ชื่อISINน้ำหนักการลงทุน %ล่าสุดเปลี่ยน %ซีพี ออลล์TH0737010Y088.3466.50-1.12%SCB X PCLTHA7900100055.91105.50-1.40%สยามโกลบอลเฮ้าส์TH09910100085.6118.600.00%ท่าอากาศยานไทยTH0765010Z085.1873.75+0.34%Total Access Communication PCLTH0554010Z064.53-- Show
หมายเหตุ: จัดอันดับกองทุนที่เสนอขายผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยใช้อัตราผลตอบแทนคิดเป็น % ตามช่วงเวลา (Cumulative Return) ที่มา: ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือนจาก Krungsri Investment Intelligent Office ณ วันที่ 31 ส.ค. 65 ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และขอคำแนะนำเพิ่มเติม ก่อนทำการลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต สิ่งแรกที่ทั้ง 2 กองทุนแตกต่างกันก็คือประเภทของการลงทุน LTF ต้องลงทุนในหุ้นไทยอย่างน้อย 65% ที่เหลือจะเป็นตราสารหนี้หรือหุ้นก็ได้ แต่ SEF จะเป็นการลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ บวกกับหุ้นที่มีความยั่งยืน ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล (ESG), รวมถึงหุ้น SME และหุ้นในตลาด MAI ไม่น้อยกว่า 65% และอีกสิ่งหนึ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือความสามารถในการซื้อ ซึ่งเดิมที LTF จะสามารถซื้อได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ แต่ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ส่วน SEF สามารถซื้อได้สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 250,000 บาท เห็นได้ชัดว่าเค้าโครงของกองทุน SEF ที่เพิ่มเปอร์เซ็นต์แต่ลดเพดานมูลค่าของการลดหย่อนภาษี เพื่อตอบโจทย์ชนชั้นกลางมากยิ่งขึ้น ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เพราะผู้ที่มีรายได้ไม่สูงนั้นจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น แต่ผู้ที่รายได้สูงจะลดหย่อนภาษีได้น้อยลง นโยบายของภาครัฐจึงต้องการออก SEF เพื่อให้กระตุ้นการลงทุนของคนในวงกว้าง ให้วางแผนการลงทุนมากขึ้น และไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีอย่างเดียว ส่วนระยะเวลาการถือครองยังเหมือนเดิมคือ 7 ปีปฏิทินครับ ในช่วงที่ยังขาดความแน่นอน ว่า SEF จะได้รับการอนุมัติหรือไม่ ยังมีกองทุนอีกตัวที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ Retirement Mutual Fund ที่เราเรียกกันย่อ ๆ ว่า RMF ที่เราสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน สามารถศึกษาไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกได้นะครับ RMF เหมาะกับใคร?กองทุนชนิดนี้ เหมาะสำหรับคนทุกกลุ่มที่ต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ ถือเป็นการลงทุนที่จะช่วยสร้างวินัยการออมเงินระยะยาวเพื่อให้คุณมีเงินเก็บมากพอในช่วงบั้นปลายชีวิต จึงมีเงื่อนไขว่าคุณจะต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง และจะขายหน่วยลงทุนได้ก็ต่อเมื่อคุณอายุครบ 55 ปี เท่านั้นครับ ลองมาดูข้อมูลโดยย่อของกองทุน RMF กันครับ
สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ RMF
