแนะนำค่า

ก่อนอื่น เทคนิคในการวางแผนการเงินให้มีผลตอบแทนดี ต้องรู้จักวิธีการลงทุนในแบบต่างๆ แล้วเลือกให้เหมาะกับสไตล์และความรู้ความเข้าใจในการลงทุนนั้นๆของเรา

รวมทั้งต้องดูความเสี่ยงของวิธีลงทุนและองค์กรที่เราเอาเงินไปลงทุนประกอบกันด้วยค่ะ

ในช่วงปลายปี ก็คงมีหลายๆ คนที่จะได้รับเงินโบนัสสักก้อน เมื่อมีเงินก้อนแล้ว เราจะเอาไปลงทุนแบบไหนให้เงินที่มีเพิ่มพูน

วันนี้ มาดามมี 7 ช่องทางการลงทุนที่น่าสนใจมาแนะนำค่ะ

1. ฝากธนาคาร

• มีความเสี่ยงต่ำ
• ปัจจุบันมีการคุ้มครอง 1 ล้านบาทต่อ 1 สถาบันการเงิน
• เป็นวิธีที่มีสภาพคล่องสูง แต่ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ

2. ซื้อพันธบัตร หรือหุ้นกู้

• การซื้อพันธบัตรรัฐบาลถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ
• ผลตอบแทนจะใกล้เคียงหรือสูงกวาเงินฝากประจำของธนาคาร

3. ซื้อกองทุนรวม

• มีสภาพคล่องค่อนข้างสูง
• มีรูปแบบที่หลากหลายให้ลงทุน ทำให้มีความเสี่ยงในกองทุนแต่ละรูปแบบที่ต่างกัน
  • เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ ตราสารทุน ทองคำ อสังหาริมทรัพย์

4. เล่นหุ้น

• คือการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีทั้งแบบมีเงินปันผลและไม่มีเงินปันผล
• ควรเลือกหุ้นของบริษัทที่ผลประกอบการดี และเป็นการลงทุนแบบระยะยาว

5. ซื้อทองคำ

• เป็นการลงทุนที่สามารถซื้อเป็นทองคำจริงๆ
• หรือซื้อเป็นกองทุนทองคำก็ได้

6. ซื้อบ้าน ที่ดิน คอนโด

• ถือเป็นสินทรัพย์ที่เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ด้วย
• เช่น ใช้อยู่อาศัยหรือทำธุรกิจ และยังสามารถนำไปใช้จำนองเพื่อขอสินเชื่อได้ด้วย
• แต่เป็นการลงทุนที่มีสภาพคล่องต่ำ
• หากเราต้องการใช้เงินฉุกเฉิน อาจนำมาเปลี่ยนเป็นเงินได้ช้า

7. ทำประกัน

• การทำประกันถือเป็นการปกป้องทรัพย์สินที่สำคัญอย่างหนึ่ง
• เพราะหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เราจะได้ไม่สูญเสียทรัพย์สินจำนวนมากในครั้งเดียว
• โดยการลงทุนในประกันนั้น สามารถเลือกทำได้หลายประเภท ตามข้อมูลด้านล่างนี้ค่า

    7.1 ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์

• จะมีทั้งแบบที่มีเงินคืนระหว่างสัญญา
• กับแบบรับเงินทีเดียวเมื่อครบกำหนด

    7.2 ประกันชีวิตควบประกันสุขภาพ

• เหมือนเป็นเงินออมระยะยาว และยังช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลเมื่อเราป่วยด้วย

    7.3 ประกันชีวิตควบการลงทุน

• จะได้ทั้งความคุ้มครองชีวิต และ นำเงินไปลงทุนด้วย
• มีทั้งแบบระยะสั้น และ ระยะยาว
• มีทั้งแบบเราเลือกการลงทุนเอง และ แบบมีผู้จัดการมาช่วยเราบริหารเงิน
  

_________________

ท่านไหนที่สนใจวางแผนลงทุนโดยการทำประกัน รอช้าไม่ได้แล้วค่ะ อยากรู้เบี้ยที่ตัวเองจะต้องจ่ายกันมั้ยคะ รีบติดต่อมาดามมาได้เลยค่ะ

