จงอธิบายไฟล์เสียง mp3 wav มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

ชนิด รู้หรือไม่ เพลงที่เราฟังกันอยู่ทุกวันนี้ ชนิดของไฟล์เสียง ก็มีนามสกุลให้เรียกกันหลากหลาย ที่เห็นได้ชัดเลยคือ MP3 เชื่อได้เลยล่ะว่า แทบไม่มีใครไม่รู้จัก แต่นั่นเป็นเพียง 1 ในตะกูลไฟล์เสียง เท่านั้นเองยังมีหลากหลายสกุลไฟล์ แต่วันนี้ เราจะมารู้จักสกุลไฟล์ที่นิยมใช้กันนะครับ 

 

ไฟล์เสียง สามารถแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆเลย ก็คือ

1.ไฟล์เสียงแบบที่ไม่สูญเสียข้อมูลเสียง (LOSSLESS Audio)

2.ไฟล์เสียงที่บีบอัดแล้วตัดข้อมูลบางส่วนออกไป (LOSSY Audio)

3.ไฟล์เสียงที่ไม่มีการบีบอัด (Uncompressed Audio)

เรามาดูกันว่า 3 ประเภทนี้ จะมีไฟล์สกุลอะไรกันบ้าง

  1. ไฟล์เสียงแบบที่ไม่สูญเสียข้อมูล หรือ LOSSLESS Audio

ซึ่ง Lossless ก็แปลว่า ไม่มีการสูญเสีย เมื่อนำมาเรียบเรียงคำรวมกับ Audio ก็แปลว่า ไฟล์เสียงที่ไม่มีการสูญเสียงนั่นเอง ซึ่งไฟล์ประเภทนี้ มีขข้อดีอย่างมากตรงที่ไฟล์เสียงมีความสมบูรณ์ เรียกได้ว่าแทบจะเทียบเท่าไฟล์ต้นฉบับ หรือ Uncompressed Audio  แต่เนื่องจากคุณภาพไฟล์ที่ค่อนข้างสูง ทำให้ขนาดใหญ่ตามไปด้วย และด้วยขนาดที่ใหญ่นี่เองจึงทำให้ในสมัยที่อุปกรณ์ ที่เก็บไฟล์ส่วนใหญ่มีความจุที่จำกัด ไม่ได้มีความจุเยอะเหมือนในสมัยนี้

จงอธิบายไฟล์เสียง mp3 wav มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

1.1 FLAC หรือ ที่เรียกว่า (Free Lossless Audio Codec)

เป็นไฟล์เสียงที่ผ่านการบีบอัดแบบไม่สูญเสียข้อมูล ถ้าเทียบกับไฟล์ต้นฉบับอาจจะมีขนาดที่เล็กลง ถึงครึ่งนึงของไฟล์ต้นฉบับเลยทีเดียว อ่านมาถึงจุดนี้อาจจะดูว่าลดลงขนาดนี้ก็ไม่น่าจะเป็นไฟล์ที่มีขนาดใหญ่เลยนี่ ต้องบอกก่อนครับว่า เล็กลงจากไฟล์ต้นฉบับ อาจจะดูน้อยลงมา แต่เมื่อนำไฟล์ .flac มาเทียบกับไฟล์พวก Lossy อย่าง .Mp3 จะเห็นได้เลยว่า ไฟล์ .flac รองรับความละเอียดสูงสุงที่ 24 Bit และมี Sampling Rat สูงสุด ที่ 65,535 Hz รองรับการทำงานแบบเซอร์ราวด์รอบทิศทาง

จงอธิบายไฟล์เสียง mp3 wav มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

1.2 ALAC หรือที่เรียกว่า (Apple Lossless Audio Codec)

เขียนเป็นสกุล คือ .aac ซึ่งตอนนี้ พัฒนามาเป็น .m4a หลายๆคนคงรู้จักแบรนด์สมาร์ทโฟนที่กำลังครองโลกในปัจจุบันอย่าง บริษัท Apple ซึ่งไฟล์เสียงนี้จะใช้คู่กับแอปพลิเคชั่นที่เรียกว่า I tune สาวกไอโฟนคงรู้ดี ในด้านคุณภาพของ .m4a ที่พัฒนามากับ .aac ที่เป็นไฟล์รุ่นเดิม .m4a มีคุณภาพการบีบอัดที่ดีกว่ามาก โดยไฟล์ ALAC รองรับความละเอียดสูงสุดที่ 32 bit และมี Sampling Rate อยู่ที่ 384 kHz

