เฉลยเคม ม.4 เล ม 2 แบบฝ กห ด 4.5

1.เซรามกิ (Ceramic) หมายถึง วัสดทุ เี่ กิดจากการรวมกนั ของสารอนินทรีย์ ( inorganic ) เช่น ดิน หนิ ทราย

แรธ่ าตุต่างๆ นามาผสมกัน แล้วนาไปเผาทอี่ ุณหภมู ิสงู เพอื่ เปล่ียนเนือ้ วัตถุให้แข็งแรง สามารถคงรปู อยู่ได้

2. เซรามกิ จาแนกออกเปน็ 2 ประเภท คอื

2.1 เซรามิกด้ังเดิม (Traditional ceramics)

2.2 เซรามกิ สมยั ใหม่ (Fine ceramics/ new ceramics/ advanced ceramics)

3. คุณสมบตั ิทวั่ ไปของ Ceramics

มีความแขง็ สูง มีความต้านทานตอ่ แรงกดได้ดี ความตา้ นทานแรงดึงตา่ จดุ หลอมเหลวสงู

มีคา่ ความยดื หยุ่น (Elasticity) และ Toughness ต่า บางชนดิ มคี วามแข็งแรงสงู ทง้ั ทอี่ ณุ หภมู ิตา่ และสูง

ทนการกัดกร่อนจากสารเคมไี ด้ดี เพราะมพี ันธะเคมแี ขง็ แรง

4. จงยกตวั อยา่ งผลิตภัณฑ์เซรามกิ ทพี่ บในชวี ติ ประจาวนั เช่น ถว้ ย ชาม แจกนั แก้ว เคร่อื งป้ันดนิ เผา

5. วสั ดผุ สม (composites) อาจจะแบง่ ได้ตามลกั ษณะของตัวเสรมิ แรง ไดแ้ ก่

1. ตัวเสริมแรงมลี ักษณะเปน็ เสน้ ใย (Fibrous Composites)

2. ตวั เสรมิ แรงมีลักษณะเปน็ อนภุ าค (Particulate Composites)

3. ตัวเสริมแรงมลี กั ษณะเป็นชน้ิ เลก็ ๆ (Flake Composites)

4. ตัวเสรมิ แรงเปน็ สารตัวเตมิ (Filled Composites)

5. ตวั เสริมแรงมีลกั ษณะเปน็ ชัน้ หรือชนิดซ้อนแผน่ (Laminar or Layered Composites)

6. ปูนซเี มนตแ์ บ่งตามประเภทการใชง้ านได้ 3 ประเภท

ปูนซีเมนตป์ อรต์ แลนด์ ปนู ซีเมนตผ์ สม ปนู ซีเมนตข์ าว

7. จงยกตัวอย่างการใชป้ ระโยชน์เซรามิกสมัยใหม่

Nuclear Fuels เช้ือเพลงิ นวิ เคลียร

Electro-optic ceramics ใชใ้ นการแปลงสัณญาณแสง สี เป็นสณั ญาณไฟฟ้า(และกลับกนั ) เลเซอร์

Magnetic ceramic ใชใ้ นหน่วยความจาของคอมพวิ เตอร์ และงาน microwave ไม่จาเปน็ ตอ้ งตอบครบ dielectric ceramic ตัวเกบ็ ประจุ

Aerospace application ชนิ้ สว่ นยานอวกาศ

8. จงบอกการนาปูนซเี มนตป์ อรต์ แลนด์เหล่านไ้ี ปใช้

8.1 เป็นปนู ซีเมนตป์ อรต์ แลนด์ธรรมดา เหมาะกบั งานกอ่ สรา้ งคอนกรตี ทวั ๆ ไป คาน เสา พนื ถนน

8.2 ปนู ซีเมนต์ปอรต์ แลนด์ดัดแปลง เหมาะกบั งานโครงสรา้ งขนาดใหญ่ เชน่ ตอมอ่ สะพาน ท่าเทียบเรอื

8.3 ปูนซเี มนตป์ อร์ตแลนด์ ที่ทนตอ่ เกลอื ซลั เฟตได้สงู เหมาะกบั งานก่อสร้าง บรเิ วณดนิ เค็ม หรือใกล้กบั ทะเล

ชือ่ ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว2.1 ม.3/1-2 ใบงานเรือ่ งผลผลกระทบจากการใชพ้ อลเิ มอร์ เซรามกิ และวัสดผุ สม

คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นเลือกคาตอบทถ่ี กู ทสี่ ดุ

1. ปัจจบุ นั มีการแบ่งพลาสติกออกเป็นกก่ี ลมุ่ และใช้ส้ญลักษณแ์ บบใด

ก. พลาสตกิ แบ่งเปน็ 2 กลมุ่ ใชส้ ญ้ ลักษณ์ ทเ่ี กดิ จากลูกศร 3 อันวงิ่ ตามกนั ล้อมรอบตัวเลข

ข. พลาสติกแบง่ เป็น 6 กลุ่มใชส้ ้ญลกั ษณ์ ที่เกดิ จากลูกศร 3 อนั วง่ิ ตามกัน ล้อมรอบตัวเลข

ค. พลาสตกิ แบ่งเปน็ 7 กลุ่มใชส้ ้ญลกั ษณ์ ทเ่ี กดิ จากลกู ศร 3 อันว่งิ ตามกัน ลอ้ มรอบตวั เลข

ง. พลาสตกิ แบง่ เป็น 8 กลมุ่ ใชส้ ้ญลกั ษณ์ ทเ่ี กดิ จากลกู ศร 3 อนั วิง่ ตามกนั ลอ้ มรอบตวั เลข

2. PET เป็นพลาสตกิ กลมุ่ ใด ใชท้ า ผลติ ภณั ฑใ์ ด

ก. พลาสติกกลมุ่ ท่ี 1 ใช้ทาขวดนา้ ด่มื ขวดน้ามัน

ข. พลาสตกิ กลมุ่ ที่ 2 ใช้ทา ขวดแชมพูสระผม ขวดนม

ค. พลาสติกกลุม่ ท่ี 4 ใชท้ าฟลิ มส์ าหรบั ห่ออาหาร ถงุ เยน็

ง. พลาสติกกลมุ่ ที่ 5 ใชท้ ากระบอกใส่นา้ เย็น ถุงร้อนชนดิ ใส

3. โฟมบรรจุอาหาร เป็นพลาสตกิ ประเภทใด

ก. พลาสตกิ ประเภท PS ข. พลาสติกประเภท PP

ค. พลาสตกิ ประเภท LDPE ง. พลาสติกประเภท HDPE

4. ถุงรอ้ นชนดิ ขุ่น และถุงหหู ้ิว เป็นพลาสติกประเภทใด

ก. พลาสติกกลุ่มท่ี 1 ข. พลาสตกิ กลุ่มท่ี 2 ค. พลาสตกิ กลมุ่ ท่ี 3 ง. พลาสตกิ กลมุ่ ท่ี 4

5. ทอ่ ประปา PVC ทาจากพลาสตกิ ประเภทใด

ก. พอลโิ พรพลิ ีน ข. พอลไิ วนิลคลอไรด์

ค. พอลิเอทลิ ีน ความหนาแนน่ ตา่ ง. พอลเิ อทิลนี ความหนาแนน่ สงู

6. อุปกรณ์ใดมีพอลเิ มอรด์ ดู นา้ เปน็ สว่ นประกอบ

ก. ผ้าออ้ มสาเรจ็ รปู ข.ผา้ อ้อมทท่ี าจากผา้ สาลี

ค. ผา้ อ้อมที่ทาจากผา้ สาลู ง. ถูกทกุ ข้อ

7. สญั ลกั ษณ์ สมบัติต่าง ๆ ของพลาสติก ข้อใด หมายถึง เปน็ ฉนวนกันความรอ้ น

8. สัญลักษณพ์ ลาสตกิ HDPE คือข้อใด ค. ง. ก. ข.