มีคำกล่าวว่า เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่เกือบทุกอย่างในชีวิตซื้อได้ด้วยเงิน เพราะฉะนั้นถึงเราจะไม่ได้ยกให้เงินคือทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในเมื่อการดูแลตัวเอง ดูแลคนรอบข้าง และการหาความสุขในชีวิตของเราต้องใช้เงิน ดังนั้นการออมเงินให้โต รู้จักหา รู้จักใช้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่มนุษย์เงินเดือนต้องรู้ ยิ่งในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้เรายิ่งต้องรู้จักวิธีเก็บเงินและนำเงินไปต่อยอดเพื่ออนาคต แต่จะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี มีวิธีออมเงิน 1 ปีที่น่าสนใจและเหมาะกับมนุษย์เงินเดือนบ้างไหม ? ShopBack Blog รวมวิธีการออมเงินควบการลงทุน เพื่อให้เงินของคุณเติบโตขึ้น เพื่อเป็นแหล่งเงินสำรองในอนาคต เลือกได้เลยตามความเสี่ยงที่เรารับได้และความรู้ด้านการลงทุนที่เรามีค่ะ

เอาเงินไปลงทุนอะไรดี ? 5 ไอเดียนำเงินไปลงทุน ได้ออมแถมต่อยอดเงินให้เติบโตภายใน 1 ปี

• ลงทุนด้วยเงินฝากประจำ

สำหรับเพื่อนๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน เป็น First Jobber หรือยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการเงินการลงทุนมากนักแต่อยากรู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี ShopBack Blog แนะนำให้ฝากประจำกับบัญชีฝากประจำของธนาคารต่างๆ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดของมือใหม่เริ่มเก็บเงินค่ะ ส่วนรูปแบบการฝากประจำที่แนะนำคือ เงินฝากประจำปลอดภาษี เป็นเงินฝากประเภทหนึ่งที่กำหนดให้ต้องฝากประจำทุกๆ เดือนเป็นจำนวนที่เท่าๆ กัน เมื่อฝากครบกำหนดก็จะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยแบบไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยค่ะ

ระยะเวลาฝากประจำโดยทั่วไปจะเริ่มต้นที่ 12 เดือน – 36 เดือน สามารถฝากขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 500 – 1,000 บาทขึ้นไป หากเราเลือกฝากจำนวนเท่าไรก็ให้ฝากเงินเท่านั้นตลอดระยะเวลาฝากจนกว่าจะครบกำหนด ข้อดีของการออมเงินแบบนี้คือเป็นวิธีออมเงิน 1 ปีที่ช่วยฝึกวางแผนการใช้เงินแบบง่ายที่สุด เมื่อฝากจนครบกำหนดก็จะได้รับเงินคืนเป็นก้อน ปลอดภัย มีความเสี่ยงน้อย เงินต้นไม่หายแถมยังได้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากทั่วไปด้วยนะคะ นอกจากนี้ยังได้รับยกเว้นการเสียภาษีเงินฝาก รวมถึงถ้ามีแผนทำเรื่องกู้เงิน ขอสินเชื่อกับธนาคาร การฝากประจำ ยังเป็นการสร้างเครดิตที่ดี ช่วยให้ได้รับการอนุมัติง่ายขึ้นมาด้วยค่ะ

