ต วอย างประกาศเช ญประช ม เพ มท น

เผยแพร่: 3 ต.ค. 2559 13:15 ปรับปรุง: 3 ต.ค. 2559 14:19 โดย: MGR Online

โฆษกกระทรวงกลาโหม แจงแทนนายรอบสอง อ้าง 20 ล้านค่าเช่าเหมาลำตามราคามาตรฐานการบินไทย แม้ไป 30 ก็ต้องคิดเต็ม 100 ที่นั่ง แถมยังต้องเติมน้ำมันที่ฮาวายตามอัตราแลกเปลี่ยน ชี้ต้องเหมาเพราะไม่มีบินตรง ถ้าต้องต่อเครื่องอาจไปประชุมไม่ทัน และประเด็นความปลอดภัย บอกคนละเรื่องกับพอเพียง ไปประชุมเสร็จก็กลับ ไม่ได้ไปเที่ยว ที่ต้องขนคนไปเยอะเหตุต้องเอาผู้เกี่ยวข้องไปคุยหลายเรื่อง อย่ามองแง่ลบ ทำตามระเบียบราชการ

วันนี้ (3 ต.ค.) ที่กระทรวงกลาโหม พล.ต.คงชีพ ตัณตระวาณิช โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้แจงเพิ่มเติม กรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการร่วมประชุม รมว.กลาโหมอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กับคณะอีก 38 คน โดยการเช่าเหมาลำเครื่องบินการบินไทย เที่ยวบิน TG 8886 รุ่น Boeing 747-400 บรรจุผู้โดยสาร 416 คน เป็นจำนวนเงินกว่า 20 ล้านบาท ไม่มีความพอเพียง โดยเฉพาะค่าอาหารบนเครื่องมีจำนวนรวม 600,000 บาท ว่าตนไม่ทราบว่าเครื่องบินดังกล่าวรุ่นอะไร ทางการบินไทยเป็นผู้จัดมาให้พร้อมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทั้งนี้ต้องเข้าใจก่อนว่าการเสนอราคากลาง คือ ราคามาตรฐานที่การบินไทยประกาศไว้ว่าเครื่องขนาดเท่านี้ มีกี่ที่นั่ง ราคาค่าอาหารทั้งหมดเท่าไหร่ ใครก็ตามที่มาเช่าเหมาลำเครื่องบินลำนี้และบินเส้นทางเดียวกัน ต้องจ่ายเท่ากันหมด

“อัตราค่าโดยสารเช่าเหมาลำเป็นราคามาตรฐานที่กำหนดราคากลางลงไป เมื่อประกาศไปแล้วใครก็ตามที่ไปเช่าเหมาลำและบินไปจุดหมายดังกล่าวก็ต้องใช้ราคานี้ทั้งหมด เขาต้องคิดราคาทั้งลำที่สามารถบรรจุผู้โดยสารไปได้ว่ามีค่าอาหารเท่าไหร่ ไม่ใช่เครื่องบินมี 100 ที่นั่ง แต่คิดแค่ 30 ที่นั่ง คงไม่ใช่ ต้องคิดเต็ม 100 ที่นั่ง นอกจากนี้ยังมีกรณีการเติมน้ำมันที่มลรัฐฮาวาย เติมด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเท่าไหร่ สูงหรือต่ำ รวมถึงค่าน้ำมันในตอนนั้น จะมีรายละเอียดออกมาว่าใช้เงินเท่าไหร่” พล.ต.คงชีพกล่าว

พล.อ.คงชีพกล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นมีการเปรียบเทียบว่านายกรัฐมนตรีเดินทางไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศไม่ได้เช่าเหมาลำ แต่ทำไมกรณีนี้ต้องเช่าเหมาลำ เนื่องจากของนายกรัฐมนตรีมีเที่ยวบิน แต่กรณีนี้ไม่มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไป มลรัฐฮาวายที่เป็นเกาะอยู่กลางทะเล หากไปเที่ยวบินอื่นก็ต้องไปต่อเครื่องบินซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้น และไม่สามารถกำหนดตารางเวลาที่ชัดเจนได้ และเป็นเที่ยวบินไม่ได้มีทุกวันซึ่งจะส่งผลกระทบอาจเดินทางไปประชุมไม่ทัน เนื่องจากอาจเกิดเหตุสุดวิสัยในขณะต่อเครื่องบิน เช่น เครื่องบินดีเลย์ ไม่ออกตามกำหนดเวลา หรือแม้แต่กระทั่งเรื่องความปลอดภัยของ พล.อ.ประวิตร เรื่องสำคัญ นอกจากนี้ หากเสร็จสิ้นการประชุมแล้วก็ไม่สามารถเดินทางกลับได้ทันที ต้องรอให้มีเที่ยวบินดังกล่าว

