กินยาต้านเอดส์ อยู่ได้กี่ปี

การรักษาโรคเอชไอวีในอดีต เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ผู้ป่วยจะต้องทานยา ในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก หลายๆ เม็ด หลายๆ ตัวยา สูงกว่า 10 เม็ดต่อวัน ซึ่งทำให้ผู้ป่วย มีอาการแพ้ยาบ้าง มีผลข้างเคียงบ้าง เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นคัน ท้องเสีย เหมือนอาการแพ้โดยทั่วไป ซึ่งต่อมามีการพัฒนาให้เหลือทานแค่ 1 เม็ดต่อวันเท่านั้น

ในหนึ่งเม็ดนั้น จะประกอบไปด้วย ตัวยาทั้งหมด สามชนิด ที่รวมเข้าไว้ด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะเหลือเพียงหนึ่งเม็ดแล้ว แต่อาการข้างเคียงยังคงมีอยู่บ้างเล็กน้อยตามประสาการทานยาโดยทั่วไป

ในการทานยาต้านไวรัสนี้ เป็นการทานเพื่อ ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี โดยผู้ป่วยจะต้องทานยา อย่างต่อเนื่อง ทานไปตลอดชีวิต และทานเป็นประจำทุกวันอย่างเคร่งครัด ไม่ให้ขาด

การพัฒนาใน การรักษาโรคเอชไอวี ที่ผ่านมา มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการรักษาโรคเอชไอวี โดยมีการคิดค้น ยาต้านเอชไอวี แบบฉีดขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาการที่จะต้องทานยาทุกวัน ซึ่งผู้ป่วยอาจจะลืมทานบ้าง หรือบางท่านอาจจะมีอาการแพ้ ถึงขนาดเว้นยาไปบ้าง ในบางวัน จนอาจจะส่งผลให้เกิดการดื้อยา หรือเชื้อยังคงแบ่งตัวต่อไปอีกได้ ด้วยเหตุผลนี้ จึงมีการพัฒนายาฉีดขึ้น โดยยาฉีดที่ว่านี้ ฉีด 1 ครั้ง จะอยู่ได้นาน 1 ถึง 2 เดือน ซึ่งอยู่ในช่วงศึกษาอยู่ หากผลการศึกษาออกมา พบว่าได้ผลดี ก็จะดำเนินการขออนุญาตรับรองแล้วนำมาใช้ในอนาคต

สรุปแล้ว ติดเชื้อ HIVหายได้ไหม ?
• ปัจจุบัน การรักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ยังคงเป็นการรักษาด้วยการทานยาต้านไวรัส เพื่อยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ไม่ให้มีการเพิ่มจำนวนขึ้น ไม่ให้มีการพัฒนาตัวของเชื้อ เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้น เข้าสู่สภาวะเอดส์ หรือ ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อเข้าถึงสภาวะนี้แล้ว ผู้ป่วยจะมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาด้วย เช่น วัณโรค โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคคริปโตค็อกคัสในระบบประสาท ภาวะปอดอักเสบจากเชื้อรา โรคติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆ เป็นต้น ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเองทรุดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันได้ล้มเหลวไปแล้วจากภาวะเอดส์ เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด

• การทานยาต้านไวรัส นอกจากจะช่วยให้สถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีของผู้ป่วย ไม่เข้าสู่สภาวะเอดส์แล้ว ยังช่วยให้ผู้ป่วย สามารถใช้ชีวิตได้ดั่งคนปกติ โดยไม่แสดงอาการหรือเอฟเฟคอะไรออกมา โดยที่อายุขัยก็จะยืนยาวใกล้เคียงกับคนปกติ

• การรักษาเอชไอวี ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สำหรับการรักษาที่หายขาดนั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนัก ปัจจุบันมีเพียงผู้ป่วยหนึ่งรายเท่านั้น ที่มีการยืนยันว่าหายจากการติดเชื้อเอชไอวีแล้ว เป็นชาวต่างชาติที่ติดเชื้อเอชไอวีมาอย่างยาวนาน ในขณะที่ป่วยด้วยโรคเอชไอวีนี้ เขาเองก็ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วยเช่นกัน เมื่อเขาเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ด้วยวิธีการปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งเซลล์ที่ใช้ในการปลูกถ่ายเป็นเซลล์ชนิดพิเศษที่มีสามารถต้านทานการติดเชื้อเอชไอวีได้ ทำให้ผลพลอยได้ที่ตามมา คือ อาการติดเชื้อเอชไอวีของเขาดีขึ้น หาย และไม่กลับมาอีก

หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น แพทย์ได้ทำการติดตามผลการรักษา อีกเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ซึ่งพบว่า เขาไม่จำเป็นต้องทานยาต้านไวรัสเอชไอวีอีกต่อไปแล้ว เพราะผลการตรวจเลือดนั้น แทบไม่พบเชื้อเอชไอวีในตัว และเขาสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติในแต่ละวัน

สิ่งที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรปฏิบัติ

1.เริ่มการรักษาโดยทันทีเมื่อทราบว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวี

2. รับประทานยาในทุกๆ วัน อย่าลืม อย่างดเว้นการทาน และทานยาให้ตรงเวลา

การทานยาเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ป่วย เพราะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส ป้องการระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้ถูกทำลาย ช่วยลดโอกาสที่จะแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

3. พบแพทย์เสมอเมื่อถึงเวลานัด ผู้ป่วยควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ มีการตรวจติดตามอาการตลอด เฝ้าระวังในการรักษา

4.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารมีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

5.ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ดูแลร่างกายให้แข็งแรง

6.ดูแลสุขภาพจิต เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ป่วยจะรู้สึกแย่กับชีวิต จิตใจแย่ลง ฟุ้งซ่าน กลัว และกังวล หรืออาจคิดทำร้ายตัวเอง ดังนั้นผู้ป่วยควรได้รับการปรึกษาทางสุขภาพจิต เพื่อหาเพื่อนคุย หาที่ปรึกษาที่ดี ที่สามารถให้คำปรึกษาได้ และพยายามมองโลกในแง่ดีให้มากๆ ขึ้น

7.เลิกบุหรี่ เพราะบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานหนักขึ้น

ภายหลังจากที่ อย.  ได้ปลดล็อค ให้คนไทยทุกคน สามารถเข้าถึง ชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง ได้แล้ว ซึ่งสามารถตรวจได้เอง และทราบผลได้ในทันที ใช้เวลาไม่นาน ตรวจได้เองที่บ้าน รวมทั้งได้ผลแม่นยำสูง ไม่มีความแตกต่างกับการไปตรวจที่สถานพยาบาลต่างๆ โดยวัตถุประสงค์ของ อย. นั้น ก็เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวี และให้ผู้มีความเสี่ยงทราบผลเร็วขึ้นเพื่อนำไปสู่การดูแลและรักษาป้องกันการแพร่เชื้อในทันที

ขออนุญาตแจ้งตามที่รู้คะ มีเชื้อ จะแสดงอาการแล้วแต่คนคะ ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตประจำวัน ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ อันนี้จะทำให้ร่างการแสดงผลเร็วขึ้น แต่ถ้าสงสัยว่ามี ให้ดีไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลนะคะ รู้เร็ว รักษาเร็ว รับยาต้านไวรัส ดีกับตัวเองคะ ไม่แน่ใจว่าที่คลีนิคนิรนาม ตรวจฟรีกรือปล่าวสำหรับคนไทย แต่เช็คข้อมูลดูอีกทีคะ

องค์การอนามัยโลกแนะนำผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ รับประทานยาต้านไวรัสทันทีที่ทราบผลตรวจเลือดชัดเจน และต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลวิจัยบ่งชี้ว่ายาต้านไวรัสช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นได้อีกราว 10 ปี

องค์การอนามัยโลกแนะนำผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ รับประทานยาต้านไวรัสทันทีที่ทราบผลตรวจเลือดชัดเจน และต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลวิจัยบ่งชี้ว่ายาต้านไวรัสช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ได้อีกราว 10 ปี

เดอะแลนเซท วารสารด้านการแพทย์ของอังกฤษ เผยแพร่รายงานสถานการณ์เอดส์ทั่วโลก โดยอ้างอิงการเก็บข้อมูลของนักวิจัยจากหลายสถาบัน ที่ร่วมกันสุ่มสำรวจกลุ่มตัวอย่างราว 88,000 คน จากทั้งหมด 18 ประเทศในยุโรปและอเมริกาเหนือ พบว่าผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับอายุขัยเฉลี่ยของผู้ติดเชื้อช่วงทศวรรษที่ 1990 โดยปัจจัยสำคัญเกิดจากการรับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง

องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ทราบผลตรวจเลือดชัดเจน ควรรีบรับประทานยาต้านไวรัสทันที และต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนซึ่งอาจทำให้ผู้ติดเชื้อล้มป่วยและอาการทรุดหนักได้

นายอดัม ทริคกีย์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสทอล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมวิจัยเรื่องยาต้านไวรัส เผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีในช่วงปี 2008-2010 ที่ใช้ยาต้านไวรัสเป็นประจำ มีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นราว 10 ปี เมื่อเทียบกับผู้ติดเชื้อระหว่างปี 1996-2007 ที่ไม่ได้รับยาต้านไวรัส พร้อมระบุด้วยว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอายุ 20 ปีในช่วงปี 2008-2010 อาจมีอายุยืนยาวได้ถึงประมาณ 78 ปี

ผลวิจัยระบุว่า ยาต้านไวรัสในปัจจุบันมีประสิทธิภาพในการควบคุมไวรัสมากขึ้น และมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพน้อยลง ขณะที่สมัยก่อนผู้ติดเชื้อต้องรับประทานยาจำนวนมากในแต่ละวันเพื่อรักษาอาการที่แตกต่างกันไป แต่ปัจจุบันตัวยาที่จำเป็นถูกรวมไว้ในเม็ดเดียวกัน ช่วยให้ผู้ติดเชื้อรับประทานยาได้ง่ายขึ้นและต่อเนื่องขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อจำนวนหนึ่งยังไม่อาจเข้าถึงยาต้านไวรัส เช่น กลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยา เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มักจะไม่มีหลักประกันด้านสุขภาพ และเป็นกลุ่มเสี่ยงที่แต่ละรัฐบาลต้องหาแนวทางผลักดันให้พวกเขาเข้าถึงยาต้านไวรัสเพิ่มขึ้น และการพัฒนาตัวยาต่างๆ ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี/เอดส์มีอายุยืนขึ้น แต่จะต้องสนับสนุนให้แพทย์รักษาอาการโรคอื่นๆ ที่เกิดขึ้นควบคู่กันด้วย เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคเกี่ยวกับหัวใจ

โรคเอดส์ ระยะสุดท้าย อยู่ได้กี่ปี

โรคเอดส์ระยะสุดท้ายจะอยู่ได้นานกี่วัน โดยทั่วไป แล้วหากผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี และเชื้อเอชไอวี พัฒนาจนถึงขั้นภาวะเอดส์แล้ว ส่วนใหญ่พบว่า อาจเสียชีวิตลงภายใน 1-2 ปี หรืออย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์ หลายคน ที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 5 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเอง สภาพร่างกาย สภาพจิดตใจ องค์ประกอบและปัจจัย ...

ตรวจเชื้อเอชไอวี กี่วัน

โดยปกติการตรวจคัดกรองการติดเชื้อ HIV สามารถทราบผลได้ภายใน 1 วัน แต่ก็อาจช้ากว่านี้ได้โดยขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาลโดยผลการตรวจจะถูกเก็บเป็นความลับ

กินยาต้าน เลท ได้ กี่ นาที

-ผู้ป่วยเอดส์ในคลินิกเพื่อนใจ รับประทานยาต้านไวรัสเอดส์ ได้อย่างครบถ้วน ตรงเวลา และต่อเนื่อง adherence มากกว่า 95 % (โดย 1 เดือน รับประทานยา 60 มื้อ ให้ขาดยาได้ไม่เกิน 3 มื้อ และ รับประทานช้าได้ไม่เกิน 30 นาที) -ผู้ป่วยเอดส์ที่รับประทานยาต้านไวรัสเอดส์มีระดับภูมิต้านทาน (CD4) สูงขึ้น

ยารักษาเอดส์ มีอะไรบ้าง

ในปัจจุบันยาต้านไวรัส HIVที่ใช้กันนั้น มีกลุ่มใหญ่ 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ nucleoside reverse transcriptase inhibitors (RTIs) ยกตัวอย่างยาในกลุ่มนี้เช่น AZT (Retrovir), DDI (Videx), DDC (Hivid), 3TC (Epivir), และ D4T (Zerit) กลุ่มที่สองคือ protease inhibitors (PIs) เช่น Indinavir (Crixivan), Nelfinavir (Viracept), ...