ความเสี่ยง : ต่ำ

เงินออมขั้นต่ำ : เริ่มต้น 500 บาทขึ้นไป/เดือน

• ลงทุนด้วยการซื้อสลากออมสิน

สลากออมสิน เป็นการออมในรูปแบบของการซื้อสลากของธนาคาร ซึ่งเงินซื้อสลากของเรานอกจากจะได้ดอกเบี้ยเมื่อฝากตามระยะเวลาที่กำหนดแล้ว ยังได้ลุ้นรางวัลแบบสองต่อ โดยรางวัลที่สามารถลุ้นได้มีตั้งแต่ 150 บาท ไปจนถึงรางวัลใหญ่ถึง 10 ล้านบาท ! ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการออมเงินสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี ที่เงินต้นไม่หาย แต่ก็ได้สนุกกับการลุ้นรางวัลไปด้วย อารมณ์คล้ายซื้อล็อตเตอรี่แต่ความเสี่ยงน้อยกว่า แถมเงินต้นยังปลอดภัย นอนรอดอกเบี้ยในบัญชีธนาคารได้เลย ส่วนระยะเวลาการซื้อมีทั้งแบบสลากออมสินพิเศษ 3 ปี และแบบ 5 ปี หากเราถอนเงิน (ขายสลากคืน) ก่อนกำหนด ดอกเบี้ยที่ได้ก็จะลดลง แต่ถ้าฝากจนครบกำหนดก็จะได้รับดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ปกติค่ะ

ความเสี่ยง : ต่ำ

เงินออมขั้นต่ำ : 50 บาท ซื้อสลากออมสินได้ 1 หน่วย หากต้องการลงทุนให้คุ้ม แนะนำให้ลงทุนคราวเดียว 500,000 บาท เพื่อให้เลขสลากเรียงต่อกัน เป็นวิธีลงทุนสำหรับคนที่อยากถูกรางวัลขั้นต่ำทุกเดือน

• ลงทุนด้วยการซื้อประกันสะสมทรัพย์

สารภาพมาซะดีๆ ว่าใครชอบเบือนหน้าหนีเวลาได้ยินคำว่า “ประกัน” บ้าง ? จริงๆ แล้วประกันไม่ได้มีแต่การหลอกลวงหรือข้อเสียนะคะ เพราะเดี๋ยวนี้เราสามารถหาความรู้เกี่ยวกับประกันได้ง่ายขึ้น เปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ของประกันรายต่างๆ ได้สะดวกขึ้น และใครที่ไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี นำมาลงทุนเพื่อนาคตตอนเกษียณอย่างประกันสะสมทรัพย์ก็น่าสนใจ เพราะนอกจากจะได้เงินก้อนมาใช้ตอนเกษียณแล้ว ยังมีการคุ้มครองความเสี่ยงแถมมาให้ด้วย 

ประกันสะสมทรัพย์จึงมีประโยชน์ทั้งแง่ของการเก็บเงิน การลงทุนเงินแบบความเสี่ยงต่ำ ที่สำคัญยังได้เรื่องของการคุ้มครองชีวิตมาด้วย โดยเราต้องเลือกเบี้ยประกันที่ต้องการ จากนั้นชำระให้ตรงเวลาทุกงวดเพื่อสิทธิประโยชน์ในอนาคต อย่าลืมดูรายละเอียดอื่นๆ ของสัญญาด้วยนะคะ เช่น ถ้าต้องการยกเลิกต้องทำอย่างไร ยกเลิกตอนไหนถึงได้เงินชดเชยคืน เป็นต้น นอกจากนี้อีกหนึ่งผลพลอยได้ของการทำประกันสะสมทรัพย์ก็คือนำไปใช้ลดหย่อนภาษีประจำปีได้ ทำให้เราประหยัดได้มากขึ้นไปอีกค่ะ

ความเสี่ยง : ต่ำ

เงินออมขั้นต่ำ : เริ่มต้นที่ 35,000 บาท/ปี ระยะเวลาการออมสั้นที่สุด 5 ปีต่อเนื่องกันขึ้นไป (แล้วแต่แบบประกันและผู้ให้บริการแต่ละราย)

• ลงทุนในกองทุนรวม

ก่อนอื่นเข้าใจความหมายของมันก่อน กองทุนรวม คือ การระดมเงินลงทุนจากคนจำนวนมาก และนำเงินจำนวนมากนี้ไปจดทะเบียนให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล เพื่อตั้งเป็น “กองทุน” ขึ้นมา โดยเงินที่ได้รับมานั้น จะมี “ผู้จัดการกองทุน” ที่เป็นมืออาชีพ มีความรู้ความชำนาญ นำเงินเหล่านี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามนโยบายของแต่ละกองทุน ให้ได้รับผลตอบแทนที่งอกเงย แล้วนำมาเฉลี่ยคืนให้กับผู้ลงทุนแต่ละรายตามสัดส่วนที่ลงทุนกับกองทุนไว้