“อย่าเอาเรื่องความพอเพียงมาเกี่ยวพันกัน คนละเรื่อง ชีวิตทุกคนมีค่า และ พล.อ.ประวิตรและคณะไม่ได้เดินทางไปท่องเที่ยว หรือเดินทางไปพักก่อนแล้วค่อยประชุม แต่ท่านเดินทางไปถึงก็เข้าประชุมทันที ตั้งแต่วันที่ 29-1 ต.ค. ซึ่งตามเวลาสหรัฐฯ เร็วกว่าประเทศไทย 1 วัน และในวันสุดท้ายประชุมเสร็จเที่ยงก็เดินทางกลับ ถือเป็นการเดินทางที่เหนื่อย” พล.ต.คงชีพกล่าว

พล.อ.คงชีพกล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่ต้องไปจำนวนมากถึง 38 คนนั้น เพราะก่อนหน้านี้เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา เข้าพบ พล.อ.ประวิตร และเขาหวังว่าเราจะได้มีโอกาสพูดคุยกับ รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ในหลายๆ เรื่อง และเขาชมเราเกี่ยวความมุ่งมั่นของเราแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย ปัญหาการบินพลเรือน เพราะเห็นถึงความตั้งใจของไทย จึงมองว่าเป็นโอกาสของเรา 1. เราให้เกียรติสหรัฐฯ 2. สหรัฐฯ บอกไทยเป็นมิตรภาพที่ยาวนานที่สุดของภูมิภาค 3. การเดินทางไปครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดี ที่สหรัฐฯ ต้อนรับเรา เพราะไม่ได้เป็นการเชิญเพียง 2 ประเทศ จึงไม่มีข้อจำกัดหรือติดขัดกฎหมายในเรื่องรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ แต่การที่สหรัฐฯ เชิญหลายๆ ประเทศไปประชุม และอยากพูดคุยและยืนยันความสัมพันธ์กับไทยก็เป็นเรื่องปกติ นี่คือสาเหตุว่าทำไมเราถึงเพิ่มคนเดินทางไปประชุมครั้งนี้ นอกจากนี้ หัวข้อที่พูดคุยกันทั้งเรื่องค้ามนุษย์ การอพยพย้ายถิ่นฐาน การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ จึงจำเป็นต้องนำผู้เกี่ยวข้องไปด้วย

พล.ต.คงชีพกล่าวว่า อยากฝากไปถึงบุคคลที่พยายามนำเรื่องดังกล่าวมาเป็นประเด็น ไม่อยากให้มองในด้านลบ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามระเบียบข้าราชการและข้อบังคับของ ป.ป.ช.อยู่แล้ว ทั้งนี้เอกสารดังกล่าวไม่ใช่เอกสารลับ มีประกาศอยู่ในเว็บไซต์กรมบัญชีกลาง ไม่ว่าจะจัดซื้อจัดจ้าง ทำถนน ต้องลงรายละเอียดในกรมบัญชีกลางรวมถึงในหน่วยงานตัวเองทั้งหมดซึ่งเป็นมิติใหม่การบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบันและเป็นไปตามข้อบังคับของ ป.ป.ช.ที่ต้องเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบ ส่วนที่มีการเจาะจงเฉพาะคณะ พล.อ.ประวิตรนั้นเพราะมีทั้งคนรักและคนชังถือเป็นเรื่องธรรมดา

ลั่นเผด็จศึกรัฐตร. 'เทือก'สั่งยึดบช.น.ให้ได้ ชี้ทหารไม่อยู่ข้าง'ปู'

เผยแพร่: 3 ธ.ค. 2556 01:11 โดย: MGR Online

นายกฯ โผล่ สตช.หลังล่องหนทั้งวันที่1ธ.ค. ก่อนโผล่ที่สตช.ประชุมฝ่ายความมั่นคงแล้วให้ "ปึ้ง" คุม ศอ.รส.แทน "ประชา" อ้างผู้ชุมนุมยกระดับ ส่งผลกระทบภาพลักษณ์ประเทศต่อสายตาชาวโลก จึงต้องมีคนชี้แจง ด้าน"ประชา"บอกไม่เสียใจ ยันมีประชุมครม.ตามปกติ ชี้นายกฯ เจรจา"สุเทพ"เป็นความสำเร็จในระดับหนึ่ง ก่อนเจรจาเกิดขึ้นรอบสอง ขณะที่ "สุเทพ"ประกาศกลางเวทีชุมนุม ลั่นจบศึกไม่ขอกลับคืนเวทีการเมือง นี้ ประกาศเผด็จศึกตำรวจ สั่ง 7 โมงเช้าบุกยึดบช.น.ให้ได้ โฆษก ศอ.รส.ปฏิเสธคำสั่งเด้ง “แจ๊ด” พ้น ผบช.น.แค่ให้ “วรพงษ์” รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคงคุมกำลังแทน

เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้ (2 ธ.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เดินทางออกจากบ้านพัก มาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งถูกใช้เป็นศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ของรัฐบาล โดยเป็นการปรากฏตัวครั้งแรก หลังจากที่มีกระแสข่าวนายกฯ เดินทางไปต่างประเทศแล้ว จนกระทั่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข (กปปส.) ได้กล่าวบนเวทีเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า ได้พบกับนายกรัฐมนตรี พร้อมผู้นำเหล่าทัพ ที่ พล.ร.1

**เบื้องหลังส่ง"ปึ้ง"คุมศอ.รส.แทน"ประชา"

ต่อมาเวลา 11.30 น. พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ได้ออกมาแถลงข่าวว่า ขณะนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการยกระดับการชุมนุมขึ้น ในลักษณะที่มีความประสงค์ให้เปลี่ยนแปลงการใช้อำนาจรัฐ โดยไม่ใช่วิธีทางตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทำความเข้าใจกับต่างประเทศมากยิ่งขึ้น และเพื่อให้ชาวต่างประเทศได้รับรู้ และเข้าใจสถานการณ์ภายในประเทศ นายกรัฐมนตรี จึงมอบหมายให้ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล (รองนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 1 และรมว.ต่างประเทศ )มากำกับดูแลงาน ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบรัอย(ศอ.รส.) ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ

ด้านนายสุรพงษ์ กล่าวว่า ในฐานะเป็นผู้กำกับดูแล ศอ.รส. และการชี้แจงข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้นายกฯได้ปฏิบัติหน้าที่ด้านอื่นๆ ที่จะนำพาประเทศไทยให้เดินหน้าต่อไป ทั้งนี้ตนให้ความเคารพในสิทธิการแสดงออก หรือเรียกร้องภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่ควรให้การชุมนุมประท้วงสร้างความเสียหายต่อประเทศไทย โดยเฉพาะการปิดหน่วยราชการ กระทรวงต่างๆ และรัฐวิสาหกิจต่างๆ ทำให้ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามปกติได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกตัอง จึงขอให้ข้าราชการ และเจ้าพนักงานของรัฐวิสาหกิจ เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และรัฐบาลจะใช้ความอดทนจึงถึงที่สุด และยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี และการดำเนินการใดๆ ของรัฐบาลจะยึดแนวปฏิบัติตามหลักสากลกับผู้ชุมนุมประท้วง และยึดมั่นในข้อกฎหมาย บทบัญญัติภายใต้รัฐธรรมนูญ และรัฐบาลขอยืนยันว่า จะนำพาประเทศไทยกลับสู่ความสงบสุขโดยเร็ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเปลี่ยนตัวผู้กำกับดูแล ศอ.รส. เพราะมีปัญหาอะไรหรือไม่ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า นายกฯ มีเจตนาที่แน่วแน่ ที่จะสร้างความเข้าใจกับนานาประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพราะเราเป็นห่วงภาพความเชื่อมั่นกับชาวต่างชาติ เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม จึงเปลี่ยนให้ นายสุรพงษ์ รองนายกรัฐมนตรี อันดับ 1 รวมถึงรักษาการแทนกรณีที่ นายกฯไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ เนื่องจากเดินทางไปต่างประเทศ หรือไปราชการไปที่อื่นใด และไม่มีนัยยะอะไร ส่วนตนก็รับผิดชอบในเนื้องานบริหารราชการแผ่นดิน ตามที่นายกฯมอบหมาย โดยยังกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาความมั่นคง และ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เรื่องนี้ตนไม่เสียใจ เพราะตนก็ยังเป็นที่ปรึกษาอยู่ และไม่ใช่เพราะว่าตนไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การชุมนุมได้

