การท องเท ยว เพ อ ก ฬา ม ล กษณะ

การวิจัยเรื่องการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวทางบกเชื่อมโยงเมืองเสียมเรียบกับจังหวัดสระแก้ว สุรินทร์ และศรีสะเกษ

การวิจัยเรื่องการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวทางบกเชื่อมโยงเมืองเสียมเรียบกับจังหวัดสระแก้ว สุรินทร์ และศรีสะเกษ

บทคัดย่อ การวางแผนและพัฒนาการท่องเที่ยวทางบกเชื่อมโยงประเทศไทย กับประเทศกัมพูชา การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ (1) เพื่อสร้างแผนการท่องเที่ยวให้กับ 3 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา : สระแก้ว สุรินทร์ และศรีสะเกษ (2) เพื่อพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อเชื่อมโยง 3 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา กับจังจังหวัดสียมเรียบของกัมพูชาโดยผ่านจุดผ่านแดนถาวรของทั้ง 3 จังหวัด รวมถึงศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในบริเวณจุดผ่านแดนทั้ง 3 แห่ง และ (3) เพื่อศึกษาถึงความเป็นไปได้ที่จะพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวหรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวใหม่ให้เกิดขึ้นในชุมชนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับจุดผ่านแดนในจังหวัดทั้ง 3 การเก็บรวบรวมข้อมูลจะกระทำใน 5 ระดับได้แก่ (1) ในระดับประเทศทำการศึกษาแผนและนโยบายทางด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยจากแผนบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2548-2551 (2) ในระดับจังหวัดศึกษาประวัติศาสตร์ของทั้ง 3 จังหวัด ทรัพยากรทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยจากแผนบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายและแผนยุทศาสตร์ และนโยบายการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับประเทศกัมพูชา (3) ในระดับชุมชนท้องถิ่นศึกษาถึงทรัพยากรทางการท่องเที่ยวที่ชุมชนเห็นว่ามีศักยภาพสูง วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาสและอุปสรรคของแหล่งท่องเที่ยวในแต่ละชุมชน (4) ในระดับชายแดนศึกษาถึงสภาพทางกายภาพบริเวณจุดผ่านแดนทั้ง 3 แห่ง และความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางผ่านจุดผ่านแดนทั้ง 3 (5) ในจังหวัดเสียมเรียบของกัมพูชาศึกษาถึงพฤติกรรมการเดินทางเข้าออกขอองนักท่องเที่ยวในจังหวัดเสียมเรียบและความสนใจที่จะไปเยือนภูมิภาคต่างๆ ในประเทศไทย ความรู้เกี่ยวกับช่องจอมและช่องสะงำ สรุปผลการศึกษาได้ว่า (1) รัฐบาลไทยมีนโยบายที่ชัดเจนในการที่จะส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยวเชื่อมโยงประเทศไทยกับประเทศที่อยู่โดยรอบประเทศไทย ในส่วนของประเทศกัมพูชารัฐบาลไทยให้ความช่วยเหลือในการสร้างเส้นทางเชื่อมโยงช่องสะงำจังหวัดศรีสะเกษกับเมืองอันลองเวง เป็นถนนลาดยางและซ่อมแซมถนน และสะพานจากอันลองเวงถึงเสียมเรียบ (2) จังหวัดสระแก้วเป็นจังหวัดที่มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนในแต่ละปีมากกว่าจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ จุดผ่านแดนถาวรที่บ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าออกแต่ละนับล้านคน จังหวัดสระแก้วเน้นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ แต่ไม่ปรากฏนโยบายการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับเสียมเรียบอย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวต่างชาติที่แวะท่องเที่ยวในจังหวัดสระแก้วสนใจแหล่งท่องเที่ยวประเภทประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากกว่าจะสนใจในแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ (3) ในด้านความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวต่อการเดินทางข้ามจุดผ่านแดนที่อรัญประเทศ อรัญประเทศ อยู่ในระดับพอใจปานกลางและเมื่อเดินทางเข้ามาฝั่งไทยแล้วส่วนใหญ่จะเดินทางกลับ เข้ากรุงเทพฯ ทันที (4) จังหวัด สุรินทร์มีการจัดทำแผนแม่บทและคู่มือพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดอย่างเป็นรูปธรรม มีนโยบายที่ชัดเจนในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างจังหวัดสุรินทร์กับจังหวัดเสียมเรียบของกัมพูชา จังหวัดสุรินทร์มีทรัพยากรทางการท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลาย และในแง่ของปริมาณมีมากกว่าจังหวัดสระแก้วและจังหวัดศรีสะเกษ แต่ส่วนใหญ่มีศักยภาพปานกลาง แต่เอกลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวที่โดเด่นของสุรินทร์คือ หมู่บ้านช้าง และงานแสดงช้างประจำปีของจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดยังมีชื่อเสียงในเรื่องของผ้าไหมและเครื่องเงิน แต่กระนั้นสุรินทร์กลับมีผู้เยี่ยมเยือนน้อยกว่าสระแก้วและศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์มีจุดผ่านแดนถาวรที่ช่องจอมที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี และมีการพัฒนาที่ดีกว่าช่องจอมและยังไม่มีความแออัดเหมือนที่บ้านคลองลึก แต่ปัญหาในการเชื่อมโยงเส้นทางกับเสียมเรียบคือ เส้นทางในฝั่งกัมพูชายังไม่ได้รับการพัฒนา และระยะทางที่ไกลจากเสียมเรียบมากกว่าช่องทางอื่น (5) จังหวัดศรีสะเกษยังไม่มีการทำแผนยุทธศาสตร์ทางด้านการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม ยังไม่มีการระบุเป็นหลักฐานว่ามีนโยบายด่านการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับประเทศกัมพูชา แต่ในทางปฏิบัติทางจังหวัดมีการกระชับความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับจังหวัดเสียมเรียบของกัมพูชามีการเยี่ยมเยือนกันอย่างเป็นทางการระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดของจังหวัดทั้ง 2 จังหวัดศรีสะเกษมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมน้อยแห่งกว่าจังหวัดสุรินทร์และมีศักยภาพปานกลางแต่มีจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำซึ่งอยู่ใกล้กับเสียมเรียบมากกว่าจุดผ่านแดนถาวรอีก 2 แห่ง แต่เป็นจุดผ่านแดนที่มีการพัฒนาน้อยที่สุดและมีนักท่องเที่ยวใช้น้อยที่สุด (6) นักท่องเที่ยวต่างชาติในเสียมเรียบส่วนใหญ่เดินทางเข้าสู่เสียมเรียบทางอากาศ รองลงมาเดินทางทางบกโดยผ่านประเทศไทย ที่บ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ ส่วนใหญ่ของนักท่องเที่ยวมีความตั้งใจที่จะไปเยือนประเทศไทยด้วย แหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยที่เป็นที่นิยมคือ สถานที่ตากอากาศชายทะเลทางภาคใต้และภาคตะวันออก รองลงมาคือ ภาคเหนือ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัดจุดผ่านแดนช่องจอมจังหวัดสุรินทร์ ส่วนช่อง สะงำที่ศรีสะเกษยังเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยที่สุด (7) ทั้ง 3 จังหวัดควรพัฒนาในเรื่องของยานพาหนะเชื่อมโยงแหล่งชุมชนนักท่องเที่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวหลักของจังหวัด พร้อมทั้งพัฒนา สิ่งอำนวยความสะดวกประเภทห้องน้ำ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกในแหล่งท่องเที่ยว และเพื่อการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับเสียมเรียบ ควรจัดให้มีรถโดยสารระหว่างประเทศวิ่งเชื่อมโยงระหว่างจุดผ่านแดนทั้ง 3 แห่งกับจังหวัดเสียมเรียบ

ผลการประเมินการรั่วไหลทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยในภาพรวม พบว่าธุรกิจที่เก ี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว มีส่วนรั่วไหลทางการท่องเที่ยวร้อยละ 28.37 กล่าวคือ เมื่อเกิดรายได้จากการท่องเที่ยว 100 บาท จะสูญเสียรายได้ จากการนำำเข้้าวััตถุุดิิบจากต่่างประเทศ28.37 บาท โดยภาพรวมรายได้้ที่ ่�รั่่�วไหลมาจากการนำำเข้้าเนื้้�อสััตว์์การใช้้บริิการ สถาบัันการเงิิน การใช้้บริิการการค้้าส่่งการใช้้บริิการอื่่�น ๆและการใช้้บริิการการค้้าปลีีกเป็็นหลััก ซึ่่�งคิิดเป็็นรายได้รั่่้�วไหล ทางการท่่องเที่่�ยวของปีีพ.ศ. 2559 จะเท่่ากัับ 714,672.2 ล้้านบาท โดยธุุรกิิจที่่�เกี่่�ยวข้อ้งกัับการท่่องเที่่�ยวมีี 3 ประเภท ธุุรกิิจหลััก ได้้แก่่ 1) ธุุรกิิจที่ ่� พัักมีีรายได้้รั่่�วไหลประมาณ 134,377.2 ล้้านบาท (ร้้อยละ 20.34) 2) ธุุรกิิจอาหารและ เครื่องด ื่ ม มีรายได้รั่วไหลประมาณ 184,803.3 ล้านบาท (ร้อยละ 35.88) และ 3) ธุรกิจจำหน่ายสินค้าและให้บริการ มีรายได้รั่วไหลประมาณ 65,569.4 ล้านบาท (ร้อยละ 27.57) อย่่างไรก็็ตาม สััดส่่วนปริิมาณรายได้้รั่่�วไหลของแต่่ละธุุรกิิจจะมีีความแตกต่่างกัันออกไปขึ้้�นอยู่่กัับประเภท ของธุุรกิิจ ลัักษณะของแหล่่งท่่องเที่่�ยว สััดส่่วนการนำำเข้้าผลผลิิต โครงสร้้างการผลิิต และกลุ่่มนัักท่่องเที่่�ยวหลััก ดัังนั้้�น จึึงมีีความจำำเป็็นอย่่างยิ่่�งที่ ่� ต้้องกำำหนดแนวทางต่่าง ๆ เพื่ ่� อลดสััดส่่วนรั่่�วไหลทางการท่่องเที่่�ยวให้้ลดลง โดยผ่่าน การจัดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ให้มีกระแสของการใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นสำคัญหรือเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม กับวัตถุดิบจากต่างประเทศ เช่น การสร้างอัตลักษณ์ของสินค้าและบริการในแต่ละแหล่งท่องเที่ยวไทย การสนับสนุน ให้ใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบในประเทศไทยก็จะส่งผลให้ส่วนรัวไหลข่องรายได้ลดลงและยังช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ มาสู่คนไทยมากยิ่งข ึ้ น โดยภาพรวม รายได้ที่่รั่่ ้ วไหลมาจาก การนำำเข้้าเนื้้อสััตว์์ การใช้้บริิการสถาบัันการเงิิน การใช้้บริิการการค้้าส่่ง การใช้้บริิการอื่่น ๆ และการใช้้บริิการการค้้าปลีีกเป็็นหลััก ซึ่่งคิิดเป็็นรายได้รั่่ ้ วไหลทางการท่่องเที่่ยว ของปีี พ.ศ. 2559 จะเท่่ากัับ 714,672.2 ล้้านบาท 051

จ�ำนวนการจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญในการสร้างอาชีพและเพิ่มโอกาสในการจ้างงานเช่นกัน อ้างอิงจากบัญชี ประชาชาติด้านการท่องเที่ยว (Tourism Satellite Account : TSA) อัตราการจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการ ปรับตัวสูงข ึ้ นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีพ.ศ. 2553 ในขณะที่ระหว่างปีพ.ศ. 2553 - 2562 การจ้างงานทั้งหมดในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตที่ลดลงร้อยละ1.1ของการจ้างงานทงหมดในประเ ั้ทศไทยโดยในปีพ.ศ.2562 มการจ้างงานใน ีอุตสาหกรรม การทอ่งเที่ยวทงสิ ั้น้ 4,372,304คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ11.6ของการจ้างงานทงหมดในประเ ั้ทศไทย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย มีเพียง 54 สถาบันเท่านั้นที่มีหลักสูตรการเรียนการสอนหรือสาขาที่เก ี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว คิดเป็นเพียงร้อยละ 34.8 จากมหาวิทยาลัยทั้งหมดของประเทศไทย และไม่มีสถาบันใดที่ติด 50 อันดับ มหาวิทยาลัยที่มีศักยภาพด้านหลักสูตร การท่องเที่ยวและการโรงแรมของโลกโดยการจัดอันดับของ QS World University Ranking ด้วยเหตุนี้ การพัฒนาสถาบัน การศึกษาที่เน้นเฉพาะเจาะจงด้านการท่องเที่ยวทั้งระบบอย่างครบวงจรจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก รูปที่ 2-12 : การจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประเทศไทย + ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยไมมีสถาบันที่มุงเนนดาน การทองเที่ยวอยางครบวงจร มีเพียง 54 สถาบัน ที่มีการสอนหลักสูตรที่เกี่ยวของกับการทองเที่ยว คิดเปนเพียง 34.8% จากมหาวิทยาลัยทั้งหมด ในประเทศไทย โดยเปนมหาวิทยาลัยราชภัฏถึง 18.5% + ผลักดันการจัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรการทองเที่ยว เพื่อรองรับการดําเนินงานตามวัตถุประสงค ขอตกลงการยอมรับมาตรฐานวิชาชีพอาเซียน (Mutual Recognition Arrangement - MRA) การจางงานในอุตสาหกรรมการทองเที่ยว และสัดสวนตอการจางงานทั้งหมดในประเทศ 10,000,000 ป 2553 ป 2554 ป 2555 ป 2556 ป 2557 ป 2558 ป 2559 ป 2560 ป 2561 ป 2562 ป 2563 20,000,000 30,000,000 40,000,000 50,000,000 12.0% 11.5% 11.0% 10.5% 10.0% 9.5% 9.0% หนวย : คน หนวย : สัดสวนจางงานทองเที่ยวตอทั้งประเทศ (%) 10.3% 10.2% 10.7% 10.6% 10.7% 11.0% 11.3% 11.5% 11.6% 11.6% 11.6% จำนวนการจางงานในอุตสาหกรรมการทองเที่ยว การจางงานทั้งหมด อัตราการจางงานในอุตสาหกรรมการทองเที่ยว + ในป พ.ศ. 2563 มีการจางงานในอุตสาหกรรมการทองเที่ยว 4,372,304 คน คิดเปน 11.6% ของการจางงานทั้งหมด + ระหวางป พ.ศ. 2553 - 2563 การจางงานในอุตสาหกรรมการทองเที่ยวไทย มีการเติบโตอยางตอเนื่องที่ 1.31% ในขณะที่การจางงาน ทั้งหมดในประเทศลดลง แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 052

จ�ำนวนที่พักหนาแน่นในพื้นที่ท่องเที่ยวส�ำคัญ การแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่ทวีความรุนแรงข ึ้ น ส่งผลให้เกิดการกดดันราคาห้องพักในบางพื้ นที่ ในระหว่างปีพ.ศ. 2557 - 2561 ธุรกิจโรงแรมและที่พักระดับกลางและราคาประหยัด (Midscale Hotels และ Budget Hotels) มีสัดส่วน ของตลาดรวมกันมากกว่าร้อยละ 64 โดยมีอัตราการเติบโตสูงกว่าร้อยละ 10 ในขณะที่โรงแรมระดับหรู (Luxury Hotels) มีอัตราการเติบโตเพียงร้อยละ6และมีสัดส่วนของตลาดลดลงจากร้อยละ40ในปีพ.ศ.2557เป็นร้อยละ35ในปีพ.ศ.2561 อันเป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) การเพิ่มข ึ้ นของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชีย ซ ึ่ งมีงบประมาณในการเดินทาง ท่องเที่ยวน้อยกว่านักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เน้นท่องเที่ยวแบบประหยัด 2) การเปิดรับ เทคโนโลยและแพลตี ฟอร์มดิจิทัลด้านการทอ่งเที่ยวซงช่วยให้นัก ึ่ ทอ่งเที่ยวสามารถเข้าถึงโรงแรมและที่พักในแต่ละระดับราคา ได้้สะดวกมากยิ่่�งขึ้้�น โดยเฉพาะกัับกลุ่่มนัักท่่องเที่่�ยวรุ่่นใหม่ที่่ มีี่� งบประมาณการท่่องเที่่�ยวจำำกััด นอกจากนี้้�ประเทศไทยยัังมีีที่พั ่� ัก ราคาประหยััดที่่�ไม่่ได้้จดทะเบีียนอย่่างถููกต้้องจำำนวนมาก นำำ ไปสู่่จำำนวนห้้องพัักที่ ่� สููงขึ้้�นจนเกิิดภาวะอุุปทานห้้องพัักมากกว่่า ความสามารถในการรองรัับของพื้้�นที่ ่� (Oversupply) เนื่ ่� องจากเกิิดอุุปทานห้้องพัักที่่�ขยายตััวอย่่างรวดเร็็ว แต่่มีีอุุปสงค์์ของ นัักท่่องเที่่�ยวที่่�ชะลอตััวลง รูปที่ 2-13 : ภาวะอุปทานห้องพักล้นเกิน 1 อัตราการเขาพักขยายตัวชะลอลงในชวงป พ.ศ. 2559 - 2563 2554 - 2558 จำนวนหองพักแรม 2559 - 2563 อัตราการเขาพักแรม 2.3% 10.5% 4.7% 4.9% + การขยายตัวของอัตราการเขาพักเขาใกลจุดอิ่มตัว ในชวงป พ.ศ. 2559 - 2563 จํานวนหองพักแรมขยายตัว เฉลี่ย 4.7% ตอป + เทียบกับชวงป พ.ศ. 2554 - 2558 ที่อัตราการเขาพักแรม ของนักทองเที่ยวขยายตัวมากกวาจํานวนหองพักแรม + ระดับราคาหองพักเฉลี่ยของหองที่มีคนเขาพัก (Average Daily Room Rate : ADR) ขยายตัวลดลงตอเนื่อง จากป 2560 ที่ขยายตัว 22% เหลือเพียง 1% ในป 2563 + รายรับของโรงแรม (Revenue Per Available Room : RevPAR) มีอัตราการขยายตัวลดลงจาก 25% เหลือเพียง 1% ในชวงเวลาเดียวกัน การแขงขันดานราคาสูงขึ้น สงผลใหราคาหองพักถูกปรับลดลง 0% 5% 10% 15% 20% 25% หนวย : อัตราการขยายตัว (%) 2560 2561 2562 2563 รายรับของโรงแรม ราคาหองพักเฉลี่ย 053

รูปที่ 2-14 : ภาวะอุปทานห้องพักล้นเกิน 2 ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในภาคการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่ที่ประมาณ 226,833 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.89 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศด้านการท่องเที่ยว (Tourism Gross Domestic Product : TGDP) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ • การใช้ทรัพยากรทางน้ำในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อยู่ที่ 745 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 4.59 ของภาครวม การใช้น้ำภายในประเทศ หรือคิดเป็นมูลค่า 6,693.82 ล้านบาท • การใช้พลังงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อยู่ที่ 520 ล้านเมกะจูล คิดเป็นร้อยละ 14.67 ของการใช้พลังงาน ในภาคอุตสาหกรรมในประเทศ หรือคิดเป็นมูลค่า 211,127.15 ล้านบาท • การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อยู่ที่ 30.6ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าคิดเป็นร้อยละ 11.76 ของภาครวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศ หรือคิดเป็นมูลค่า 635.55 ล้านบาท • การสร้างขยะหรือของเสียในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อยู่ที่ 807,313 ตัน คิดเป็นร้อยละ 2.77 ของภาครวมการสร้าง ขยะในประเทศ หรือคิดเป็นมูลค่า 1,325.68 ล้านบาท โดยสาขาการผลิตที่มีสัดส่วนการสร้างขยะมากที่สุด 5 อันดับ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ได้แก่ 1) ภัตตาคารและร้านอาหาร 2) โรงแรม รีสอร์ท เกสต์เฮาส์ ที่พัก 3) การขนส่ง ผู้โดยสารทางรถยนต์4) การขนส่งผู้โดยสารทางอากาศ 5) การขายสินค้าเพื่อการท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวต ่างชาติในเมืองสำคัญด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้ นที่ กรุงเทพมหานครจังหวัดภูเก็ตจังหวัดชลบุรี (พัทยา)จังหวัดกระบี่ จังหวัดเชยงใหม่ ี และจังหวัดสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย) ซ ึ่งในปีพ.ศ. 2562 มีจำนวนห้องพักรวมกันเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 51 ของจำนวนห้องพักแรมทั้งหมดในประเทศ โดยในพื้ นที่ 6 จังหวัดดังกล่าว สามารถสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 91 ของรายได้ จากนักทอ่งเที่ยวต่างชาติทงหมดั้และสามารถสร้างรายได้รวมจากการทอ่งเที่ยวทงหมดสั้งูถึงร้อยละ77ของรายได้รวม จากการท่องเที่ยวทั้งหมดของประเทศ การกระจุกตัวของรายไดจากนักทองเที่ยวตางชาติ 6 จังหวัดทองเที่ยวสําคัญ ไดแก กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี กระบี่ เชียงใหม และสุราษฎรธานี (เกาะสมุย) มีจํานวนหองพักแรมรวมกันกวา 51% ของจํานวนหองพักทั้งประเทศ ในป พ.ศ. 2563 รายไดรวมทั้งหมด (ทั้งจากนักทองเที่ยวไทยและตางชาติ) เฉพาะใน 6 จังหวัดยอดนิยม คิดเปนรายรับรวมถึง 77% ของรายไดจากการทองเที่ยวรวมทั้งประเทศ 0% 39% พ.ศ. 2563 กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี กระบี่ เชียงใหม สุราษฎรธานี (เกาะสมุย) สัดสวนของรายไดรวม (%) ไทย 36% 5% 5% 4% 6% 2% 57% ตางชาติ 42% 24% 13% 4% 3% 5% 91% รวม 39% 16% 10% 4% 4% 3% 77% การกระจุกตัวของนักทองเที่ยวตางชาติ โดยเฉพาะในภาคใต สงผลใหมีการเรงลงทุน ดานโรงแรมที่พักอยางมาก จนเกิดปญหา Oversupply ในพื้นที่ ปญหาหองพักลนเกิน สงผลใหในป พ.ศ. 2563 ราคาหองพักและ รายรับของธุรกิจโรงแรมในภาคใต หดตัวลง ครั้งแรกในรอบหลายป แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 054