2.ไฟล์ที่บีบอัดแล้วตัดข้อมูลบางส่วนออกไป หรือ (Lossy Audio)

คำว่า Lossy แปลว่า การสูญเสีย เมื่อนำมารวมกับ Audio ก็จะแปลว่า ไฟล์เสียงที่เกิดการสูญเสียข้อมูลไป ซึงไฟล์เสียงประเภทนี้จะมีการบีบอัดใหไฟล์เล็กลงมากๆ เมื่อยิ่ง bitrate ลดลงไปมากเท่าไร รายละเอียดเสียงต่างๆ ก็จะลดลงไปด้วย ทำให้ไฟล์มีคุณภาพต่ำกว่าประเภทอื่นๆ สกุลไฟล์ที่เห็นกันบ่อยๆก็จะมี MP3, AAC, OGG, WMA เป็นต้น เรามารู้จักกันว่าแต่ละไฟล์เป็นอย่างไร

อ่านบทความต่อได้ที่

  • Sampling Rate และ Bit Depth คืออะไร
  • 5 นาที เข้าใจ FFT ในโปรแกรมวัดเสียง
  • คำศัพท์เทคนิค ที่ควรรู้ เกี่ยวกับระบบเสียง

1.1 MP3

เป็นไฟล์ที่ได้รับความนิยมกันมากตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันก็ยังนิยมใช้กันอยู่อย่างแพร่หลาย ตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆไปจนถึงคนแก่ เรียกได้ว่า ไม่มีใครไม่รู้จัก MP3 ด้วยความที่มันเป็นไฟล์เสียงที่ผ่านการบีบอัดจนได้ไฟล์ที่เล็กลงมากๆ เมื่อเทียบกับไฟล์ต้นฉบับ ให้ประมาณก็น่าจะเล็กลงมา 10 เท่าเลยก็ว่าได้ แม้จะโดนบีบอัดเสียข้อมูลไป แต่ไฟล์ที่ได้ก็ยังถือว่ามีคุณภาพเสียงที่อยู่ในระดับที่รับได้อยู่

จงอธิบายไฟล์เสียง mp3 wav มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

1.2 AAC

เป็นไฟล์ที่มีขนาดเล็กมาก แต่เดี๋ยวก่อน ถึงแม้ขนาดไฟล์จะเล็กมากๆ แต่ก็มีคุณภาพที่ดีกว่าไฟล์ MP3 เสียอีก มีความสามารถที่มากกว่า MP3 คือ สามารถเก็บข้อมูลเสียงได้ 48 ชาแนล แยกเสียงได้แบบ ระบบ Dolby 5.1 ในขณะที่ MP3 เก็บได้เพียง 2 ชาแนลเท่านั้น เป็น สเตอริโอ ซ้ายขวา  โดยไฟล์ AAC นั้น ถูกพัฒนามาจากไฟล์ประเภท MPEG-2

จงอธิบายไฟล์เสียง mp3 wav มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

1.3 WMA

หรือชื่อเต็มว่า Windows Media  Audio  ไฟล์สกุลนี้ คิดค้นขึ้นมาใช้งานกับ Windows Media Player  ไฟล์ WMA เรียกได้ว่าเป็นคู่ปรับของ mp3 และ Real Audio เพราะมีคุณสมบัติด้านการ Streaming เหมือนกัน แต่ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าในขณะที่ขนาดของไฟล์เล็กกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไฟล์ที่นิยมเล่นไฟล์นี้ในอินเทอร์เน็ต เมื่อก่อนการเล่นไฟล์ประเภทนี้ต้องเล่นผ่านโปรแกรม Windows Media Player เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีโปรแกรมหลายโปรแกรมที่สามารถเล่นไฟล์นี้ได้