เมื่อถามว่าที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม เปิดเผยว่า ได้รือกับนายกฯ พร้อมด้วย ผบ.เหล่าทัพ จริงหรือไม่ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลยื่นไมตรีไป ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง เพราะได้มีการพูดคุยระหว่างนายกฯ และนายสุเทพ โดยการประสานงานจากผู้บัญชาการทั้ง 3 เหล่าทัพ ซึ่งตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่มีการพูดคุกัน เพราะไม่มีสงครามใด การรบใดจะจบลงที่สนาม แต่ต้องจบลงบนโต๊ะด้วยการเจรจา ซึ่งการเจรจาครั้งนี้ ถือว่าเป็นเรื่องดี ส่วนจะมีเนื้อหาสาระที่สมบูรณ์ หรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่จะพูดคุยกันต่อไป ทั้งนี้ นายกฯได้แจ้งให้ทราบแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะเดินออกนอกกรอบรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามว่าประเด็นการเจรจา นายกฯได้นำมาหารือกับครม.หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า นายกฯได้แจ้งให้ครม.ทราบแล้ว ในที่ประชุม ซึ่งการดำเนินการใดๆ ต้องเป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถ้าอยู่นอกเหนือกฎหมาย มันไม่ใช่ และนายสุเทพ จะนำเอาสิ่งที่กฎหมายไม่รองรับ มาเป็นข้อยุตินั้น ไม่ถูกต้อง ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยต่อไป โดยมีผู้บัญชาการทั้ง 3 เหล่าทัพ เป็นคนกลาง

เมื่อถามว่า ถือว่ารัฐบาลปฏิเสธข้อเสนอที่นายสุเทพ เสนอใช่หรือไม่ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ข้อเสนอนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานที่กฎหมายรองรับ จึงจะเป็นข้อยุติ เพราะเราปกครองบริหารราชการแผ่นดินภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ส่วนการเจรจาร่วมกับ นายสุเทพ อีกครั้งเมื่อไรนั้น จะเป็นเรื่องที่นายกฯ ซึ่งจะดำเนินการโดย ผบ.เหล่าทัพ ส่วนจะสามารถสรุปได้ภายใน 2 วันนี้ หรือไม่ ก็สุดแท้แต่นายกฯ ที่จะดำเนินการ

เมื่อถามว่า การที่นายสุเทพปฎิเสธว่า จะไม่มีการเจรจาใดๆ รองนายกฯ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า คงไม่ใช่ เพราะความเป็นจริงสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะไม่สอดคล้องกับคำพูดทุกประการ เพราะทุกอย่างต้องจบลงด้วยการพูดคุยทุกครั้ง

เมื่อถามว่า หากนายสุเทพ มีการต่อรองให้ยกคดีกบฎออกไปหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับหลักฐาน และข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร ถ้าเข้าขั้นใครจะไปหลบเลี่ยงกฎหมายได้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ก็คือ ละเว้นตาม มาตรา 157

** ยันนายกฯพร้อมเข้าถวายสัตย์ฯ

เมื่อถามว่า รัฐบาลจะจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู้หัวได้ที่ไหน รองนายกฯ กล่าวว่า มี เพราะเป็นงานพระราชพิธีที่สำคัญ ทุกเรื่องต้องดำเนินไปตามกำหนดการที่มีอยู่ เพื่อเป็นการถวายราชสดุดี รัฐบาลและการทำงานของข้าราชการ ต้องมีต่อไป ทุกคนต้องมาปฏิบัติหน้าที่เพื่อบริการพี่น้องประชาชน และการถวายสัตย์ปฏิญาณตน ของนายกฯ ก็ยังต้องมีอยู่ เพราะเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่ขณะนี้ ทั้งนี้ถ้าเป็นไปได้ ตนอยากจะขอเรียกร้องให้ผู้ชุมนุม หยุดชุมนุม เพื่อที่การพูดคุยจะได้ชุมนุมต่อไป เมื่อเริ่มมีการพูดคุย ก็เป็นเรื่องที่ดีความราบรื่นก็จะเกิดขึ้น พี่น้องประชาชนจะได้ไม่ต้องมาขัดแย้งและไม่ต้องมาเผชิญหน้ากันอย่างนี้

พล.ต.อ.ประชา กล่าวด้วยว่า ในวันนี้ (3ธ.ค.) ยังคงมีการประชุมครม.ตามเดิม แต่ยังไม่ยืนยันเรื่องสถานที่ แต่จะประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล หรือไม่ ขออย่าไปยึดติดกับสถานที่อาคาร ขอให้เป็นกรณีที่รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้ อยู่โดยชอบตามกฎหมาย ส่วนสถานที่ที่ไหนเราต้องดูสถานการณ์ เข้าไปแล้วไม่ปลอดภัย ก็ใช้สถานที่อื่นได้ และการประชุมก็ขึ้นอยู่กับนายกฯ เป็นคนกำหนด