กองทุน SEF ยังเป็นแค่ไอเดียที่อยู่ในขั้นตอนการหารือและพิจารณาของกระทรวงการคลัง ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับอย่างแน่ชัดว่า จะเกิดขึ้นภายในปีหน้าจริงหรือไม่ เราก็ยังต้องคอยดูกันต่อไปว่าในอนาคตกองทุนนี้จะสามารถตอบโจทย์การออม การลงทุน และการลดหย่อนภาษีของเราได้จริงหรือไม่ และจะอีกนานเท่าไหร่ต้องรอติดตามกันนะครับ มีหลายวิธีที่มนุษย์เงินเดือนจะสามารถเก็บออมได้ หนึ่งในนั้นคือ การลงทุนในกองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า แต่ต้องรู้จักคัดสรรและเลือกกองทุนอย่างเหมาะสมด้วยเผลอแป๊บเดียวก็ใกล้สิ้นปีแล้วถึงเวลาหากองทุนที่ถูกใจเอาไปลดหย่อนภาษีและเพิ่มเงินออมกันดีกว่า ผมในฐานะที่เป็นมนุษย์เงินเดือนโดยแท้ทำมาตั้งแต่เรียนจบจนถึงทุกวันนี้ จึงรู้ดีว่าไม่ค่อยมีเวลาว่างติดตามการลงทุน อยากได้กองทุนที่มีผลตอบแทนดีและไม่เสี่ยงจนเกินไป ผมใช้เวลาปีละ 2 ครั้งโดยประมาณเพื่อเรียนรู้กองทุนใหม่และปรับพอร์ตกองทุนตามสถานการณ์ น่าเสียดายที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักกองทุนรวมดีพอ เงินออมเกือบทั้งหมดยังอยู่ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยน้อยมาก เพราะไม่คุ้นเคยกับกองทุนมีหลายชนิดจนงงและศัพท์บางคำอ่านแล้วไม่เข้าใจ ผมอยากบอกว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้ยากอย่างที่คิดอย่าปล่อยโอกาสทองหลุดมือไป กองทุนรวมเปิดโอกาสลงทุนในทรัพย์สินหลากหลายประเภททั่วโลก มีมืออาชีพมาคอยบริหารตามนโยบายการลงทุน และค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บก็ไม่แพง โดยครั้งนี้ผมขอแนะนำประเภทกองทุนที่น่าสนใจพร้อมด้วยชื่อกองทุนของบลจ.กรุงศรีเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนตามตารางด้านล่าง กองทุนที่ควรมีติดพอร์ตอันดับแรกคือ “กองทุนรวมตราสารหนี้”ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ประมาณ 0.5% ต่อปี หากฝากเงิน 1 ล้านบาทจนครบปีได้ดอกเบี้ยแค่ 5,000 บาท เราจึงควรนำเงินบางส่วนย้ายมาออมไว้ในกองทุนรวมตราสารหนี้เพื่อรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยสภาพคล่องลดลงไปบ้างไม่มีบัตรเอทีเอ็มให้เบิกถอนได้ทันที แต่จะโอนคืนเข้าบัญชีออมทรัพย์ในวันทำการถัดไป (T+1) และความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งตราสารหนี้ก็ยังแบ่งเป็นประเภทย่อย ๆ ตามผู้ออกว่าเป็นรัฐหรือเอกชน แบ่งตามระยะเวลาไถ่ถอนว่าเป็นระยะสั้น กลาง หรือ ยาว และแบ่งตามอันดับความน่าเชื่อถือว่าเป็นเกรด AAA AA A B เป็นต้น เป็นไปตามกฎ High Risk High Return เสี่ยงสูงผลตอบแทนสูง กองทุนของบลจ.กรุงศรี ได้แก่กรุงศรีตราสารหนี้ระยะกลาง (KFMTFI)เป็นกองทุนที่ได้รับความนิยม เพราะเน้นลงทุนในทรัพย์สินที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงและระยะเวลาไถ่ถอนปานกลาง ผลตอบแทน 1 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.4% ต่อปี และ กรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้ (KFAFIX)เป็นกองทุนที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่ลงทุนในทรัพย์สินคล้าย KFMTFI แต่ยอมรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ผลตอบแทนก็ขยับเพิ่มขึ้นด้วยโดย 6 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.53% ต่อปี กองทุนที่ควรมีติดพอร์ตอันดับสองคือ “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)”มนุษย์เงินเดือนที่มีเงินได้สุทธิอยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษีควรซื้อ LTF มาช่วยลดหย่อนภาษี โดย LTF คือ กองทุนที่นำเงินไปลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ภายในระยะเวลา 7 ปีปฏิทิน ไม่บังคับซื้อทุกปี ซื้อปีไหนก็นำไปลดหย่อนภาษีปีนั้น โดยซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ หรือไม่เกิน 500,000 บาท กองทุนของบลจ.