แบบฝึกหดั ท้ายหน่วย คะแนน

คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นเลือกคาตอบทีถ่ กู ทส่ี ดุ

1. เมื่อเอาโลหะเหล็กทีบ่ ดเปน็ ผงละเอยี ดใส่ลงในสารละลายกรดไฮโดรคลอริก ขอ้ ใดใหอ้ ัตราการ

เกดิ ปฏิกริ ิยาเฉลย่ี สูงสดุ

ก. 1.0 g ทาปฏกิ ิริยาใน 10 นาที ข. 0.01 g ทาปฏกิ ิริยาใน 1 นาที

ค. 0.20 g ทาปฏิกิริยาใน 1 นาที ง. 0.4 g ทาปฏิกริ ิยาใน 10 นาที

2. กราฟต่อไปน้แี สดงการเปลยี่ นแปลงของ Y ตาม X ในการศกึ ษาเรอ่ื งอัตราการเกิด ปฏิกริ ยิ า X และ Y

ควรเปน็ ก. X คอื อณุ หภูมิ Y คอื ความเข้มขน้

ข. X คือ เวลา Y คือความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์

ค. X คือ อณุ หภมู ิ Y คือ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า

ง. X คอื ความเขม้ ข้นของผลติ ภณั ฑ์ Y คือ อัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ า

3. สิ่งใดต่อไปนี้ ห้ามทง้ิ ลงอา่ งนา้ หรอื ทอ่ นา้ ทิง้ โดยตรง

ก. สารไวไฟ ข. สารไวปฏกิ ริ ยิ ากบั น้า เช่น โลหะแมกนีเซยี ม

ค. สารตวั ทาละลาย ง. ข้อ ก. และ ค. ถกู ต้อง

4. 2. พลังงานก่อกัมมนั ต์ (Ea) คืออะไร

ก. พลังงานสงู ทีส่ ดุ ทอ่ี นภุ าคของสารจะตอ้ งมเี พื่อใหช้ นกนั แลว้ เกดิ ปฏกิ ริ ยาิ

ข. พลังงานสูงท่สี ุดทอ่ี นุภาคของสารเชงิ ซอ้ นจะต้องมเี พอื่ ใหช้ นกนั แลว้ เกิดปฏกิ ิริยา

ค. พลังงานตา่ ทส่ี ดุ ทอ่ี นภุ าคของสารจะตอ้ งมเี พือ่ ใหช้ นกันแล้วเกดิ ปฏิกริ ิยา

ง. พลงั งานตา่ ท่สี ดุ ท่อี นภุ าคของสารเชิงซ้อนจะตอ้ งมีเพ่อื ใหช้ นกนั แลว้ เกดิ ปฏิกริ ยิ า

5. ข้อใดไม่ใชฏ่ ิกิรยิ าเคมี

ก. จุดธปู ไหวพ้ ระ ข. เตมิ นา้ ตาลลงในกาแฟร้อน ค. บ่มมะม่วงให้สุก ง. อาหารบดู จากอากาศรอ้ น

6.โครงสร้างพลาสติกแบบใดมคี วามแขง็ แรงมากทสี่ ุด

ก.แบบโซ่ตรง ข.แบบโซ่กงิ่ ค.แบบร่างแห ง.แบบโซต่ รงผสมกบั โซก่ ง่ิ

7.“พอลิไวนลิ คลอไรด์เกิดจากโมเลกุลของไวนิลคลอไรดม์ าตอ่ กันด้วยพนั ธะโคเวเลนต์”

จากข้อความดงั กลา่ ว อะไรคอื มอนอเมอร์

ก. ไวนิล ข. โคเวเลนต์ ค. ไวนิลคลอไรด์ ง. พอลิไวนลิ คลอไรด์

8. จากข้อ 7 อะไรคือพอลเิ มอร์

ก. ไวนลิ ข. โคเวเลนต์ ค. ไวนลิ คลอไรด์ ง. พอลิไวนิลคลอไรด์

9. โฟมบรรจุอาหาร เปน็ พลาสตกิ ประเภทใด

ก. พลาสตกิ ประเภท PS ข. พลาสติกประเภท PP

ค. พลาสตกิ ประเภท LDPE ง. พลาสตกิ ประเภท HDPE

10. ถุงรอ้ นชนดิ ข่นุ และถุงหูห้ิว เปน็ พลาสติกประเภทใด

ก. พลาสติกกลุ่มที่ 1 ข. พลาสตกิ กลมุ่ ท่ี 2 ค. พลาสตกิ กลุ่มท่ี 3 ง. พลาสติกกลมุ่ ท่ี 4

ม.3

ไฟฟา้

ชอ่ื ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/3 ใบงานเรื่องผลปริมาณทางไฟฟา้

คาชแ้ี จง จงเตมิ ข้อความในช่องวา่ งใหส้ มบรู ณ์

ชนดิ หนว่ ย สัญลกั ษณ์ กาลังไฟฟา้ วตั ต์ W กระแสไฟฟา้ แอมแปร์ A ความต่างศักยไ์ ฟฟา้ โวลต์ V ความถ่ีของไฟฟ้า เฮริ ตซ์ Hz ความตา้ นทานไฟฟา้ โอห์ม Ω

1. กระแสไฟฟา้ แบ่งออกเปน็ 2 ชนดิ คือ 1.ไฟฟ้ากระแสตรง 2. ไฟฟา้ กระแสสลบั 2.จากข้อ 1 ท้ังสองอย่างต่างกันอย่างไร ไฟฟา้ กระแสตรง(DC) เปน็ ไฟฟ้าทีม่ าจากขั้วลบเพยี งอยา่ งเดยี ว มที ิศทางการไหลไปในทางเดยี ว ซ่ึงจะเรมิ่ ออกจากแหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ จากข้ัวลบผา่ นเคร่ืองใช้ไฟฟ้าแล้วเข้าสขู่ ั้วบวกของแหลง่ กาเนิด ไฟฟา้ มีคุณสมบตั ิพเิ ศษคือกระแสไฟฟ้านนั้ มแี รงดนั เปน็ บวกอยู่เสมอและสามารถเกบ็ ประจเุ อาไว้ ใช้งานกบั แบตเตอรไี่ ด้ ไฟฟา้ กระแสสลับ(AC) เปน็ ไฟฟ้าทม่ี ีการไหลไปในทศิ ทางทีส่ ลบั ไปสลบั มา หรือพูดงา่ ยๆ วา่ เปน็ กระแสไฟฟ้าทไ่ี มม่ ีข้วั นั้นเอง มีคุณสมบตั พิ ิเศษประจาตัวคือสามารถสง่ กระแสไฟฟา้ ไปในท่ีไกลๆ โดยที่แรงไม่ตก และสามารถปรับระดบั แรงดนั ดว้ ยตนเองได้ 3. เคร่ืองมอื วัดกระแสไฟฟา้ คอื แอมมเิ ตอร์ (Ammeter) 4. เครือ่ งมือทใี่ ช้วดั ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้ คือ โวลตม์ ิเตอร์ (Voltmeter) 5.การต่อแอมมิเตอร์กบั วงจรไฟฟ้าตอ้ งตอ่ แบบขนานหรอื อนุกรม อนุกรม 6.การต่อโวลตม์ ิเตอร์กับวงจรไฟฟา้ ตอ้ งตอ่ แบบขนานหรืออนกุ รม ขนาน 7. กระแสไฟฟ้าตามบ้าน คือ ไฟฟ้ากระแสสลบั

ชื่อ..........................................................................ชน้ั ..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/1-2 ใบงานเรือ่ งผลกฎของโอมห์ (1)

คาชแี้ จง จงแสดงวธิ ีทา

1. นาเครื่องใช้ไฟฟา้ ชนดิ หนึง่ ทมี่ คี วามต้านทาน 50 โอหม์ ไปต่อกับแบตเตอรจ่ี ากนนั้ วัดกระแสไฟฟา้ ที่ไหลผ่านเครือ่ งใชไ้ ฟฟ้าน้ไี ด้ 10 แอมแปร์ อยากทราบวา่ แบตเตอร่ีใหค้ วามต่างศักยเ์ ทา่ ใด ส่ิงทโ่ี จทย์ถามหา คอื V = ? วธิ ที า จากสูตร V = IR