รูปที่ 2-15 : บัญชีประชาชาติด้านการท่องเที่ยวที่รวมต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม ภาคการทองเที่ยวไทยมีตนทุนทาง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมอยูที่ การใชนํ้าในภาคการทองเที่ยว 745 ลานลาน ลบ.ม. คิดเปน การปลอยกาซเรือนกระจกในภาคการทองเที่ยว 30.6 ลานตัน CO2 คิดเปน การใชพลังงานในภาคการ ทองเที่ยว 520 ลานเมกะจูล คิดเปน ของภาครวม หรือ ของภาครวม หรือ ของภาครวม หรือ 6,693.82 ลานลานบาท(p) 635.55 ลานลานบาท (p) 211,127.15 ลานลานบาท(p) ของ Tourism GDP 226,833 ลานบาท(p) หมายเหตุ : p หมายถึงขอมูลเบื้องตนจากบัญชีประชาชาติ ดานการทองเที่ยวที่รวมตนทุนดานสิ่งแวดลอม (TSA-SEEA) ของประเทศไทย ป 2561(p) 4.59% 11.67% 14.67% การสรางขยะในภาคการทองเที่ยว 807,313 ตัน คิดเปน ของภาครวม หรือ 2.77% 1,325.68 ลานบาท (p) สัดสวนการสรางขยะในอุตสาหกรรมการทองเที่ยวรายสาขา + อันดับ 1 ภัตตาคาร รานอาหาร คิดเปน 27.59% + อันดับ 2 โรงแรม รีสอรท เกสตเฮาส ที่พัก คิดเปน 24.00% + อันดับ 3 การขนสงผูโดยสารทางรถยนต คิดเปน 9.98% + อันดับ 4 การขนสงผูโดยสารทางอากาศ คิดเปน 9.08% + อันดับ 5 การขายสินคาเพื่อการทองเที่ยว คิดเปน 7.52% + ประเทศไทยอยูอันดับที่ 76 จาก 99 ประเทศ + อันดับที่ 4 ในกลุมประเทศอาเซียน ภาพรวมอันดับดัชนีความยั่งยืน ปญหาที่เกิดจากการทองเที่ยว โรงแรมที่พัก รานอาหาร ลักลอบปลอยนํ้าเสีย ที่ไมผานระบบบําบัด สงผลตอพื้นที่แหลงทองเที่ยว และนักทองเที่ยวอยางหนัก ทะเลสีดํา ปริมาณขยะเพิ่มขึ้น อยางรวดเร็วตามจํานวน นักทองเที่ยวและการเพิ่มขึ้น ของที่พัก กอใหเกิดมลพิษ อันตรายตอนักทองเที่ยว และสัตวในพื้นที่ สุสานขยะ การรบกวนหรือทําลายธรรมชาติ ของนักทองเที่ยว Sustainable Travel Index 2022 + ประเทศไทยอยูอันดับที่ 41 จาก 166 ประเทศ + เปาหมายที่เกี่ยวของกับการทองเที่ยว อยูในระดับ Significant Challenges Sustainable Development Goals + มิติดานทรัพยากรธรรมชาติ อยูอันดับที่ 10 จาก 140 ประเทศ + มิติดานความยั่งยืนของสิ่งแวดลอมอยูที่อันดับ 130 + ประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณของทรัพยากร แตไมมีความยั่งยืน Travel & Tourism Competitiveness Index 2019 18.89% คิดเปนสัดสวน 055

ทั้งนี้ แม้ว่า อุตสาหกรรมการ ท่ องเที่ยวข องไ ท ย จะมีต้น ทุน ทาง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อ ม ที่ค่ อนข้างสู ง แต่การ ท่ องเที่ยวข องประเ ทศไ ทยยังคง ประสบความ ท้า ทายด้านสิ่งแวดล้ อ ม อ ยู่ อย่างต่ อเนื่อ ง เช ่น ปัญหา ทะเลสี ดำ ปัญหาสุสานขยะ รวมไปถึ ง ปัญหาการรบกวนหรือทำลาย ทรัพยากรธรรมชาติ ข องนัก ท่ องเที่ยว โดยจะเห็นได้จากผลการจัด อันดับ ความยั่งยืนในระดับประเ ท ศ ซึ่งแสดงว่าประเ ทศไ ท ย ยังมีความ ท้า ทายด้านการบริหารจัดการความยั่งยื น ข อ ง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อ ม • การจัด อันดับ SustainableTravel Index (2020) โดย Euromonitor International ระบุว ่า ประเ ทศไ ท ย อ ยู่ อันดับที่ 76 จาก 99 ประเ ท ศ และ อ ยู่ อันดับที่ 4 ในกลุ่มประเ ท ศ อาเซียน • การ จััด อััน ดัับผลการ ดำำ เ นิินงานตามเ ป้้าหมาย Sustainable Development Goals ที่่�เ กี่่�ยว ข้ อ ้ ง กัับการท่่ องเ ที่่�ยว พบ ว่่า ประเ ทศไ ท ยอยู่่อััน ดัับ ที่่� 41 จาก 166 ประเ ท ศ โดยเ ป้้าหมาย ที่่�เ กี่่�ยว กัับ การ ท อ ่งเที่ยว อ ย่ในระดับมูความี ท้า ทาย(Significant Challenges) ทั้งสิ้น • การจัด อันดับขีดความสามาร ถในการแข ่งขัน ด้านการเดิน ทางและการ ท่ องเที่ยว (Travel & Tourism Competitiveness Index) ในปี พ.ศ.2562 มิิ ติิ ด้้านทรััพยากรธรรมชา ติ อยู่ิ่ที่่� อััน ดัับ 10จาก140 ประเ ท ศในขณะ ที่่� มิิ ติิ ด้้านความยั่่�งยืื น ข อ งสิ่่�งแวด ล้้ อ ม อยู่่ที่่� อััน ดัับ 130 ซึ่่�งแสดงใ ห้้ เ ห็็น ว่่าประเ ทศไ ท ยมีีความอุุดมสมบูู ร ณ์์ข อ ง ทรััพยากรธรรมชา ติิแ ต่่ไ ม่่มีีการบ ริิหาร จััดการ อย่างยั่งยื น แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 056

รูปที่ 2-16 : อันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยว (TTCI) ของประเทศไทย ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวของ ประเทศไทย สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF) ได้จัดทำรายงานการประเมินอันดับความสามารถในการแข่งขัน ด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวสำหรับหลายประเทศทั่วโลก (Travel & Tourism Competitiveness Report : TTCR) ซ ึ่งจากการวิเคราะห์ผลการประเมินอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวของประเทศไทย ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558 - 2562 พบว่า ประเทศไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวสูงข ึ้ น อย่างต่อเนื่อง โดยในปีพ.ศ. 2558 ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ ย 4.3 คะแนน จากคะแนนเต็ม 7 คะแนน โดยมีอันดับอยู่ที่ 35 จาก 141 ประเทศทั่วโลก ในปีพ.ศ. 2560 ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ ย 4.4 คะแนน โดยมีอันดับสูงข ึ้ น 1 อันดับ อยู่ที่ อันดับ 34 จาก136 ประเทศทั่วโลกและในปีพ.ศ. 2562 ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ ย4.5คะแนน และมีอันดับอยู่ที่ 31 จาก 140 ประเทศทั่วโลก (สูงข ึ้ นถึง 3 อันดับ) ทั้งนี้ คะแนนของประเทศไทยที่ได้ในปีพ.ศ. 2562 พิจารณาจากทั้งหมด 14 ดัชนี ที่เกยวข้ ี่ องกับการทอ่งเที่ยวซงการจัด ึ่ อันดับในปีนพบว่า ี้ ประเทศไทยมดัชน ี ีที่มีอันดับเพิมข่นจากเดิมจ ึ้ ำนวน 9รายการ มดัชน ี ี ที่มีอันดับลดลงจำนวน 4 รายการ และมีดัชนีที่มีอันดับคงที่เท่าเดิมจำนวน 1 รายการ มีรายละเอียด ดังนี้ อันดับความสามารถในการแขงขัน ดานการเดินทางและการทองเที่ยว ของประเทศไทย (Thailand Travel & Tourism Competitiveness Index 2015-2019) ตั้งแตป 2015-2019 ประเทศไทยมีอันดับ ความสามารถในการแขงขันดานการเดินทาง และการทองเที่ยวสูงขึ้นอยางตอเนื่อง โดยในป 2019 ขึ้นมา 3 อันดับจากป 2017 4.3 4.4 4.5 4.2 4.3 4.4 4.5 คะแนน (เต็ม 7) Rank Rank Rank 2015 2017 2019 35 141 34 136 31 140 มิติโครงสรางการใหบริการนักทองเที่ยว (Tourism Service Infrastructure) ขีดความสามารถในการแขงขันของ ประเทศไทยในดานโครงสรางพื้นฐาน การใหบริการนักทองเที่ยว เชน โรงแรม บริษัทใหเชารถ เปนตน ลําดับสูงขึ้นจากปกอน 2 อันดับ คะแนน 5.9 ลําดับ 14 มิติการใหความสําคัญกับการเดินทาง และการทองเที่ยว (Prioritization of Travel & Tourism) ครอบคลุมถึงงบประมาณของอุตสาหกรรม ทองเที่ยวจากภาครัฐ คุณภาพของการตลาด กลยุทธการพัฒนาภาพลักษณของประเทศ ซึ่งไทยไดลําดับสูงขึ้น 7 ลําดับ คะแนน 5.2 ลําดับ 27 มิติทรัพยากรมนุษยและตลาดแรงงาน (Human Resource and Labor Market) ลําดับ 27 มิติความยั่งยืนของสภาพแวดลอม (Environmental Sustainability) ครอบคลุมประเด็นการกํากับดูแลสิ่งแวดลอม ทางธรรมชาติ ความยั่งยืนของการพัฒนา อุตสาหกรรม การเดินทางและการทองเที่ยว ซึ่งไทยลดลงไป 8 อันดับ คะแนน 3.6 ลําดับ 130 ครอบคลุมในเรื่องคุณสมบัติของ ทรัพยากรมนุษย การศึกษาเบื้องตน การอบรมบุคลากร ตลาดแรงงาน และประสิทธิผลจากแรงงานไทยสูงขึ้น จากปกอน 13 อันดับ คะแนน 5.1 057

จากการพิิจารณาทั้้�ง14 ดััชนีีรายการ พบ 2 ดััชนีีรายการหลัักที่่�ได้้รัับคะแนนและอัันดัับการประเมิินขีีดความสามารถ ในการแข่่งขัันดีีที่่� สุุดจาก 14 ดััชนีีรายการ ได้้แก่่แหล่่งทรััพยากรธรรมชาติซึ่ิ่�งได้้อัันดัับที่ ่� 10 จาก 140 ประเทศ และ โครงสร้้างพื้้�นฐานบริิการด้้านการท่่องเที่่�ยวซึ่่�งได้อั้ันดัับที่ ่�14จาก140 ประเทศ ส่่วนดััชนีีรายการที่่�ประเทศไทยควรพััฒนา อย่่างเร่่งด่่วน 4 ดััชนีีรายได้้ได้้แก่่ความยั่่�งยืืนของสภาพแวดล้้อมอัันดัับที่ ่� 130 ความมั่่�นคงและความปลอดภััยอัันดัับที่ ่� 111 สุุขภาพและความสะอาดอัันดัับที่ ่�88และโครงสร้้างพื้้�นฐานด้้านการขนส่่งทางบกและทางน้ำ ำ� อัันดัับที่ ่�72 ตามลำำดัับ นอกจากนั้้�น จากการพิิจารณาข้้างต้้นยัังแสดงให้้เห็็นถึงประเ ึด็็นที่่�ไม่่สมเหตุุสมผลคืือ ประเทศไทยได้รั้ับอัันดัับของแหล่่ง ทรััพยากรธรรมชาติดีีิมากแต่่ความยั่่�งยืืนของสภาพแวดล้อ้มกลัับอยู่่อัันดัับที่ค่ ่� อ่นข้้างต่ำ ำ� มากแสดงให้้เห็็นว่่าประเทศไทย มีีแหล่่งธรรมชาติิและสิ่่�งแวดล้้อมที่ ่�ดีี สวยงาม และเป็็นที่ ่� น่่าดึึงดููดใจของนัักท่่องเที่่�ยว แต่่กลัับไม่่มีีการพััฒนาและฟื้้�นฟูู ที่่�เพีียงพอส่่งผลให้้เกิิดความเสื่ ่� อมโทรมลดถอยลงไปตามกาลเวลา รวมถึึงแหล่่งท่่องเที่่�ยวทางวััฒนธรรมและสัังคมอื่่�น ๆ ควรได้้รัับการพััฒนา ฟื้้�นฟูู และรัักษาให้้เกิิดความยั่่�งยืืน เมื่อวิเคราะห์ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยว (Travel and Tourism Competitiveness Index : TTCI) ของประเทศไทยในปีพ.ศ. 2562 เปรียบเทียบกับผลการจัดอันดับของ ต่างประเทศแล้ว พบว่า ประเทศไทยเป็นอันดับที่ 9ในภูมิภาคเอเชยแปซิ ี ฟิกรองจากประเทศสิงคโปร์ประเทศนิวซแลนด์ ี และประเทศมาเลเซีย ที่อยู่ในอันดับ 6 อันดับ 7 และอันดับ 8 ตามลำดับ โดยมีอันดับดีข ึ้ น 3 อันดับจากการจัดอันดับ ในปีพ.ศ. 2560 และมีอันดับคงที่เป็นอันดับที่ 3 ของภูมิภาคอาเซียน (รองจากประเทศสิงคโปร์และประเทศมาเลเซีย) ทงนั้ ี้ สามารถกล่าวได้ว่าประเทศไทยมผลการจัด ีอันดับอย่ในเกณูฑ์ดี โดยมศักย ีภาพสงในด้านสูถานที่ทอ่งเที่ยว นโยบาย สนับสนุนการท่องเที่ยว และสิ่งอำนวยความสะดวกต่อนักท่องเที่ยว แต่มีคะแนนด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเดินทางต่อเนื่องทางบกที่ต่ำ • ประเทศไทยมีอันดับในมิติความปลอดภัยต่ำที่สุดเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน (รองจากประเทศฟิลิปปินส์) และอยู่ที่ อันดับ 111ของโลกโดยมีผลการจัดอันดับในปัจจัยย่อยที่น่ากังวลเช่น ด้านการพึ่งพาบริการจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยที่อู่ันดับ 107ซงต ึ่ ่ำลงจากปีก่อนถึง47 อันดับ ด้านผลกระทบทางธุรกิจจากการเกิดอาชญากรรมอยที่อู่ันดับ 87 เป็นต้น • ประเทศไทยมีอันดับในมิติสุขภาพและอนามัยต่ำที่สุดเป็นอันดับ 4 ในอาเซียน ร่วมกับประเทศเวียดนาม และอยู่ที่ อันดับ 88 ของโลก โดยมีอันดับด้านความหนาแน่นของบริการทางการแพทย์(Physician Density) ค่อนข้างต่ำ อยู่ที่อันดับ 97 ของโลก • ประเทศไทยมีอันดับในมิติด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียน (รองจากสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาวและประเทศเวยดนาม) ีและอยที่อู่ันดับ 130ของโลกซงเป็นมิติ ึ่ ที่มีอันดับน่ากังวลมาก ที่สุด มีอันดับด้านความเข้มงวดของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมอยู่ที่ 104 ของโลก ต่ำลงจากปีก่อนหน้า 4 อันดับ มีอันดับความหนาแน่นของฝุ่นละออง PM 2.5 อยู่ที่ 131 ของโลก ต่ำลงจากปีก่อนหน้า 5 อันดับ และมีอันดับ สิ่งมีชีวิตที่มีความเส ี่ยงต่อการสูญพันธุ์อยู่ที่ 111 ของโลก ต่ำลงจากปีก่อนหน้า 7 อันดับ อย่างไรก็ดี เมื่อเปรยบเี ทียบกับประเทศที่มศักย ีภาพสงในู ภูมิภาคเอเชยแปซิ ี ฟิกและอาเซยนแล้ว ี พบว่า ประเทศไทย มีข้อได้เปรียบในมิติการแข ่งขันด้านราคา มีคะแนน 5.8 อยู่ที่อันดับ 25 ของโลก ในขณะที่ประเทศญ ี่ปุ ่นซึ่ งมี ผลการจัดอันดับรวมเป็นที่ 1 ในเอเชีย มีคะแนนอยู่ที่ 4.8 อยู่ที่อันดับ 113 ของโลก นอกจากน ี้ยังโดดเด ่นใน มิติทรัพยากรธรรมชาติมีคะแนน 4.8 อยู่ที่อันดับ 10ของโลกและเป็นอันดับที่ 1ในอาเซียน ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ ซ ึ่ งมีผลการจัดอันดับรวมเป็นที่ 1 ในอาเซียน มีคะแนนอยู่ที่ 2.2 อยู่ที่อันดับ 120 ของโลก แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 058

อย่่างไรก็็ดีี ผลกระทบจากสถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโควิิด–19 ทำำ ให้้สภาเศรษฐกิิจโลก(World Economic Forum - WEF) ไม่่ได้้มีีการเผยแพร่่การจััดอัันดัับขีีดความสามารถในการแข่่งขัันด้้านการเดิินทางและการท่่องเที่่�ยว ในปี2564 (มีการจัดอันดับครั้งล่าสุด คือปี2562) และได้มีการปรับปรุงพัฒนาดัชนีจากเดิม คือ ดัชนีขีดความสามารถ ในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยว (Travel and Tourism Competitiveness Index : TTCI) เป็นดัชนี ของการพััฒนาการเดิินทางและการท่่องเที่่�ยว (Travel & Tourism Development Index : TTDI) โดยได้้มีี การเผยแพร่่รายงานการศึึกษาดััชนีีการพััฒนาการเดิินทางและการท่่องเที่่�ยว ประจำำปีี2564 เพื่ ่� อการฟื้้�นฟููอนาคต อย่่างยืืดหยุ่่นและยั่่�งยืืน หรืือ TTDI (Travel & TourismDevelopment Index2021:RebuildingforaSustainable and Resilient Future) ซึ่่�งประเทศไทยมีีอัันดัับ TTDI อยู่่ในลำำดัับที่ ่� 36 จาก 117 ประเทศทั่่�วโลก ปัจจุบัน สภาเศรษฐกิจโลก(WEF) ได้มการปรับปรุงปัจจัยในการจัด ี ทำดัชนชีวัดใหม่ ี้ หรือ TTDIแบ่งออกเป็น 5ด้าน คือ 1) ปัจจัยเอื้อด้านสิ่งแวดล้อม (Enabling Environment) 2) นโยบายและเงื่อนไขการเดินทางและการท่องเที่ยว (T&TPolicy & Conditions)3) โครงสร้างพื้ นฐาน (Infrastructure)4) ปัจจัยขับเคลื่อนความต้องการการเดินทางและ การท่องเที่ยว (T&T Demand Drivers) และ 5) ความยั่งยืนด้านการเดินทางและการท่องเที่ยว (T&T Sustainability) ทั้งนี้ สภาเศรษฐกิจโลกปรับปรุงปัจจัยในการจัดทำดัชนีช ี้วัดใหม่ที่สำคัญ คือ ปัจจัยที่ 16 ความยืดหยุ่นและเงื่อนไข ด้านเศรษฐกิจและสังคม (Socioeconomic Resilience and Conditions) โดยพิจารณาจากปัจจัยย่อย เช่น อัตรา ความยากจน การปกป้องดูแลประชาชนทางสังคม รวมถึงกลุ่มแม่และเด็ก ผู้ว่างงาน ผู้พิการ ผู้สูงอายุความเสมอภาค ทางเพศ สิทธิของผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น ปัจจัยที่ 17 ความต้องการและความกดดัน และผลกระทบการเดินทางและ การท่่องเที่่�ยว(Traveland TourismDemand Pressureand Impact) โดยพิิจารณาจากปััจจััยย่อ่ยเช่่น จำำนวนวัันพััก โดยเฉลี่่�ยของนัักท่่องเที่่�ยวต่่างชาติิ(Inbound length of stay) ความสนใจในการค้้นหาแหล่่งท่่องเที่่�ยวทางวััฒนธรรม และทางธรรมชาติิการกระจายตััวของนัักท่่องเที่่�ยวไปยัังพื้้�นที่ ่� ต่่าง ๆ ในประเทศ คุุณภาพของเมืืองและศููนย์์กลาง การท่องเที่ยว (Quality of town and city centres) เป็นต้น อันดับ TTDIของประเทศไทยอย่ในลูำดับที่ 36จาก117 ประเทศทวโลก ั่ในปี2564 มคะแนนรวมี 4.3จากคะแนน เต็ม 7 คะแนน ปัจจัยที่ประเทศไทยได้คะแนนที่น่าพึงพอใจ 3 อันดับแรก มีดังนี้ • โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางอากาศ อันดับที่ 13 • ด้านทรัพยากรธรรมชาติ อันดับที่ 14 • ด้านทรัพยากรที่ไม่ใช่เพื่อการพักผ่อน* (เช่น การเป็นสถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ขององค์กร/บริษัทต่างชาติ/ จำนวนเมืองที่เป็นที่ยอมรับระดับโลก) อันดับที่ 16(*ตัวชวัดใหม่) ี้ ปัจจัยที่ประเทศไทยควรมการปรับปรุง ี พัฒนาและ ยกระดับให้ดีข ึ้ น มีดังนี้ • ด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม อันดับที่ 97 • ด้านความมั่นคงและความปลอดภัย อันดับที่ 92 • ด้านการให้ความสำคัญกับการเดินทางและท่องเที่ยว อันดับที่ 88 การจััดทำำดััชนีีการพััฒนาการเดิินทางและการท่่องเที่่�ยว (TTDI) ปีีพ.ศ. 2564 ของสภาเศรษฐกิิจโลก (WEF) ครอบคลุุมการพััฒนาของประเทศทั้้�งในมิิติิสัังคม เศรษฐกิิจ และสิ่่�งแวดล้้อม โดยเฉพาะในประเด็็นด้้านสัังคมได้้ให้้ ความสำำคััญกัับคุุณภาพชีีวิิตและความเป็็นอยู่่ของประชาชนมากขึ้้�น อัันเนื่ ่� องมาจากผลกระทบของโควิิด – 19 ดัังนั้้�น หน่่วยงานทุุกภาคส่่วนจึึงมีีบทบาทสำำคััญในการช่่วยขัับเคลื่ ่� อนภาคการท่่องเที่่�ยว ทั้้�งในด้้านการบริิหารจััดการ ด้้านสิ่่�งแวดล้้อม การยกระดัับและพััฒนามาตรฐานการอำำนวยความสะดวกแก่่ผู้้เดิินทาง การพััฒนาเมืืองสุุขอนามััย ความปลอดภััย รวมถึงการึส่่งเสริิมให้้เมืืองหลัักและเมืืองรองเป็็นเมืืองท่่องเที่่�ยวน่่าอยู่่ 059

การวิิเคราะห์์การฟื้้�นตััวของการท่่องเที่่�ยวไทย หลัังจากเกิิดสภาวะหยุุดนิ่่�งจากสถานการณ์์การแพร่่ระบาดของ โรคโควิิด – 19 พิิจารณาใน 3 ปััจจััยหลััก ได้้แก่่ 1) ปััจจััยภายนอกที่ ่� ส่่งผลต่่อการท่่องเที่่�ยวไทย 2) ปััจจััยการฟื้้�นตััว จากสถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด – 19 ประกอบไปด้้วยแผนการฉีีดวััคซีีนป้้องกัันโรคโควิิดของประเทศไทย อัตราการฉีดวัคซีนของชาวไทยและชาวต่างชาติและ3) บริบทการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่สอดคล้องกับ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 - 2570) ทั้งนี้ ปัจจัยภายนอกจะพิจารณาจากความสามารถในการฟื้นฟูการท่องเที่ยวของโลก โดยองค์กรและสถาบันวิจัย จำนวนมากคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวโลกจะกลับมาเป็นปกติ(เทียบเท่ากับปีพ.ศ. 2562) ภายในระยะเวลา 2 - 4 ปี โดย บริษัท Bloombergคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวโลกจะกลับมาฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ในปีพ.ศ. 2566 โดยการท่องเที่ยว ภายในประเทศ (Domestic Tourism) จะสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ (International Tourism) McKinseyand Companyและศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าสภาวะการท่องเที่ยวโลกจะสามารถฟื้นตัว 1.3 การคาดการณ์์การฟื้้นฟููการท่่องเที่่ยวไทยหลัังสถานการณ์์การแพร่่ระบาด ของโรคโควิิด – 19 แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 060

