Show �Ըա�÷ҧ����ѵ���ʵ�� 5 ��鹵 ���ҧ�Ӷ��743 view ��Ǵ���� : ����֡�� ����ѵ���ʵ�� �ѹ������ҧ : 15/07/2019 �Ըա�÷ҧ����ѵ���ʵ�� 5 ��鹵 2.����Ǻ�����ѡ�ҹ ����Ǻ�����ѡ�ҹ�������Ǣ�ͧ�Ѻ��Ǣ�ͷ����֡�� ����շ����ѡ�ҹ���������ѡɳ��ѡ�� �����ѡ�ҹ������������ѡɳ��ѡ�� 3.��û����Թ�س��Ңͧ��ѡ�ҹ 4.����������� �ѧ������ ��ШѴ��Ǵ��������� 5.������º���§���͡�ù��ʹ� ��Ҫͺ��������� �� Like ��� :�Ըա�÷ҧ����ѵ���ʵ�� 5 ��鹵 743 view ��Ǵ���� : ����֡�� ����ѵ���ʵ�� �ѹ������ҧ : 15/07/2019 �����ʴ������Դ��������������ҷ������Ǫ�ͧ
(������ش����� 76 �ҷ�)
(������ش����� 86 �ҷ�)
(������ش����� 139 �ҷ�)
(������ش����� 160 �ҷ�)
(������ش����� 171 �ҷ�)
(������ش����� 189 �ҷ�)
(������ش����� 316 �ҷ�)
(������ش����� 336 �ҷ�)
(������ش����� 477 �ҷ�)
(������ش����� 513 �ҷ�) การศึกษาประวัติศาสตร์ 1. การกำหนดหัวข้อหรือจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาเรื่องราวในอดีตที่สนใจใคร่รู้ หรือศึกษา เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ตอนใดตอนหนึ่ง โดยตั้งเป็นประเด็นคำถาม เช่นศึกษาเรื่องอะไร ในช่วง เวลาใด ทำไมหรือเพราะเหตุใด 2. การค้นหาข้อมูลหรือหลักฐาน และรวบรวมหลักฐานประเภทต่างๆ ที่เกี่ยวช้องกับเรื่องที่จะต้องศึกษาค้นคว้าทั้งหลักฐาน ที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่นจารึก จดหมายเหตุ 3. การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าของหลักฐานเพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหลักฐานที่ได้ รวบรวมมาจากแหล่งต่างๆ ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ต้องเข้าใจว่าเนื้อหาสาระในหลักฐานที่รวบรวมได้อาจไม่ถูกต้องหรือเป็นความจริงเสมอไป เนื้อหาสาระเหล่านี้ อาจเป็นเพียงข้อสันนิษฐานดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องนำหลักฐานเหล่านั้นมาประเมินหาความน่าเชื่อถือก่อน โดยการตรวจสอบพิจารณา หลักฐานนั้นๆ อย่างละเอียด เช่นผู้สร้างหลักฐานนั้นเป็นใคร จัดทำขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใด สภาพแวดล้อมของหลักฐานที่สร้างขึ้น เป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังสามารถใช้ข้อมูลหลักฐานอื่นๆ ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหลักฐานนั้นๆ โดยยึดความอย่างมีเหตุผล เป็นกลางและไม่มีอคติ 4. การสรุปข้อเท็จจริง เพื่อตอบคำถาม การพิจารณาข้อเท็จจริงจากเนื้อหาสาระที่ปรากฏใน หลักฐาน โดยเริ่มจากการศึกษา สาเหตุที่แท้จริง และสาเหตุที่เป็นข้ออ้างเพื่อให้เกิดความเข้าใจใน ความหมายที่แท้จริงที่ปรากฏในหลักฐาน โดยการวิพากษ์ หลักฐานและวิพากษ์ข้อมูลสำหรับการตีความหรือการแสดงความคิดเห็นจะต้องกระทำตามที่มีข้อมูลปรากฏ ในหลักฐานอย่างเป็นเหตุเป็น ผลขณะเดียวกันจะต้องใช้ความระมัดระวังไม่ใช้ความรู้สึก หรือค่านิยมของคนในปัจจุบันไปตัดสินความประพฤติของคนในอดีต 5. การนำเสนอเรื่องที่ได้ศึกษา คือการนำเรื่องราวที่ได้ศึกษาด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สโตนเฮนจ์ สันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีมาแล้ว ภาพจาก : The Complete Illustrated world Encyclopedia of Archeology, P. 179. ขวานหินยุคหินเก่า อายุประมาณ 700,000 ปีมาแล้ว 2. หลักฐานชั้นรอง หรือหลักฐานทุติยภูมิ เป็นหลักฐานที่ทำขึ้นภายหลักที่เหตุการณ์นั้นๆ ได้แก่ ที่มาของรูปภาพ
: http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/
ตัวอย่างการศึกษาประวัติศาสตร์โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์มี 5 ขั้นตอนมีอะไรบ้างวิธีการทางประวัติศาสตร์มีกี่ขั้นตอนกันนะ ?. การกำหนดหัวเรื่องที่จะศึกษา. การรวบรวมหลักฐาน. การประเมินคุณค่าของหลักฐาน หรือการวิพากษ์คุณค่าของหลักฐาน. การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล. การเรียบเรียงและนำเสนอ. ขั้นตอนทางประวัติศาสตร์คืออะไรวิธีการทางประวัติศาสตร์ คือ กระบวนการ ในการแสวงหาข้อเท็จจริงจากเรื่องราวหรือเหตุการณ์ ทางประวัติศาสตร์ซึ่งได้จากการค้นคว้าหาข้อมูล จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพื่อน ามาวิเคราะห์ และอธิบายเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้การศึกษานั้นได้ข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงและ ถูกต้องมากที่สุด เราเรียกกระบวนการศึกษานี้ว่า “ ...
วิธีการทางประวัติศาสตร์มีความสําคัญอย่างไรบ้างวิธีการทางประวัติศาสตร์ มีความสาคัญ คือ ทาให้เรื่องราว กิจกรรม และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน ประวัติศาสตร์มีความน่าเชื่อถือ มีความถูกต้องเป็นความจริง หรือใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด เพราะ การศึกษาอย่างเป็นระบบ อย่างมีขั้นตอน มีความระมัดระวัง รอบคอบ โดยผู้ได้รับการฝึกฝนในระเบียบวิธีการ ทางประวัติศาสตร์มาดีแล้ว
ประวัติมีความสําคัญอย่างไรประวัติศาสตร์ เป็นปัจจัยหนึ่งในการสร้างคุณค่าแห่งจริยธรรมและปลูกฝัง ให้เกิด พลังความรัก ความสามัคคีต่อท้องถิ่นและประเทศชาติ ในท้ายที่สุด การศึกษาประวัติศาสตร์จะทำให้เราได้รู้และเข้าใจตัวเอง ชุมชน รู้ศักยภาพและ ความสามารถในการที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้แค่ไหนและเพียงไร
|