แทนคา่ V = 10 แอมแปร์ (A) X 50 โอหม์ ( Ω ) \= 500 โวลต์ (V)

ตอบ แบตเตอรี่ใหค้ วามตา่ งศักย์ 500 โวลต์ (V)

2. เครือ่ งใช้ไฟฟ้าชนิดหนง่ึ มีความตา้ นทาน 11 ( Ω ) เมื่อเปิดเคร่อื งมกี ระแสไหลผา่ น 20 แอมแปร์ อยาก ทราบวา่ เครอื่ งใชไ้ ฟฟ้านีต้ อ่ เข้ากบั ความตา่ งศักย์กโี่ วลต์ สิ่งที่โจทย์ถามหา คอื V = ? วิธีทา จากสูตร V = IR

แทนคา่ V = 20 แอมแปร์ (A) X 11 โอหม์ ( Ω ) \= 220 โวลต์ (V)

ตอบ เคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ นีต้ อ่ เขา้ กับความต่างศกั ย์ 500 โวลต์ (V)

3. เตารีดเครอ่ื งหนง่ึ มคี วามตา้ นทาน 33 โอหม์ ต่อกบั ความตา่ งศกั ย์ 220 โวลต์ เม่ือเปิดใชง้ านจะ

มี กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเทา่ ใด

ส่ิงท่ีโจทย์ถามหา คือ I = ?

วิธีทา จากสตู ร V = IR

I =

220 โวลต์ (V) \= 44 โอหม์ ( Ω )

\= 5 แอมแปร์ (A)

ตอบ เมอื่ เปิดใชง้ านจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผา่ น 5 แอมแปร์ (A)

ชอ่ื ..........................................................................ช้ัน..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/1-2 ใบงานเรื่องผลกฎของโอมห์ (2)

คาชแ้ี จง จงแสดงวิธีทา

4. ลวด 3 เสน้ มคี วามตา้ นทาน 2, 4 และ 6 โอหม์ นามาตอ่ กันแบบอนุกรม ดงั รูป เม่ือนาท้ังหมดไปตอ่ กบั ความต่างศกั ย์ 48 โวลต์ จงหา

R1 = 2 R2 = 4 R3 = 6

II

1.1 ความต้านทานรวมทงั้ วงจร

จากสตู ร ความตา้ นทานรวม = R1 + R2 + R3

\=2+4+6

\= 12 ( Ω ) ความต้านทานรวม คือ 12 โอหม์ 1.2 กระแสที่ไหลในวงจร

จากสตู ร V = IR

40 = I x 12

I= 48 = 4 แอมแปร์ 12

กระแสที่ไหลในวงจร = 4 แอมแปร์

2.3 ความตา่ งศักยท์ ่วี ดั ได้บนความต้านทานแต่ละตวั

R1 = 4 x 2 = 8 โวลต์ R2 = 4 x 4 = 16 โวลต์ R3 = 4 x 6 = 24 โวลต์

ช่อื ..........................................................................ชัน้ ..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/8 ใบงานเรอ่ื งผลกาลงั ไฟฟา้

คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนเติมคาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งให้ถกู ต้อง 1.กระตกิ น้ารอ้ นไฟฟ้าขนาด 670 W 220 V หมายความวา่

ตอ้ งใช้กบั ไฟ 220 โวลต์ กระตกิ นา้ ร้อนไฟฟา้ เคร่ืองนี้ ใช้กาลังไฟ 670 วตั ต์

2.หลอดไฟ ขนาด 220 V 60 Wหลอดไฟหมายความว่า ตอ้ งใช้กับไฟ 220 โวลต์ เท่านนั้ และหลอดไฟนม้ี กี าลงั ไฟฟ้า 60 วตั ต์

3. 220 V 50 Hz 1000 W หมายความว่า

ต้องใชก้ บั ไฟ 220 โวลต์ ความถ่ี 50 Hz เครื่องปรับอากาศจงึ ให้กาลัง 1000 W

4.เตารดี ไฟฟ้าอนั หน่ึงใชพ้ ลังงานไฟฟ้า 7,700 จลู ในเวลา 7 วินาที และ

ขณะใช้งานมกี ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ น 5 แอมแปร์ เตารดี ไฟฟ้าอันน้ีตอ้ งใช้

กับไฟฟา้ ความตา่ งศกั ย์เท่ากับ

V= W W I 77,0x05077,0=x050 220 โวลต์ txI t=x

5. 220 V 1100 W ตู้เยน็ นมี้ ีกระแสไฟฟ้าไหลผา่ นเทา่ กบั

I = = I = 1100 = 5 แอมแปร์ 220

ชอ่ื ..........................................................................ช้ัน..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/8 ใบงานเรื่องผลพลังงานไฟฟา้ และกาลงั ไฟฟ้า(1)

คาชแี้ จง จงแสดงวธิ ที า

1.สูตรท่ใี ช้ในการคานวณหาค่าพลงั งานไฟฟา้ คอื W = Pt

2. ถา้ ใช้หลอดไฟฟ้าขนาด 1000 จลู ในเวลา 10 วนิ าที ไฟดวงนีม้ กี าลงั ไฟฟ้าเทา่ ใด พลงั งานไฟฟ้า(จลู ) วิธที า กาลงั ไฟฟา้ (วัตต์) = เวลา (วนิ าท)ี

แทนคา่ กาลังไฟฟ้า = 1000 10

\= 100 จลู /วินาที

ตอบ ดังนัน้ หลอดไฟดวงนใี้ ชพ้ ลังไฟฟา้ ไป 100 จลู /วินาที หรอื 100 วตั ต์

3. ถา้ เปิดเคร่อื งปรับอากาศทมี่ ีกาลงั ไฟฟ้า 1,500 วัตต์ นาน 3 ช่วั โมง จะสิ้นเปลอื งพลังงานไฟฟา้ กี่หน่วย

วิธีทา เคร่ืองปรบั อากาศมีกาลงั ไฟฟ้า 1,500 วัตต์ = 1500 = 1.5 กิโลวตั ต์ 1000

พลงั งานไฟฟา้ (หนว่ ย) = กาลังไฟฟา้ (กิโลวัตต์) x เวลา (ช่วั โมง)

\= 1.5 กโิ ลวตั ต์ x 3 ชัว่ โมง

\= 4.5 หนว่ ย

ตอบ ดงั นัน้ เครื่องปรบั อากาศเคร่ืองน้ีจะสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า 4.5 หน่วย

4. บา้ นหลงั หนึ่งนี้ไฟฟา้ ดงั น้ี หลอดไฟฟา้ 40 W จานวน 3 ดวง ใชว้ นั ละ 9 ช่ัวโมง ถา้ เสียค่าไฟฟา้ หนว่ ยละ 6

บาท เจา้ ของบา้ นหลังนี้จะจ่ายค่าไฟสาหรับหลอดไฟ 3 ดวงนี้เทา่ ใด

วธิ ีทา หลอดไฟมกี าลงั ไฟฟา้ = 40 W จานวน 3 ดวง

พลงั งานไฟฟา้ (หนว่ ย) = กาลงั ไฟฟ้า (กโิ ลวตั ต์) x เวลา (ชั่วโมง)

\= 40 3 9 = 1.08 หน่วย 1000

ดังนั้น เปิดไฟพรอ้ มกัน 3 ดวง จะสิ้นเปลอื งพลงั งานไฟฟ้า 1.08 หน่วย

ค่าไฟหนว่ ยละ 6 บาท = 1.08 x 6 บาท = 6.48 บาท

ตอบ ดังนัน้ เจ้าของบา้ นหลังนี้จะจา่ ยค่าไฟสาหรับหลอดไฟ 3 ดวงนี้ 6.48 บาท

ชอื่ ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/8 ใบงานเรอื่ งผลพลังงานไฟฟา้ และกาลงั ไฟฟ้า(2)