ส่วนการลงทุนในกองทุนรวมแบบง่ายๆ ก็คือ การซื้อกองทุนด้วยจำนวนเงินเท่ากันทุกๆ เดือน เพื่อเฉลี่ยต้นทุน เป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนกองทุนรวมของเรา โดยกองทุนที่เราสามารถซื้อได้ก็มีหลายประเภทค่ะ สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี ก็สามารถนำเงินมาพักในกองทุนรวมความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน ก่อนได้ เพื่อให้เงินของเรางอกเงย ดีกว่าเก็บไว้เฉยๆ หรือใครอยากลองเพิ่มความเสี่ยงเพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้น จะขยับไปซื้อกองทุนรวมต่างประเทศ กองทุนน้ำมัน กองทุนทองคำ หรือกองทุนรวมหุ้นก็ได้ แต่อย่าลืมดูแนวโน้มตลาด ผลงานการลงทุนที่ผ่านมาของกองทุนนั้นๆ ด้วยว่ามีผลประกอบการที่ดีหรือเปล่า เพื่อเป็นตัวช่วยตัดสินใจเลือกซื้อกองทุนรวมนะคะ

ความเสี่ยง : ต่ำ – สูง (แล้วแต่ประเภทกองทุนที่เราเลือกลงทุน)

เงินออมขั้นต่ำ : 500 บาทขึ้นไป

• ลงทุนด้วยการออมหุ้น

เชื่อว่าหลายคนที่ไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี ต้องเคยได้ยินเรื่องการออมหุ้นมาแน่ๆ ซึ่งการออมหุ้นต่างกับการเล่นหุ้นนะคะ เราจะต้องเปิดบัญชีออมหุ้น เพื่อลงทุนทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอ โดยโบรกเกอร์จะหักเงินจากบัญชีของคุณทุกเดือนตามที่ได้ระบุไว้ว่าจะลงทุนเดือนละเท่าไร เพื่อนำไปซื้อหุ้นตัวที่คุณเลือก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นของบริษัทใหญ่ ๆ ที่เชื่อใจได้ในผลประกอบการ

สำหรับการออมหุ้นแบบนี้เราจะใช้วิธีที่เรียกว่า DCA หรือ Dollar Cost Averaging เพื่อเเฉลี่ยต้นทุนการซื้อหุ้นแบบสม่ำเสมอ การ DCA จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้ เพราะไม่ต้องคำนึงถึงภาวะตลาดและจังหวะในการเข้าซื้อ โดยข้อดีของการออมหุ้นคือ เราไม่ต้องจับจังหวะในการเข้าซื้อเหมือนกับการเล่นหุ้นทั่วไป ช่วยลดความเสี่ยงของการลงทุนในระยะยาว ไม่ต้องเสียเวลาติดตามหุ้นอย่างใกล้ชิด และไม่ต้องมีประสบการณ์ในการลงทุนก็เล่นหุ้นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วิธีการออมเงินแบบนี้ก็มีข้อจำกัดคือ ไม่สามารถเลือกหุ้นได้ทุกตัวที่มีอยู่ในตลาดหุ้น เลือกได้เฉพาะที่บริษัทมีให้เลือกเท่านั้น และหากไม่มีเงินให้หักบัญชีในวันที่โบรกเกอร์ตัดเงินจากบัญชี ก็จะถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยด้วยค่ะ

ความเสี่ยง : สูง

เงินออมขั้นต่ำ : 1,000 บาทขึ้นไป

เห็นไหมคะว่าวิธีออมเงิน 1 ปีนั้นมีให้เลือกหลายวิธี สามารถเลือกให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่เรารับไหว และเลือกตามความรู้หรือไลฟ์สไตล์ของเราได้ ใครไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี เพื่อให้เงินเติบโตเอาไว้เผื่ออนาคต ก็ลองนำไอเดียจาก ShopBack Blog ไปเริ่มลงทุนกันได้เลยค่ะ