ขณะที่นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนรับผิดชอบ กำกับดูแล ศอ.รส. ก็พร้อมที่จะพูดคุยกับ นายสุเทพ หากนายสุเทพ ไม่ต้องการคุยกับนายกฯ เพราะเราต้องการให้ความสงบสุขกลับสู่ประเทศไทย

** พท.แถลงการณ์อัด"สุเทพ"ฝ่าฝืนกม.

ด้านพรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แถลงเมื่อช่วงค่ำวานนี้ (1 ธ.ค.) และการนำมวลชนยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง โดยใช้ความรุนแรง และทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ตลอดจนใช้กำลังข่มขู่คุกคามบีบบังคับสื่อมวลชนให้เสนอข่าวของตน การกระทำดังกล่าวละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ใช่อารยะขัดขืน สันติ อหิงสา หรือสงบอีกต่อไป

ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้แกนนำผู้ชุมนุม และผู้ชุมนุมให้ยุติการยึดอาคารและสถานที่ราชการ และยุติการใช้ความรุนแรงทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเห็นว่าการดำเนินการของนายสุเทพ และพวกเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพื่อให้ตนเองและพวกได้มาซึ่งอำนาจโดยที่ประชาชนไม่ได้เลือกตั้งและเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและกฎหมายอาญา ฐานก่อกบฏที่มีโทษถึงประหารชีวิต อีกทั้งการกระทำดังกล่าวเป็นการข่มขืนใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงใดๆนอกบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

"พรรคเพื่อไทยเห็นว่า การแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองนั้น ต้องกระทำโดยการพูดคุยหาทางออกระหว่างฝ่ายต่างๆ โดยสันติวิธี นอกจากฝ่ายที่มีความเห็นขัดแย้งกันแล้ว ยังต้องรับฟังความเห็นของคนไทยผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ทั้งประเทศเพื่อหาทางออกให้กับประเทศร่วมกันอีกด้วย" แถลงการณ์ ระบุ

การที่นายสุเทพ กล่าวหาว่า รัฐบาลขาดความชอบธรรม เพราะไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญนั้น พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยประเด็นที่มาของส.ว. ในวันที่ 20 พ.ย.56 เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่จะรับคดีไว้พิจารณา และวินิจฉัยเช่นนั้น ซึ่งเป็นการประกาศว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการรับและพิจารณาคดีนี้เป็นการเฉพาะเจาะจง และมิใช่เป็นการประกาศไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลอื่นเป็นการทั่วไป

พรรคเพื่อไทย เห็นว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ แต่การยึดสถานที่ราชการ ก่อการจลาจล ยึดสถานีโทรทัศน์ ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อยึดทำเนียบรัฐบาล มิใช่การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ แต่เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ และทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น นายสุเทพจึงไม่มีความชอบธรรมใดๆเลยที่จะกล่าวอ้างว่าการกระทำของตนและพวกเป็นการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ในทางตรงข้ามศาลได้ออกหมายจับนายสุเทพไปแล้วจากการละเมิดกฎหมายบ้านเมือง

ส่วนกรณีที่นายสุเทพ สั่งให้ข้าราชการหยุดงานในวันที่ 2 ธ.ค.นั้น การกระทำของนายสุเทพ เป็นคำสั่งที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้ข้าราชการไม่ต้องปฏิบัติตาม เพราะนายสุเทพไม่มีอำนาจใดๆ ตามกฎหมาย อีกทั้งเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาฐานฆ่าคนตายและคดีอุกฉกรรจ์อื่นๆ จากการกระทำในครั้งนี้

การที่นายสุเทพไปพบนายกรัฐมนตรีต่อหน้าผู้นำเหล่าทัพนั้นแสดงให้เห็นว่านายกฯ ประสงค์ที่จะแก้ปัญหาโดยการพูดคุยกันอย่างสันติวิธี และขอให้นายสุเทพหยุดทำร้ายประเทศไทย การพูดคุยกันมิได้เปลี่ยนแปลงสถานะนายสุเทพจากผู้ต้องหาคดีอาญาที่ต้องการล้มล้างรัฐบาลแต่อย่างใด แต่เป็นที่ชัดเจนต่อมาว่านายสุเทพ ยังประสงค์ที่เดินหน้ากระทำความผิดอาญาโดยการใช้กำลังล้มรัฐบาลต่อไป