ได้ปีพ.ศ. 2567 ในขณะที่องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ(UNWTO) คาดการณ์ว่า การท่องเที่ยวโลก จะกลัับสู่่ภาวะปกติิได้้ระหว่่างต้้นปีีพ.ศ. 2566 ไปจนถึึงกลางปีีพ.ศ. 2568 ซึ่่�งขึ้้�นอยู่่กัับมาตรการกำำหนดการจำำกััด การเดิินทาง ความล่่าช้้าในการจััดการกัับสถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด – 19 ความมั่่�นใจของนัักท่่องเที่่�ยว ความร่่วมมืือระหว่่างประเทศ และความเสื่ ่� อมโทรมทางเศรษฐกิิจ นอกจากนี้้�UNWTO ยัังคาดการณ์์ว่่า การท่่องเที่่�ยว ในแถบเอเชีียแปซิิฟิิกจะฟื้้�นตััวภายในระยะเวลาเดีียวกััน เช่่นเดีียวกัับบริิษััทเงิินทุุนระหว่่างประเทศ (International Finance Corporation : IFC) สถาบัันการเงิินในเครืือธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์์ว่่า ถึึงแม้้ว่่าจะมีี การฉีีดวััคซีีนอย่่างทั่่�วถึึงและการท่่องเที่่�ยวสามารถกลัับมาดำำเนิินกิิจการได้้ดัังเดิิม แต่่การท่่องเที่่�ยวโลกจะฟื้้�นตััวกลัับมา ได้ภายในปีพ.ศ.2568เนื่องจากภาคการผลิตในอุตสาหกรรมการทอ่งเที่ยวจะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สงขูน ึ้ ตามมาตรฐาน ด้้านความสะอาดและสุุขอนามััย องค์การการท่องเที่ยวโลก แห่งสหประชาชาติ (UNWTO) คาดการณ์์ว่่า การท่่องเที่่ยวโลกจะกลัับสู่่ ภาวะปกติิได้้ระหว่่าง ต้้นปีี พ.ศ. 2566 ไปจนถึึง กลางปีี พ.ศ. 2568 061

เมื่อวิ ่� ิเคราะห์ปั์ ัจจััยการฟื้้�นตััวจากสถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด–19 ประกอบไปด้้วยแผนการฉีีดวััคซีีน ป้้องกัันโรคโควิิดของประเทศไทย อััตราการฉีีดวััคซีีนของชาวไทยและชาวต่่างชาติิพบว่่า ประเทศไทยมีีแผนการฉีีด วััคซีีนโควิิด – 19 ให้้ครบทุุกกลุ่่มเป้้าหมาย จำำนวน 100 ล้้านโดส ครอบคลุุมร้อ้ยละ 70 ของประชากรในประเทศไทย ภายในปี2564 (พ.ค. - ธ.ค. 2564) โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยมีการจัดหาวัคซีนแล้ว 63 ล้านโดสและอยู่ระหว่าง การจัดซื้อวัคซีนเพิ่มเติม ทั้งนี้ ประชากรไทยได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสแล้วทั้งสิ้น 25,944,411 ล้านคน หรือ คิดเป็นร้อยละ37ของจำนวนประชากรไทย(ข้อมูล ณ วันที่ 20สิงหาคม 2564) ในขณะเดียวกัน ยอดรวมการฉีดวัคซีน ทั่วโลกอย่างน้อย 1 โดสอยู่ที่ร้อยละ 33 ของประชากรทั่วโลก จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า องค์กรส่วนมากคาดการณ์การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวโลกอยู่ในช่วง ระยะเวลา 2 - 4 ปีและในแต่ละประเทศ รวมถึงประเทศไทยมีแผนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนภายในประเทศเพื่อ เร่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้สามารถกลับเข้าสภู่าวะปกติได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์สถานการณ์การฟื้นตัว ของนัักท่่องเที่่�ยวไทย ภายหลัังกรณีีสถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด – 19 ตั้้�งแต่่ปีีพ.ศ. 2566 ถึึง พ.ศ. 2570 พบว่า สถานการณ์การฟื้นตัวของประเทศไทยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังต่อไปนี้ กรณีเลวรายที่สุด Worst Case กรณีฐาน Base Case กรณีที่ดีที่สุด Best Case แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 062

รูปที่ 2-17 : แนวโน้มการฟื้นตัวสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 (หมายเหตุ : คาดการณ์ณ วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ภายใต้บริบทสถานการณ์ปัจจุบัน) การวิเคราะหและคาดการณวา การทองเที่ยวไทยขึ้นอยูกับสถานการณการฟนตัวทั่วโลก ซึ่งคาดการณวาจะสามารถฟนตัวกลับมาไดในป 2565-2567 สถานการณการฟนตัวของการทองเที่ยวไทยและทั่วโลก การคาดการณการทองเที่ยวโลกของ UNWTO (2021-2024) 0 200 400 600 800 1000 1200 1400 1600 ลานคน 2012 2013 2014 2015 2016 2017 2018 2019 2020 2021 2022 2023 2024 การคาดการณแบบที่ 1 ฟนตัวใน 2.5 ป (ชวงกลางป ค.ศ. 2023) การคาดการณแบบที่ 2 ฟนตัวใน 3 ป (ปลายป ค.ศ. 2023) การคาดการณแบบที่ 3 ฟนตัวใน 4 ป (ปลายป ค.ศ. 2024) UNWTO คาดการณวาในป ค.ศ. 2021 การทองเที่ยว ระหวางประเทศจะเริ่มฟนตัว เนื่องจากปจจัยตาง ๆ อยางไรก็ตาม จะยังคงใชเวลาประมาณ 2.5 ถึง 4 ป ที่จะฟนตัวไดถึงระดับเดียวกับป พ.ศ. 2562 + การยกเลิกขอจํากัดในการเดินทาง + การควบคุมการแพรระบาดเชื้อไวรัสโควิค - 19 + การพัฒนาวัคซีนสําหรับเชื้อไวรัสโควิค - 19 + ความเชื่อมั่นของนักทองเที่ยว 0 2 4 6 8 10 12 2008 2009 2010 2011 2012 2013 2014 2015 2016 2017 2018 2019 2020 2021 2022 2023 2024 2025 Forecast Uncertainty การคาดการณการกลับมาของรายไดจากผูโดยสารการบิน (IATA / Tourism Economist) การประเมินอัตรา การครอบคลุมของ การไดรับวัคซีน (Economist Intelligene Unit) ปลายป 2021 กลางป 2022 ปลายป 2022 จากตนป 2023 063

กรณีที่ดีที่สุด (Best Case) นักท่องเที่ยวต่างชาติ นักท่องเที่ยวไทย Best Case 2566 2567 2568 2569 2570 ตารางที่่� 2-3 : การคาดการณ์์แนวโน้้มการท่่องเที่่�ยวไทย กรณีีที่ดีีที่� ่�สุุด (Best Case) หมายเหตุ : คาดการณ์ณ วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ภายใต้บริบทสถานการณ์ปัจจุบัน คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวก่อนสถานการณ์โควิด – 19 อัตราการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด – 19 จำำนวนนัักท่่องเที่่�ยวภายหลัังสถานการณ์์โควิิด–19(ล้้านคน) รายได้รวมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ(ล้านล้านบาท) คาดการณ์จำ์ ำนวนนัักท่่องเที่่�ยวก่่อนสถานการณ์์โควิิด – 19 อััตราการฟื้้�นตััวจากสถานการณ์์โควิิด – 19 จำำนวนนัักท่่องเที่่�ยวหลัังสถานการณ์์โควิิด–19(ล้้านคน/ครั้้�ง) รายได้รวมจากนักท่องเที่ยวไทย (ล้านล้านบาท) รายได้รวมทั้งหมด (ล้านล้านบาท) 43.78 50% 21.89 1.38 186.75 80% 149.40 1.07 2.45 48.62 68% 33.06 2.10 201.50 100% 201.50 1.56 3.65 46.08 60% 27.65 1.75 193.75 95% 184.06 1.36 3.11 51.29 72% 36.93 2.36 209.56 100% 209.56 1.63 3.99 54.11 75% 40.58 2.61 217.95 100% 217.95 1.73 4.34 ในส่่วนของกรณีีที่่�ดีีที่่� สุุด มีีการตั้้�งสมมติิฐาน ดัังนี้้�1) อััตราการฉีีดวััคซีีนป้้องกัันโรคโควิิด – 19 ของต่่างประเทศ ครอบคลุุมไม่ต่ำ่ ำ� กว่่าร้้อยละ 20 ของประชากรใน 10 ประเทศหลัักที่่�สร้้างรายได้้จากการท่่องเที่่�ยวสููงสุุดแก่่ประเทศไทย 2) ประเทศไทยสามารถจััดหาวััคซีีนได้้ตามแผนการฉีีดวััคซีีนและกระจายวััคซีีนป้อ้งกัันโรคโควิิด–19 อย่่างทั่่�วถึงึภายใน ปีีพ.ศ. 2564 และไม่่เกิิดการระบาดเพิ่่�มเติิม 3) อััตราการเติิบโตของค่่าใช้้จ่่ายต่่อคนสููงกว่่าค่่าเฉลี่่�ยย้้อนหลััง 5 ปีีและ ค่่อยๆ สููงขึ้้�น เนื่ ่� องจากสภาวะเศรษฐกิิจที่ ่�ดีีขึ้้�นอย่่างรวดเร็็วและนัักท่่องเที่่�ยวที่่�เข้้ามาเกืือบทั้้�งหมดเป็็นกลุ่่มนัักท่่องเที่่�ยว คุุณภาพสููง พร้้อมทั้้�งดำำเนิินงานตามแผนพััฒนาการท่่องเที่่�ยวแห่่งชาติิฉบัับที่ ่� 3 ทุุกประการ จากข้้อสมมติิฐานข้้างต้้น ส่่งผลให้ภ้ ายใต้้กรณีีที่่�ดีีที่่� สุุด (Best Case) สามารถคาดการณ์์ได้้ว่่า จำำนวนนัักท่่องเที่่�ยว ต่่างชาติิภายหลัังกรณีีสถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด – 19 ในปีีพ.ศ. 2566 อยู่่ที่่�ประมาณ 21.89 ล้้านคน ในขณะที่จำ ่� ำนวนนัักท่่องเที่่�ยวไทยในปีีเดีียวกัันจะมีีจำำ นวนการท่่องเที่่�ยวสููงกว่่าอยู่่ที่่�149.40คน/ครั้้�ง ส่่งผลให้้ประเทศไทย จะได้้รายได้้รวมทั้้�งสิ้้�นประมาณ 2,449,850 ล้้านบาท โดยในปีีถััด ๆ มาคาดการณ์์ว่่า อััตราการฟื้้�นตััวจากสถานการณ์์ การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด – 19 จะปรัับตััวดีีขึ้้�นเรื่ ่� อย ๆ โดยอััตราการฟื้้�นตััวของประเทศไทยจะกลัับมาฟื้้�นตััว อย่่างเต็็มที่่�ในปีีพ.ศ. 2568 ซึ่่�งจะกลัับสู่ภ่าวะปกติิก่่อนการฟื้้�นตััวของต่่างประเทศ ทั้้�งนี้้�ในปีีพ.ศ. 2570 ประเทศไทย จะได้้รายได้้จากการท่่องเที่่�ยวราว 4,333,478 ล้้านบาท แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 064

กรณีฐาน (Base Case) นักท่องเที่ยวต่างชาติ นักท่องเที่ยวไทย Base Case 2566 2567 2568 2569 2570 ตารางที่ 2-4 : การคาดการณ์แนวโน้มการท่องเที่ยวไทย กรณีฐาน (Base Case) คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวก่อนสถานการณ์โควิด – 19 อัตราการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด – 19 จำำนวนนัักท่่องเที่่�ยวภายหลัังสถานการณ์์โควิิด–19(ล้้านคน) รายได้รวมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ(ล้านล้านบาท) คาดการณ์์จำำนวนนัักท่่องเที่่�ยวก่่อนสถานการณ์์โควิิด – 19 อััตราการฟื้้�นตััวจากสถานการณ์์โควิิด – 19 จำำนวนนัักท่่องเที่่�ยวหลัังสถานการณ์์โควิิด–19(ล้้านคน/ครั้้�ง) รายได้รวมจากนักท่องเที่ยวไทย (ล้านล้านบาท) รายได้รวมทั้งหมด (ล้านล้านบาท) 43.78 30% 13.13 0.82 186.75 60% 112.05 0.76 1.58 48.62 55% 26.74 1.69 201.50 95% 191.43 1.34 3.03 46.08 45% 20.74 1.31 193.75 80% 155.00 1.06 2.37 51.29 60% 30.77 1.96 209.56 100% 209.56 1.49 3.45 54.11 65% 35.17 2.25 217.95 100% 217.95 1.58 3.83 ในส่่วนของกรณีีฐาน มีีการตั้้�งสมมติิฐาน ดัังนี้้�1) อััตราการฉีีดวััคซีีนป้อ้งกัันโรคโควิิด–19ของต่่างประเทศครอบคลุุม ไม่ต่ำ่ ำ� กว่่าร้อ้ยละ20ของประชากรใน 5 ประเทศหลัักที่่�สร้้างรายได้้จากการท่่องเที่่�ยวสููงสุุดแก่่ประเทศไทย2) ประเทศไทย จััดหาวััคซีีนป้้องกัันโควิิดได้้ล่่าช้้ากว่่ากำำหนดเพีียงเล็็กน้้อยและสามารถกระจายวััคซีีนป้้องกัันโควิิด – 19 อย่่างทั่่�วถึึง ภายในกลางปีีพ.ศ. 2565 รวมถึึงการไม่่เกิิดการระบาดเพิ่่�มเติิม 3) อััตราการเติิบโตของค่่าใช้้จ่่ายต่่อคนทั้้�งนัักท่่องเที่่�ยว ไทยและนัักท่่องเที่่�ยวต่่างชาติิสููงกว่่าค่่าเฉลี่่�ยย้้อนหลััง 5 ปีีและค่่อย ๆ สููงขึ้้�น เนื่ ่� องจากสภาวะเศรษฐกิิจที่ ่�ดีีขึ้้�นอย่่าง ค่อยเป็นค่อยไป จากข้อ้สมมติิฐานข้้างต้้น ส่่งผลให้ภ้ายใต้้กรณีีฐาน (Basecase)สามารถคาดการณ์์ได้ว่้่า จำำนวนนัักท่่องเที่่�ยวต่่างชาติิ ภายหลัังกรณีีสถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด–19ในปีีพ.ศ.2566จะมีีเพีียง13.13 ล้้านคน ในขณะที่ ่� จำำนวน นัักท่่องเที่่�ยวไทยในปีีเดีียวกัันจะมีีจำำ นวนการท่่องเที่่�ยวสููงกว่่าอยู่่ที่่� 112.05 คน/ครั้้�ง ส่่งผลให้้ประเทศไทยจะได้้รายได้้ รวมทั้้�งสิ้้�นประมาณ 1,580,870 ล้้านบาท โดยในปีถัีัดๆ มาคาดการณ์ว่์ ่าอััตราการฟื้้�นตััวจากสถานการณ์์การแพร่่ระบาด ของโรคโควิิด – 19 จะปรัับตััวดีีขึ้้�นเรื่ ่� อย ๆ สอดคล้้องกัับรายได้้จากการท่่องเที่่�ยวของไทยที่่�จะเพิ่่�มขึ้้�นเรื่ ่� อย ๆ เช่่นกััน โดยอัตราการฟื้นตัวของประเทศไทยจะกลับมาฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในปีพ.ศ.2569 ทั้งนี้ ใน ปีพ.ศ.2570 ประเทศไทยจะ ได้รายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 3,827,335 ล้านบาท 065

กรณีเลวร้ายที่สุด (Worst Case) นักท่องเที่ยวต่างชาติ นักท่องเที่ยวไทย Worst Case 2566 2567 2568 2569 2570 ตารางที่ 2-5 : การคาดการณ์แนวโน้มการท่องเที่ยวไทย กรณีเลวร้ายที่สุด (Worst Case) หมายเหตุ : คาดการณ์ณ วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ภายใต้บริบทสถานการณ์ปัจจุบัน คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวก่อนสถานการณ์โควิด – 19 อัตราการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด – 19 จำนวนนักทอ่งเที่ยวภายหลังสถานการณ์โควิด–19(ล้านคน) รายได้รวมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ(ล้านล้านบาท) คาดการณ์์จำำนวนนัักท่่องเที่่�ยวก่่อนสถานการณ์์โควิิด – 19 อััตราการฟื้้�นตััวจากสถานการณ์์โควิิด – 19 จำำนวนนัักท่่องเที่่�ยวหลัังสถานการณ์์โควิิด–19(ล้้านคน/ครั้้�ง) รายได้รวมจากนักท่องเที่ยวไทย (ล้านล้านบาท) รายได้รวมทั้งหมด (ล้านล้านบาท) 43.78 10% 4.38 0.27 186.75 40% 74.70 0.45 0.73 48.62 45% 21.88 1.38 201.50 85% 171.28 1.08 2.46 46.08 30% 13.82 0.87 193.75 65% 125.94 0.79 1.65 51.29 50% 25.65 1.62 209.56 95% 199.08 1.28 2.90 54.11 55% 29.76 1.89 217.95 95% 207.05 1.36 3.25 ในส่่วนของกรณีีเลวร้้ายที่ ่� สุุด มีีการตั้้�งสมมติิฐาน ดัังนี้้�1) มีีการกลายพัันธุ์์ของโรคระบาดโควิิด – 19 รุุนแรงใน หลายประเทศทำำ ให้้ประสิิทธิิภาพของวััคซีีนด้้อยสภาพลง จึึงต้้องพััฒนาวััคซีีนและเริ่่�มฉีีดวััคซีีนใหม่่อีีกครั้้�ง โดยอััตรา การฉีีดวััคซีีนป้อ้งกัันโรคโควิิด–19ของต่่างประเทศครอบคลุุมต่ำ ำ� กว่่าร้อ้ยละ20ของประชากรใน 10 ประเทศหลัักที่่�สร้้าง รายได้้จากการท่่องเที่่�ยวสููงสุุดแก่่ประเทศไทย 2) ประเทศไทยสามารถจััดหาวััคซีีนป้้องกัันโรคโควิิด – 19 ได้้ล่่าช้้ากว่่า กำำหนดค่อ่นข้้างมากโดยสามารถกระจายวััคซีีนป้อ้งกัันโควิิด–19 อย่่างทั่่�วถึงึภายในกลางปีีพ.ศ.2565แต่่เกิิดการระบาด เพิ่่�มเติิม 3) อััตราการเติิบโตของค่่าใช้้จ่่ายต่่อคน ทั้้�งนัักท่่องเที่่�ยวไทยและนัักท่่องเที่่�ยวต่่างชาติิต่ำ ำ� กว่่าค่่าเฉลี่่�ยย้้อนหลััง 5 ปีีค่่อนข้้างมาก และค่่อย ๆ สููงขึ้้�นเพีียงเล็็กน้้อย เป็็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิิจยัังคงไม่่ฟื้้�นตััว และนัักท่่องเที่่�ยว ที่เข้ามาในประเทศไทยส่วนมากไม่ใช่กลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติตามแผนพัฒนาการท่องเที่ยว แห่งชาติฉบับที่ 3 อย่างสิ้นเชิง จากข้อ้สมมติิฐานข้้างต้้น ส่่งผลให้ภ้ายใต้้กรณีีเลวร้้ายที่สุ ่� ุด(Worstcase)สามารถคาดการณ์์ได้ว่้่า จำำนวนนัักท่่องเที่่�ยว ต่่างชาติิภายหลัังกรณีีสถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด – 19 ในปีีพ.ศ. 2566 จะมีีเพีียง 4.38 ล้้านคนเท่่านั้้�น ในขณะที่จำ ่� ำนวนนัักท่่องเที่่�ยวไทยในปีีเดีียวกัันจะมีีจำำ นวนการท่่องเที่่�ยวสููงกว่่าอยู่่ที่่�74.70คน/ครั้้�ง ส่่งผลให้้ประเทศไทย จะได้้รายได้้รวมทั้้�งสิ้้�นประมาณ 727,303 ล้้านบาท โดยในปีีถััด ๆ มาได้้คาดการณ์์ว่่า อััตราการฟื้้�นตััวจากสถานการณ์์ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 066

การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด – 19 จะปรัับตััวดีีขึ้้�นเรื่ ่� อย ๆ ส่่งผลให้้เกิิดการขยายตััวของรายได้้จากการท่่องเที่่�ยว ของประเทศไทย อย่่างไรก็็ตาม สถานการณ์์การท่่องเที่่�ยวไทยจะฟื้้�นตััวได้้สููงสุุดร้้อยละ 95 เท่่านั้้�นในปีีพ.ศ. 2569 และ พ.ศ.2570ในขณะที่การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มข ึ้นร้อยละ5ในปีเดียวกัน ทำให้ประเทศไทยได้รายได้ จากการท่องเที่ยว 2,903,983 ล้านบาท และ 3,252,854 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้้�งนี้้� ข้้อสัันนิิษฐานข้้างต้้นจะมีีความเปลี่่�ยนแปลงไปขึ้้�นอยู่่กัับสถานการณ์์และปััจจััยอื่่�น ๆ ที่่�สามารถส่่งผลต่่อ การท่องเที่ยวยกตัวอย่างเช่น 1) ประเทศไทยมีการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยความสะอาดและสุขอนามัยโดย ประเทศไทยได้ออกมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเพื่อนักทอ่งเที่ยว(AmazingThailand Safetyand Health Administration : SHA) เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจด้านสุขอนามัยในการท่องเที่ยวในประเทศไทย และ 2) ประเทศไทยมีนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนของมาตรการการช่วยเหลือ ผู้ประกอบการและกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่น การขยายระยะเวลาย ื่ นภาษีเงินได้นิติบุคคล มาตรการ ชดเชยรายได้ให้กับมัคคุเทศก์มาตรการสินเชื่อดอกเบยต ี้ ่ำสำหรับผ้ประกูอบการทอ่งเที่ยวการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของ ประชาชนผ่านโครงการ“คนละครง”ึ่ การแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านการทอ่งเที่ยวผ่านโครงการ“เราเที่ยวด้วยกัน”เป็นต้น และ 3) การวางแผนและเตรียมการเปิดประเทศ เป็นต้น ประเทศเป้้าหมายที่่สำำคััญหลัังการฟื้้�นตััว จากสถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโรค โควิิด – 19 กลุ่่มประเทศที่่�ประเทศไทยควรให้้ความสำำคััญ ในด้้านการท่่องเที่่�ยวเป็็นอัันดัับแรกภายหลัังจาก สถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด–19 ที่พิ ่� ิจารณา จากค่่าใช้้จ่่ายต่่อหััว ของนัักท่่องเที่่�ยว การเดิินทาง มาซ้ำ ำ� ของนัักท่่องเที่่�ยว (Revisit) และการคาดการณ์์ การฟื้้�นตััวจากสถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโรค โควิิด – 19 ของประเทศดัังกล่่าว โดยพบว่่า ประเทศมีี ค่่าใช้้จ่่ายต่่อการเดิินทางสููง มีีอััตราการเดิินทางเข้้ามา ท่่องเที่่�ยวในประเทศไทยซ้ำ ำ� ได้้รัับการฉีีดวััคซีีนครบ ตามเป้้าหมาย และควรให้้ความสำำคััญเป็็นอัันดัับต้้น ๆ ได้้แก่่สหรััฐอเมริิกา สหราชอาณาจัักร สาธารณรััฐ ประชาชนจีีน ประเทศออสเตรเลีีย สหพัันธรััฐรััสเซีีย และประเทศญี่ ่�ปุ่่น 067

