โรคตับแข็งตับแข็ง (Cirrhosis) เป็นโรคตับเรื้อรังที่เนื้อเยื่อตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวรจนกลายเป็นพังผืด (Fibrous tissue) มีลักษณะแข็งกว่าปกติ จนตับไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเป็นปกติ* จึงก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ ขึ้นตามมา อาการแรกเริ่มมักเกิดขึ้นในช่วงอายุระหว่าง 40-60 ปี แต่ถ้าพบในคนอายุน้อยอาจเกิดจากโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดรุนแรงจากการใช้ยาผิดหรือสารเคมีบางชนิด โรคตับแข็งเป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง ผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ใกล้เคียงกัน และสามารถพบได้ในทุกช่วงอายุตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ (ขึ้นอยู่กับสาเหตุ) แต่โดยทั่วไปโรคนี้เป็นโรคของผู้ใหญ่ เพราะมักพบมากในผู้ที่มีอายุระหว่าง 21-50 ปี หรือประมาณ 85% ของผู้ป่วยตับแข็งทั้งหมด และจัดว่าเป็นโรคเรื้อรังที่ค่อนข้างรุนแรง เพราะเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตจากภาวะตับวายและจากผลข้างเคียงได้ เช่น การติดเชื้อรุนแรง อาเจียนเป็นเลือด และไตวาย โดยทั่วโลกจะมีจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคตับแข็งกว่า 25,000 คนต่อปี ในยุโรปจะพบอัตราการเสียชีวิตจากโรคตับแข็งที่ 10 ปี นับจากมีอาการสูงประมาณ 34-66% และในสหรัฐอเมริกา โรคนี้เป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเป็นลำดับที่ 10 ในผู้ชาย และลำดับที่ 12 ในผู้หญิง หมายเหตุ : ตับเป็นอวัยวะสำคัญอวัยวะหนึ่งที่มีหน้าที่หลายอย่าง หน้าที่ของตับเปรียบเหมือนโรงงานขนาดใหญ่ที่คอยจัดการกับสารอาหารต่าง ๆ เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ตับจะสลายและสร้างสารตัวใหม่ที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายขึ้นมา และในขณะเดียวกันสารต่าง ๆ ที่ร่างกายใช้แล้วจะกลับมาเผาผลาญที่ตับเพื่อจับเป็นของเสียออกจากร่างกาย นอกจากนี้ตับยังทำหน้าที่เพื่อดูแลสุขภาพของเราอีกหลายอย่าง เช่น ช่วยขจัดสารพิษหรือเชื้อโรคออกจากเลือด, ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันบางอย่างขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค, ช่วยสร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบในการทำให้เลือดแข็งตัว, ช่วยสร้างน้ำดีซึ่งมีหน้าที่ช่วยการดูดซึมไขมันและวิตามินชนิดละลายในน้ำมันให้กับร่างกาย และเป็นแหล่งสะสมน้ำตาลให้ร่างกายเพื่อนำไปใช้เมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งเมื่อเกิดโรคตับแข็งขึ้น การทำงานของตับจะลดลงจนก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ ขึ้นตามมา สาเหตุของโรคตับแข็งโดยปกติเนื้อเยื่อตับจะนุ่มและมีผิวที่เรียบเนียน แต่ถ้าเนื้อเยื่อตับได้รับการบาดเจ็บและถูกทำลายจากการอักเสบเรื้อรังจากสาเหตุต่าง ๆ เนื้อเยื่อตับที่ถูกทำลายจะกลายเป็นพังผืดที่มีลักษณะคล้ายแผลไปแทรกและเบียดเนื้อตับที่ดี ทำให้เลือดไปเลี้ยงตับได้น้อยลง จึงส่งผลให้การทำหน้าที่ต่าง ๆ ของตับลดลงหรือไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเป็นปกติ ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ร่างกายสร้างตามธรรมชาติ (เป็นเหตุทำให้ผู้ป่วยมีอาการฝ่ามือแดง มีจุดแดงรูปแมงมุม นมโตและอัณฑะฝ่อในผู้ชาย) มีการคั่งของสารบิลิรูบินหรือสารสีเหลืองซึ่งสร้างจากตับ (ทำให้เกิดอาการดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง) และอาการคันตามตัวหรือผิวหนัง) มีการสังเคราะห์สารที่ช่วยห้ามเลือดได้น้อยลง (ทำให้เกิดภาวะเลือดออกง่าย) มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำของตับสูงขึ้น (ทำให้ท้องมานหรือมีน้ำคั่งในช่องท้อง หลอดเลือดขอดที่หลอดอาหารที่อาจแตกและทำให้อาเจียนเป็นเลือด ริดสีดวงทวาร) ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของระบบต่าง ๆ IMAGE SOURCE : www.youtube.com (by CirrhosisNaturalCure), www.mayoclinic.orgโดยเมื่อเริ่มเกิดโรค เนื้อเยื่อตับจะมีขนาดปกติได้ แต่ต่อมาเมื่อการอักเสบมากขึ้นจะเกิดการบวมของเนื้อเยื่อตับ ตับจะโตจนคลำได้ (ตับจะอยู่ใต้ชายโครง ซึ่งปกติจะคลำไม่ได้) และเมื่อมีการอักเสบเรื้อรัง เนื้อเยื่อตับจะเป็นพังผืดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื้อเยื่อตับที่เคยนุ่มจะค่อย ๆ แข็งขึ้น (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อคำว่า “โรคตับแข็ง”) และขนาดของตับจะหดเล็กลงเรื่อย ๆ นอกจากนั้นเนื้อเยื่อตับที่เหลืออยู่จะพยายามซ่อมแซมตัวเอง จึงเกิดเป็นปุ่มก้อนเนื้อขึ้น และเมื่อร่วมกับการเกิดพังผืดจึงก่อให้ตับแข็งมีลักษณะขรุขระเป็นตะปุ่มตะป่ำทั่วทั้งตับ ซึ่งจะส่งผลให้สมรรถภาพการทำงานของตับลดลง และนำมาสู่สุขภาพร่างกายที่แย่ลงด้วย สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็งมีได้หลากหลาย (ในประเทศไทยโดยมากมักเกิดจากแอลกอฮอล์และโรคไวรัสตับอักเสบบี) ที่พบได้บ่อย ๆ คือ
อาการของโรคตับแข็ง
ภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็งภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากโรคตับแข็งที่อาจพบได้ คือ ติดเชื้อได้ง่าย (เพราะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคลดลงจากตับทำงานได้ลดลง), แน่นอึดอัดท้องจากม้ามโตและ/หรือมีน้ำในท้อง (ท้องมาน), ภาวะซีด, ฟกช้ำหรือเลือดออกได้ง่าย, อาเจียนเป็นเลือด (เนื่องจากหลอดเลือดที่หลอดอาหารขอดแล้วแตก), มีความไวต่อยาและผลข้างเคียง (เนื่องจากผู้ป่วยโรคตับแข็งจะไม่สามารถกรองยาออกจากเลือดได้ในอัตราปกติ ตัวยาจึงออกฤทธิ์ได้นานขึ้นและสะสมอยู่ในร่างกาย), มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเซลล์ตับสูงกว่าคนปกติประมาณ 5%, ริดสีดวงทวาร, ภาวะไตวายจากโรคตับแข็ง เป็นต้น การวินิจฉัยโรคตับแข็งแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคตับแข็งได้จากการซักประวัติอาการ ประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ หรือประวัติทางการแพทย์ต่าง ๆ (เช่น การใช้ยาต่าง ๆ) รวมถึงประวัติโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับในครอบครัว, การตรวจร่างกาย, การตรวจเลือดเพื่อทดสอบการทำงานของตับและหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี (ใช้สำหรับประกอบการวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของตับแข็ง), การตรวจภาพตับด้วยคลื่นเสี่ยงความถี่สูงหรืออัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ซึ่งจะช่วยในการวินิจฉัยโรคตับแข็งได้ค่อนข้างแม่นยำ และการตรวจไม่ยุ่งยาก