คาชแ้ี จง จงแสดงวิธที า

5. บ้านหลังหนง่ึ ใช้ไฟฟ้าดงั น้ี หลอดไฟฟ้า 50 W จานวน 8 ดวง ใชว้ นั ละ 8 ช่วั โมง พดั ลม 80 W จานวน 3 ตวั ใชว้ ันละ 15 ชวั่ โมง ตเู้ ยน็ 2000 W ใชว้ นั ละ 24 ชวั่ โมง ถ้าเสียค่าไฟฟ้าหนว่ ยละ 6 บาท เจา้ ของ บ้านหลงั นจ้ี ะจา่ ยคา่ ไฟฟ้าเดอื นละเทา่ ใด

วธิ ีทา พลังงานไฟฟ้าหลอดไฟ = 50 W x 8 = x 8 = 3.2 หนว่ ย พลงั งานไฟฟ้า (หน่วย) = กาลังไฟฟ้า (กโิ ลวตั ต์) x เวลา (ช่วั โมง)

\= 50 8 x 8 ชว่ั โมง = 3.2 หน่วย 1000

พลังงานไฟฟ้าพัดลม = 80 W x 3

\= 80 3 x 15 ชวั่ โมง = 3.6 หนว่ ย 1000

พลงั งานไฟฟา้ ตเู้ ยน็ = 240 W

\= 2000 x 24 ชวั่ โมง = 48 หน่วย 1000

พลังงานไฟฟ้ารวมของเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าทง้ั หมด = (3.2 + 3.6 + 48 ) X 6

ตอ่ วนั = 328.8 บาท

ตอ่ เดือน = 30 วนั

ต่อเดือน = 328.8 X 30 = 9864 บาท

ตอบ ดังนั้น เจา้ ของบ้านหลังนจ้ี ะจ่ายคา่ ไฟสาหรบั เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้า 9864 บาท

ชอื่ ..........................................................................ชั้น..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/5 ใบงานเรื่องผลวงจรไฟฟา้ แบบต่างๆ

คาชี้แจง ให้นักเรยี นเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในชอ่ งว่างใหถ้ กู ต้อง

1ภาพนี้คอื วงจรใด วงจรอนกุ รม 2. เมอื่ ต่อดังภาพ จะทาให้กระแสไฟฟ้า ไหลไปในทิศทางเดยี วกันและ ไหลผ่านความตา้ นทานแตล่ ะตัวดว้ ยค่าท่ี เทา่ กัน เท่ากบั กระแสไฟฟ้าที่แหลง่ จ่าย ไฟฟา้ จา่ ยออกมา 3. คา่ ความตา้ นทานรวมของวงจร RT = R1 + R2

4. ภาพนคี้ ือวงจรใด วงจรขนาน

5. เม่ือต่อดังภาพ จะทาให้กระแสไฟฟ้า ไหลแยก ไปส่ตู วั ตา้ น

ทานแตล่ ะตวั ทขี่ นานกนั

6. ค่าความตา้ นทานรวมของวงจร RT = 1 + 1

R1 R1

7. ภาพน้คี ือวงจรใด วงจรผสม R1 R2 R3 8. ค่าความต้านทานรวมของวงจร RT =

9. วงจรไฟฟา้ คอื เสน้ ทางทก่ี ระแสไฟฟ้าผา่ นอุปกรณ์ตา่ งๆได้ครบวงจร 10. วงจรไฟฟา้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื วงจรปดิ และ วงจรเปดิ

ช่ือ..........................................................................ช้นั ..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/5 ใบงานเรื่องผลวงจรไฟฟา้ ในบา้ น

คาช้แี จง ให้นกั เรียนเตมิ คาหรอื ข้อความลงในชอ่ งวา่ งให้ถกู ต้อง

1.ผงั วงจรไฟฟา้ ในบา้ นประกอบดว้ ยอุปกรณ์ไฟฟ้าตา่ ง ๆ สายไฟ สะพานไฟ ฟิวส์ เต้ารบั เตา้ เสียบ และสวิตซไ์ ฟฟา้ 2.เครื่องใชไ้ ฟฟา้ ตา่ ง ๆ ในผังวงจรนี้ ไดแ้ ก่ หลอดไฟ พดั ลม ต้เู ยน็ หมอ้ หงุ ข้าว เตารดี ไมโครเวฟ 3.เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ตอ่ อยู่ในวงจรแบบ ขนาน เพอ่ื ทาให้อุปกรณ์และ เครือ่ งใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดอยู่ คนละวงจร ซ่ึงถา้ เครื่องใชไ้ ฟฟ้าชนดิ หนงึ่ เกดิ ขดั ขอ้ งเนื่องจากสาเหตใุ ดก็ตาม เครอื่ งใช้ไฟฟ้าชนดิ อ่นื ก็ ยงั คงใช้งานได้ตามปกติเพราะไม่ไดอ้ ย่ใู นวงจรเดียวกัน 4.กอ่ นท่กี ระแสไฟฟา้ จะไหลเข้ามาในบ้านจะตอ้ งผ่านมาตรไฟฟา้ ซ่ึงทาหน้าที่ วดั พลังงานไฟฟ้าทีถ่ กู ใช้ไป 5. ไฟฟา้ ท่ใี ชใ้ นบ้านเรอื นทั่วไปเปน็ ไฟฟา้ กระแส สลบั มีความต่างศักย์ 220 โวลต์ ความถ่ี 50 เฮิรตซ์ 6. การส่งพลังงานไฟฟา้ เข้าบ้านจะใช้สายไฟ 2 เส้น คือ 1. สายกลาง หรอื สาย N มศี ักย์ไฟฟา้ เปน็ ศนู ย์ 2. สายไฟ หรอื สาย L มีศกั ย์ไฟฟา้ เป็น 220 โวลต 7. จากภาพเป็นวงจรเปดิ หรือวงจรปดิ วงจรเปดิ 8.ไฟตกคือ ปรากฏการณ์ที่โรงไฟฟ้าไม่สามารถจ่ายพลงั งานได้เพียงพอกบั ความตอ้ งการใช้ เครอื่ งใช้ไฟฟ้าหลายชิ้นพรอ้ มๆ กัน มผี ลทาให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเขา้ อปุ กรณ์และเครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าลดลง ไม่เพียงพอกบั การใชง้ าน

ชือ่ ..........................................................................ชนั้ ..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6 ใบงานเร่ืองผลอปุ กรณใ์ นวงจรไฟฟา้

คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรยี นเตมิ คาหรือข้อความลงในช่องวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง

1.ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ ความตา้ นทานไฟฟ้าของลวดตวั นาได้แก่ ชนดิ ของลวดตวั นา อณุ หภูมขิ องลวดตวั นา

ความยาวของลวดตัวนา และพื้นท่ีหนา้ ตัดของลวดตวั นา

2.ฟวิ ส์ คอื .อปุ กรณ์ที่ทาหนา้ ทีป่ อ้ งกนั ไม่ใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้ามามากเกนิ ไป ถ้ามีกระแสผา่ นมา

มากจะตัดวงจรไฟฟ้าในบา้ นโดยอัตโนมัติ

เป็นโลหะผสมระหว่าง ตะกั่วกบั ดบี กุ และบสิ มัท ซ่ึงเปน็ โลหะท่ีมีจดุ หลอมเหลวตา่ มคี วามตา้ นทานสูง

3.ฟิวส์ขนาด 5 แอมแปร์ คอื

ฟิวส์ท่ียอมใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นไดไ้ ม่เกนิ 5 แอมแปร์ ถา้ เกนิ กว่านฟี้ ิวสจ์ ะขาด