พรรคเพื่อไทย ขอสนับสนุนแนวทางการทำงานของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม เพื่อพิทักษ์กฎหมายและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้มั่นคงสืบไป ***โยก “แจ๊ด” พ้นม็อบ ตั้ง “วรพงษ์” คุมแทน

วันนี้ (2 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ศอ.รส.เปิดเผยว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศอ.รส.มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง เข้าไปกำกับการบัญชาการกองกำลังของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.ที่เป็นผบ.กองกำลัง อีกชั้นหนึ่ง ไม่ได้มีการปลด พล.ต.ท.คำรณวิทย์ จากตำแหน่ง ผบช.น.หรือ ผบ.กองกำลังแต่อย่างใด แค่ให้ พล.ต.อ.วรพงษ์ ไปคุมอีกชั้นเท่านั้น นอกจากนี้ ผอ.ศอ.รส.ยังมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ณ ที่ทำการทางยุทธการ (ทก.) สะพานชมัยมรุเชฐ จาก พล.ต.ต.ชยุต รัตนอุบล ผบก.น.9 เป็น พล.ต.ต.คเชนทร์ คชพลายยุกต์ รอง ผบช.ภ.1 ทำหน้าที่บัญชาการเหตุการณ์ที่ ทก.ดังกล่าวแทน

***"เทือก"ชี้ทหารไม่อยู่ข้างรัฐบาลแล้ว

เวลา 20.30 น. วานนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กล่าวที่เวทีศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ โดยขอบคุณมวลชนที่ชุมนุมอย่างสันติ อหิงสา ข้าราชการไม่ไปทำงาน วันนี้เป็นวันแรก และต้องหยุดต่อไป ต้องไม่เป็นเครื่องมือของระบอบทักษิณอีกต่อไป

นอกจากนี้ มวลชนที่ไปสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ก็มีการตำหนิจากพวกโลกสวย ที่หาว่าเราไปคุกคามสื่อ กระทบเสรีภาพสื่อ จึงขอบอกว่า สื่อในประเทศไทยเป็นสื่อที่ดี มีเสรีภาพ มีอุดมการณ์ แต่บริษัทที่สื่อมวลชนสังกัดนั้น คิดเรื่องธุรกิจ ที่ต้องทำกำไร ต้องอยู่ได้ จึงไปเข้าทางระบอบทักษิณ ที่จะให้ไปรับใช้เขา ความเป็นกลางของสื่อจึงถูกบิดเบือนไป เสนอแต่ข่าวฝ่ายรัฐบาลในทางบวก เราจึงจำเป็นต้องไปบอกกล่าว โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ ไปขอความเป็นธรรม อย่าปิดหูปิดตาคนทั้งประเทศ ไปแต่ละแห่งเราก็ไปพูดจาด้วยดี ไม่มีคุกคาม หรือทำข้าวของเสียหาย เจรจาเสร็จก็เดินทางกลับ เรื่องนี้หากจะตำหนิ ขอให้ตำหนิมาที่ตน เพราะตนเป็นผู้สั่งการ และจบจากงานนี้ ตนจะไม่เป็นนักการเมืองอีกแล้ว ไม่ลงเลือกตั้ง ไม่กลับไปพรรคประชาธิปัตย์อีกแล้ว จะได้ไม่ถูกครหาว่า สู้นอกสภา เพื่อต้องการกลับไปเป็นนักการเมืองอีก

วันนี้ มีตัวแปร 2 ประการที่เอื้อต่อระบอบทักษิณ คือ สื่อมวลชน กับข้าราชการ จึงอยากบอกกับข้าราชการว่า ถึงเวลาเลือกข้างได้แล้วว่าจะเลือกข้างระบอบทักษิณ หรืออยู่ข้างประชาชน ไม่มีเวลาคิดมาอีกแล้ว

นายสุเทพ กล่าวถึงการไปพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อหน้า ผบ.เหล่าทัพ ซึ่งทหารพูดชัดเจนว่า ทหารยืนอยู่ข้างประเทศไทย ข้าราชการน่าจะเข้าใจในสิ่งที่ตนส่งสัญาณไป จึงขอบอกอีกครั้งว่า ที่ทหารบอกว่ายืนอยู่ข้างประเทศไทยนั้น พูดกับ 2 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาลที่โมฆะไปแล้ว กับตนที่เป็นตัวแทนจากภาคประชาชน การที่ทหารไม่ได้บอกว่ายืนอยู่ข้างรัฐบาล แต่บอกว่ายืนอยู่ข้างประเทศไทย นั่นคือการบอกว่าเขายืนอยู่ข้างประชาชน ดังนั้นไม่มีทางที่ทหารจะมาปราบปรามประชาชนให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ อย่างแน่นอน