มีราคาไม่แพง จึงมักเป็นการตรวจอันดับแรกที่แพทย์จะเลือกใช้, การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ซึ่งสามารถวินิจฉัยภาวะตับแข็งได้เช่นกัน แต่มีข้อเสียคือ ในการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ผู้ป่วยจะได้รับรังสีและต้องได้รับการฉีดสารทึบรังสีเข้าหลอดเลือดดำ ซึ่งอาจเกิดอาการแพ้หรือมีผลต่อไตในผู้ป่วยบางรายได้ ส่วนการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แม้ว่าผู้ป่วยจะไม่ได้รับรังสีแต่ก็เป็นการตรวจที่มีราคาสูงและเครื่องตรวจนี้ก็มีเฉพาะในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ หรือโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการตรวจที่ให้ผลแน่นอน คือ การตรวจชิ้นเนื้อจากตับ โดยการเจาะผ่านผิวหนัง (Biopsy) เพื่อเอาตัวอย่างจากเนื้อตับไปตรวจดูทางพยาธิวิทยา (แต่วิธีนี้มีความเสี่ยงต่อเลือดออกในตับ และต้องอาศัยความชำนาญในการตรวจ แพทย์จึงไม่ค่อยได้ใช้เป็นวิธีแรก) นอกจากนี้อาจมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ สำหรับการตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจหาสิ่งแสดงว่าเป็นโรคตับแข็งหรือไม่ เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง และปัสสาวะสีเข้มขึ้น (Jaundice), ฝ่ามือแดงทั้งสองข้าง (Palmar erythema), มีจุดแดงรูปแมงมุมที่หน้าอก หน้าท้อง จมูก ต้นแขน (Spider telangiectasia), ต่อมน้ำลายที่บริเวณกรามทั้งสองข้างโตขึ้น (Parotid gland enlargement), เท้าบวม ท้องบวม (Ascites), เส้นเลือดที่บริเวณรอบสะดือขยาย (Caput medusae) และอาจได้ยินเสียงฟู่ในบริเวณดังกล่าว (Cruveilhier-Baumgarten murmur), อาการนมโตและเจ็บในผู้ชาย (Gynecomastia), อัณฑะฝ่อตัวหรือเล็กลง (Testicular atrophy), คลำตับได้มีลักษณะค่อนข้างแข็ง, ถ้าเป็นมากจะพบว่า ผู้ป่วยมีรูปร่างผอมแห้ง ซีด ท้องโตมาก หลอดเลือดพองที่หน้าท้อง มือสั่น ม้ามโต ภาวะนิ้วปุ้ม มีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง เป็นต้น วิธีรักษาโรคตับแข็งโรคนี้ยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ เพราะเนื้อเยื่อตับที่ถูกทำลายไปแล้วมิอาจหาทางเยียวยาให้ฟื้นตัวได้ อาการจึงมีแต่ทรงกับทรุด แต่ถ้าเป็นโรคตับแข็งในระยะแรกและผู้ป่วยปฏิบัติได้อย่างเหมาะสมก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเกิน 5-10 ปีขึ้นไป แต่หากปล่อยให้มีภาวะแทรกซ้อนชัดเจน เช่น ท้องมาน ดีซ่าน อาเจียนเป็นเลือด ก็อาจมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2-5 ปี (ประมาณ 1 ใน 3 อาจมีชีวิตอยู่ได้เกิน 5 ปี) การรักษาโรคตับแข็งจึงมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อหยุดหรือชะลอการทำลายของเนื้อเยื่อตับหรือการดำเนินของโรคและเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยมีหลักสำคัญคือการรักษาที่สาเหตุ และไม่เพียงแต่แพทย์เท่านั้นที่มีบทบาทในการรักษา ตัวผู้ป่วยเองก็มีบทบาทสำคัญในการรักษาเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน ซึ่งได้แก่
วิธีป้องกันโรคตับแข็งการป้องกันที่สำคัญ คือ การหลีกเลี่ยงสาเหตุที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ดังที่กล่าวไปแล้ว เช่น
เอกสารอ้างอิง
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) |