4. การเลือกใช้ฟวิ ส์ ควรเลอื กขนาดของฟวิ สใ์ ห้พอเหมาะกบั ปรมิ าณกระแสไฟฟ้าทใี่ ชใ้ นบ้าน

ซง่ึ เรา สามารถคานวณหาขนาดของฟวิ สใ์ ห้เหมาะสมกบั ปรมิ าณกระแสไฟฟา้ จากความ สัมพนั ธ์ต่อไปนี้

จากสตู ร P = IV

5.สะพานไฟมีความสาคัญตอ่ วงจรไฟฟ้าในบ้านคือ

เป็นอปุ กรณ์สาหรบั ตดั หรือตอ่ วงจรไฟฟ้าทงั้ หมดภายในบ้าน

6.สวติ ซ์ทใี่ ชก้ บั หลอดไฟ 1 ดวง ซึง่ สามารถเปิดปดิ ได้จาก 2 ตาแหน่ง คอื สวิตซส์ องทาง

7.เตา้ รับและเตา้ เสยี บแบบ 3 ขา ดกี ว่าเตา้ รบั และเตา้ เสยี บแบบ 2 ขา เพราะ

ขาท่ี3 จะเช่อื มต่อกบั สายดิน ช่วยป้องกนั กรณีกระแสไฟฟา้ ร่ัว

8.สวติ ซ์ท่ใี ช้ตามบ้านเรอื นมี 3 แบบ คอื สวิตซธ์ รรมดา สวติ ซ์ 2 ทาง และสวิตซอ์ ตั โนมตั ิ

9. บา้ นหลังหนง่ึ มดี งั น้ี เตาอบ ขนาด 900 วตั ต์/ เครื่องป่นั ขนาด 250 วตั ต์/ ตเู้ ยน็ ขนาด 500 วัตต์

จะต้องใชฟ้ วิ สข์ นาดก่แี อมแปร์ สาหรบั วงจรไฟฟา้ ในบ้านหลงั นี้

Hint ไฟบา้ นปกติ /ฟิวส์ปกตขิ นาด 5/10/15

วธิ ีทา จากสตู ร I =

900 1. หาปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าผ่านเตาอบ = = 220 = 4.1

2. หาปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าผ่านเครือ่ งปนั่ = = 250 = 1.1 220

3. หาปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าผ่านตู้เยน็ = 500 = 2.3 220

รวมกระแสไฟฟา้ ท้ังหมด 4.1 + 1.1 + 2.3 = 7.5 ดงั น้นั บ้านหลังนค้ี วรใช้ฟวิ ส์ขนาด 10 A

ช่ือ..........................................................................ช้นั ..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 ใบงานเร่อื งผลเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ทใ่ี หแ้ สงสวา่ ง

คาชีแ้ จง ให้นักเรียนตอบคาถามต่อไปนี้ โดยใหท้ าเครื่องหมาย √ หนา้ ข้อทีเ่ หน็ ว่าถกู และเคร่อื งหมาย X หน้าขอ้ ทีเ่ ห็นวา่ ผดิ

......... 1.ทอมัส แอลวา เอดสิ นั เป็นผู้ประดษิ ฐห์ ลอดไฟฟา้ ใชเ้ ปน็ ครง้ั แรกดว้ ยไสห้ ลอด ทังสเตนเสน้ เลก็ ๆ

......... 2. แก๊สไนโตรเจนป้องกันไสห้ ลอดไฟฟ้า ไม่ใหร้ ะเหิดกลายเปน็ ไอ ......... 3. หลอดแกว้ ทนความรอ้ นไดด้ ี ไมแ่ ตกงา่ ย ภายในเป็น บรรจจุอากาศและไอปรอท ......... 4. หลอดฟลูออเรสเซนต์ มีประสทิ ธิภาพให้ความสวา่ งมากกวา่ หลอดไฟธรรมดา

ประมาณ 5 เทา่ มีอายุการใชง้ านมากวา่ กว่าหลอดไฟธรรมดาถงึ 8 เท่า ......... 5. สตารต์ เตอร์ มีลักษณะโครงสร้างคลา้ ยหม้อแปลงไฟฟา้ ......... 6. การทางานของหลอดฟลอู อเรสเซนต์ พลังงานไฟฟ้า ไอปรอท รงั สีอัตราไวโอเลต

สารเรืองแสง พลงั งานแสงสว่าง ......... 7. สีของหลอดฟลอู อเรสเซนต์ ข้นึ อยกู่ ับแก็สทบ่ี รรจภุ ายใน ......... 8. หลอดไฟโฆษณาต้องใชก้ ับกระแสไฟฟา้ ทม่ี คี วามตา่ งศักย์สงู ถึง 10,000 โวลต์ ......... 9. แบลลสั ตเ์ ป็นตวั เพม่ิ ความตา่ งศกั ย์เพอื่ ให้หลอดไฟฟา้ สวา่ ง ......... 10.หลอดคอมแพคฟลอู อเรสเซนต์มรี าคาค่อนข้างแพง แตค่ มุ้ ค่าในระยะยาว ......... 11. ซงิ คซ์ ลิ ิเกตที่ฉาบไว้ใหส้ ีทองแกมฟา้ ......... 12. แมกนเี ซียม ทังสเตน เรืองแสง ให้สแี ดง

ชอ่ื ..........................................................................ชน้ั ..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 ใบงานเรอ่ื งผลเครื่องใชไ้ ฟฟ้าท่ใี ห้ความร้อน

คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามตอ่ ไปน้ี โดยใหท้ าเครอ่ื งหมาย √ หนา้ ข้อทเ่ี หน็ วา่ ถกู และเครือ่ งหมาย X หน้าข้อทเ่ี ห็นว่าผิด และแกข้ อ้ ความท่ผี ดิ ให้ถกู ตอ้ ง

......... 1. ลวดนโิ ครม เปน็ ลวดโลหะผสม ระหวา่ งนิกเกลิ กบั ทองแดง เพือ่ ให้มสี มบตั ดิ า้ นตา้ นทาน ไฟฟ้าสงู จดุ หลอมเหลวสงู และเกดิ ความรอ้ นสงู ลวดนโิ ครม เป็นลวดโลหะผสม ระหว่างนิกเกิลกบั โครเมยี ม

......... 2. เครื่องใช้ไฟฟ้าให้ความร้อนไมจ่ าเป็นตอ้ งมตี วั ฉนวนกันไฟ จาเป็นต้องมีปอ้ งกันลวดนโิ ครมละลายและป้องกนั ไฟรวั่

......... 3. ใยหิน/แผน่ ไมกา เป็นตวั กนั ไม่ใหข้ ดลวดนโิ ครมหลอมละลาย

......... 4. เตารีด กระตกิ นา้ รอ้ น และไดรเ์ ปา่ ผม จาเป็นตอ้ งมี เทอร์มอสแตท (Thermostst) เทอร์มอสแตท (Thermostst) มกั จะมีในเครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ท่ีให้ความรอ้ นเปน็ เวลานานๆ

......... 5. ตวั ควบคุมอุณหภมู ิ จะตอ้ งใช้โลหะชนดิ เดียวกนั เพื่อใหข้ ยายตวั รึขดงอพร้อมๆกนั ใช้โลหะคนละชนดิ เพื่อให้การขยายตวั รึขดงอไม่พร้อมกนั

......... 6. ตวั ควบคมุ อุณหภมู ิ ใช้ความรอ้ นควบคมุ วงจรเปดิ และวงจรปิดในเครอ่ื งใช้ไฟฟ้า

......... 7. เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ เปล่ยี นพลังงานไฟฟ้าเป็นหลงั งานรปู อืน่ ได้แคพ่ ลงั งานใดพลงั งานหนงึ่ สามารถเปลยี่ นพลังงานไดห้ ลายรปู เชน่ ไดร์เปา่ ผมทเี่ ปน็ ทงั้ พลงั งานความร้อนและพลงั งานกล