ล�ำดับ ล�ำดับ ประเทศ ประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อหัว (บาท/วัน/คน) จ�ำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางซ�้ำ (ร้อยละ) ตารางที่ 2-6 : ประเทศที่สร้างรายได้ให้ประเทศไทยสูงสุด ปีพ.ศ. 2562 ตารางที่ 2-7 : ประเทศที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยซ้ำสูงสุด ปีพ.ศ. 2562 สหราชอาณาจักร ประเทศออสเตรเลีย สหพันธรัฐรัสเซีย สหรัฐอเมริกา ประเทศญ ี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศมาเลเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศญ ี่ปุ่น ประเทศออสเตรเลีย ประเทศมาเลเซีย สหราชอาณาจักร ประเทศเยอรมนี สหพันธรัฐรัสเซีย สหรัฐอเมริกา ประเทศอินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน 1) 2) 3) 4) 5) 6) 7) 8) 9) 10) 1) 2) 3) 4) 5) 6) 7) 8) 9) 10) 8,249 7,752 7,499 7,301 5,665 5,154 4,408 4,332 3,375 2,715 96.16 77.19 73.62 72.26 70.90 68.12 65.89 63.98 59.70 49.10 แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 068

ล�ำดับ ประเทศ ระยะเวลาการฉีีดวััคซีีนป้้องกัันโรคโควิิด – 19 (ปีี) ตารางที่่� 2-8 : ระยะเวลาการฉีีดวััคซีีนป้้องกัันโรคโควิิด – 19 ประเทศอินเดีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สหพันธรัฐรัสเซีย ประเทศญ ี่ปุ่น ประเทศมาเลเซีย ประเทศออสเตรเลีย สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาชนจีน สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา 1) 2) 3) 4) 5) 6) 7) 8) 9) 10) 5 2 1.5 1.5 1.5 1 1 1 0.5 0.5 069

จากข้อมูลประชากรโลกของสหประชาชาติ(United Nations) แสดงให้เห็นแนวโน้มของจำนวนประชากรโลก ที่มีจำนวนมากข ึ้ นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 51 ปีขึ้นไปที่มีอัตราการเติบโต เร็วที่สุดจนกลายเป็น “สังคมผู้สูงอายุ” ซ ึ่งเป็นกลุ่ม Baby Boomers ผู้เกิดภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือระหว่างปี พ.ศ. 2489 - 2507จากการสำรวจของTripAdvisor.com และVirtuosoผู้สูงอายุกลุ่มนี้ ช ื่ นชอบรูปแบบการท่องเที่ยว ที่่�แตกต่่างจากกลุ่่ม Generation X และกลุ่่ม Millennials เป็็นอย่่างมาก โดยกลุ่่มนัักท่่องเที่่�ยวที่่�เป็็นผู้้สููงอายุุ มัักมีีลัักษณะในการท่่องเที่่�ยวต่่าง ๆ ดัังนี้้� • ผ้สูงูอายุจะมงบประมาณการใช้จ่ายในการ ีทอ่งเที่ยวมากกว่ากลุ่ม Generation X และกลุ่ม Millennials ถึง1.5เท่า • มีแนวโน้มในการท่องเที่ยวเพื่อความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจสูงที่สุด • มีความสนใจในการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมท้องถิ่น • การตัดสินใจท่องเที่ยวไม่ได้รับอิทธิพลจากราคาเที่ยวบินหรือข้อเสนอราคาพิเศษมากนัก • พ ึ่งพาข้อมูลเก ี่ยวกับการท่องเที่ยวผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อดั้งเดิมเป็นหลัก 1.4 โครงสร้างประชากรโลกและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ผลงานวิจัยจากการวิเคราะห์ข้อมูลของ TripAdvisor และ Virtuoso พบว่า ระหว่าง 3 กลุ่มนักท่องเที่ยว 1) Baby Boomers อายุ 51 ปีขึ้นไป 2) Generation X อายุ 36 ปีขึ้นไป และ 3) Millennials อายุ 17 ปีขึ้นไป กลุ่มนักทอ่งเที่ยวสงูอายุเป็นกลุ่มที่แสดงถึงโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายเนื่องจากเป็นกลุ่มนักทอ่งเที่ยวที่ให้ความสำคัญ กับคุณภาพในการทอ่งเที่ยวเดินทางทอ่งเที่ยวในช่วงนอกฤดกาลูมเวลาพี ำนักต่อการเดินทางที่ยาวนานประมาณ15วัน ถึง รูปที่ 2-18 : จำนวนประชากรโลกแบ่งตามช่วงอายุ จํานวนและการคาดการณประชากรโลก แบงตามชวงอายุ ตั้งแตป พ.ศ. 2523 - 2603 2523 0 2 4 6 8 10 12 พันลานคน 2533 2543 2553 2563 2573 2583 2593 2503 ตํ่ากวา 5 ป 5 - 14 ป 15 - 24 ป 25 - 64 ป 65+ ป แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 070

ตารางที่่� 2-9 : พฤติิกรรมการท่่องเที่่�ยวของประชากรในแต่่ละช่่วงอายุุ แหล่่งที่่�มา : EIC analysis based on data from TripAdvisor and Virtuoso 1เดือน มองหาความสะดวกสบายและความปลอดภัยระหว่างการเดินทางซงส่งผลให้ต้ ึ่ องมค่าใช้จ่าย ี ที่สงขูนตามไปด้วย ึ้ จากผลการสำรวจแนวโน้มการท่องเที่ยวประจำปีของ AARPResearch(พ.ศ.2564) พบผลสำรวจว่ายังมีกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ยังไม่ยกเลิกความตังใจ้ ที่จะไปทอ่งเที่ยวและต้องการที่จะไปทอ่งเที่ยวในโลกกว้างร้อยละ54วางแผนที่จะทอ่งเที่ยวใน ปีพ.ศ. 2564 และร้อยละ 13 ของกลุ่มผู้สูงอายุวางแผนท่องเที่ยวทางทะเลด้วยเรือสำราญ กลุ่่มประชากรชาว Generation X (เกิิดระหว่่างปีีพ.ศ.2508-2523) หรืือประชาชนที่มีีอ่� ายุุประมาณ 36 ปีีขึ้้�นไป จากการศึึกษารายงานเจาะเทรนด์์โลก2021โดยศููนย์์สร้้างสรรค์์งานออกแบบ (TCDC) พบว่่าเป็็นกลุ่่มที่่�ชอบหางานอดิิเรก (Hobbies) ที่่�แปลกใหม่่ให้้ตนเองอยู่่เสมอ โดยไม่่ได้้คำำนึึงว่่ากิิจกรรมเหล่่านั้้�นคืือสิ่่�งที่ ่� ทำำ ในยามว่่าง แต่่กลัับมองว่่าเป็็น การให้้เวลากัับตััวเอง ร้้อยละ 57 ที่่�ให้้ความสำำคััญกัับเรื่ ่� องโภชนาการทางอาหาร การออกกำำลัังกาย และปั่่�นจัักรยาน ทััวร์์นาเมนต์์ตััวอย่่างของการท่่องเที่่�ยวสำำหรัับกลุ่่มประชากรนี้้�ได้้แก่่การท่่องเที่่�ยวเชิิงผจญภััย(AdventureTourism) การท่่องเที่่�ยวเชิิงกีีฬา (Sport Tourism) เป็็นต้้น รูปแบบการท่องเที่ยว ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกสถานที่ท่องเที่ยว สื่อที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ Baby Boomers (อายุ 51 ปีขึ้นไป) Generation X (อายุ 36 ปีขึ้นไป) Millennials (อายุ 17 ปีขึ้นไป) ให้ความสำคัญกับการพักผ่อนหย่อนใจ การจองบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การเปรียบเทียบตัวเลือกทางออนไลน์ สังคมและวัฒนธรรม คำแนะนำจากเพื่อน ราคาค่าตั๋วเครื่องบินถูก ข้้อเสนอแพ็็กเกจที่ ่� พัักราคาถููกพิิเศษ ความเฉพาะเจาะจงของที่พัก ภาพยนตร์ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ การใช้จ่ายในการท่องเที่ยว (USD) 8,736 5,700 2,915 82% 84% 72% 52% 22% 13% 22% 20% 5% 11% 15% 79% 82% 71% 46% 28% 21% 23% 18% 10% 19% 17% 77% 90% 80% 46% 36% 36% 18% 11% 18% 22% 15% 071

สำำหรัับกลุ่่มประชากรชาว Millennials หรืือ Generation Y (เกิิดระหว่่างปีีพ.ศ. 2524 - 2539) จากรายงาน เจาะเทรนด์์โลก 2021 ของศููนย์์สร้้างสรรค์์งานออกแบบ (TCDC) พบว่่าร้้อยละ 73 ใช้้สื่ ่� อสัังคมออนไลน์์หลากหลาย เช่่น อิินสตาแกรม สแนปแชท ติ๊๊�กต็็อก เป็็นต้้น จึึงส่่งผลให้้มีีโอกาสทางธุุรกิิจเกิิดขึ้้�นเป็็นธุุรกิิจประเภท Direct-to-Consumer และร้้อยละ 77 มัักจะซื้้�อเครื่ ่� องดื่่�มและโพสต์์ลงโซเชีียลทุุกๆ สััปดาห์์ ส่่งผลต่่อรายได้้การเติิบโตของร้้านกาแฟ ร้้านชานม ไข่มุก และร้านอาหารที่กำลังเป็นที่นิยม ณ ขณะนั้น ซ ึ่งเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจบริการท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยว เชิงอาหาร (Gastronomy) หรือการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า (Slow Travel) ที่ไม่พึ่งพามัคคุเทศก์เป็นต้น สำหรับประชากรชาว Generation Z (เกิดระหว่างปีพ.ศ. 2540 - 2555) เป็นกลุ่มคนที่เกิดมากับโลกดิจิทัล อย่างแท้จริง เติบโตมาพร้อมกับความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา รายงานเจาะแนวโน้มโลก 2021 ของ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) กล่าวว่าร้อยละ 33 ใช้เวลามากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันในโลกออนไลน์ อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มนี้ ชอบท่องเที่ยวเพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมกับคนในชุมชน เช่น การทำกิจกรรม Workshop การทำงานฝีมือ การทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้าน เป็นต้น คนกลุ่มนี้ไม่สนใจสินค้าหรือโฆษณาจากผู้มีอิทธิพล(Influencers)แต่จะติดตาม บุคคลที่มีลักษณะคล้ายหรือมีความสนใจเรื่องเดียวกัน รูปแบบการตลาดเพื่อการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคดิจิทัล การทำการตลาดเพื่อการท่องเที่ยวต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในปัจจุบันนักท่องเที่ยวมีการเปลยนแปลง ี่ ในด้านของโครงสร้างกลุ่มนักท่องเที่ยว ตลอดจนมีการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยว อย่างรวดเร็ว (Tourism Marketing Technique Must Adapt toa Digital Era) จากการวิเคราะห์โครงสร้างประชากร ข้างต้น รวมถึงการวิจัยของธนาคารกรุงศรี พ.ศ. 2564 แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันมีประชากรในประเทศไทยอาศัยอยู่ ร่วมกันมาก และแต่ละกลุ่มประชากรมีลักษณะพฤติกรรม และความชอบในด้านการท่องเที่ยวที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ การสื่อสารการตลาดต้องปรับตัว แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 072

รูปที่ 2-19 : รูปแบบการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปตามโครงสร้างประชากรที่หลากหลาย ปจจุบันโครงสรางประชากรคอนขางหลากหลาย รวมถึงแตละกลุมคนยังมีความแตกตางกัน ทางพฤติกรรมและความตองการทางการทองเที่ยว การตลาดตองปรับตัวใหทันสมัย (Marketing New Version) Generation Travel Preference บริการที่ตองการ < 24 ป (เกิดหลังป 1995) + เปดใจกวาง + มุงทองเที่ยวตามที่กําหนด + รักการผจญภัยและทองเที่ยว เชิงนิเวศ + รักการเที่ยวกลางคืน + ความกลัวนอย + พรอมทองเที่ยวแบบ สนุกสนานในระยะสั้น + มีงบจํากัด + ความกลัวนอย + ตองการทองเที่ยวระยะสั้น + ตอบสนองตอแคมเปญ การทองเที่ยว + มีความกลัว + จํากัดการใชจายสูง หรือปริมาณสูง + จํากัดการทองเที่ยวเชิงธุรกิจ + มีความกลัว + จํากัดการทองเที่ยว บางรูปแบบ + มีความกลัว + จํากัดการทองเที่ยว + ทองเที่ยวคนเดียว หรือเปนคู กับคนใกลชิด + เยี่ยมเยียนครอบครัว + ชอบความพิเศษ + ทองเที่ยวแบบพักผอน โรแมนติก และเชิงกีฬา + ใหความสําคัญกับประสบการณ + เดินทางทองเที่ยวนอยกวากลุมอื่น + ทองเที่ยวกับครอบครัว + ทองเที่ยวเชิงกีฬาและธุรกิจ + ใหความสําคัญกับการพักผอน หยอนใจ + ไมชอบผจญภัย + ใชจายคอนขางสูง + ทองเที่ยวกับกลุมใหญๆ + ทองเที่ยวระยะยาว + ใชจายคอนขางสูง 24-37 ป (เกิดระหวางป 1981-1994) 38-53 ป (เกิดระหวางป 1965-1980) 54-72 ป (เกิดระหวางป 1946-1964) > 72 ป (เกิดกอนป 1946) Generation Y (Millennials) Generation X Generation Z Baby-Boomers Silver-Hair Generation สื่อสังคมออนไลน โฆษณาในรูปแบบตางๆ การทองเที่ยวแบบทัวร ใชการคนควาออนไลน การทองเที่ยวแบบทัวร การบอกตอ การทองเที่ยวแบบทัวร การบอกตอครอบครัว อายุ การเปลี่ยนแปลงหลังโควิด วิธีการทําการตลาดที่เปลี่ยนแปลงใหเหมาะสมกับยุคปจจุบัน การทําการตลาดทุกชองทางอยางไรรอยตอ เพื่อใหสามารถเขาถึงนักทองเที่ยวไดทุกกลม ทุกที่ และทุกเวลา (Omnichannel Marketing) จากสถิติผูใชสื่อสังคมออนไลนในประเทศไทย ป พ.ศ. 2564 พบ 55 ลานคน (78.7%) จึงควรทําการตลาดบนสื่อสังคมออนไลน (Social Media Marketing) การสื่อสารการตลาดอยางตรงใจนักทองเที่ยว ในทุกๆ รายละเอียด (Personalized Marketing) ดวยการวิเคราะหขอมูลขนาดใหญเชิงลึก (Big Data Analysis) การตลาดผานการสรางเนื้อหาดวยผูใชเอง (User Generated Content: UGC) ซึ่งจะมีผลตอนักทองเที่ยวมากกวาการตลาด ผานชองทางอื่น ๆ การตลาดผานผูมีอิทธิพล (Influencers) จะสงผลตอการตัดสินใจของนักทองเที่ยว มากกวารูปแบบการตลาดแบบดั้งเดิม เนื่องจากเปนบุคคลที่นักทองเที่ยวชื่นชอบ การตลาดผานชองทางที่เหมาะสมกับ กลุมเปาหมาย เชน การตลาดสถานที่ทองเที่ยว ผานภาพยนตร เปนตน 073

• การตลาดหลากหลายช่่องทางอย่่างไร้้รอยต่่อ (Omnichannel Marketing) ซึ่่�งเป็็นการติิดต่อ่ สื่ ่� อสารกัับนัักท่่องเที่่�ยวเป้้าหมายในหลากหลาย ช่อ่งทางที่่�เชื่อ ่� มโยงช่อ่งทางต่่างๆรวมเป็็นหนึ่่�งเดีียว โดยผสมผสานช่่องทางการสื่ ่� อสารทั้้�งแบบออนไลน์์ (Online) และออฟไลน์์(Offline) เข้้าด้้วยกััน • การตลาดผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ และสร้าง เนื้อหาให้เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม (Social Media Marketing) จากการศึกษาสถิติผู้ใช้ สื่อสังคมออนไลน์ในประเทศไทยปีพ.ศ. 2564 พบผู้ใช้งานมากถึง55ล้านคน คิดเป็นร้อยละ78.7 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ซ ึ่ งถือว่าเป็น จำนวนที่ค ่อนข้างมาก รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ แต่ละที่จะมการแสดงผลและการใช้งาน ี ที่แตกต่างกัน ดังนั้น การสร้างสรรค์และนำเสนอเนื้อหาจึงจำเป็น ต้องปรับให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของแต่ละ แพลตฟอร์ม • การสื่อสารการตลาดอย่างตรงใจนักท่องเที่ยวด้วย การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Personalized Marketing by Big Data Analysis) เนื่องจาก การที่จะทราบได้ถึงความต้องการที่แท้จริงของ นักท่องเที่ยวแต ่ละคนนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการ รวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาลของนักท่องเที่ยว เข้าด้วยกัน พร้อมทั้งวิเคราะห์เพื่อนำผลลัพธ์มา ปรับปรุงประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวและสร้าง ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งผ่านการตลาดที่ตรงใจ • การตลาดผ่่านการสร้้างเนื้้อหาด้้วยตััวผู้้ใช้้เอง (User Generated Content : UGC) การสร้้าง ประสบการณ์์การท่่องเที่่�ยวที่ ่�ดีีให้้กัับนัักท่่องเที่่�ยว พร้อ้มทั้้�งกระตุ้้นให้นั้ ักท่่องเที่่�ยวนั้้�นสร้้างเนื้้อ�หาและ เผยแพร่่ผ่่านช่่องทางของตนเอง จะเป็็นการสื่ ่� อสาร การตลาดที่่�เกิิดจากประสบการณ์์ที่่�เกิิดขึ้้�นจริิงของ นัักท่่องเที่่�ยวตลอดจนทำำ ให้้สามารถดึึงดููดความ สนใจของกลุ่่มเป้้าหมายที่่�ใกล้้ชิิดกัับนัักท่่องเที่่�ยว กลุ่่มนั้้�น ๆ ได้้มากยิ่่�งขึ้้�น • การสื่อสารการตลาดผ่านผู้มีอิทธิพล (Influencers) เนื่องจากผ้มูีอทิธิพลเป็นบุคคลที่มผี้ติดตามคู่อนข้าง มาก และได้รับความเชื่อถือจากผู้ติดตามเหล่านั้น ดังนัน้การตลาดผ่านผ้มูีอทิธิพลจงสามารึถส่งผลต่อ การตััดสิินใจของนัักท่่องเที่่�ยวคนอื่่�นที่ ่� ติิดตามผู้้มีี อิิทธิิพลนั้้�น ๆ ได้อย่้ ่างมีีประสิิทธิิภาพ • การตลาดผ่่านช่่องทางที่่เป็็นที่่ได้้รัับความสนใจ จากชีวิีิตประจำำวััน เนื่อ ่� งจากประชาชนมีีพฤติิกรรม ในการชมภาพยนตร์์อยู่่เป็็นประจำำเพื่ ่� อความ บัันเทิิง หรืือเพื่ ่� อวััตถุุประสงค์์อื่่�น ๆ ของแต่่ละคน อย่่างไรก็็ตาม การสื่อ ่� สารการตลาดสถานที่่�ท่่องเที่่�ยว ต่่าง ๆ ผ่่านละคร หรืือภาพยนตร์์ จึึงเป็็นอีีกหนึ่่�ง ช่องทางสำหรับการตลาดในปัจจุบัน ปััจจุ ุ บัันนัักท่่องเที่่ยวมี ี ลัักษณะ พฤติิกรรม และความชอบในการท่่องเที่่ยว ที่่แตกต่่างกััน ส่่งผลให้้การสื่่อสารตลาด ต้้องปรัับตััว แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 074

พฤติิกรรมการเดิินทางของนัักท่่องเที่่�ยวไทยและนัักท่่องเที่่�ยวต่่างชาติิที่่�เปลี่่�ยนไปจากสถานการณ์์การแพร่่ระบาด ของโรคโควิิด – 19 รวมทั้้�งแนวโน้้มการเปลี่่�ยนแปลงที่ ่� สำำคััญของโลก (Mega Trend) ความพร้้อมของอุุตสาหกรรม การท่่องเที่่�ยวไทย ทั้้�งในด้้านของแหล่่งท่่องเที่่�ยว ชุุมชนท่่องเที่่�ยวความยั่่�งยืืนของทรััพยากรและวััฒนธรรม และโครงสร้้าง พื้้�นฐานต่่างๆ พบว่่า มีีประเภทการท่่องเที่่�ยวที่่�ประเทศไทยมีีศัักยภาพ 7 ประเภท ได้้แก่่1)การท่่องเที่่�ยวเชิิงสร้้างสรรค์์และ วัฒนธรรม (Creative Tourism) 2) การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (MICE) 3) การท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) 4)การท่่องเที่่�ยวเชิิงสุุขภาพความงามและแพทย์์แผนไทย(MedicalandWellnessTourism)5)การท่่องเที่่�ยวสำำราญทางน้ำ ำ� (Coastal Maritime and River Tourism 6) การท่่องเที่่�ยวเชื่ ่� อมโยงอนุุภููมิิภาค ชุุมชน และนานาชาติิ(Connectivity Tourism) และ 7) การท่่องเที่่�ยวอย่่างมีีความรัับผิิดชอบ (Responsible Tourism) โดยมีีรายละเอีียดดัังต่่อไปนี้้� 1.5 รูปแบบและประเภทการท่องเที่ยวศักยภาพสูงของไทย การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม (Creative Tourism) การท่่องเที่่�ยวเชิิงสร้้างสรรค์์และวััฒนธรรมเป็็นรููปแบบของกิิจกรรมการท่่องเที่่�ยวที่ ่�มุ่่งเน้้นการใช้้องค์์ความรู้้และ นวััตกรรมในการสร้้างสรรค์์คุุณค่่าสิินค้้าและบริิการการท่่องเที่่�ยว เพื่ ่� อสร้้างประสบการณ์์ใหม่่ๆ แก่่นัักท่่องเที่่�ยวจาก แหล่่งท่่องเที่่�ยวที่มีี่� ความเกี่่�ยวข้อ้งกัับวััตถุสิุ่่�งของ ภููมิปัิัญญา จิิตวิิญญาณ และประวัติัิศาสตร์์หรืือผลิิตภััณฑ์์ทางวััฒนธรรม ทั้้�งที่ ่� จัับต้้องได้้(Tangible Culture) และที่ ่� จัับต้้องไม่่ได้้(Intangible Culture) ทั้้�งนี้้�การท่่องเที่่�ยวเชิิงสร้้างสรรค์์ เป็นประเภทการทอ่งเที่ยวที่ประเทศไทยมศักย ีภาพควรได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมากเนื่องด้วย1) ประเทศไทยมแหล่ง ี ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สร้างขึ้นมาในอดีตจำนวนมาก เช่น วัด โบราณสถาน เป็นต้น สอดคล้องกับความต้องการของ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในประเทศไทย จากสถิติการศึกษาพฤติกรรม การเดิินทางของนัักท่่องเที่่�ยวไทย จััดทำำ โดยการท่่องเที่่�ยวแห่่งประเทศไทย(ททท.) ในปีี2562 พบว่่า นัักท่่องเที่่�ยวไทย 075

เลืือกที่่�จะท่่องเที่่�ยว เพื่ ่� อสัักการะศาสนสถานและมีีความต้้องการท่่องเที่่�ยวเพื่ ่�อศึึกษาพื้้�นที่ ่� สำำคััญทางประวััติิศาสตร์์ ศึึกษาวิิถีีชีีวิิตวััฒนธรรมตามชุุมชนในระดัับสููง โดยมากกว่่าครึ่่�งของนัักท่่องเที่่�ยวไทยเลืือกที่่�จะท่่องเที่่�ยวทางศาสนา รองลงมาคือทอ่งเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ร้อยละ38.6ในทำนองเดยวกัน ีจากการศกษาสึถิติสัดส่วนของนักทอ่งเที่ยวต่างชาติ ในปีีพ.ศ. 2562 พบว่่า นัักท่่องเที่่�ยวต่่างชาติิประมาณร้้อยละ 55.16 เลืือกที่่�จะชื่่�นชมสถานที่ ่� ทางประวััติิศาสตร์์ โดยครอบคลุุมไปถึงึกิิจกรรมอื่่�นๆเช่่นการเข้้าวััด พิพิิธภััณฑ์์เป็็นต้้นตลอดจนการรัับประทานอาหารไทยหรืือเรีียนทำำอาหาร ไทยและท่่องเที่่�ยวงานเทศกาล ซึ่่�งกิิจกรรมทั้้�งหมดนี้้ ถูู�กจััดอยู่ในประเ่ภทการท่่องเที่่�ยวเชิิงสร้้างสรรค์์และวััฒนธรรมทั้้�งสิ้้�น 2) ประเทศไทยมีต้นทุนด้านสถานที่ท่องเที่ยวและความพร้อมของชุมชนในการนำเสนอกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ และวัฒนธรรมที่โดดเด่น โดยประเทศไทยมีความโดดเด่นของโขนไทย (Khon, masked dance drama in Thailand) ที่ ่� ถููกจััดเป็็นมรดกวััฒนธรรมอัันจัับต้อ้งไม่่ได้้(Intangible Heritage) โดยองค์์การ UNESCO นอกจากนี้้�ประเทศไทย ยัังมีีสถานที่่�ท่่องเที่่�ยวที่่�ได้้จดทะเบีียนเป็็นมรดกโลกหลายที่ ่� กระจายตามจัังหวััดของประเทศไทยซึ่่�งส่่วนมากเป็็น เมืืองโบราณสถาน ยกตััวอย่่างเช่่น อุุทยานประวััติิศาสตร์์พระนครศรีีอยุุธยา อุุทยานประวััติิศาสตร์์สุุโขทััย อุุทยาน ประวััติิศาสตร์์กำำแพงเพชร อุุทยานประวััติิศาสตร์์พนมรุ้้ง อุุทยานประวััติิศาสตร์์พิิมาย เป็็นต้้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีการพ ึ่งพาแหล่ง ท่องเที่ยวที่เป็นโบราณสถานหรือแหล่งท่องเที่ยว ที่เก ี่ยวข้องกับวัฒนธรรมหรือศิลปะโบราณอยู่มาก โดยแหล่งทอ่งเที่ยวหรือศิลปะและวัฒนธรรมที่ถูกสร้าง ขึ้้�นมาเป็็นเวลานานอาจทรุุดโทรมลงได้้ตามกาลเวลา ถึึง แ ม้้ว่่าจะเป็็นแหล่่งท่่อง เที่่� ย วที่่� ตอบโจทย์์ ความต้้องการของนัักท่่องเที่่�ยวที่ ่�ฝัักใฝ่่ประวััติิศาสตร์์ และวััฒนธรรมโบราณแต่่ในปััจจุบัุันนัักท่่องเที่่�ยวจำำนวน มากมีีความสนใจในศิิลปวััฒนธรรมสมััยใหม่่มากยิ่่�งขึ้้�น เช่น สตรีทอาร์ท (Street Art) โรงละครศิลปะร่วมสมัย เป็นต้น ซ ึ่งในประเทศไทยยังมีแหล่งท่องเที่ยว รูปแบบดังกล ่าวจำนวนน้อย และกระจุกตัวอยู่ใน พ ื้ นที่กรุงเทพมหานคร และเมืองท่องเที่ยวสำคัญ บางเมืองเท่านั้น การพัฒนาและสร้างแหล่งท่องเที่ยว เชิงสร้างสรรค์และศิลปวัฒนธรรมสมัยใหม่ และการ ปรับเปลี่ ยนรูปแบบการเล่าเรื่องเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับ วัฒนธรรมเดิมจะช่วยเพิ่มความหลากหลายและดึงดูด นักท่องเที่ยวให้กระจายออกไปต่างเมืองได้มากขึ้ น ปััจจุุบัันนัักท่่องเที่่ยวสนใจใน ศิิลปวััฒนธรรมสมััยใหม่่ มากขึ้้น ในขณะที่่ประเทศไทย ยัังมีีแหล่่งท่่องเที่่ยวรููปแบบ ดัังกล่่าวจำำนวนน้้อย การพััฒนาแหล่่งท่่องเที่่ยว เชิิงสร้้างสรรค์์ และศิิลปวััฒนธรรมสมััยใหม่่ และการปรัับเปลี่่ยน การเล่่าเรื่่อง เพิ่่มคุุณค่่าให้กั้ ับ วััฒนธรรมเดิิม จะช่่วยเพิ่่ม ความหลากหลาย และดึึงดููด นัักท่่องเที่่ยวให้้กระจาย ออกไปต่่างเมืืองได้้มากขึ้้น แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 076

รูปที่ 2-20 : อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายระหว่างการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจทั่วโลก การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (MICE) การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (MICE) หมายถึง การท่องเที่ยวขนาดใหญ่ 4 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจการจัดการประชุมขององค์กร (Meeting) การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentive) การจัดการประชุมนานาชาติ(Conventions) และการจัดการแสดง สินค้าและนิทรรศการ (Exhibitions) ซ ึ่ งการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจจัดเป็นประเภทการท่องเที่ยวที่ประเทศไทยมีศักยภาพ สืบเนื่องมาจากความต้องการเดินทางของนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจที่เดินทางมายังประเทศไทยมากข ึ้ นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์ทั้งจากต่างประเทศและนักเดินทางกลุ่มไมซ์ที่เดินทางในประเทศ รวมทั้งสิ้น 30,885,994 คน สร้างรายได้ให้ประเทศไทยรวมกว่า 201,017 ล้านบาท ทำให้ส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ 550,160 ล้านบาท มีสัดส่วน GDP หรือมูลค่าผลกระทบในด้านมูลค่าเพิ่มของประเทศอยู่ที่ร้อยละ 3.27 โดยมีนักเดินทาง กลุ่มไมซ์จากต่างประเทศทั้งสิ้น 1,273,981 คน ก่อให้เกิดรายได้93,971 ล้านบาท ยิ่่�งไปกว่่านั้้�น ประเทศไทยมีีจุุดแข็็งในการรองรัับนัักท่่องเที่่�ยวเชิิงธุุรกิิจและการส่่งเสริิมอุุตสาหกรรมไมซ์์ ในด้้าน ความได้้เปรีียบจากการที่ ่�มีีสาธารณููปโภคและสถานที่ ่� จััดกิิจกรรมไมซ์์ที่ ่�มีีมาตรฐาน ความพร้้อมและจุุดเด่่นที่่�แตกต่่างกัันไป ในแต่่ละภาค อาทิ ภิาคกลางมีีความพร้อ้ มในทุุกกลุ่่มงานและมีีบุุคลากรและสถานที่จั ่� ัดงานที่่�พร้อ้มรองรัับงานไมซ์์ในทุุกรููปแบบ ภาคเหนืือโดดเด่่นและมีีชื่อ ่� เสีียงด้้านวิถีีชีีวิิตล้้านนารวมถึงึธุุรกิิจด้้านสุุขภาพ การเกษตรและหััตถกรรม ภาคตะวัันออกเฉีียงเหนืือ จะโดดเด่่นด้้านเทคโนโลยีีการเกษตร มีีภููมิปัิัญญาผ้้าไหมหลากหลายชนิิดที่่�สามารถนำำมาเล่่าเรื่อ ่� ง ภาคตะวัันออกที่่�สามารถเน้้น เรื่องการพัฒนาพื้ นที่ EEC เป็นหลัก เช่น ธุรกิจเพาะปลูกผลไม้และธุรกิจพลอยที่น่าสนใจ และภาคใต้นอกจากความโดดเด่น เรื่องทะเล ยังคงมีการเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจกับประเทศมาเลเซียเช่นกัน ประกอบกับประเทศไทยมีสถานที่ ที่เอื้ออำนวยต่อการจัดกิจกรรมไมซ์เช่น แหล่งทอ่งเที่ยวทางด้านวัฒนธรรมและแหล่งทอ่งเที่ยวทางธรรมชาติ ที่มจุดเด่นมากกว่า ี ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ ประเทศไทยมีจุดแข็งในด้านความคุ้มค่า (Valuefor Money)ความสามารถ ในการแข่งขันด้านราคา และภาพลักษณ์และชื่อเสียงด้านการบริการ อัตราการเติบโตของการใชจายระหวางการทองเที่ยวของนักทองเที่ยวเชิงธุรกิจทั่วโลก ระหวางป พ.ศ. 2553 ถึง ป พ.ศ. 2562 2553 2554 2555 2556 2557 2558 2559 2560 2561 2562 0 1 2 3 4 5 6 7 8 รอยละของการเปลี่ยนแปลง 4.6 7.4 2.3 2.9 2.4 3.7 3.6 3.9 3.9 2.6 077

การท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) การท่องเที่ยวเชิงกีฬา ประกอบไปด้วย 3 ประเภท ได้แก่ 1) การท่องเที่ยวงานหรือมหกรรมกีฬา (Sport Event Tourism) ซ ึ่งเป็นงานที่มีลักษณะเฉพาะ 2) การท่องเที่ยวเพื่อเล่นกีฬา (Active Sport Tourism) การเข้าร่วมกิจกรรม ที่มีการเล่นกีฬาหรือเพื่อเข้าร่วมแข่งขันกีฬา 3) การท่องเที่ยวเชิงกีฬาเพื่อความทรงจำ (Nostalgia Sport Tourism) คือการเดินทางไปยังสถานที่ที่เกยวข้ ี่ องกับกฬาี ที่มชีื่อเสยงี และการเข้าค่ายกฬากับนักก ีฬาี ที่มชีื่อเสยงี ทงนั้ ี้ การทอ่งเที่ยว เชิงกีฬาของประเทศไทย เป็นการท่องเที่ยวที่น่าสนใจและมีศักยภาพ เนื่องจากสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวโดยบริษัทวิจัยการตลาดTechnavioคาดว่าการท่องเที่ยวเชิงกีฬาของโลก จะมมีลค่าู5.7ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีพ.ศ.2564เพิมข่นเฉล ึ้ ยร้ ี่ อยละ32ต่อปีในขณะที่การบริโภคเพื่อการทอ่งเที่ยว เชิิงกีีฬาของไทยในปีีพ.ศ.2560 มีีมููลค่่า157,606 ล้้านบาท และเพิ่่�มขึ้้�นในปีีพ.ศ.2561 มีีมููลค่่าเป็็น 177,550 ล้้านบาท คิิดเป็็นร้้อยละ 12.65 อีีกทั้้�งประเทศไทยมีีกีีฬามวยไทยที่่�เป็็นเอกลัักษณ์์ของชาติิและกีีฬาอื่่�น ๆ ที่่�เป็็นที่ ่� นิิยมสำำหรัับ นักทอ่งเที่ยวต่างชาติเช่น กฬากีอล์ฟ และกฬาดี ำน้ำ เป็นต้น จากการศกษาสึถิติที่จัดทำโดยการทอ่งเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พบว่า มวยไทยสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในปีพ.ศ. 2561 สูงถึง 100,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5 จากรายได้การท่องเที่ยวทั้งหมด อีกทั้งสามารถสร้างกำไรจากการขายของที่ระลึกที่เก ี่ยวข้อง แก่นักท่องเที่ยว นอกจากนี้้�ประเทศไทยยัังคงมีีความพร้้อมด้้านมีีศููนย์์การฝึึกซ้้อมกีีฬาและสนามกีีฬา โดยประเทศไทยมีีสนามกีีฬา ที่ ่�มีีความจุุมากกว่่า 5,000 ที่ ่�นั่่�ง มากถึึง 69 สนาม อีีกทั้้�งมีีต้้นแบบเมืืองท่่องเที่่�ยวเชิิงกีีฬา เช่่น บุุรีีรััมย์์ ซึ่่�งคว้้าแชมป์์ ไทยแลนด์์พรีีเมีียร์์ลีีกถึึง 6 สมััย ยอดนัักท่่องเที่่�ยวเดิินทางมาเพิ่่�มขึ้้�นเฉลี่่�ยร้้อยละ 10 ตั้้�งแต่่ปีีพ.ศ. 2555 – 2558 แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 078

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ความงาม และ แพทย์แผนไทย (Medical and Wellness Tourism) การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ความงาม และแพทย์ แผนไทยสามารถแบ่งออกเป็น2แบบคือ 1)การทอ่งเที่ยว เชิงการแพทย์ (Medical Tourism) โดยกิจกรรม ในการท่องเที่ยวลักษณะนี้ประกอบไปด้วยการตรวจ ร่างกายการทำทันตกรรม เสริมความงาม การแปลงเพศ เป็นต้น และ 2) การทอ่งเที่ยวเชิงสุขภาพและส่งเสริม สุุขภาพ (Wellness Tourism) ประกอบไปด้้วยการทำำ กิิจกรรมสุุขภาพทางวััฒนธรรม การปรัับสมดุุลของ อาหาร ปรัับสภาพจิิตใจ เช่่น กิิจกรรมการนวด การทำสปา อาบน้ำแร่หรือน้ำพุร้อน ฝึกปฏิบัติสมาธิและ การใช้สมุนไพรเพื่อสุขภาพ เป็นต้น ทงนั้ ี้ การทอ่งเที่ยว เชิงสุขภาพ ความงาม และแพทย์แผนไทยเป็นประเภท การท่องเที่ยวที่ประเทศไทยมีศักยภาพการให้บริการ ในคุณภาพสงูเนื่องด้วย 1) ประเทศไทยมโรงพยาบาล ี ที่ได้การรับรองมาตรฐาน JCI69โรงพยาบาลเป็นอันดับ ที่ 4ของโลกและอันดับที่ 1ในเอเชยตะวัน ีออกเฉยงใต้ ี 2) การนวดแผนไทยซ ึ่งได้ขึ้ นทะเบียนมรดกโลก 3) การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของประเทศไทย ติิดอัันดัับ 6 ของโลกที่ ่� นัักท่่องเที่่�ยวให้้ความสนใจ อัันดัับต้้น ๆ ในภููมิิภาคเอเชีีย คิิดเป็็นร้้อยละ 38 4) อุุตสาหกรรมการท่่องเที่่�ยวเชิิงสุุขภาพเป็็นรููปแบบ การท่่องเที่่�ยวที่่�สามารถทำำ รายได้้สููงเทีียบกัับรููปแบบ การท่่องเที่่�ยวอื่่�น ๆ โดยใน ปีีพ.ศ. 2561 อุุตสาหกรรม ท่่องเที่่�ยวเชิิงสุุขภาพของประเทศไทยติิดอัันดัับ 13 ของโลกและสร้างรายได้มากกว่า 9.4 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้้�การท่่องเที่่�ยวเชิิงสุุขภาพ ความงาม และ แพทย์์แผนไทย ยัังคงเป็็นรููปแบบการท่่องเที่่�ยวที่่�สามารถ สอดรัับกัับแนวโน้้มความต้้องการของนัักท่่องเที่่�ยว ไทยและนัักท่่องเที่่�ยวต่่างชาติิที่่�สนใจการท่่องเที่่�ยว เชิิงสุุขภาพความงามและแพทย์์แผนไทยสููงขึ้้�นเนื่อ ่� งจาก แนวโน้้มการเข้้าสู่่สัังคมสููงวััยในหลายๆ ประเทศรวมทั้้�ง ความก้้าวหน้้ าทางเทคโนโลยีีด้้านสุุขภาพที่ ่�มีี การพััฒนาขึ้้�นแบบก้้าวกระโดด ทั้้�งความรู้้ ทางการแพทย์์ ยา เวชภััณฑ์์และเครื่ ่� องมืือทางการแพทย์์ รููปแบบ ใหม่่ๆ ที่ ่� ทำำ ให้้ประชากรทั่่�วโลกมีีอายุุขััย เพิ่่�มขึ้้�นและ สถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด–19 ส่่งผลให้้ ผู้้บริิโภคและนัักท่่องเที่่�ยวใส่่ใจสุุขภาพตนเอง มากยิ่่�งขึ้้�น จึึงเป็็นโอกาสที่ดีีที่� ่�ประเทศไทยจะสนัับสนุุน การท่่องเที่่�ยวเชิิงสุุขภาพ ความงาม และแพทย์์แผนไทย โดยเฉพาะการพััฒนาเทคโนโลยีีด้้านสุุขภาพ (Health Teach หรืือ Digital Health) ซึ่่�งเป็็นปััจจััยสำำคััญ อย่่างยิ่่�งในการขัับเคลื่อ ่� นอุุตสาหกรรมการแพทย์์ครบวงจร ที่่�สามารถเพิ่่�มช่่องทางการสื่ ่� อสารระหว่่างผู้้ป่่วย และแพทย์์และสามารถสร้้างความไว้้วางใจกัับผู้้ใช้้ บริิการได้้มากยิ่่�งขึ้้�น รวมไปถึึงการพััฒนามาตรฐาน การผลิิต/การบริิการ โครงสร้้างพื้้�นฐาน สิ่่�งอำำนวย ความสะดวกต่่าง ๆ และความเชี่่�ยวชาญในการรัักษา โรคเฉพาะทางที่่�เข้้มข้้นมากขึ้้�น เพื่ ่� อเพิ่่�มความสามารถ ในการแข่่งขัันกัับประเทศอื่่�น ๆ อาทิิ สิิงคโปร์์มาเลเซีีย อิินเดีีย และกาตาร์์ที่ ่� ต่่างมีีนโยบายผลัักดัันประเทศให้้ เป็็นศููนย์์กลางบริิการด้้านสุุขภาพเช่่นกััน การแพร่ระบาดของ โรคโควิิด – 19 ส่่งผลให้้ ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยว ใส่ใจสุขภาพตนเอง มากยิ่งขึ้น 079

การท่องเที่ยวส�ำราญทางน�้ำ (Coastal Maritime and River Tourism) การท่องเที่ยวสำราญทางน้ำ เป็นรูปแบบหนึ่ งของการท่องเที่ยวที่ใช้เส้นทางน้ำเป็นสื่อกลาง ในการท่องเที่ยว ซงรวมไป ึ่ ถึงการทำกิจกรรมทางน้ำ ทงนั้ ี้ การทอ่งเที่ยวสำราญทางน้ำเป็นประเภทการทอ่งเที่ยวที่ประเทศไทยมศักย ีภาพ เนื่องจาก ประเทศไทยมีสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวในการรองรับนักท่องเที่ยวที่สนใจด้านการท่องเที่ยวสำราญทางน้ำ เช่น เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ชุมพร และระนอง อีกทั้ง มีความพร้อมในการจัดกิจกรรมทางน้ำที่หลากหลาย อาทิ การดำำน้ำ ำ�ทั้้�งน้ำ ำ�ตื้้�นและน้ำ ำ�ลึึก เวคบอร์์ด (Wakeboard) เจ็็ตสกีี (Jet ski) และ ล่่องแก่่ง (Rafting) เป็็นต้้น ยิ่่�งไปกว่่านั้้�น ประเทศไทยมีีธุุรกิิจการเดิินทางท่่องเที่่�ยวทางน้ำ ำ� ทั้้�งทางทะเล เลีียบชายฝั่่�ง และลุ่่มแม่่น้ำ ำ� ต่่าง ๆ ที่ ่�มีีความโดดเด่่นและ มีีคุุณภาพสููงจำำนวนมาก สอดคล้้องกัับแนวโน้้มการท่่องเที่่�ยวด้้วยเรืือสำำ ราญโลกที่กำ ่� ำลัังเติิบโตอย่่างต่อ่เนื่ ่� อง ตลอดช่่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจำนวนผู้โดยสารเรือสำราญในช่วง 5 ปีหลัง สูงข ึ้ นทุกปีคิดเป็นร้อยละ 30 ตลอดช่วงเวลา ระหว่างปีพ.ศ. 2558 มีจำนวนนักท่องเที่ยวสำราญทางน้ำ 23.06ล้านคน และในปีพ.ศ. 2562 เพิ่มข ึ้นเป็น 30ล้านคน โดยนักท่องเที่ยว3 ประเทศแรกที่นิยมล่องเรือสำราญ 1)ชาวอเมริกัน 2)ชาวจีน และ3)ชาวเยอรมัน ในส่วนของอัตรา การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวสำราญทางน้ำของประเทศไทย จากการศึกษาสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวเรือสำราญ โดยสมาคมเรือสำราญระหว่างประเทศ (Cruise Lines International Association : CLIA) พบว่า อัตราการเติบโต (CAGR) การใช้บริการเรือสำราญในไทยในช่วง พ.ศ. 2557 - 2562 สูงข ึ้ นถึงร้อยละ 13 ในขณะที่เอเชียมีการเติบโตที่ ร้อยละ14และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร้อยละ7 ทั้งนี้ TripBarometerTravelTrendsคาดการณ์ว่าทวีปเอเชียจะเป็น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวสำราญทางน้ำ โดยภูเก็ต เกาะสมุย และแหลมฉบัง จะเป็นที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว นอกจากนี้้�เนื่ ่� องด้้วยสถานการณ์์การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด – 19 ทำำ ให้้นัักท่่องเที่่�ยวมีีความกัังวลเรื่ ่� อง ความสะอาดและความปลอดภัยซง ึ่ อาจจะส่งผลกระทบต่อการทอ่งเที่ยวสำราญทางน้ำ ดังนัน้สมาคมเรือสำราญระหว่าง ประเทศ(CruiseLines International Association: CLIA)จึงได้ประกาศมาตรการคัดกรองผู้โดยสารและลูกเรือหรือ ‘โปรโตคอล’ อย่างเป็นทางการ เพื่อให้สมาชิกเรือสำราญในกลุ่ม CLIA ที่คิดเป็นร้อยละ 90 ของเรือสำราญทั่วโลกนำไป ปฏิบัติสร้างความมั่นใจให้กับนักเดินทางมากยิ่งข ึ้ น แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 080

การท่องเที่ยวเชื่อมโยงอนุภูมิภาค ชุมชน และนานาชาติ (Connectivity Tourism) การส่่งเสริิมการท่่องเที่่�ยวเชื่ ่� อมโยงอนุุภููมิิภาค ชุุมชน และนานาชาติิของประเทศไทย เป็็นการส่่งเสริิม ให้้ประเทศไทยเป็็นศููนย์์กลางการเชื่ ่� อมโยงเส้้นทาง การทอ่งเที่ยวภายในภูมิภาคอาเซยนี โดยใช้ประโยชน์จาก ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และแผนการลงทุนพัฒนาโครงสร้าง พ ื้นฐานด้านคมนาคมทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และ ทางอากาศ ตลอดจนความสัมพันธ์และความร ่วมมือ อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยง เส้นทางการท่องเที่ยวภายในประเทศอนุภูมิภาค และ อาเซียนเข้าด้วยกันบนพื้ นฐานอัตลักษณ์เดียวกัน อีกทั้ง ยังส่งผลให้เกิดการกระจายความเจริญอย่างครอบคลุม ตลอดจนเกิดการเผยแพร ่วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ ความเป็นไทยไปสู่สายตาประชากรโลกในวงกว้าง ซ ึ่ งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาการท่องเที่ยวของ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นการทอ่งเที่ยว โดยมแนวีทางการพัฒนาเส้นทางการทอ่งเที่ยวที่เชื่อมโยง ระหว่างประเทศในภูมิภาค โดยใช้ประโยชน์จาก โครงข่่ายคมนาคมที่ ่�มีีในปััจจุุบัันและที่่�จะเกิิดขึ้้�นใหม่่ ตามแผนพััฒนาในอนาคต การอำำ นวยความสะดวกใน การเดิินทางระหว่่างประเทศโดยการพััฒนาและยกระดัับ พิธีีผ่ิ ่านแดนของการเดิินทางในทุุกรููปแบบอย่่างไร้้รอยต่อ ่ การปรับปรุงและแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อ การเดินทางข้ามแดนของนักท่องเที่ยว และการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ความรู้ เผยแพร่ข้อมูล และอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่นักท่องเที่ยว ตลอดจนส่งเสริมการตลาดการทอ่งเที่ยวระหว่างประเทศ ร ่วมกันให้สอดรับกับทิศทางและแนวโน้มของตลาด ยุคใหม ่โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้สอดรับกับ พฤติกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ การท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Tourism) การท่่องเที่่�ยวอย่่างมีีความรัับผิิดชอบเป็็นการท่่องเที่่�ยว ที่ ่�มุ่่งเน้้นการเดิินทางท่่องเที่่�ยวที่่�ไม่่ทำำลายสัังคมและ สิ่่�งแวดล้้อม แต่่ยัังคงสร้้างประโยชน์์ให้้สัังคม สร้้างประโยชน์์ให้้แก่่ผู้้คนในท้้องถิ่่�น สร้้างการกระจาย ในการอนุุรัักษ์์ธรรมชาติิและแหล่่งท่่องเที่่�ยวธรรมชาติิ เพื่ ่� อรัักษาไว้้ซึ่่�งความหลากหลายทางชีีวภาพ รวมถึึง การแก้ปั้ ัญหา หรืือผลกระทบที่่�เกิิดจากการเปลี่่�ยนแปลง ทางสภาพภููมิิอากาศ ซึ่่�งนัับเป็็นประเด็็นที่ ่�ทั่่�วโลกกำำลััง ให้้ความสนใจ สอดคล้้องกัับที่่�นายกรััฐมนตรีีได้้ประกาศ เจตนารมณ์์ในการประชุุมระดัับผู้้นำำ (World Leaders Summit) ในการประชุุมรััฐภาคีีกรอบอนุุสััญญา สหประชาชาติิว่่าด้้วยการเปลี่่�ยนแปลงสภาพภููมิิอากาศ (UnitedNationsFrameworkConventiononClimate Change Conference of the Parties : UNFCCC COP-COP 26) ณ เมืืองกลาสโกว์์สหราชอาณาจัักร ว่่าไทยพร้้อมยกระดัับการแก้้ไขปััญหาภููมิิอากาศ อย่่างเต็็มที่ ทุ ่� ุกวิถีีทิางเพื่อ ่� บรรลุุเป้้าหมายความเป็็นกลาง ทางคาร์์บอน ภายในปีีค.ศ. 2050 และบรรลุุเป้้าหมาย การปล่อ่ยก๊๊าซเรืือนกระจกสุทธิุิเป็็นศููนย์์ได้้ในปีีค.ศ. 2065 ร้้อยละ 87 ของ ผู้้เดิินทางชาวไทย เชื่่อว่่าผู้้คนต้้อง เดิินทางท่่องเที่่ยวในวิถีิ ี ยั่่งยืืนตั้้งแต่่ตอนนี้้ เพื่่อรัักษาโลกใบนี้้ ไว้้ให้้คนรุ่่นต่่อไป 081

ทั้้�งนี้้�การท่่องเที่่�ยวอย่่างมีีความรัับผิิดชอบเป็็นรููปแบบ การท่่องเที่่�ยวที่่�ประเทศไทยมีีศัักยภาพเนื่อ ่� งจากนัักท่่องเที่่�ยว ไทยและนัักท่่องเที่่�ยวต่่างชาติิให้้ความสนใจการท่่องเที่่�ยว อย่่างมีีความรัับผิิดชอบเพิ่่�มมากขึ้้�น จากผลการสำำรวจ ความคิิดเห็็นของผู้้เดิินทางกว่่า29,000คนใน 30 ประเทศ เกี่่�ยวกัับการท่่องเที่่�ยวอย่่างมีีความรัับผิิดชอบ ของบุ๊๊คกิ้้�ง ดอทดอม พบว่่า ร้้อยละ 55 ของนัักท่่องเที่่�ยวทั่่�วโลก มีีความมุ่่งมั่่�นที่่�จะใช้้บริิการการท่่องเที่่�ยวที่ ่�มีีความยั่่�งยืืน และช่่วยเหลืือชุุมชนท้อ้งถิ่่�น ร้อ้ยละ56ของนัักท่่องเที่่�ยว ทั่่�วโลกคิิดว่่าการใช้้บริิการที่ ่� พัักที่ ่�มีีความรัับผิิดชอบต่่อ สัังคมและสิ่่�งแวดล้อ้มมีีความจำำเป็็นอย่่างยิ่่�ง อีีกทั้้�ง ร้อ้ยละ 87 ของผู้้เดิินทางชาวไทยเชื่ ่� อว่่าผู้้คนต้้องเดิินทาง ท่่องเที่่�ยวในวิิถีียั่่�งยืืนตั้้�งแต่่ตอนนี้้�เพื่ ่� อรัักษาโลกใบนี้้�ไว้้ ให้้คนรุ่่นต่่อไป และร้้อยละ 66 ของผู้้เดิินทางชาวไทย ยอมรัับว่่า การแพร่่ระบาดได้้เปลี่่�ยนทััศนคติิให้้พวกเขา ลงมืือสร้้างความเปลี่่�ยนแปลงเชิิงบวกในชีีวิิตประจำำวััน อาทิิการรีีไซเคิิล (ร้้อยละ 50) และการลดขยะอาหาร (ร้้อยละ 28) ในขณะเดีียวกััน จากสถิิติิการสำำรวจของ อโกด้้า (พ.ศ. 2564) แสดงให้้เห็็นถึึงแนวโน้้มสำำคััญ ในด้้านการระบุุตััวเลืือกการท่่องเที่่�ยวที่่�เป็็นมิิตรต่่อ สิ่่�งแวดล้อ้ม การจำำกััดการใช้้พลาสติิกแบบใช้้ครั้้�งเดีียวแล้้ว ทิ้้�ง การเสนอสิ่่�งจููงใจทางการเงิินแก่่ผู้้ให้้บริิการที่ ่� พัักที่่�ใช้้ พลัังงานอย่่างมีีประสิทธิภิาพ และการสร้้างพื้้�นที่คุ้้่� มครอง ให้้มากขึ้้�นเพื่อจำ ่� ำกััดจำำนวนนัักท่่องเที่่�ยว นอกจากนี้้�เมื่อพิ ่� ิจารณาความพร้อ้มของประเทศไทย ในการสนัับสนุุนการท่่องเที่่�ยวอย่่างมีีความรัับผิิดชอบ พบว่าในหลายพน ื้ ที่ของประเทศไทยเป็นพน ื้ ที่ด้อยพัฒนา และควรได้รับการพัฒนาและอนุรักษ์ที่สามารถจัดการ การท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบได้โดยในปี2563 ประเทศไทยติดอันดับจุดหมายที่นักท่องเที่ยวจิตอาสา เลือกเดินทางมาเที่ยวมากที่สุด1ใน 6 อันดับแรกทั่วโลก ซ ึ่งโปรแกรมการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมที่สุด ได้แก่ 1) การช่วยเหลือช้าง และ 2) การอนุรักษ์ธรรมชาติหรือ กิจกรรมเชิงเกษตร นอกจากการส่งเสริมรปแบบและประเูภทการทอ่งเที่ยว ศักยภาพสูงของไทยด้วยการพัฒนาโครงสร้าง หรือ กิจกรรมที่ตอบสนองต่อรปแบบการูทอ่งเที่ยวศักยภาพสงู การทอ่งเที่ยวไทยยังควรส่งเสริมให้นักทอ่งเที่ยวในแต่ละ รูปแบบมีการพำนักระยะยาวมากยิ่งข ึ้ น (Long-Stay Tourism) ซ ึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ของประเทศ ทั้งนี้ มูลนิธิด้านการท่องเที่ยวพำนักระยะ ยาว(LongStayFoundation)ของประเทศญ ี่ปุ่น ได้ให้ คำนิยามไว้เป็นการเดินทางท่องเที่ยวที่มีระยะเวลา การพำนักตังแต่้ 2สัปดาห์จนถึง2-3เดือน หรือ 2-3 ปี ซงควรส่งเสริมการพ ึ่ ำนักระยะยาวกับนักทอ่งเที่ยวทุกกลุ่ม โดยกลุ่่มเป้้าหมายหลัักของประเทศไทยคืือนัักท่่องเที่่�ยว รููปแบบการท่่องเที่่�ยวศัักยภาพสููงต่่าง ๆ ข้้างต้้น เช่่น 1)กลุ่มนักทอ่งเที่ยวที่เข้ามาเพื่อรักษาสุขภาพและพักฟื้น 2)กลุ่มนักทอ่งเที่ยวเกษยณีอายุที่ขาดผ้ดูแลและตู้องการ มาใช้ชีวิตบั้นปลายในประเทศไทย 3) กลุ ่มนักเรียน และนักศึกษา ทั้งจากหลักสูตรระยะสั้นและโครงการ แลกเปลี่่�ยน และ 4) กลุ่่มนัักกีีฬาที่่�มาเก็็บตััวฝึึกซ้้อม และกลุ่่มนัักท่่องเที่่�ยวที่ ่� ต้้องการเข้้ามาเรีียนรู้้และฝึึกฝน ทัักษะด้้านกีีฬา อีีกทั้้�งการท่่องเที่่�ยวไทยยัังควรส่่งเสริิม การท่่องเที่่�ยวที่่�เน้้นชอปปิิง (Shopping Paradise) สำำหรัับนัักท่่องเที่่�ยวทุุกกลุ่่ม โดยเฉพาะกลุ่่มนัักท่่องเที่่�ยว รููปแบบท่่องเที่่�ยวศัักยภาพสููงต่่าง ๆ เช่่น การซื้้�อสิินค้้า ด้้านอุุปกรณ์์การกีีฬา การซื้้�อสิินค้้าและบริิการด้้าน การแพทย์สุขภาพ ความงาม การซื้อสินค้าและบริการ ที่เป็นสินค้ารักษ์โลกอย่างยั่งยืน เป็นต้น นอกจากจะช่วย เพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวแก ่นักท่องเที่ยวแล้ว ยังช่วยขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย เช่นกัน แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 082

ในปััจจุุบัันประเทศไทยได้้มีีการปรัับใช้้เทคโนโลยีีในภาคอุุตสาหกรรมการท่่องเที่่�ยวได้้อย่่างหลากหลาย เช่่น การใช้้เทคโนโลยีีวััตถุุเสมืือนและโลกเสมืือน (Augmented Reality - AR และ Virtual Reality - VR) เพื่ ่� อช่่วยเหลืือ นัักท่่องเที่่�ยวในด้้านการเดิินทางและค้้นหาสถานที่ผ่ ่� ่านแอปพลิิเคชัันแบบ Real Time การจำำลองสถานที่่�ประวััติิศาสตร์์ ของไทยที่่�ไม่่ได้้เปิิดให้้เข้้าชม และเพิ่่�มคุุณค่่าให้้ประสบการณ์์การท่่องเที่่�ยว การใช้้เทคโนโลยีี 5G ในการสนัับสนุุนด้้าน อื่่�น ๆเพื่อ ่� เพิ่่�มความแม่่นยำำและรวดเร็็วของการสื่อ ่� สาร ร่่วมกัับเทคโนโลยีีอิินเทอร์์เน็็ตของสรรพสิ่่�ง(InternetofThings) และระบบคลาวด์์(Cloud)จะทำำ ให้้สามารถยกระดัับการบริิการแก่นั่ ักท่่องเที่่�ยวมากยิ่่�งขึ้้�น โดยมีีตััวอย่่างของการประยุุกต์์ ใช้้เทคโนโลยีีดิิจิิทััลในอุุตสาหกรรมการท่่องเที่่�ยว ดัังนี้้� 1.6 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว • การใช้เทคโนโลยีที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวไร้สัมผัส (Contactless) เช่น เทคโนโลยีการสั่งงานด้วยเสียงในลิฟต์หรือ ในห้องพัก การใช้Digital Key ในการปลดล็อกห้องพักผ่าน Smart Phones เพื่อมอบบริการที่สะดวกสบายเหนือ ระดับให้กับลูกค้า รวมถึงการประยุกต์ใช้ระบบเซนเซอร์สั่งการแทนการสัมผัส การยืนยันตัวบุคคลด้วยไบโอเมตริก เป็นต้น ซ ึ่งการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวตลอดการเดินทาง • การนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นอกเหนือจากการใช้งานในภาค การเงินของประเทศไทยเช่น การพัฒนาระบบพาสปอร์ตให้เป็นดิจิทัลพาสปอร์ต(DigitalPassport)ซงจะสามาร ึ่ ถ ลดการปลอมแปลงพาสปอร์ตและลดอัตราการเข้าประเทศไทยของนักท่องเที่ยวแฝง หรือจะสามารถนำไปปรับใช้ ในการพัฒนา Covid Passport ที่ทำให้สามารถตรวจสอบประวัติการฉีดวัคซีนของนักท่องเที่ยวได้อย่างแม่นยำ ตลอดจนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการเก็บข้อมูลนักท่องเที่ยวเพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูลเก ี่ยวกับ นักท่องเที่ยวที่ครอบคลุมทุกมิติ 083

• การใช้ปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence)และพัฒนาระบบเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internetof Things) มากยิงข่น ึ้ เพื่อพัฒนาการบริการทางดิจิทัลสำหรับนักทอ่งเที่ยวภายในโรงแรม สถานที่ทอ่งเที่ยว หรือสถานที่ ที่่�เกี่่�ยวข้้อง เช่่น การใช้้หุ่่นยนต์์ในการเสิิร์์ฟอาหารภายในโรงแรมเพื่ ่� อลดการสััมผััสกัับพนัักงานจากสถานการณ์์ การแพร่่ระบาดของโรคโควิิด–19การใช้้Bot ในการพููดคุุยโต้้ตอบกัับนัักท่่องเที่่�ยว หรืือการใช้้หุ่่นยนต์์เพื่ ่� อรองรัับ นัักท่่องเที่่�ยวสููงวััย • การขยายการใช้งานของเทคโนโลยโลกเสม ี ือน AR/VRและExtended Reality(XR) ในอุตสาหกรรมการทอ่งเที่ยว เช่น ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AR/VR มาช่วยในการพัฒนาแพลตฟอร์มให้สามารถประชาสัมพันธ์สินค้าชุมชนได้อย่าง มีประสิทธิภาพมากยิ่งข ึ้ น เช่น สามารถดูรายละเอียดสินค้าด้วยภาพเสมือนจริงได้360 องศา หรือสามารถลอง สินค้าประเภทเครื่องแต่งกายก่อนการตัดสินใจสั่งซื้อจริง เป็นต้น • การสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวออนไลน์แทนการเดินทางจริง (Online Travel Experience) ซ ึ่ งทั้งในและ ต่างประเทศมีการริเริ่มมาก่อนในช่วงปีที่ผ่านมา เช่น การเย ี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สวนสัตว์และสถานที่ท่องเที่ยว ผ่านโปรแกรมประชุมทางไกล การจัดคอนเสิร์ตออนไลน์การจัดงานกาชาดออนไลน์การจัดนิทรรศการออนไลน์ รูปแบบ 3D Virtual Space ที่มีทั้งภาพ เสียง และวิดีโอ เป็นต้น • การประยุุกต์์ใช้้เทคโนโลยีีและนวััตกรรมใหม่่ๆเพื่อ ่� ยกระดัับมาตรฐานของสถานที่จั ่� ัดงานและการประชุุมขนาดใหญ่่ โดยเข้้ามาช่่วยจััดการจำำนวนผู้้ร่่วมงานและสร้้างความมั่่�นใจกลัับมา เพื่ ่�อดึึงดููดกลุ่่มนัักท่่องเที่่�ยวเชิิงธุุรกิิจ รวมถึึง ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการจัดมหกรรมขนาดใหญ่ (Mega Event) เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ มี กำลังจ่ายที่สูง และมักจะเลือกบริโภคสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวคุณภาพสูง รูปที่ 2-21 : ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีในการท่องเที่ยว ตัวอยางการใชเทคโนโลยี แอปพลิเคชัน (BTS Sky Train) ที่ใชเทคโนโลยี AR มาใชในการนําทางบนสถานีรถไฟฟา โดยมี AR Map ทําใหคนหาสถานที่/ทางออกไดงายขึ้น ดานการเดินทาง : เพิ่มความตรงตอเวลาของการขนสง ความปลอดภัยที่สนามบินและสามารถตรวจสอบขอมูล การเดินทางดวยความแมนยํามากขึ้น ดานการจัดประชุมหรืองานอีเวนต : ลดความตองการ Wifi และทําใหการรับสงขอมูลรวดเร็ว และสามารถพูดตอบโต ไดอยางชัดเจน โดยเฉพาะการจัดงานกลางแจง ดานโรงแรม : มีการเพิ่มฟงกชันในการบริการลูกคา เชน Voice Assistant แอปพลิเคชัน AR Smart Heritage ที่ทําใหนักทองเที่ยวไดเขาชมสถานที่ประวัติศาสตร ในประเทศไทยที่ไมไดเปดใหเขาชมหรือจําลอง สถานที่ที่เสียหาย ใชเทคโนโลยี AR/VR ในการสรางเกม โปรโมตการทองเที่ยวของประเทศไทย ตัวอยางการใชเทคโนโลยี 5G ที่สามารถพัฒนา ดานที่เกี่ยวของกับการทองเที่ยว แอปพลิเคชัน : พัฒนาแอปพลิเคชันสําหรับการคนหาหองนํ้า ดูจํานวนคิวการเขาชมสถานที่และซื้อบัตรเขาชม คนหาที่จอดรถ หรือแอปพลิเคชันที่สามารถรองรับผูสูงวัยและอื่น ๆ การพัฒนาในอนาคต + ใชเทคโนโลยีปญญาประดิษฐ (AI) ทํางานแทนมนุษย และใหมนุษยบริการนักทองเที่ยวเพิ่มในสวนที่ AI ไมสามารถทําได + พัฒนาอินเทอรเน็ตของสรรพสิ่ง (loT) เพิ่มความสะดวกสบาย ใหนักทองเที่ยว โดยเฉพาะสําหรับนักทองเที่ยวสูงอายุ วัตถุเสมือน (Augmented Reality-AR) 5G และโลกเสมือน (Virtual Reality-VR) ในอุตสาหกรรมการทองเที่ยว แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 084

รูปที่ 2-22 : สัดส่วนบริษัทในอุตสาหกรรมการขนส่ง เดินทาง และการท่องเที่ยวโลก ในขณะเดียวกัน จากการสำรวจสัดส่วนบริษัทในอุตสาหกรรมการขนส่ง การเดินทาง และการท่องเที่ยวทั่วโลกที่มี แนวโน้มจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ระหว่างปีพ.ศ.2561–2565โดยสภาเศรษฐกิจโลก(World Economic Forum) พบว่าแนวโน้มจะนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจดังนี้ 1)การพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน รวมถึงมการนี ำอินเทอร์เน็ตของสรรพสิง่ (InternetofThings : IoT) มาประยุกต์ใช้ในการให้บริการนักทอ่งเที่ยวเช่นกัน 2)การวิเคราะห์ข้อมลขนาดใหญ่ ู (Big Data Analytics)ของผ้ใช้บริการหรูือนักทอ่งเที่ยว3)การใช้บริการคลาวด์คอมพิวติง้ (Cloud Computing) และการใช้้เทคโนโลยีีการเรีียนรู้้ของเครื่ ่� องจัักร (Machine Learning) ซึ่่�งจะช่่วยในการพััฒนา เทคโนโลยีีอื่่�น ๆตามมา เช่่น การรัับรู้้เสีียงและถอดความ (Speechrecognition)การรัับรู้้ใบหน้้า (Facerecognition) การแนะนำสิ่งที่นักท่องเที่ยวสนใจโดยอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เป็นต้น 4) การค้าดิจิทัล (Digital Trade) และใช้เทคโนโลยีภาพเสมือนจริง (Augmented Reality and Virtual Reality) 5) การใช้ยานพาหนะไร้คนขับ (Autonomous Transport) โดยใช้เทคโนโลยีและระบบเซนเซอร์ในการขับเคลื่อนโดย ปราศจากการช่วยเหลือจากมนุษย์และ 6) การประยุกต์ใช้อุปกรณ์สวมใส่ติดตัวกับร่างกาย (Wearable Electronics) เพื่อช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถรับรู้เที่ยวบินและใช้เป็นบอร์ดดิ้งพาส (Boarding pass) สำหรับเที่ยวบินได้ ที่มีแนวโนมเทคโนโลยีมาประยุกตใชระหวางป 2018 และ 2020 สัดสวนบริษัทในอุตสาหกรรมการขนสง การเดินทาง และการทองเที่ยวทั่วโลก 0% 10% 20% 30% 40% 50% 60% 70% 80% 90% 100% 95% 95% 89% 79% 79% 68% 68% 58% Wearable Electronics 53% Autonomous Transport Augmented and Virtual Reality Digital Trade Machine Learning Cloud Computing User and Entity Big Data Analytics Internet of Things App- and Wed- Enabled Markets 085

เศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) และ Online Travel Agency (OTAs) เศรษฐกิิจแบ่่งปััน หรืือ SharingEconomyเป็็นการทำำธุุรกิิจแบบ Peer-to-Peer โดยเป็็นการจัับคู่่ผ่่านแพลตฟอร์์ม บนระบบอิินเทอร์์เน็็ตระหว่่างผู้้มีีสิินทรััพย์์หรืือสิ่่�งของเหลืือใช้้และผู้้ใช้้บริิการที่ ่� ต้้องการเช่่า - ยืืม แทนการครอบครอง ดัังนั้้�น ธุุรกิิจประเภท Sharing Economy จึึงสามารถสร้้างรายได้้ให้้ผู้้บริิโภค ตลอดจนเป็็นการนำำทรััพยากรส่่วนเกิิน (Excess Capacity) มาจััดสรรให้้เกิิดการใช้้ประโยชน์์อย่่างเต็็มที่่�และประสิิทธิิภาพสููงสุุด ทั้้�งนี้้�ในส่่วนของอุุตสาหกรรม การท่่องเที่่�ยวซึ่่�งมีีความหลากหลายในบริิการไม่ว่่ ่าจะเป็็นที่พั ่� ักการคมนาคมขนส่่ง ร้้านค้้า– ร้้านอาหาร บริิการนำำเที่่�ยว และสถานที่่�ท่่องเที่่�ยวต่่างๆรวมถึงึรููปแบบการท่่องเที่่�ยวของนัักท่่องเที่่�ยวที่่�เปลี่่�ยนไปนิิยมการเดิินทางด้้วยตนเองมากขึ้้�น โดยในปีีพ.ศ. 2559 นัักท่่องเที่่�ยวต่่างชาติิเดิินทางมายัังประเทศไทยคิิดเป็็นร้อ้ยละ 64 นอกจากนี้้�ในปััจจุุบัันนัักท่่องเที่่�ยวส่่วนมากเลืือกที่่�จะจองโรงแรม ที่ ่� พััก บริิการด้้านการท่่องเที่่�ยว หรืือโปรแกรม การเดิินทางผ่่านทางออนไลน์ ด้์ ้วยOnlineTravel Agency(OTAs) ซึ่่�งทำำหน้้าที่่�เป็็นตััวกลางด้้านข้อมูู้ลระหว่่างนัักท่่องเที่่�ยว และผู้ให้บริการที่พัก การเดินทาง และบริษัทนำเที่ยว ตลอดจนดำเนินการจองได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว อีกทั้งยังมี การนำเสนอสิทธิพิเศษ และส่วนลดพิเศษให้แก่นักท่องเที่ยวเช่นกัน เมื่อศึกษาสถิติการใช้งาน OTAs ในปีพ.ศ. 2563 ของประเทศไทย จะพบว่า ร้อยละ 51 ของคนไทยใช้OTAs ในการจองที่พัก โดยร้อยละ 80 กล่าวว่า OTAs มีความง่าย ต่อการใช้งาน ซ ึ่งนักท่องเที่ยวสามารถจองโรงแรมและตั๋วเครื่องบิน เหตุผลรองลงมาคือนักท่องเที่ยวจะได้รับสิทธิพิเศษ จาก OTAs และสามารถเปรียบเทียบราคา คะแนน (Rating) และคำวิจารณ์ได้ ประเด็นภาษีธุรกิจบริการดิจิทัล (Digital Service Tax : DST) หรือ ภาษี e-Service แพลตฟอร์์ม OTAs ที่ ่� นิิยมมากที่ ่� สุุดในประเทศไทยคืือ Agoda (ร้้อยละ 69) รองลงมาคืือ Booking.com ตามมาด้วย Traveloka และ Trivago ซ ึ่งล้วนแล้วแต่เป็น OTAs จากต่างประเทศทั้งสิ้น ส่งผลให้เกิดสัดส่วนการรั่วไหล ของเม็ดเงินในภาคการผลิต ในรูปแบบของค่าธรรมเนียมการให้บริการ ซ ึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เจ้าของที่พักและผู้ประกอบ การที่ข ึ้ นทะเบียนกับแพลตฟอร์มจะต้องจ่าย นอกจากนี้ ทุกครั้งที่เกิดการจองที่พักหรือบริการผ่าน OTAsค่าธรรมเนียม จะถููกส่่งออกไปยัังประเทศต้้นทางของแพลตฟอร์์ม ทำำ ให้มีี้เม็็ดเงิินจากการท่่องเที่่�ยวจำำนวนมากที่รั่่� �วไหลออกนอกประเทศ โดยในปััจจุบัุัน ธุุรกิิจต่่างๆในระบบ SharingEconomyเช่่น บริษัิท ั Airbnb บริษัิท ั Grab และ OnlineTravel Agency (OTAs) มีีข้้อได้้เปรีียบทางด้้านภาษีีจึึงสามารถให้้บริิการในราคาที่ ่� ถููกกว่่าธุุรกิิจแบบดั้้�งเดิิมได้้ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 086

หลายประเทศทั่วโลกต่างประสบกับความท้าทายที่ใกล้เคียงกันนี้ จึงมีการแก้ไขกฎระเบียบด้านภาษีเพื่อสร้าง ความเท่าเทียมกันระหว่างธุรกิจเดิมและธุรกิจดิจิทัล โดยการจัดเก็บภาษีธุรกิจบริการดิจิทัล (Digital Service Tax) โดยในประเทศไทยใช้ชื่อภาษีน ี้ว่า “ภาษี e-Service” ซ ึ่งเป็นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นมูลค่าร้อยละ 7 ของสินค้าและบริการจากผ้ประกูอบการต่างประเทศที่เข้ามาประกอบธุรกิจและให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์(e-Service) ในประเทศไทยที่มีรายได้เกิน 1,800,000 บาทจากประเทศไทย โดยกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564 ซ ึ่ งครอบคลุมการเก็บภาษีแพลตฟอร์มที่ให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้้�งนี้้� มีีความเป็็นไปได้้สููงว่่านัักท่่องเที่่�ยวที่่�ใช้้บริิการจากธุุรกิิจ Sharing Economy หรืือ OTAs อาจจะได้้รัับ ผลกระทบ จากกฎหมายนี้้�จากการที่ ่�ผู้้ให้้บริิการอาจผลัักภาระของภาษีีที่่� ต้้องจ่่ายมายัังผู้้บริิโภคหรืือนัักท่่องเที่่�ยว ส่่งผลให้้ราคา ห้อ้งพัักหรืือบริิการต่่างๆ มีีอััตราที่สูู ่� งขึ้้�นมากหรืือลดลงขึ้้�นอยู่่กัับการแข่่งขัันทางธุุรกิิจนั้้�น ๆเช่่น ในประเทศ ฝรั่่�งเศสและประเทศสเปนได้้เริ่่�มมีีการเก็็บภาษีีธุุรกิิจบริิการดิิจิิทััล ทำำ ให้้บริิษััท Google ได้้ประกาศปรัับค่่าธรรมเนีียม เพิ่่�มขึ้้�นสำำหรัับการใช้้บริิการ Google Ads เท่่ากัับอััตราค่่าธรรมเนีียมภาษีีที่่�เพิ่่�มขึ้้�น (ร้้อยละ 2) เป็็นต้้น อย่่างไรก็็ตาม การจััดเก็็บภาษีีนี้้�จะเป็็นการช่่วยเหลืือผู้้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในอุุตสาหกรรมสื่ ่� อและการท่่องเที่่�ยวให้้ได้้รัับ ความยุติธรรมมากยิ่งข ึ้ น และเป็นการเพิ่มรายได้จากการเก็บภาษีให้กับรัฐบาล ซ ึ่ งมีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลไทยจะ สามารถเรียกเก็บภาษี e-Service ได้ประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี 087

ความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับนโยบาย แผน และยุทธศาสตร์ ระดับชาติ 2 แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) ได้ให้ความสำคัญกับแผน ยุทธศาสตร์และนโยบาย ทุกระดับ และได้จัดทำขน ึ้ ภายใต้ความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับเป้าหมายตัวชวัดี้ หรือประเด็นยุทธศาสตร์ของแผน ยุทธศาสตร์ และนโยบายที่สำคัญ ดังนี้ ยุุทธศาสตร์์ชาติิ 20 ปีี (พ.ศ. 2561-2580) ยุทุธศาสตร์์ชาติิ20 ปี มีีวิสัิัยทััศน์ คืือ ์ “ประเทศไทยมีีความมั่่�นคง มั่่�งคั่่�ง ยั่่�งยืืน เป็็นประเทศพััฒนาแล้้ว ด้้วยการพััฒนาตาม หลัักปรััชญาของเศรษฐกิิจพอเพีียง” โดยมีียุุทธศาสตร์์ชาติิด้้าน การสร้้างความสามารถในการแข่่งขััน ที่ ่�มุ่่งพััฒนาความสามารถ ในการแข่่งขัันของประเทศไทย ซึ่่�งมีีประเด็็นหลัักที่่�เกี่่�ยวข้้อง กัับการท่่องเที่่�ยว คืือ ประเด็็นการสร้้างความหลากหลายด้้าน การท่่องเที่่�ยว โดยรัักษาการเป็็นจุุดหมายปลายทางที่ ่� สำำคััญของ การท่่องเที่่�ยวระดัับโลกที่ ่�ดึึงดููดนัักท่่องเที่่�ยวทุุกระดัับและ เพิ่่�มสััดส่่วนของนัักท่่องเที่่�ยวที่ ่�มีีคุุณภาพสููง มุ่่งพััฒนาธุุรกิิจ ด้้านการท่่องเที่่�ยวให้มีีมูู ้ลค่่าสููงเพิ่่�มมากยิ่่�งขึ้้�น ด้้วยอััตลัักษณ์์และ วััฒนธรรมไทยและใช้้ประโยชน์์จากข้อมูู้ลและภููมิปัิัญญาท้อ้งถิ่่�น เพื่ ่� อสร้้างสรรค์์คุุณค่่าทางเศรษฐกิิจและความหลากหลายของ การท่่องเที่่�ยวให้้สอดรัับกัับทิิศทางและแนวโน้้มของตลาดยุุคใหม่่ นอกจากนี้้�การท่่องเที่่�ยวยัังมีีความเกี่่�ยวข้อ้งกัับยุุทธศาสตร์์ชาติิ ด้้านการสร้้างการเติิบโตบนคุุณภาพชีีวิิตที่่�เป็็นมิิตรต่อสิ่่ ่ �งแวดล้อ้ม ซึ่่�งมีีประเด็็นที่่�เกี่่�ยวข้้อง คืือ 1) ประเด็็นการสร้้างการเติิบโต อย่่างยั่่�งยืืนบนสัังคมเศรษฐกิิจสีีเขีียว 2) ประเด็็นการสร้้าง การเติิบโตอย่่างยั่่�งยืืนบนสัังคมเศรษฐกิิจภาคทะเล ซึ่่�งให้้ ความสำำคััญกัับการปรัับปรุุง ฟื้้�นฟูู และสร้้างใหม่่ทรััพยากร ทางทะเลและชายฝั่่�งทั้้�งระบบ การฟื้้�นฟููชายหาดที่่�เป็็นแหล่่ง ท่่องเที่่�ยว รวมถึึงการพััฒนาและเพิ่่�มสััดส่่วนกิิจกรรมทางทะเล ที่่�เป็็นมิิตรต่่อสิ่่�งแวดล้้อม แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 088

แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) แผนแม่่บทภายใต้้ยุุทธศาสตร์์ชาติิเป็็นส่่วนสำำคััญในการถ่่ายทอด เป้้าหมายและประเด็็นยุุทธศาสตร์์ของยุุทธศาสตร์์ชาติิลงสู่่แผน ระดัับต่่างๆ ซึ่่�งมีีประเด็็นหลัักที่่�เกี่่�ยวข้้องกัับการท่่องเที่่�ยว คืือ ประเด็็น ที่ ่� 5 การท่่องเที่่�ยว ที่่�ให้้ความสำำคััญกัับการรัักษาการเป็็นจุุดหมาย ปลายทางของการท่่องเที่่�ยวระดัับโลก โดยพััฒนาการท่่องเที่่�ยว ทั้้�งระบบ มุ่่งเน้้นนัักท่่องเที่่�ยวกลุ่่มคุุณภาพ สร้้างความหลากหลายด้้าน การท่่องเที่่�ยวให้้สอดคล้อ้งกัับความต้อ้งการของนัักท่่องเที่่�ยวและมุ่่งเน้้น การพััฒนาการท่่องเที่่�ยวในสาขาที่มีีศั่� ักยภาพ แต่่ยัังคงรัักษาจุุดเด่่นของ ประเทศด้้านขนบธรรมเนีียมประเพณีี วััฒนธรรม อััตลัักษณ์์ความเป็็นไทย ตลอดจนให้้คุุณค่่ากัับสิ่่�งแวดล้้อมไว้้ได้ ซึ่้ ่�งประกอบไปด้้วย 6 แผนย่่อย ได้้แก่่ 1) การท่่องเที่่�ยวเชิิงสร้้างสรรค์์และวััฒนธรรม 2) การท่่องเที่่�ยว เชิิงธุุรกิิจ 3) การท่่องเที่่�ยวเชิิงสุุขภาพ ความงาม และแพทย์์แผนไทย 4) การท่่องเที่่�ยวสำำราญทางน้ำ ำ� 5) การท่่องเที่่�ยวเชื่ ่� อมโยงภููมิิภาค และ 6) การพััฒนาระบบนิิเวศการท่่องเที่่�ยว 089

แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ให้ความสำคัญกับกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผล ให้เกิดการเปลยนแปลงต่ ี่ อประชาชนอย่างมนัยส ี ำคัญ (Big Rock) โดยมีแนวทางการปฏิรูปประเทศ ทั้งหมด 13 ด้าน ซ ึ่ งภายใต้แนวทางด้านเศรษฐกิจ ได้มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว คุณภาพสงูมประเด็น ี ที่ต้องขับเคลื่อน 5 ประเด็น ได้แก่ 1) เตรียมการขับเคลื่อน Happy Model คือ “กินดี อยู่ดี ออกกำลังกายดี แบ ่งปันสิ่งดีๆ” 2) พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 3) ส่งเสริมด้าน ที่พัก4) เพิมข่ดความสามารีถด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และ 5) สนับสนุนการท่องเที่ยวเรือสำราญทางน้ำ แผนพััฒนาเศรษฐกิิจ และสัังคมแห่่งชาติิ ฉบัับที่่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) แนวคิิดของกรอบแผนพััฒนาเศรษฐกิิจและสัังคม แห่่งชาติิฉบัับที่ ่�13 มีีเป้้าหมายหลััก คืือ การพลิิกโฉม ประเทศไปสู่่ “เศรษฐกิิจสร้้างคุุณค่่า สัังคมเดิินหน้้า อย่่างยั่่�งยืืน” หรืือ “High-Value and Sustainable Thailand”โดยมีีมิิติิการพััฒนาที่ ่� สำำคััญ 4 ด้้าน ได้้แก่่ 1) ภาคการผลิิตและบริิการเป้้าหมาย 2) โอกาสและ ความเสมอภาคทางเศรษฐกิิจและสัังคม 3)ความยั่่�งยืืน ของทรััพยากรธรรมชาติิและสิ่่�งแวดล้้อม และ 4) ปััจจััยผลัักดัันการพลิิกโฉมประเทศโดยหมุุดหมาย (Milestones) ที่่�เกี่่�ยวข้อ้งกัับการท่่องเที่่�ยวอยู่่ภายใต้้ มิติการพัฒนาที่ 1คือหมุดหมายที่ 2ไทยเป็นจุดหมาย ของการท่่องเที่่�ยวที่่�เน้้นคุุณภาพและความยั่่�งยืืน มีีเป้้าหมาย คืือ 1) ยกระดัับการท่่องเที่่�ยวให้้เป็็น การท่่องเที่่�ยวคุุณภาพสููง2) เพิ่่�มการพึ่่�งพานัักท่่องเที่่�ยว ในประเทศและกระจายรายได้สู่้่พื้้�นที่ ่� และ 3) บริิหาร จััดการการท่่องเที่่�ยวอย่่างยั่่�งยืืนในทุุกมิติิประกอบด้้วย 6 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) ส ่งเสริมกิจกรรม สินค้าและ บริิการการท่่องเที่่�ยวมููลค่่าสููง 2) พััฒนาและยกระดัับ การท่่องเที่่�ยวที่ ่�มีีศัักยภาพ 3) ยกระดัับการท่่องเที่่�ยว ให้้ได้้มาตรฐานและเป็็นที่่�ยอมรัับของตลาดสากล 4) พััฒนาทัักษะและศัักยภาพของบุุคลากรในภาค การท่่องเที่่�ยว 5) ปรัับปรุุงกฎหมาย/กฎระเบีียบที่ ่� ล้้าสมััยและเป็็นอุุปสรรคต่่อการประกอบธุุรกิิจ และ 6) พััฒนาระบบข้อมูู้ ลการท่่องเที่่�ยวอััจฉริิยะที่่�สามารถ เข้้าถึึงและใช้้ประโยชน์์ได้้ง่่าย แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 090

โมเดลเศรษฐกิจ BCG (พ.ศ. 2564 – 2570) แผนงานขัับเคลื่ ่� อน BCG ในสาขาการท่่องเที่่�ยว เป็็นส่่วนหนึ่่�งของ(ร่่าง) ยุทุธศาสตร์์การขัับเคลื่อ ่� นการ พััฒนาประเทศไทยด้้วยโมเดลเศรษฐกิิจ BCG (พ.ศ. 2564–2570) ซึ่่�งเป็็นการพััฒนาเศรษฐกิิจ3 ด้้าน คืือ 1) เศรษฐกิิจชีีวภาพ (Bio Economy) 2) เศรษฐกิิจ หมุุนเวีียน (Circular Economy) และ 3) เศรษฐกิิจ สีีเขีียว (Green Economy) โดยการท่่องเที่่�ยวตาม แนวทางของ BCG จะพััฒนาโดยการให้้ความสำำคััญ กัับการท่่องเที่่�ยวคุุณภาพสููงที่ ่�ยั่่�งยืืน (Sustainable Tourism) โดยมีีแนวทางที่ ่� สำำคััญ คืือ การประยุุกต์์ ใช้้Happy Model ที่ ่� ชููอััตลัักษณ์์ของแต่่ละพื้้�นที่ ่� ด้้วย สิินค้้าและบริิการตลอดจนสื่อ ่� สารเรื่อ ่� งราวและจุุดเด่่น แต่่ละแห่่งเชื่อ ่� มโยงกัับจุุดแข็็งของประเทศ อย่่างไรก็ดีี ็ ในสถานการณ์์ของการระบาดของโควิิด–19 ที่ ่� ทำำ ให้้ จำำนวนนัักท่่องเที่่�ยวลดลง ประกอบกัับพฤติิกรรม ผู้้บริิโภคที่่�เปลี่่�ยนแปลงไป จึึงควรใช้้โอกาสนี้้�ในการ พััฒนามาตรฐานที่ ่� พัักและบริิการ รวมถึึงยกระดัับ ด้้านสุุขอนามััยเพื่อ ่� ให้้พร้อ้มรัับต้อ้นรัับการกลัับมาของ นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติอีกครั้ง เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) องค์์การสหประชาชาติิได้้กำำหนดเป้้าหมาย การพััฒนาโดยอาศััยกรอบความคิิดที่่�มองการพััฒนา เป็็นมิิติิของเศรษฐกิิจ สัังคม และสิ่่�งแวดล้้อมให้้มีี ความเชื่อ ่� มโยงกััน เรีียกว่่า“เป้้าหมายการพััฒนาที่ยั่่� �งยืืน หรืือ Sustainable Development Goals (SDGs)” ประกอบไปด้้วย 17 เป้้าหมาย 169 เป้้าหมายย่่อย (SDG Targets) ที่ ่�มีีความเป็็นสากล เชื่ ่� อมโยงและ เกื้้�อหนุุนกััน และกำำ หนดให้้มีี 247 ตััวชี้้�วััด เพื่ ่� อใช้้ ติิดตามและประเมิินความก้้าวหน้้าของการพััฒนา โดยสามารถจััดกลุ่่ม SDGs ตามปััจจััยที่่�เชื่ ่� อมโยง กัันใน 5 มิติิ(5P) ได้้แก่่ (1) การพััฒนาคน (People) ให้้ความสำำคััญกัับการขจััดปััญหาความยากจน และความหิิวโหย และลดความเหลื่ ่� อมล้ำ ำ�ในสัังคม (2) สิ่่�งแวดล้อ้ม (Planet) ให้้ความสำำคััญกัับการปกป้อ้ง และรัักษาทรััพยากรธรรมชาติิและสภาพภููมิิอากาศ เพื่อ ่� พลเมืืองโลกรุ่่นต่อ่ ไป (3) เศรษฐกิิจและความมั่่�งคั่่�ง (Prosperity) ส่่งเสริิมให้้ประชาชนมีีความเป็็นอยู่่ที่่�ดีี และสอดคล้้องกัับธรรมชาติิ(4) สัันติิภาพและ ความยุุติิธรรม (Peace) ยึึดหลัักการอยู่่ร่่วมกััน อย่่างสัันติิ มีีสัังคมที่่�สงบสุุข และไม่่แบ่่งแยก และ (5) ความเป็็นหุ้้นส่่วนการพััฒนา (Partnership) ความร่่วมมืือของทุุกภาคส่่วนในการขัับเคลื่ ่� อนวาระ การพััฒนาที่ ่�ยั่่�งยืืน ทั้้�งนี้้�การท่่องเที่่�ยวไทยมีี ความเกี่่�ยวข้อ้งและสอดคล้อ้งกัับเป้้าหมายการพััฒนา ที่ยั่่� �งยืืนครบทั้้�ง 17 เป้้าหมายความยั่่�งยืืน 091

ผลการด�ำเนินงานตามแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560 – 2564) 3 แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560 – 2564) ซ ึ่ งระยะเวลาของแผนสิ้นสุดลงภายในปีพ.ศ. 2564 ได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาการท่องเที่ยวไทยระยะ 20 ปี(ปีพ.ศ. 2579) ไว้ดังนี้ “ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยว คุณภาพชั้นนำของโลกที่เติบโตอย่างมีดุลยภาพบนพ ื้นฐานความเป็นไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และกระจาย รายได้สู่ประชาชนทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน” โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์ไว้5 ยุทธศาสตร์ดังนี้ การพัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว สินค้า และบริการให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน การสร้างสมดุลให้กับการท่องเที่ยวผ่านการตลาด เฉพาะกลุ่มและสร้างความเชื่อมั่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอ�ำนวยความ สะดวกเพื่อรองรับการขยายตัว การบูรณาการการบริหารจัดการการท่องเที่ยว และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวและสนับสนุน การมีส่วนร่วมของประชาชน ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยุทธศาสตร์ที่ 4 ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยุทธศาสตร์ที่ 5 ยุทธศาสตร์ที่ 3 แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 092

จากการติดตามผลการดำเนินงานของแผนพัฒนาการทอ่งเที่ยวแห่งชาติฉบับที่ 2ในระยะครงแผนแรก ึ่ เมื่อพิจารณาจาก ตัวชี้วัดหลัก 10 ตัวชี้วัด พบว่า มีตัวชี้วัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าค่าเป้าหมายจำนวน 1 ตัวชี้วัด คิดเป็นร้อยละ 10 ตัวชี้วัด ที่มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าค่าเป้าหมายจำนวน 8 ตัวชี้วัด คิดเป็นร้อยละ 80 และตัวชี้วัดที่ยังไม่มีการดำเนินการจำนวน 1 ตัวชี้วัด หรือคิดเป็นร้อยละ 10 รายละเอียด ดังนี้ ตารางที่ 2-10 : ตารางแสดงตัวชี้วัดหลัก ค่าเป้าหมาย และการประเมินระยะครึ่งแผนแรก ตัวชี้วัดหลัก ค่าเป้าหมาย การประเมิน ระยะครึ่งแผนแรก ตััวชี้้วััดที่่ 1 จำำนวนแหล่่งท่่องเที่่�ยวและสถานประกอบการด้้าน การท่่องเที่่�ยวที่่�ได้้รัับเครื่ ่� องหมายรัับรองคุุณภาพของกรมการท่่องเที่่�ยว ตัวชี้วัดที่ 2 อันดับขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว ของประเทศไทย ตัวชี้วัดที่ 3ความเชื่อมั่นในสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของไทย ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตัวชี้วัดที่ 4 รายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตัวชี้วัดที่ 5 การเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทย ตัวชี้วัดที่ 6 สัดส่วนการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน ตัวชี้วัดที่ 7 รายได้จากการท่องเที่ยวในจังหวัดรอง ตัวชี้วัดที่ 8 ดัชนีการรับรู้และเข้าใจในเอกลักษณ์ความเป็นไทยของ นักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทย ตัวชี้วัดที่ 9 อันดับขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว (TTCI)ของประเทศไทยด้านความเด่นชัดของวัฒนธรรมและนันทนาการ จากการสืบค้นออนไลน์ด้านการท่องเที่ยว ตััวชี้้วัดที่่ ั 10 ดััชนีีด้้านความยั่่�งยืืนของสิ่่�งแวดล้อ้มและทรััพยากรธรรมชาติิ ที่่�เกี่่�ยวข้อ้งโดยตรงกัับการท่่องเที่่�ยวของประเทศไทยใน 6 มิิติิที่ ่� สำำคััญ เพิ่มสูงข ึ้ นอย่างน้อย ร้อยละ 5 ต่อปี เป็น 1 ใน 30 อันดับแรกของ โลก หรือ 1 ใน 7 อันดับแรก ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 มีอัตราการขยายตัว ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ต่อปี มีอัตราการขยายตัวไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 3 ของปี ไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ของการเดินทางตลอดทั้งปี มีอัตราการขยายตัว ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 12 ต่อปี เพิ่มสูงข ึ้ นอย่างต่อเนื่องทุกปี เป็น 1 ใน 10 อันดับแรก ของโลก พัฒนาขึ้ นอย่างน้อย 10 อันดับ ในแต่ละมิติ ต่ำกว่าเป้าหมาย ต่ำกว่าเป้าหมาย ต่ำกว่าเป้าหมาย ต่ำกว่าเป้าหมาย สูงกว่าเป้าหมาย ต่ำกว่าเป้าหมาย ต่ำกว่าเป้าหมาย ยังไม่มีการดำเนินการ ต่ำกว่าเป้าหมาย ต่ำกว่าเป้าหมาย 093

อย่่างไร ก็็ดีี เ มื่่� อพิิจารณาผลการ ดำำ เ นิินงานข อ ง ตััวชี้้�วััด ย่่ อยตามราย ยุ ท ุธศาสต ร์์26 ตััวชี้้ วั�ัด พบ ว่่า มีีตััวชี้้ วั�ัด ที่มีี่� ผลการ ดำำ เ นิินงานสููงก ว่่าเ ป้้าหมาย จำำนวน 1 ตััวชี้้�วััด คิิดเ ป็็น ร้ อ ้ยละ 3.85 ตััวชี้้�วััด ที่่�มีีผลการ ดำำ เ นิินงานเ ป็็นไป ตามเ ป้้าหมาย จำำนวน 6 ตััวชี้้�วััด คิิดเ ป็็น ร้ อ ้ยละ23.08และ ตััวชี้้�วััด ที่่�มีีผลการ ดำำ เ นิินงาน ต่ำำ� ก ว่่าเ ป้้าหมาย จำำนวน 13 ตััวชี้้�วััด คิิดเ ป็็น ร้้ อยละ50 อีี กทั้้�ง ยัังมีี ตััวชี้้�วััด ที่่�มีีการ จััดเ ก็็บ ข้้อมููลแ ต่่ไ ม่่คร อบค ลุุมตาม ตััวชี้้�วััด จำำนวน 1 ตััวชี้้�วััด คิิดเ ป็็น ร้้ อยละ 3.85 และ ตััวชี้้�วััด ที่่�ไ ม่่มีีการ จััดเ ก็็บ ข้้อมูู ล จำำนวน 5 ตััวชี้้�วััด ซึ่่�ง คิิดเ ป็็น ร้้ อยละ 19 โดยหาก พิิจารณา ตััวชี้้�วััดราย ยุุ ทธศาสต ร์์ มีีผลการ ดำำ เ นิินการ ดัังนี้้� • ยุุ ทธศาสต ร์์ ที่่� 1 มีีตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่�มีีผลการ ดำำ เ นิินงาน ต่ำำ� ก ว่่าเ ป้้าหมาย จำำนวน 5 ตััวชี้้�วััด ไ ด้้แ ก่่ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 1 ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 2 ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 3 ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 4 และ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 6 ( คิิดเ ป็็น ร้้ อยละ 71.43) ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่�มีีผลการ ดำำ เ นิินงานเ ป็็นไปตามเ ป้้าหมาย 1 ตััวชี้้�วััด คืือ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 5 ( คิิดเ ป็็น ร้้ อยละ 14.29) และ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่�มีีการ จััดเ ก็็บ ข้้อมููลแ ต่่ไ ม่่คร อบค ลุุมตาม ตััวชี้้�วััด 1 ตััวชี้้�วััด คืือ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 7 ( คิิดเ ป็็น ร้ อ ้ยละ 14.29) • ยุุ ทธศาสต ร์์ ที่่� 2 มีีตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่�มีีผลการ ดำำ เ นิินงาน ต่ำำ� ก ว่่าเ ป้้าหมาย จำำนวน 4 ตััวชี้้�วััด ไ ด้้แ ก่่ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 2 ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 3 ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 4 และ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 5 ( คิิดเ ป็็น ร้้ อยละ 80) และ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่�มีี ผลการ ดำำ เ นิินงานผลสููงก ว่่าเ ป้้าหมาย 1 ตััวชี้้�วััด คืือตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 1 ( คิิดเ ป็็น ร้ อ ้ยละ 20) • ยุุ ทธศาสต ร์์ ที่่� 3 มีีตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่�มีีผลการ ดำำ เ นิินงาน ต่ำำ� ก ว่่าเ ป้้าหมาย จำำนวน 2 ตััวชี้้�วััด ไ ด้้แ ก่่ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 2 และ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 3 ( คิิดเ ป็็น ร้้ อยละ 40) ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่�มีีผลการ ดำำ เ นิินงานเ ป็็นไปตามเ ป้้าหมาย จำำนวน 2 ตััวชี้้� วััด ไ ด้้แ ก่่ ตััวชี้้� วััด ย่่ อ ย ที่่� 4 และ ตััวชี้้� วััด ย่่ อ ย ที่่� 5 ( คิิดเ ป็็น ร้ อ ้ยละ 40) และ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่�ไ ม่่มีีการ จััดเ ก็็บ ข้อมูู้ ล 1 ตััวชี้้�วััด คืือตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 1 ( คิิดเ ป็็น ร้้ อยละ 20) • ยุุ ทธศาสต ร์์ ที่่� 4 มีีตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่�มีีผลการ ดำำ เ นิินงาน ต่ำำ� ก ว่่าเ ป้้าหมาย จำำนวน 2 ตััวชี้้�วััด ไ ด้้แ ก่่ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 1 และ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 3 ( คิิดเ ป็็น ร้้ อยละ 50) และ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่�มีีผลการ ดำำ เ นิินงานเ ป็็นไปตามเ ป้้าหมาย จำำนวน 2 ตััวชี้้�วััด ไ ด้้แ ก่่ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 2 และ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 4 ( คิิดเ ป็็น ร้้ อยละ 50) • ยุ ท ุธศาสต ร์ ที่ ์ ่� 5 มีีตััวชี้้ วั�ัด ย่ อ ่ ย ที่มีี่� ผลการ ดำำ เ นิินงานเ ป็็นไปตามเ ป้้าหมาย 1 ตััวชี้้ วั�ัด คืือ ตััวชี้้ วั�ัด ย่ อ ่ ย ที่่� 5 ( คิิดเ ป็็น ร้ อ ้ยละ20)และ ตััวชี้้ วั�ัด ที่่�ไ ม่มีี่การ จััดเ ก็็บ ข้อมูู้ ล จำำนวน 4 ตััวชี้้�วััด ไ ด้้แ ก่ ตั่ ัวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 1 ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 2 ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 3 และ ตััวชี้้�วััด ย่่ อ ย ที่่� 4 ( คิิดเ ป็็น ร้ อ ้ยละ 80) แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 094

ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2562 เรื่อง (ร่าง)แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ให้หน ่วยงานรัฐต้องปรับปรุงแผนระดับที่ 3 ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติจึงได้ดำเนินการปรับปรุงแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560 – 2564) ให้เป็นแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ(พ.ศ. 2564 – 2565) และได้มีการประกาศใช้แล้ว เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา ซ ึ่ งขณะนี้อยู่ในระหว่างการขับเคลื่อนและติดตามประเมินผลแผนฉบับดังกล่าว รูปที่ 2-23 : ผลการดำเนินงานรายยุทธศาสตร์ของแผนฉบับที่ 2 ผลการดําเนินงานรายยุทธศาสตรของแผนพัฒนาการทองเที่ยวแหงชาติ ฉบับที่ 2 ตํ่ากวาเปาหมาย/ ไมเปนไปตามเปาหมาย สูงกวาเปาหมาย ไมมีการจัดเก็บขอมูล มีการจัดเก็บขอมูล แตไมครอบคลุม ตามตัวชี้วัด เปนไปตามเปาหมาย 0% 10% 20% 30% 40% 50% 60% 70% 80% 90% 100% ยุทธศาสตรที่ 1 ยุทธศาสตรที่ 2 ยุทธศาสตรที่ 3 ยุทธศาสตรที่ 4 ยุทธศาสตรที่ 5 ภาพรวม 14.29% 71.43% 80% 40% 40% 50% 50% 23.08% 19% 3.85% 50% 20% 20% 80% 20% 14.29% 3.85% มีผลการดําเนินการดังนี้ ตัวชี้วัดที่ตํ่ากวาเปาหมาย คือ B1.1, B1.2, B1.3, B1.4, B1.6 ตัวชี้วัดที่เปนไปตามเปาหมาย คือ B1.5 ตัวชี้วัดที่มีการจัดเก็บขอมูล แตไมครอบคลุมตามตัวชี้วัด คือ B1.7 ยุทธศาสตรที่ 1 มีผลการดําเนินการดังนี้ ตัวชี้วัดที่ตํ่ากวาเปาหมาย คือ B2.2, B2.3, B2.4, B2.5 ตัวชี้วัดที่สูงกวาเปาหมาย คือ B2.1 ยุทธศาสตรที่ 2 มีผลการดําเนินการดังนี้ ตัวชี้วัดที่ตํ่ากวาเปาหมาย คือ B4.1, B4.3 ตัวชี้วัดที่เปนไปตามเปาหมาย คือ B4.2, B4.4 ยุทธศาสตรที่ 4 มีผลการดําเนินการดังนี้ ตัวชี้วัดที่เปนไปตามเปาหมาย คือ B5.5 ตัวชี้วัดที่ไมมีการจัดเก็บขอมูล คือ B5.1, B5.2, B5.3, B5.4 ยุทธศาสตรที่ 5 มีผลการดําเนินการดังนี้ ตัวชี้วัดที่ตํ่ากวาเปาหมาย คือ B3.2, B3.3 ตัวชี้วัดที่เปนไปตามเปาหมาย คือ B3.4, B3.5 ตัวชี้วัดที่ไมมีการจัดเก็บขอมูล คือ B3.1 ยุทธศาสตรที่ 3 ผลสรุปการดําเนินงานภาพรวมตัวชี้วัด ของรายยุทธศาสตร จากทั้งหมด 26 ตัวชี้วัด พบวา ตัวชี้วัดที่เปนไปตามเปาหมาย 6 ตัว ตัวชี้วัดที่สูงกวาเปาหมาย 1 ตัว ตัวชี้วัดที่ตํ่ากวาเปาหมาย 13 ตัว ตัวชี้วัดที่มีการจัดเก็บขอมูล แตไมครอบคลุมตามตัวชี้วัด 1 ตัว ตัวชี้วัดที่ไมมีขอมูล 5 ตัว 095

4 ภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย จากบริบทและความท้าทายของอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวในปัจจุบัน กล่าวได้ว่า การท่องเที่ยว ของไทย ยังมีความท้าทายหลักในด้านการกระจุกตัว การรั่่�วไหลของรายได้้ความไม่่เชื่อ ่� มโยงของโครงสร้้าง พื้้�นฐานและระบบคมนาคม การมีีภููมิคุ้้ิมกัันความเสี่่�ยง ที่ ่� ต่ำ ำ� กฎระเบีียบและมาตรฐานที่ ่� ล้้าสมััย และ มการเติบโต ี ที่ไม่ยังย่นื ดังนัน้การพัฒนาการทอ่งเที่ยว ของไทยในระยะ 10 ปีีข้้างหน้้าจะต้้องมีีเป้้าหมาย เพื่ ่� อให้้การท่่องเที่่�ยวเป็็นอุุตสาหกรรมการท่่องเที่่�ยว ที่ ่�มีีการเชื่ ่� อมโยงอย่่างยั่่�งยืืนและสมบููรณ์์ มีีสััดส่่วน การพึ่่�งพานัักท่่องเที่่�ยวภายในประเทศ (Domestic Tourism) ที่ ่� สููง เป็็นอุุตสาหกรรมที่่�พร้้อมรัับมืือ กัับความเสี่่�ยงและวิิกฤตทุุกรููปแบบ รวมไปถึึง การมีีความสามารถในการประยุุกต์์ใช้้เทคโนโลยีี และนวััตกรรมได้้อย่่างครบวงจร แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 096

รูปที่ 2-24 : ภูมิทัศน์การพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศไทย 1 ทั้้�งนี้้�จากการแพร่่ระบาดของโรคโควิิด – 19 ที่่�ได้้ส่่งผลให้้สถานการณ์์ท่่องเที่่�ยวโลกและไทยยัังคงอยู่่ในภาวะ เปราะบางและต้้องเผชิิญกัับความไม่่แน่่นอนทางเศรษฐกิิจ การจ้้างงาน การลงทุุน และการประกอบธุุรกิิจด้้าน การท่่องเที่่�ยว กระทรวงการท่่องเที่่�ยวและกีีฬาได้้จััดทำำข้้อเสนอแนะเชิิงนโยบายการฟื้้�นฟููภาคธุุรกิิจในอุุตสาหกรรม การท่่องเที่่�ยว (Tourism Recovery Recommendations) เพื่ ่�อมุ่่งฟื้้�นฟููและพััฒนาธุุรกิิจในภาคการท่่องเที่่�ยวของไทย ให้้มีีความสามารถในการปรัับตััว ปรัับแนวทางและเปลี่่�ยนแนวคิิดในการพััฒนาอุุตสาหกรรมการท่่องเที่่�ยวเพื่ ่� อนำำ ไปสู่่ ภาวะปกติิถััดไป (Next Normal) อีีกทั้้�งยัังเป็็นการเตรีียมความพร้้อมสู่่การท่่องเที่่�ยวโฉมใหม่่ภายใต้้แผนพััฒนา การท่่องเที่่�ยวแห่่งชาติิฉบัับที่ ่� 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) โดยข้้อเสนอแนะเชิิงนโยบายการฟื้้�นฟููภาคธุุรกิิจในอุุตสาหกรรม การท่่องเที่่�ยวดัังกล่่าว ประกอบด้้วย 6 ข้้อเสนอหลัักสู่่บทใหม่่การท่่องเที่่�ยวไทย ดัังนี้้� 1) ปรับแนวทางการทำธุรกิจของผู้ประกอบการท่องเที่ยว (Change the Way Tourism Business Work) 2) ท่องเที่ยวมั่นใจ สะดวกกว่าที่เคย (More Confident more Convenient) 3) ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพตลอดทั้งปี(Attract Quality Tourists in All Year - Round) 4) ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีและดิจิทัล (Data and Technology Driven Tourism) 5) ผลักดันธุรกิจท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism Delivers to Society) 6) ส่งเสริมปัจจัยสนับสนุนขดความสามารีถการทอ่งเที่ยวไทย(PromoteFavorableSupporting Conditions) การทองเที่ยวไทย เสริมสรางความเขมแข็ง และปรับสมดุลการทองเที่ยวไทย ยกระดับโครงสรางพื้นฐาน มาตรฐาน และความเชื่อมโยง มอบประสบการณ โดยมีนักทองเที่ยวเปนศูนยกลาง เติบโตบนความยั่งยืน และมีภูมิคุมกัน อุตสาหกรรมการทองเที่ยว มีการเชื่อมโยงอยางยั่งยืนและสมบูรณ มีสัดสวนการพึ่งพา Domestic Tourism ที่สูง พรอมรับมือกับความเสี่ยง และวิกฤตทุกรูปแบบ อุตสาหกรรมประยุกตใช เทคโนโลยีและนวัตกรรม อยางครบวงจร ในระหวางป พ.ศ. 2566-2570 การทองเที่ยวไทย ในปจจุบัน การทองเที่ยวไทย ในอีก 10 ป ขางหนา การกระจุกตัว (Imbalance) เม็ดเงินรั่วไหล (Leakage) ความไมเชื่อมโยง (Disconnect) ภูมิคุมกันความเสี่ยงตํ่า (Risk) กฎระเบียบลาสมัย (Outdated) เติบโตไมยั่งยืน (Unsustainable) 097

รููปที่่� 2-25 : ภููมิทัิัศน์์การพััฒนาการท่่องเที่่�ยวของประเทศไทย 2 สำหรับการพัฒนาการท่องเที่ยวในระหว่างปีพ.ศ. 2566 – 2570 จะมุ่งเน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวที่สอดคล้อง ไปกัับยุุทธศาสตร์์ชาติิและแผนพััฒนาเศรษฐกิิจและสัังคมแห่่งชาติิฉบัับที่ ่� 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) ที่ ่�มุ่่งพลิิกโฉม ประเทศไทยไปสู่่ “เศรษฐกิิจสร้้างคุุณค่่า สัังคมเดิินหน้้าอย่่างยั่่�งยืืน” โดยให้้ความสำำคััญกัับ 4 ประเด็็นหลััก ได้้แก่่ 1) การเสริิมสร้้างความเข้้มแข็็งและการปรัับสมดุุลการท่่องเที่่�ยวไทย 2) การยกระดัับโครงสร้้างพื้้�นฐาน มาตรฐาน และ ความเชื่อ ่� มโยง3)การมอบประสบการณ์์โดยมีีนัักท่่องเที่่�ยวเป็็นศููนย์์กลางและ4)การเติิบโตบนความยั่่�งยืืนและมีีภููมิคุ้้ิมกััน พร้้อมรัับมืือกัับความเสี่่�ยง ทั้้�งนี้้�สามารถสรุุปการแบ่่งระยะของการพััฒนาการท่่องเที่่�ยวไทยได้ ดั้ ังนี้้� การทองเที่ยวของไทยฟนตัว จากสถานการณโควิด-19 พรอมทั้งปรับแนวทางและเปลี่ยน แนวคิดในการพัฒนาอุตสาหกรรม การทองเที่ยวเพื่อนําไปสู ภาวะปกติถัดไป (Next Normal) Resolve & Reimagine Building Back Towards the Next Normal อุตสาหกรรมการทองเที่ยวไทย เนนคุณคา (High Value) และ ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดลอม มุงพัฒนา การทองเที่ยวที่มีสมดุลและกระจาย รายไดอยางทั่วถึง พรอมรับมือกับ ความเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ Reform & Resilience Rebuilding High Value Tourism อุตสาหกรรมการทองเที่ยวไทย มีความเปลี่ยนแปลงไปอยางสิ้นเชิง มีการเชื่อมโยงทุกภาคสวน เพื่อนําไปสูการทองเที่ยว ที่มีความเขมแข็งและยั่งยืน ในทุกระดับอยางสมบูรณ Revolutionize Fully Transformed and Sustainble Tourism 2571-2575 2566-2570 2564-2565 แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 098

• การแก้ไขปัญหาและพลิกโฉมการทอ่งเที่ยว(Resolveand Reimagine) มีเป้าหมายในระหว่างปีพ.ศ. 2564 – 2565 ให้การท่องเที่ยวของไทย ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 พร้อมทงปรับ ั้ แนวทางและเปลยนแนวคิดในการพัฒนา ี่ อุตสาหกรรมการทอ่งเที่ยวเพื่อ นำไปสภู่าวะปกติถัดไป (BuildingBackTowards the Next Normal) เพื่อรองรับความต้องการและพฤติกรรมการทอ่งเที่ยวที่เปลยนแปลงไป ี่ • การปรับเปลี่ ยนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกัน (Reformand Resilience) มเป้าหมายในระหว่างปี ีพ.ศ.2566–2570 ให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่า (HighValue) และความยั่งยืนของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม มุ ่งสร้าง ความเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมอย ่างสิ้นเชิง (Building Forward a Better Tourism for All) นำไปสู่ความสมดุล ในอุุตสาหกรรมการท่่องเที่่�ยว ทั้้�งสมดุุลในด้้านจำำนวนนัักท่่องเที่่�ยว สมดุุลในด้้านรายได้้จากการท่่องเที่่�ยว และสมดุุลในด้้านของ การสนัับสนุุน เขตพััฒนาการท่่องเที่่�ยว เพื่ ่� อกระจายความเจริิญจาก การท่่องเที่่�ยวอย่่างทั่่�วถึงึบนพื้้�นฐานของการบููรณาการโครงสร้้างพื้้�นฐาน เทคโนโลยีี และข้้อมููลเชิิงลึึกที่ ่�มีีประสิิทธิิภาพสููง เพื่ ่� อให้้ทุุกภาคส่่วน มีความเข้มแข็งและพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ • อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์และยั่งยืน (Revolutionize) มีเป้าหมายต่อเนื่องจากการพัฒนาของแผนพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งชาติฉบับที่ 3 ในระหว่างปีพ.ศ. 2571 – 2575 เพื่อให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยมีความเปลี่ยนแปลงในทุกระดับ อย่างสิ้นเชิง (Fully Transformed and Sustainable Tourism) ภายใต้โครงสร้างพื้ นฐาน มาตรฐาน และเทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัย มีการเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเพื่อนำไปสู่การท่องเที่ยวที่มีความเข้มแข็ง และยั่งยืนอย่างแท้จริง ทั้งด้านสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและ ธรรมชาติรวมถึงการเติบโตของธุรกิจและภาคการผลิตในอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวอย ่างยั่งยืน นำไปสู่ความสามารถในการจัดการกับ ความเส ี่ยงและวิกฤตการณ์ทุกรูปแบบและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว มีีการเชื่่อมโยง ทุุกภาคส่่วน เพื่่อนำำไปสู่่ การท่่องเที่่ยว ที่่มีีความเข้้มแข็็ง และยั่่งยืืน อย่่างแท้้จริิง ทั้้งด้้านสัังคม วััฒนธรรม สิ่่งแวดล้้อม และธรรมชาติิ 099

ส่วนที่ 3 แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) 100