จงอธิบายไฟล์เสียง mp3 wav มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

1.4 OGG

มีชื่อเต็มๆ ว่า Ogg Vorbis ผลิต คิดค้นออกมาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เกิดมาเพื่อจะมาแทนที่ MP3 โดยคุณสมบัติของมันนั้น มีขนาดที่เล็ก แต่มาคุณภาพเสียงที่ดีกว่า MP3 แถมยังมีความสามารถในการเล่นไฟล์ที่ดีกว่าไฟล์ที่ใช้เทคโนโลยีการบีบอัดอย่างไฟล์ MP3, AAC

จงอธิบายไฟล์เสียง mp3 wav มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

จะเห็นว่าไฟล์เสียงที่บีบอัดนั้น มีควาทแตกต่างกัน ในเรื่องขนาดและคุณภาพเสียงที่ได้

3.ไฟล์เสียงที่ไม่มีการบีบอัดข้อมูล (Uncompressed audio format)

เป็นไฟล์เสียงที่ไม่มีการบีบอัดข้อมูลให้เล็กลงเลย ไม่ลดจำนวนบิต จึงได้คุณภาพเสียงที่เรียกได้ว่า เทียบเท่ากับไฟล์ต้นฉบับ  ไฟล์ที่มีคุณภาพขนาดนี้ ต้องแลกมากับขนาดที่ใหญ่มากพอสมควร เมื่อนำไปเทียบกับไฟล์พวก Lossless หรือ lossy  ไฟล์เสียงประเภทนี้ในปัจจุบัน จะมี WAVE ที่ใช้ใน Windows และ AIFF จากค่าย Apple

3.1 WAVE

ชื่อเต็มๆ คือ Waveform Audio File Format ไฟล์สกุลนี้ เป็นอีกไฟล์ที่มีความคุ้นหน้าคุ้นตากันอีกสกุลหนึ่ง เพระเป็นไฟล์เสียงที่เป็นมาตรฐานของทางระบบ Windows ซึ่งในปัจจุบัน เป็นที่นิยมมาก เป็นไฟล์เสียงพื้นฐานในเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน คุณสมบัติเด่นๆเลยคือ เป็นไฟล์ที่ครอบคลุมความถี่เสียงไว้ได้ทั้งหมด จึงมีคุณภาพเสียงที่ดีมาก จนเทียบเท่าไฟล์ต้นฉบับเลยทีเดียว แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ขนาดที่ใหญ่มาก ทำให้กินเนื้อที่ในการเก็บข้อมูลไปมาก แน่นอนว่าในสมัยก่อน มันเป็นปัญหาหลัก แต่ด้วยเทคโนโลยี ทำให้หน่วยควมจำเพิ่มขึ้น สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นกว่าเดิมมาก ปัญหานี้เลยหมดไป  Bit Depth สูงสุด 24 BIT และใช้การจัดเก็บข้อมูลแบบ PCM

จงอธิบายไฟล์เสียง mp3 wav มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

3.2 AIFF

ชื่อเต็มๆ คือ Audio Interchange File Format  จะบอกว่า อายุของมัน มากกว่า ไฟล์สกุล WAVE อีกนะ พัฒนาขึ้นมาใช้กันในปี 1988 โดยบริษัท Apple ใช้กันในฝั่งคอมพิวเตอร์ที่เป็นระบบ Apple Macintosh (MAC) โดยสกุล  AIFF มี Bit Depth สูงสุด เหมือนกันกับ WAVE  ที่ 24 Bit ใช้การจัดเก็บข้อมูลแบบ PCM

จงอธิบายไฟล์เสียง mp3 wav มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

นอกจากสกุลประเภทที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็ยังมีสกุลไฟล์ที่บางคนอาจจะยังไม่รู้จัก เนื่องจากหาฟังได้ค่อนข้างยาก และด้วยขั้นตอนต่างๆที่ยุ่งยากไปนิดนึง แต่ก็เริ่มจะเป็นที่นิยมขึ้นมาบ้างแล้วในกลุ่มที่เป็นคนฟังเพลงจริงจัง แต่ถามว่าในอนาคต ไฟล์ที่ว่านี้จะมีความนิยมขึ้นมาได้ไหม คงต้องบอกว่า มีโอกาสที่ไฟล์นี้จะป็นไฟล์ที่กำหนดเป็นมาตรฐานอย่างแน่นอน