การทางานควบคมุ วงจรของตัวควบคมุ อณุ หภูมิ

ชอ่ื ..........................................................................ช้ัน..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 ใบงานเรือ่ งผลเครื่องใช้ไฟฟ้าท่ีให้พลังงานกล

คาชี้แจง ให้นกั เรยี นเติมคาหรอื ขอ้ ความลงในช่องวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง

1.มอเตอร์ (Motor) คืออปุ กรณ์ที่ทาหนา้ ทเี่ ปลยี่ นพลงั งานไฟฟ้าเปน็ พลงั งานกล 2.การควบคุมให้มอเตอรห์ มนุ ชา้ หรือเรว็ ทาไดโ้ ดย การเพม่ิ หรือลดความต้านทานภายในเคร่ือง ซึง่ มีผลต่อปรมิ าณกระแสไฟฟา้ ท่ี ไหลผ่านเคร่อื ง และทาให้ความเร็วเปลย่ี นไปได้ 3.อาการไฟตกมีผลตอ่ มอเตอรอ์ ยา่ งไร เพราะถ้าไฟตก มอเตอรจ์ ะไมห่ มนุ แต่ยังมกี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นขดลวดตวั นาอยู่ ทาใหก้ ระแสไฟฟา้ ดนั กลับ ซ่ึงอาจทาให้ขดลวดรอ้ นและไหมไ้ ด้ 4.ไดนาโม คือ อุปกรณ์ท่เี ปลยี่ นพลงั งานกลเปน็ พลังงานไฟฟ้า ซง่ึ ทาหน้าที่ตรงข้ามกบั มอเตอร์ 5. มอเตอร์ มี 2 แบบคือ 1.มอเตอร์ไฟฟา้ กระแสตรง 2. มอเตอร์ไฟฟา้ กระแสสลบั 5.จงอธิบายหลกั การทางานของมอเตอร์ เมือ่ ใหก้ ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นขดลวดตัวนาทีว่ างอยูร่ ะหวา่ งสนามแม่เหลก็ ของข้ัวแมเ่ หลก็ เหนอื ใต้จะ ทาให้เกดิ สนามแม่เหลก็ รอบ ๆ ขดลวด สง่ ผลให้เส้นแรงแมเ่ หล็กระหวา่ งขัว้ แมเ่ หลก็ ทง้ั สอง เบ่ียงเบนไป เสน้ แรงแมเ่ หลก็ ทเี่ บีย่ งเบนไปน้ี จะพยายามยืดเสน้ แรงออกใหต้ รง โดยออกแรงผลัก ลวดตัวนา ทาใหเ้ กดิ การหมนุ ของขดลวดขน้ึ ซึ่งทศิ ทางการหมุนนขี้ น้ึ อยกู่ ับทิศทางของกระแสไฟฟ้า ท่ีไหลผ่านขดลวดตัวนา 6.ยกตัวอย่างเครอื่ งใช้ไฟฟ้าทีใ่ ห้พลังงานกลเพียงอยา่ งเดียว อยา่ งนอ้ ย 3 อยา่ ง พดั ลม จักรเย็บผา้ ไฟฟา้ เครื่องดูดฝนุ่ เครื่องปั่น 7. เครื่องใช้ไฟฟ้าต่อไปน้ีเปล่ยี นพลังงานไฟฟา้ เปน็ หลงั งานใดบ้าง ไดร์เปา่ ผม = พลงั งานกล + พลงั งานความร้อน เคร่อื งซกั ผ้า = พลงั งานกล + พลงั งานความรอ้ น คอมพวิ เตอร์ = พลังงานกล + เสยี ง + ภาพ

ชื่อ..........................................................................ชัน้ ..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 ใบงานเร่ืองผลเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าท่ีให้พลงั งานเสยี ง

คาช้ีแจง จงอธิบายหลักการทางานของเครอ่ื งใชต้ ่อไปนี้

1. เคร่ืองรบั วิทยุ เปน็ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ทีเ่ ปลย่ี นพลงั งานไฟฟา้ เปน็ พลงั งานเสียงโดยรับคล่ืนวิทยุจาก สถานีสง่ ภายในเครือ่ งรบั จะมี อุปกรณอ์ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ขยายสญั ญาณท่อี ยู่ในรูปของสญั ญาณไฟฟา้ ให้ แรงข้ึนจนเพยี งพอทจี่ ะทาให้ลาโพงสน่ั สะเทอื นเปน็ เสยี ง

2. เครือ่ งบนั ทกึ เสียง เปน็ เครอื่ งใช้ไฟฟ้าทีเ่ ปลยี่ นพลงั งานไฟฟ้า เป็นพลงั งานเสยี งโดยใช้ ไมโครโฟนเปลย่ี นเสยี งพูดหรอื เสยี งร้องเปน็ สัญญาณไฟฟ้า แลว้ บนั ทกึ สญั ญาณไฟฟ้าลงแถบ บนั ทึกเสียงในรปู ของ สญั ญาณแมเ่ หลก็ เมอ่ื นาแถบบนั ทกึ เสยี งทีบ่ ันทึกมาเลน่ สัญญาณ แมเ่ หล็ก จะถูกเปล่ยี นเป็นสญั ญาณไฟฟา้ แลว้ ขยายใหแ้ รงข้ึนจนพอทจี่ ะ ทาใหล้ าโพงส่ันสะเทือนเปน็ เสยี งอกี คร้ังหนึง่ ไมโครโฟน

3. เคร่อื งขยายเสยี ง เป็นเครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ที่เปลย่ี นพลงั งานไฟฟา้ เปน็ พลงั งานเสยี งโดยใช้ ไมโครโฟนเปล่ียนเสียงพดู เปน็ สัญญาณไฟฟา้ แลว้ ใช้อปุ กรณ์อเิ ลก็ ทรอนิกสข์ ยายสญั ญาณเสียงท่ี อยใู่ นรปู สัญญาณไฟฟา้ ใหแ้ รงขึน้ จนทาให้ลาโพงสน่ั สะเทอื นเปน็ เสยี ง

ช่ือ..........................................................................ชน้ั ..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 ใบงานเรือ่ งผลการใช้เคร่ืองใช้ไฟฟา้ ในบ้าน

คาช้แี จง จงบอกวิธีการดแู ลรกั ษาเครือ่ งใช้ไฟฟ้าต่อไปน้ี

ชนดิ ของเคร่อื งใช้ไฟฟา้ วธิ ีการเลือกใช้ และดูแลรกั ษา

เครือ่ งทาน้าอนุ่ -เลอื กเคร่ืองทานา้ อนุ่ ให้เหมาะสมกับการใช้ สาหรับบ้านทั่วไปขนาดไม่เกิน 4,500 W -ต้งั อณุ หภูมินา้ ไม่สงู จนเกนิ ไป (ปกติอย่ใู นช่วง 35-45 องศา) -ใช้หัวฝกั บวั ชนดิ ประหยดั นา้ เพราะประหยัดน้าได้ถึง 25-75% -ใช้เครอ่ื งทาน้าอุน่ ทม่ี ถี ังนา้ ภายในตัวเครือ่ งและมฉี นวนหมุ้ เพราะสามารถลดการใช้ พลงั งานได้มากกว่าชนิดทไี่ มม่ ถี งั น้าภายใน 10-20% หม่ันตรวจสอบการทางานของเครอื่ ง โดยเฉพาะ ความปลอดภยั ของเคร่ือง ตรวจดูระบบท่อน้าและรอยต่ออย่าให้มีการรั่วซึม

โทรทัศน์ - เลือกซ้อื ขนาดโทรทัศน์ให้เหมาะกับความจาเป็น - ไม่เปดิ โทรทศั นท์ ิง้ ไว้โดยไมม่ คี นดู - ไมป่ รบั จอภาพใหส้ ว่างเกนิ - ไม่เปลีย่ นช่องบ่อยเพราะ จะทาใหห้ ลอดภาพมอี ายสุ ้ัน