**นัด7โมงเช้าบุก บชน.ล้างบาง"ขี้ข้าแม้ว"

แต่ที่รัฐบาลยังอยู่ได้ถึงวันนี้ ก็เพราะตำรวจเลวบางคนที่ยังรับใช้ระบอบทักษิณ ตำรวจพวกนี้ที่สร้างปัญหาให้เรา ยิงแก๊สนำตาใส่เรา ตำรวจพวกนี้คือพวกที่ร่วมมือกับพวกเสื้อแดง ที่ฆ่านักศึกษาในรามคำแหง ตนเคยบอกเขาดีๆให้อยู่ข้างประชาชน แต่คำตอบที่ได้มาคือ แก๊สนำตา พรุ่งนี้เราจะไปให้มันยิงอีก ต้องยึดกองบัญชาการตำรวจนครบาลให้ได้ รวมมวลชนทุกสายยึด บชน. มาเป็นของประชาชนให้ได้ ไปด้วยมือเปล่า พิสูจน์กันให้เห็นถึงพลังของประชาชน

นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า มีกระแสข่าวว่า ตำรวจเตรียมจะมาจับตน หลังจากที่ได้หมายศาลว่าเป็นกบฏ ก็ขอให้มาจับเลย เพราะถ้าตนถูกจับ ก็จะมีคนมาเป็นผู้นำมวลชนแทน ตนจะไม่หนีไปไหนเหมือนทักษิณ เสร็จภารกิจนี้แล้วจะไปมอบตัวสู้คดี

ถ้าการต่อสู้ชนะครั้งนี้ งานสำคัญของการปฏิรูปประเทศไทย คือ การปฏิรูปโครงสร้างตำรวจทั้งประเทศ ให้เป็นตำรวจของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ต้องวิ่งเต้นใช้เงินซื้อตำแหน่ง ไม่ใช่มีวันนี้ เพราะพี่ให้ จึงขอบอกพี่น้องตำรวจทั้งหลายว่าถึงเวลาถอดเครื่องแบบแล้วออกมายืนอยู่เคียงข้างประชาชน ใครไม่ถอดเครื่องแบบ เราจะไปถอดให้ เราจะไปปลดแอกให้ตำรวจไม่ต้องเป็นขี้ข้าทักษิณ ให้มาเป็นตำรวจของประชาชนอย่างสมบูรณ์แบบ

"วันนี้ เวลา 07.00 น. เราไปแต่เช้า เจอกันที่บชน.และขณะนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. มีความพยายามใส่ร้ายป้ายสีประชาชน โดยการเผา กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อจะกล่าวหามวลชนทำให้การเคลื่อนไหวในวันนี้ต้องยุติก่อนค่ำ เพื่อจะบุกยึดครั้งใหม่ ในวันนี้ และบ่าย 3 โมงก็คิดว่าจะยึดได้ และถ้ามีกำลังมากพอเราก็จะไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย เพื่อปลดแอกตำรวจากระบอบทักษิณ แต่ถ้ายังตั้งตัวเป็นศัตรูกับประชาชน จะไม่สามารถแต่งเครื่องแบบได้อีกต่อไป "

นายสุเทพ กล่าวว่า ตนสงสัยว่า ทำไมตำรวจนครบาลไม่ไปให้ความช่วยเหลือนักศึกษาที่รามคำแหง แถมยังยิงแก๊สนำตาใส่ประชาชน ดังนั้นเราต้องจัดการกับตำรวจนครบาลก่อน

** วางตัว"ปึ้ง"เป็นนายกฯหาก"ปู"ลาออก

นายสุเทพ ยังกล่าวถึง กรณีนายกฯ ที่ออกมาแถลง ทีวีทุกช่อง ทำการถ่ายทอด ทั้งที่การพูดไม่มีสาระอะไรเลย ได้แต่หลอกลวงไปวันวัน ดังนั้นอยากให้ประชาชนตอบตัวเองให้ได้ว่า การออกมาต่อสู้ครั้งนี้ มาเพื่ออะไร ถ้าเพื่อต่อสู้กับระบอบทักษิณ ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด สู้ให้ชนะให้ได้ ไม่ใช่เขายุบสภา แล้วเราจะหยุด เพราะถ้าเลือกตั้งใหม่ มันก็ซื้อเสียง เข้ามาอีก ก็เข้าวงจรอุบทว์เดิมๆอีก หรือ หากนายกฯลาออก ก็ยังรักษาการอยู่ แล้วมันก็เอาพวกมันมาเป็นนายกฯต่อ ขอให้จับตานายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ให้ดี เพราะมันเป็นสายตรงจากดูไบ ถ้านายกฯลาออก มันก็จะมาเป็นนายกฯแทน ดังนั้นเราต้องสู้ให้ถึงเป้าหมาย ขอให้นิสิต นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ หยุดงานต่อไป จนกว่าเราจะชนะ คือ ล้างระบอบทักษิณให้สิ้นซาก แล้วเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ในตอนท้าย นายสุเทพ ได้เชิญชวน ผู้ที่มีบทบาทในสังคม โดยเฉพาะนักการเมืองขอให้เลือกข้างมายืนข้างประชาชนได้แล้ว และขอฝากไปถึง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ให้ตัดสินใจจะรับใช้ทักษิณต่อไป หรือจะมาอยู่ข้างประชาชน ขอให้รีบตัดสินใจ เช่นเดียวกับประชาชนในต่างจังหวัด ก็ขอให้รับตัดสินใจมายืนข้างประชาชน และวเราจะได้รน่วมปฏิรูปประเทศไทยไปด้วยกัน

**หมายจับ“เทือก”ข้อหากบฏแผ่นดิน

วานนี้ (2 ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก มีรายงาน ว่า พ.ต.อ.พงษ์ สังข์มุรินทร์ ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง ได้เดินทางมายื่นขอหมายจับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ในข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่อง ในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้าหรือผู้มีหน้าที่สั่งการ และเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแต่ไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 215 ประกอบ ม.216 ต่อมา ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ออกหมายจับ

** หมายจับแกนนำคปท.มั่วสุมเกิน10คน

ต่อมา เวลา 13.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 812 ไต่สวนคำร้องเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง กรณี พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล้า พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญพิเศษ สน.พญาไท ได้ยื่นคำร้องขออนุมัติออกหมายจับ นายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษาเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.), นายอุทัย ยอดมณี, นายรัชตชยุต หรือ อมร ศรีโยธินศักดิ์ และ นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. ในข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นหรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครอง ซึ่งเป็นความผิดฐานบุกรุก โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมีอาวุธในเวลากลางคืนฯ ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 215, 358 และ 365 กรณีที่นายนิติธร กับพวก พามวลชนเข้าไปในกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา

โดย พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ ได้เตรียมพยานไว้ไต่สวน 7 ปาก และจะขอเปิดคลิปวิดีโอ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ศาลเห็นว่าพยานเอกสารที่ส่งให้ศาลนั้น เพียงพอสามารถที่จะพิจารณาได้แล้ว โดยไม่จำต้องเปิดคลิปวิดีโอ และให้ พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ เบิกความเพียงปากเดียว ระบุว่า นายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษา คปท. ได้นำประชาชนบุกรุกกระทรวงการต่างประเทศ แม้จะได้นำประชาชนออกมาแล้ว แต่ก็ยังไปชุมนุมที่หน้ากองทัพบก และทำเนียบรัฐบาล เห็นว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน แม้ที่ผ่านมาตำรวจจะสามารถประสานงานกับ 4 แกนนำ คปท.ได้ แต่ก็เป็นการติดต่อประสานงาน ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ที่แยกอุรุพงษ์ แต่ภายหลังจากที่เคลื่อนย้ายมาชุมนุมยังเวทีราชดำเนิน ก็ไม่ได้มีการติดต่อประสานงานกันแล้ว

ขณะเดียวกันศาลก็ได้สอบถาม น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความของผู้ต้องหาที่ยื่นคัดค้านการออกหมายจับ ถึงพฤติการณ์จนเสร็จสิ้นแล้ว จึงนัดฟังคำสั่งในวันเดียวกัน

ต่อมาเวลา 17.10 น. ศาลได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับ นายนิติธร ล้ำเหลือ, นายอุทัย ยอดมณี, นายรัชตชยุต หรือ อมร ศรีโยธินศักดิ์ และ นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. ในข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นหรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครอง ซึ่งเป็นความผิดฐานบุกรุก โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมีอาวุธในเวลากลางคืนฯ ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 215, 358 และ 365 ประกอบมาตรา 362 เนื่องจากปรากฏพฤติการณ์ว่าผู้ต้องหากับพวกได้บุกเข้าไปยังกระทรวงการต่างประเทศจริง และทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ซึ่งเป็นการกระทำผิดอาญา ที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป จึงอนุญาตให้ออกหมายจับตามคำร้อง.