ไฟล์ Format นี้คือ

DSD  (Direct Stream Digital)

ไฟล์ประเภทนี้ ว่าง่ายๆคือ เป็นไฟล์ที่มีข้อมูลอย่างแน่นหนา มีความบริสุทธิ์ของข้อมูลสูง ไฟล์ DSD แทบจะไม่มีการแปลงข้อมูลเลย การเสียข้อมูลก็น้อยเมื่อเทียบกับ การจัดเก็บข้อมูล แบบ PCM   อ้อ!!ลืมบอกไปครับ ไฟล์นี้ในเมืองไทยยังไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าไร แต่ในประเทศญี่ปุ่นนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

จงอธิบายไฟล์เสียง mp3 wav มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

ผมหวังว่า ข้อมูลสกุลไฟล์ต่างๆที่ผมได้หยิบมาเขียนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนที่สนใจ อยากรู้ว่าเพลงที่เราฟังกันทุกวันนี้มีการเรียกสกุลของมันเป็นสกุลอะไรบ้าง และต้องบอกเลยหล่ะครับว่า นี้เป็นสุกลไฟล์เสียงที่นิยมใช้กันในหมู่คนทำเพลง นักฟังเพลง หรือในคนทั่วไปเพียงเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีสกุลอื่นๆ หรือ ในอนาคตอาจจะมีการคิดค้นสกุลใหม่ๆเพิ่มเข้ามาอีกก็เป็นได้!!!

ไฟล์เสียง Wave มีลักษณะอย่างไร

ไฟล์เสียง wave เป็นไฟล์เสียงที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด ไฟล์ประเภทนี้มีนามสกุล . wav จัดเป็นไฟล์ เสียงมารฐานที่ใช้กับ Windows คุณสมบัติที่ส าคัญคือครอบคลุมความถี่เสียงได้ทั้งหมด ท าให้คุณภาพเสียงดี มาก และยังให้เสียงในรูปแบบสเตอริโอได้อีกด้วย ข้อเสียคือไฟล์ . wav มีขนาดใหญ่ท าให้สิ้นเปลืองพื้นที่ในการ เก็บข้อมูลมาก

ไฟล์เสียงประเภท MP3 มีคุณสมบัติและการนำไปใช้งานอย่างไร

ข้อดีของการเก็บแฟ้มในรูปแบบ MP3 เนื่องจากแฟ้ม MP3 เป็นแฟ้มที่มีขนาดเล็ก ดังนั้นจึงใช้พื้นที่ในการเก็บน้อย โปรแกรมที่ใช้เล่นแฟ้ม MP3 ก็เช่น โปรแกรม Windows Media Player และโปรแกรมนี้ก็จะมีมากับเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว ไม่ต้องไปหา Download ใหม่ (แต่ต้องเป็น windows 98 ขึ้นไป) รวมไปถึง Winamp ซึ่งหา download ได้ทั่วไป

ไฟล์เสียงนามสกุล *.wav และ *.MP3 แตกต่างกันอย่างไร

MPEG-1 Audio Layer 3 (.mp3) พัฒนามาจากการบีบอัดไฟล์ wav. ไฟล์มีขนาดเล็กกว่าไฟล์ wav ถึง 10-12 เท่า จึงสามารถอัดไฟล์เพลง MP3 นับร้อย ๆ พัน ๆ ลงในซีดีแผ่นเดียวได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเทคโนโลยีการฟังเพลง คุณภาพเสียงถูกลดทอนจากไฟล์ wav อย่างชัดเจน

ไฟล์ เสียง MP3 คืออะไร

ไฟล์ MP3 (MPEG Audio Layer III) เป็นไฟล์เสียงแบบ Lossy ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มากเสียจนหากคำว่า Photoshop หมายถึงการแต่งรูป MP3 ก็แทบจะหมายถึงการดาวน์โหลดเพลงอะไรแบบนั้นเลยทีเดียว