-- เลือกใชค้ วามแรงของลมใหเ้ หมาะกบั ความตอ้ งการ - ปดิ พดั ลมทนั ทีเม่อื ไมใ่ ช้งาน - ควรวางพัดลมในที่มีอากาศถา่ ยเทสะดวก เพ่อื จะได้ไม่ดดู ลมร้อนมาหนา้ เครอื่ ง

พัดลม - เลือกขนาดหมอ้ หงุ ข้าวใหเ้ หมาะสมกับขนาดครอบครัว กระตกิ น้าร้อน - เลือกซอ้ื รุ่นทม่ี ตี รามาตรฐานอุตสาหกรรม - ใสน่ ้าให้พอเหมาะกับความต้องการหรอื ไม่สงู กว่าระดับท่กี าหนดไว้ - ระวงั อยา่ ใหน้ ้าแหง้ หรอื ปล่อ่ยใหร้ ะดับน้าตา่ กว่าที่กาหนด

- เลือกใชต้ ู้เยน็ ทีม่ ีขนาดเหมาะสมกับครอบครวั - ควรวางตเู้ ย็นใหห้ ่างจากผนงั ทั้งดา้ นหลังและดา้ นขา้ ง อยา่ งนอ้ ย 15 cm. - ควรต้งั อุณหภูมภิ ายในตู้เยน็ ประมาณ 3 - 6 ๐C และในช่องแช่แขง็ -15 --18 ๐C - ต้องละลายนา้ แข็งอย่างสม่าเสมอ - ไม่นาอาหารท่ีร้อนหรอื ยงั อนุ่ อยู่ รวมถงึ ไม่ใสข่ องแจนแน่นตเู้ ยน็

ตู้เย็น

ชอ่ื ..........................................................................ช้นั ..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/4 ใบงานเร่อื งผลตวั ตา้ นทาน

คาชแ้ี จง จงอา่ นคา่ ตัวตา้ นทานตอ่ ไปน้ี

แถบสีท่ี 1 23 4 สีทแ่ี สดง นา้ ตาล ดา นา้ ตาล ทอง

ตัวเลขท่ไี ด้ 1 0 x10 +−5%

ค่าที่อา่ นได้ 10 x 10 = 100 Ω

%ผดิ พลาด +−5%

แถบสีที่ 1 23 4 สที ่แี สดง นา้ ตาล ดา แดง ทอง

ตวั เลขทไ่ี ด้ 1 0 x100 −+5%

ค่าที่อ่านได้ 10 x 100 = 1000 Ω

%ผดิ พลาด −+5%

แถบสีที่ 1 2 34 5

สีทแ่ี สดง เหลือง นา้ ตาล ดา ดา น้าตาล

ตัวเลขทีไ่ ด้ 4 1 0 x1 + 1% −

คา่ ทอ่ี า่ นได้ 410 `x` 1 = 410 Ω %ผิดพลาด + 1% −

ชือ่ ..........................................................................ชนั้ ..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 ใบงานเรื่องผลตวั เก็บประจุ

คาชแ้ี จง : ให้นักเรียนตอบคาถามตอ่ ไปนี้ โดยให้ทาเครอื่ งหมาย √ หน้าขอ้ ที่ถูก และเคร่อื งหมาย X หน้าข้อทผ่ี ิด พรอ้ มแกไ้ ขขอ้ ความทีผ่ ิดน้นั

....√......1. โครงสรา้ งของตวั เกบ็ ประจุ ประกอบด้วย แผ่นโลหะ 2 แผ่นวางซ้อนกนั ระหวา่ งแผ่นโลหะท้ัง 2 จะมีแผน่ ฉนวนคนั่ อยู่ เพอ่ื ป้องกนั ไม่ใหแ้ ผน่ โลหะทั้ง 2 ลดั วงจร

.....X..... 2. หน่วยของตัวเก็บประจุ คือโอมห์ D ฟารัด ....√...... 3. ตัวเก็บประจไุ ฟฟ้าแบง่ ตามลักษณะการใช้งาน 3 ชนิดคอื

3.1 ตัวเก็บประจุไฟฟ้าคงที่ 3.2 ตัวเก็บประจุไฟฟา้ ปรบั คา่ ได้ 3.3 ตวั เกบ็ ประจุไฟฟา้ แบบเลอื กค่าได้

....√...... 4. การเรยี กชนิดของตวั เก็บประจไุ ฟฟา้ จะเรยี กตามแผน่ ฉนวนทีนามาคน่ั

.....X..... 5. น่ีคอื สญั ลกั ษณ์ ตวั เก็บประจแุ บบไมม่ ขี ้ัว

ตัวเกบ็ ประจุแบบมีขัว้ .....X..... 6. ตัวเก็บประจุชนดิ ไมลาร์ ใช้เซรามิกกนั้ ระหวา่ งตวั นาไฟฟ้าไมม่ ีข้วั บวก ขวั้ ลบ

ตวั เกบ็ ประจชุ นิดเซรามิก ใชเ้ ซรามกิ กน้ั ระหว่างตัวนาไฟฟ้าไม่มีขั้วบวก ข้ัวลบ ....√...... 7. ตัวเก็บประจุชนดิ ไมลาร์ มีความทนทานสงู ทนต่อความช้นื และน้า

....√...... 8. ตัวเกบ็ ประจุชนิดนา้ ยาเปน็ ตวั เก็บประจชุ นดิ มขี ัว้ (Polarized)

.....X..... 9. ตัวเก็บประจชุ นิดนา้ ยา คา่ ความจไุ มเ่ ปล่ียนตามสภาพความชืน้ กกก ตัวเกบ็ ประจุชนดิ ไมลาร์ ค่าความจไุ ม่เปล่ียนตามสภาพความชืน้ .....X.....10. ตัวเกบ็ ประจชุ นิดน้ายา ใช้แรงเคล่อื นไฟฟา้ ประมาณ 50 – 2,000 โวลต์ กกก ตัวเก็บประจชุ นิดเซรามกิ ใชแ้ รงเคลื่อนไฟฟา้ ประมาณ 50 – 2,000 โวลต์

ชอ่ื ..........................................................................ชั้น..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 ใบงานเรอื่ งผลไดโอด

คาช้ีแจง ใหน้ ักเรียนเติมคาหรอื ข้อความลงในช่องว่างใหถ้ กู ตอ้ ง

1. หนา้ ท่ขี องไดโอด (Diode) คือ ชว่ ยควบคุมใหก้ ระแสไฟฟา้ จากภายนอกไหลผา่ นไดท้ ิศทางเดยี ว และปอ้ งกนั กระแสไฟฟ้าไหลยอ้ นกลบั 2. ไดโอด ประกอบด้วยข้วั 2 ขั้ว คือ แคโทด (Cathode) และ แอโนด (Anode) 3.ถา้ ตอ่ ไดโอดผิดขั้ว จะทาให้ ไดโอดจะ ไม่ยอมใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผ่าน 4.จงวาดสัญลักษณ์ของไดโอดพร้อมระบขุ ัว้ แอโนด และแคโทด

แอโนด แคโทด 5. จากภาพ คอื ไดโอด ชนดิ ใด จงบอกชื่อพรอ้ มระบขุ ว้ั บวกและลบ

แอโนด แคโทด ไดโอดเปลง่ แสง หรือ แอลอดี ี ( LED)

6. จงวาดสญั ลักษณ์ ของไดโอดแอลอดี ี ในวงจร

แอโนด แคโทด

7. ข้อจากดั ของไดโอดเปล่งแสง คอื ถ้าต่อกบั ความต่างศกั ย์ไฟฟา้ ที่สงู กว่า 6 โวลต์ ไดโอดเปลง่ แสงจะ เสยี หาย

ชือ่ ..........................................................................ชน้ั ..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 ใบงานเรือ่ งผลทรานซิสเตอร์