กรุงศรี ได้แก่กรุงศรีหุ้นระยะยาวปันผล (KFLTFDIV) เป็นกองทุนที่ได้รับความนิยม เพราะเน้นลงทุนในหุ้นปันผลและผลตอบแทนระยะยาวทำได้ดี โดยผลตอบแทน 1 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 11.37% ต่อปี และ กรุงศรีหุ้นระยะยาว SET50 (KFLTF50) เป็นกองทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET 50 โดยผลตอบแทน 1 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 11.97% ต่อปี กองทุนที่ควรมีติดพอร์ตอันดับสามคือ “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)”มนุษย์เงินเดือนที่มีเงินได้สุทธิอยู่ในฐานภาษีสูงควรซื้อRMF มาเป็นตัวช่วยเพิ่มเติมในการลดหย่อนภาษี โดย RMF คือ กองทุนที่นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามนโยบายกองทุนนั้น เช่น ตราสารหนี้ หุ้น น้ำมัน หรือ ทองคำ เป็นต้น โดยมีเงื่อนไขว่าต้องลงทุนอย่างน้อยปีเว้นปีต่อเนื่องจนถึงอายุครบ 55 ปี และปีที่ลงทุนต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ซื้อปีไหนก็นำไปลดหย่อนภาษีปีนั้น โดยซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ และเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกับประกันชีวิตแบบบำนาญต้องไม่เกิน 500,000 บาท กองทุนของบลจ.กรุงศรี ได้แก่กรุงศรีเฟล็กซิเบิ้ล 2 เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFFLEX2RMF) และ กรุงศรีทวีทรัพย์เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFTSRMF) เป็นกองทุนแบบผสมสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ให้เหมาะสมโดยผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ตัดสินใจ ผลตอบแทน 1 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 9.92% และ 10.01% ต่อปีตามลำดับ กองทุนที่ควรมีติดพอร์ตอันดับสี่คือ “กองทุนรวมต่างประเทศ” บนโลกนี้ยังมีอีกหลายแห่งให้ลงทุนไม่ว่าจะ อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ฯลฯ ถือเป็นการแสวงหาโอกาสในการลงทุนพร้อมกระจายความเสี่ยง โดยมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเข้ามา ซึ่งก็แล้วแต่กองทุนว่ามีนโยบายป้องกันความเสี่ยงหรือไม่ ถ้ามีก็ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องนี้ไปได้แต่ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย และโดยปกติระยะเวลาขายคืนจะนานกว่าอยู่ที่ประมาณ 4 วันทำการ (T+4) ผมแนะนำให้มีติดพอร์ตไว้บ้างดีกว่าลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว กองทุนของบลจ.กรุงศรี ได้แก่กรุงศรีโกลบอลคอลเล็คทีฟสมาร์ทอินคัม (KF-CSINCOM) เป็นกองทุนที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่ลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกผ่านกองทุนหลักที่มีชื่อว่า PIMCO GIS Income Fund ผลตอบแทน 6 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.74% ต่อปี และ กรุงศรีโกลบอลเทคโนโลยีอิควิตี้ (KF-GTECH) กองทุนที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่ลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งผ่านกองทุนหลักที่มีชื่อว่า Rowe Price Funds SICAV - Global Technology Equity Fund ผลตอบแทน 3 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 7.41% ต่อปี สุดท้ายนี้ขอแนะนำเทคนิคการลงทุนในกองทุนรวมอีก 2 ข้อ ข้อแรก คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) โดยตัดเงินจากบัญชีออมทรัพย์หรือบัตรเครดิตเพื่อลงทุนในกองทุนเป็นประจำทุกเดือน ๆ ละเท่ากัน เพราะการขึ้นลงราคาเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยาก การลงทุนแบบนี้จะช่วยให้ได้ต้นทุนไม่สูงจนเกินไปนัก ข้อสอง คือ การสับเปลี่ยนกองทุน (Switching) โดยย้ายจากกองทุนต้นทางไปกองทุนปลายทางเพื่อปรับพอร์ตกองทุน อันที่จริงแล้วเราไม่ควรเปลี่ยนบ่อยมากนักเพราะมีค่าธรรมเนียม แต่ควรกำหนดเปลี่ยนได้ปีละไม่เกิน 2 ครั้งตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง |