การกำหนด เป้าหมาย ชีวิตนั้นถ้า ไม่มี ระยะเวลาแน่นอนจะทำให้ความ มุ่ง มั่น ลดลง หมาย ถึง

เราเคยเจอเจ้านายที่ตั้งเป้าหมายให้ลูกน้อง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่คนธรรมดาไม่สามารถที่จะทำได้ ตั้งเป้าไว้เกินจริง ไม่ S.M.A.R.T เอาซะเลย (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound) แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ ว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายยังไงให้เหมาะสม แต่เราจะไปไกลกว่านั้น นั่นคือไม่ต้องตั้งเป้าหมายเลยดีกว่าไหม

เราชอบคิดเสมอว่า อะไรที่มันทำแล้วดี เราก็ควรที่ทำมันไปได้เรื่อยๆ ทำมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พอเราลองเอาความคิดนี้มาใช้กับการตั้งเป้าหมาย ก็กลายเป็นว่า ถ้าการตั้งเป้าหมายแล้วมันดีจริง เราก็ควรที่จะตั้งมันไปเรื่อยๆ แล้วพอเราบรรลุเป้าหมายหนึ่ง เราก็ตั้งเป้าหมายอันใหม่มาอีก แล้วก็ตั้งเป้าให้มันสูงยิ่งกว่าเดิม ทำไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด

เช่น เราตั้งใจว่าจะขับรถจากกรุงเทพไปพัทยาให้ได้ภายใน 1 ชั่วโมง หลังจากที่เราทำได้แล้ว ต่อไปเราก็คงจะต้องตั้งเป้าหมายให้เหลือ 45 นาที ไม่ใช่ละ นี่มันฆ่าตัวตายชัดๆ แต่เป้าหมายที่เรายกตัวอย่างมันอาจจะไม่ได้มีความเหมาะสม มเราคงมีโอกาสน้อยมากที่จะจำเป็นต้องขับรถเร็วแบบนั้น กลายเป็นว่าการตั้งเป้าหมายไม่ผิด แต่ป็นตัวเป้าหมายเองที่ผิด

ลองใหม่ๆ ลองลดความเร็วลงมาหน่อย สมมติว่าเราตั้งใจว่าจะไปวิ่ง เราก็ตั้งใจไว้ว่าจะวิ่งให้ได้ระยะทางเยอะๆ วิ่งทำเวลาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เราก็ตั้งเป้าหมายว่าเดือนนี้ต้องวิ่ง 10 กิโล Pace 7 พอทำได้แล้วก็ลองตั้งเป้าหมายเป็น Pace 6 แล้วก็ Pace 5 ซึ่งสุดท้ายแล้ว เราเข้าใจว่ามันจะเกิดเหตุการณ์เหมือนที่เราขับรถเลย คือเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เราจะต้องหยุดแล้ว เราไม่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้แล้ว

สำหรับคนทั่วไปนี่อาจเป็นเรื่องธรรมดา เป้าหมายมีไว้เพื่อพุ่งชน ชนแล้วก็ตั้งเป้าหมายใหม่ไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เราคิดคือ สิ่งนี้มันคืออาการตัน เมื่อถึงทางตัน มันคือไปต่อไม่ได้ ต้องเลิกหรือกลับไปเริ่มใหม่ ซึ่งมันก็ไม่สนุกอีกแล้ว

อีกอย่าง สำหรับเรา การที่เราไปวิ่งก็เพราะ ตอนที่เราวิ่งเราได้ใช้ความคิด เรารู้สึกว่าการที่เราวิ่งมันช่วยให้เราคิดได้ดีขึ้น ความคิดหรือไอเดียหลายๆ อย่างมันไหลเข้ามาในหัวเราตลอดเวลา ดังนั้นถ้าการที่เราวิ่ง เราไม่ได้ต้องการวิ่งเพื่อให้เราวิ่งได้เร็วขึ้นเรื่อย ๆ ล่ะ เราไม่ได้ต้องการวิ่งเร็วมากไปกว่านี้ เพราะมันคงถึงขีดจำกัดของเราแล้ว งั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายอะไรเลยสิ

เราลองพยายามค้นหาในเว็บ ว่าทำไมเราต้องมีเป้าหมาย หรือทำไมเราถึงต้องตั้งเป้าหมาย เดี๋ยวเราจะลองเปรียบเทียบข้อมูลที่เราค้นเจอกับมุมมองของเราเอง ในบทความเค้าบอกข้อดีของการตั้งเป้าหมายคือ

Goals Give You Focus

เป้าหมายช่วยให้เรามุ่งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราไม่สามารถเผาใบไม้ด้วยแสงแดดธรรมดาได้ แต่เราสามารถทำได้ด้วยการใช้แว่นขยาย รวมแสงแดดให้เป็นจุดเดียวที่มีพลังงานต่อพื้นที่มากขึ้น เค้าพูดถึงว่าเราไม่ควรทำงานหลายอย่าง เราควรที่จะ Focus งานหนึ่งเท่านั้น

ในมุมของเรา นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเป้าหมายเลย นี่มันคือ Multitasking vs single-tasking ซึ่งเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่า ในช่วงเวลาหนึ่งคนเราสามารถทำงานได้เพียงหนึ่งอย่างเท่านั้น จริงๆ ไม่ว่าคนหรือคอมพิวเตอร์ก็เหมือนกัน การที่เราเห็นว่าคอมพิวเตอร์ทำงานหลายๆ อย่างพร้อมๆ กันได้ เกิดจากการที่มันมีการสลับการทำงานได้เร็วมาก ซึ่งคนเราทำแบบนั้นไม่ได้แน่นอน

การที่เราจะทำงานใดๆ ให้สำเร็จ จึงไม่ขึ้นอยู่กับการที่เราตั้งเป้าหมายหรือเปล่า แต่มันคือการรู้ว่า เรากำลังจะทำอะไร เราก็ทำมันไปตาม Flow จนงานมันเสร็จ หรือจนกว่าเราไม่มีความสนใจที่จะทำงานนั้นต่ออีกแล้ว

Goals Allow You To Measure Progress

การตั้งเป้าหมายช่วยให้เราสามารถวัดความคืบหน้าได้ ในมุมมองเรา ข้อนี้อาจจะใช้ได้ดีกับงานที่ง่าย ตรงไปตรงมา เช่นเดินไปตลาด เราก็คงพอจะรู้ว่าต้องใช้เวลา 5 นาที เดินมาได้ระยะหนึ่งก็จะบอกได้ว่า อีก 1 นาทีถึงแน่นอน ในความเป็นจริงมันมีงานแบบนี้ซะที่ไหนล่ะ ถ้าคนทำงานสาย IT คงพอคุ้นเคยกับกฎ Ninety-ninety rule

The first 90 percent of the code accounts for the first 90 percent of the development time. The remaining 10 percent of the code accounts for the other 90 percent of the development time. — Tom Cargill, Bell Labs

ไม่ได้เขียนตกแต่อย่างใด อธิบายง่ายๆ คือ เราสามารถทำงาน 90% แรกให้เสร็จในเวลา 3 เดือน  งานส่วนที่เหลืออีก 10% เราก็จะใช้เวลาอีก 3 เดือน เช่นกัน เราจะบอกว่างานจริงๆ มันไม่ได้ง่ายและตรงไปตรงมา ดังนั้นความคืบหน้ามันจะบอกอะไรเราได้หรอ

Goals Keep You Locked In And Undistracted

ข้อนี้ก็คล้ายๆ กับ Focus มันไม่ได้อยู่ที่การตั้งเป้าหมาย แต่มันคือการรับรู้ว่าเรากำลังทำอะไร งานที่เราทำมันน่าสนใจ ถ้ามันยากมากที่เราจะเข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มันสำคัญหรือมันน่าสนใจกว่าการดูรายการทีวี ก็จงขายทีวีทิ้งเสีย สำหรับเรา มันไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมาย เราเพียงแค่ทำสิ่งที่เรากำลังสนใจอยู่ในขณะนั้น รีบๆ ทำจะได้ไปคิดไปทำอย่างอื่นต่อได้

Goals Help You Overcome Procrastination

เดิมๆ อีกละ การผัดวันประกันพรุ่งมันคือผลที่เราไม่มุ่งมั่นกับสิ่งที่กำลังทำ ถ้าสิ่งที่เราทำมันน่าสนใจ มันมีโอกาสที่จะทำให้เราหลุดเข้าไปใน Flow ซึ่งเราจะไม่รับรู้เลยว่าเราใช้เวลากับงานนี้ไปแค่ไหน เราจะทำแต่สิ่งนั้นจนมันเสร็จ หรือจนกว่าที่เราเหนื่อย ทนไม่ไหวแล้วหิว ซึ่งบางทีเราจะเกิดอาการ ผัดวันประกันพรุ่ง กับการกินหรือการพักแทน กลายเป็นว่า งานเสร็จแล้วค่อยออกไปข้าวก็ได้

บางทีการเข้าสู่ Flow ก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป วันไหนที่เราตื่นมาทำงานเช้าๆ พอทำไปสักพักก็จะลืมว่าถึงเวลาอาบน้ำแล้ว ต้องกินข้าวแล้ว หลายๆ ครั้งรอคอมพิวเตอร์ Build Code จนไปทำงานสาย

Goals Give You Motivation and Inspiration

ถ้าเข้าใจไม่ผิด Motivation กับ Inspiration เป็นคนละอย่างกัน Inspiration คือความคิด ความรู้สึกที่จะทำบางอย่าง ส่วน Motivation คือการลงมือทำงานนั้นให้สำเร็จ ข้อนี้อาจจะจริงและใช้ได้สำหรับคนที่ต้องการกระตุ้น แต่ก็เช่นกันการตั้งเป้าหมายก็จะไม่จำเป็นถ้าเราไม่ต้องการกระตุ้น ถ้าในแต่ละวันเราสามารถเริ่มทำงานได้เลยโดยไม่ต้องมีอะไรมาเตือน มีคนกล่าวไว้ว่า 

Inspiration Is for Amateurs—The Rest of Us Just Show Up and Get to Work

มีอีกเว็บที่เราอ่านเจอ เค้าเขียนเรียบเรียงเป็นเหตุผลของการที่เรามีเป้าหมาย เดี๋ยวจะลองเทียบกับมุมมองของเราเอง คราวนี้จะพยายามเห็นด้วยกับบทความเค้ามั่งนะ

Take Control of Your Life

เค้าเปรียบเทียบกับคนที่ไม่มีเป้าหมาย คนเรียนจบมา เริ่มทำงาน จนอายุ 30 40 50 แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป ในมุมของเรานี่ไม่ใช่ปัญหาของการไม่มีเป้าหมาย เราว่าลำพังถ้าเรามีความสนใจที่จะทำอะไร เราชอบทำอะไร เราก็ทำมันไปได้เรื่อยๆ เราไม่ต้องมาคอยคิดทบทวนว่าเราจะทำอะไรต่อไป เราอาจจะมีช่วงเวลาที่คิดว่า เราควรจะทำอะไรเพิ่มบ้าง แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าเราไม่รู้จะทำอะไร เรามีสิ่งที่เราอยากทำอยู่แล้ว แต่แค่คิดหาทำอะไรเพิ่ม

เราคิดว่าควรจะหาความสนใจของตัวเองให้พบก่อน แล้วก็เริ่มทำสิ่งที่เราสนใจ สิ่งที่เราชอบ ถึงตอนนั้นถ้าอยากตั้งเป้าหมาย ก็ลองทำได้เลย ได้ผลยังไงกลับมาบอกกันด้วย

Get Clarity of Your End Vision

ในบทความเค้าให้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า เราจะทำอะไรในอีก 1 หรือ 2 หรือ 3 ปีข้างหน้า  ให้นึกถึงชีวิตเราในวันข้างหน้า ตอนเด็กๆ ที่บ้านเราก็สอน ว่าให้คิดถึงสิ่งที่จะทำ 25 ปี ต่อจากนี้ แต่เราก็ไม่เคยเข้าใจสักทีว่ามันจะทำได้ยังไง เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราจะทำอะไรต่อไป อีกตั้งหลายปี สิ่งที่เราทำคือ ไม่ต้องมองไปไกลมาก ลองขยับมาเป็น 1 เดือน หรือ 2 อาทิตย์ เราก็พอจะมองออกว่า สิ่งที่เราทำในวันนี้ ในความเข้าใจของเรา มันจะเกิดผลอะไรบ้าง

Creates Accountability

ข้อนี้เป็นเรื่องของการติดตามงานที่ทำเพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เช่น ถ้าเกิดเราเจองานที่เราทำไปมันส่งผลไม่ดีต่อเป้าหมาย เราก็ต้องหยุดทำงานนั้น แล้วไปเน้นงานในส่วนที่มันส่งผลดีต่อเป้าหมาย มันจะช่วยให้เราวางแผนและตัดสินใจได้ดีขึ้น เท่าที่อ่านมาเราว่าอันนี้เข้าท่าที่สุดแล้ว

Be The Best You Can Be & Live Your Best Life

เค้าว่าเป้าหมายช่วยให้เราทำได้ดีให้สุด เท่าที่เราทำได้ มันก็อาจจะดีแหล่ะ ถ้าความสนใจของคุณคือวัดความสามารถของตัวเอง แต่อยากให้นึกถึงสิ่งที่ทำหรือที่เราอยากเป็นด้วย ว่ามันมีประโยชน์ยังไงกับคนอื่นๆ บ้าง

เราไม่ได้ต่อต้านการตั้งเป้าหมาย แต่เรากำลังบอกว่า การที่เราไม่มีเป้าหมาย มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เราอยากให้ลองเปลี่ยนมุมมอง ลองเปิดกว้าง ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมาย พอเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องสนใจมันมาก แต่ถ้ายังคิดว่ายังไงก็ต้องตั้งเป้าหมายให้ได้ ก็ขอให้ตั้งเป้าหมายให้มัน S.M.A.R.T ด้วยล่ะ

ไม่ใช่ทุกคนที่จะตั้งเป้าหมายได้ ยิ่งมีน้อยคนที่จะทำได้ตามที่ตั้งไว้ ลองไปถามป้าที่ขายกาแฟในตลาดดูสิ อีก 5 ปี ข้างหน้า เค้าเห็นตัวเองมีชีวิตแบบไหน