คาชี้แจง ให้นกั เรยี นเติมคาหรือขอ้ ความลงในชอ่ งว่างให้ถกู ตอ้ ง

1. ทรานซสิ เตอร์เปน็ อปุ กรณ์อิเลก็ ทรอนกิ สท์ ีทาจากสารกึงตวั นา ทรานซิสเตอร์แตล่ ะชนดิ จะมี 3 ขา ได้แก่ 1. ขาเบส ( Base : B ) 2. ขาอิมิตเตอร์ ( Emitter : E ) 3. ขาคอลเลก็ เตอร์ ( Collector : C ) 2. หากแบง่ ประเภทของทรานซิสเตอร์ตามโครงสร้างของสารทน่ี ามาใช้จะแบง่ ได้ 2 แบบ คอื (จงบอกชนดิ พรอ้ มวาดภาพสญั ลกั ษร์ในวงจรของทรานซสิ เตอร์ ท้ัง 2 แบบ)

  1. ทรานซสิ เตอรช์ นดิ พีเอ็นพี ( PNP ) เป็นทรานซสิ เตอร์ท่ีจา่ ยไฟเขา้ ที่ขาเบสใหม้ ีความตา่ งศักยต์ ่ากว่า ขาอิมิตเตอร ์
  1. ทรานซสิ เตอร์ชนดิ เอ็นพเี อน็ ( NPN ) เปน็ ทรานซสิ เตอร์ทจี ่ายไฟ เข้าทขี าเบสให้มีความตา่ งศกั ย์สูง กวา่ ขาอมิ ติ เตอร์ 3. ประโยชนข์ อง ทรานซิสเตอร์ คือ
  2. เปน็ วงจรขยายในเครืองรบั วิทยุ โทรทัศน์
  3. เปน็ สวติ ซ์ปดิ -เปดิ ควบคมุ อุปกรณไ์ ฟฟา้ (โดยให้กระแสไฟฟา้ ไหลผ่านหรือไม่ ผ่านเข้าขาเบส)

ชือ่ ..........................................................................ชั้น..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 ใบงานเรอ่ื งผลสญั ลกั ษณ์พ้นื ฐานในวงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส(์ 1)

คาช้แี จง ให้นักเรียนเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในช่องว่างใหถ้ กู ตอ้ ง

อปุ กรณ์ / ชนิด สัญลกั ษณ์

แบตเตอร่ี

ตวั นาไฟฟา้ +- ตัวเกบ็ ประจมุ ขี ้วั

มอเตอร์ M

สวิตซ์

ไฟฟ้ากระแสสลับ

ฟิวส์

ตวั ต้านทาน

ตัวต้านทานปรบั ค่าได้

สายอากาศ

สะพานไฟ

ชื่อ..........................................................................ชน้ั ..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 ใบงานเร่ืองผลสญั ลกั ษณพ์ ้ืนฐานในวงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส(์ 2)

คาช้แี จง ให้นักเรียนเติมคาหรือขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งให้ถกู ตอ้ ง

อุปกรณ์ / ชนดิ สัญลกั ษณ์ หมอ้ แปลงอากาศ

ไดโอด

ไดโอดเปล่งแสง

หลอดไฟ

โอห์มมิเตอร์ Ω

บัลลาสต์

ลวดตัวนา

สตาร์ทเตอร์ S

แอมมิเตอร์ A

สายดิน

แบบฝึกหดั ทา้ ยหนว่ ย คะแนน

คาชแ้ี จง จงเลือกคาตอบทีถ่ กู ทส่ี ดุ

  1. ไฟฟ้าท่ีใชใ้ นครัวเรือนของประเทศไทยไฟฟ้าเปน็ กระแสสลบั ทม่ี คี วามตา่ งศักยเ์ ทา่ ใด

ก. 50 โวลต์ ข. 110 โวลต์ ค. 200 โวลต์ ง. 220 โวลต์

  1. วงจรไฟฟา้ ภายในครวั เรอื นเป็นการตอ่ วงจรไฟฟา้ แบบใด

ก. แบบผสม ข. แบบรวม ค. แบบขนาน ง. แบบอนุกรม

  1. ขอ้ ใดเปน็ การกดสวติ ช์เปิดไฟ

ก. การทาให้วงจรปิด มีกระแสไฟฟ้าไหล ข. การทาให้วงจรเปิด มีกระแสไฟฟ้าไหล

ค. การทาใหว้ งจรปดิ มกี ระแสไม่ไฟฟ้าไหล ง. การทาใหว้ งจรเปดิ ไมม่ กี ระแสไฟฟา้ ไหล

  1. คณุ สมบัตทิ ่ดี ีของฟิวส์ ควรมีลกั ษณะเปน็ อยา่ งไร

ก. ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นเปน็ ชว่ ง ๆ ข.ยอมใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผ่านคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป

ค. ยอมใหก้ ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นไดต้ ลอดโดยไม่เกินกระแสไฟฟ้าที่ฟิวสก์ าหนด

ง. ถูกทกุ ข้อ

  1. ถา่ นไฟฉายกอ้ นหนงึ่ มแี รงเคล่อื น 1.5 โวลต์ เมื่อตอ่ กบั ความตา้ นทานภายนอก 2 โอหม์

กระแสไฟฟ้าผ่านวงจร 0.5 แอมแปร์ จงหาความต้านทานภายใน

ก. 0.5 โอหม์ ข. 1 โอหม์ ค. 1.5 โอห์ม ง. 2 โอหม์

  1. กะทะไฟฟ้ามีความต้านทาน 1,500 โอหม์ มกี ระแสไฟฟ้าไหลผ่าน 0.01 แอมแปร์ ปลายทั้งสอง

ของตวั ตา้ นทานเตารดี ไฟฟา้ นตี้ ่อกบั ความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ เทา่ ใด

ก. 10 โวลต์ ข. 12 โวลต์ ค. 13 โวลต์ ง. 15 โวลต์

  1. การเสยี ค่าไฟจะตอ้ งมีองค์ประกอบใดบ้าง

ก. คา่ ไฟฐาน + ค่าไฟผนั แปร ข. ค่าไฟผันแปร + ค่าบรกิ าร

ค. ค่าไฟฐาน + คา่ บรกิ าร + ภาษีมลู ค่าเพ่ิม ง. ค่าไฟฐาน + ค่า Ft + ภาษมี ูลคา่ เพ่ิม

  1. อปุ กรณ์อเิ ลก็ ทรอนกิ สใ์ นข้อใดเป็นองค์ประกอบในเคร่อื งใช้ไฟฟาู เกอื บทุกชนดิ

ก. ไดโอด ข. ตวั ตา้ นทาน ค. ทรานซสิ เตอร์ ง . เทอร์มสิ เตอร์

  1. ทกี่ องร้อยทหารในหนงึ่ วันเปดิ เคร่ืองใช้ไฟฟา้ ดังน้ี ไฟ 20 วัตต์ 6 ดวง 10 ช่ัวโมง ตู้อบกลอ้ งเลง็ ปืน

ใชก้ ระแสไฟฟ้าตวั ละ 0.25 แอมแปร์ 2 ตู้ 20 ชวั่ โมง พัดลมขนาด 50 วตั ต์ 16 ตัว 8 ชั่วโมง 45

นาที ถ้าคดิ คา่ ไฟฟา้ หน่วยละ 3 บาท ในเดือนเมษายน จะเสียค่าไฟฟ้ากี่บาท

ก. 936 บาท ข. 972 บาท ค.1,013 บาท ง. 1,125 บาท

  1. กาหนดให้การใช้ไฟของบา้ นหลงั หน่ึงในเดอื นเมษายน ซงึ่ มีการใช้เคร่ืองใช้ไฟฟา้ ใน หน่งึ วันดงั น้ี

- หลอดเรืองแสงขนาด 40 วตั ต์ 2 หลอด เปิดวันละ 5 ช่ัวโมง

- โทรทศั นข์ นาด 200 วัตต์ ใชง้ านวันละ 4ชั่วโมง

- พัดลมขนาด 150 วตั ต์ ใชง้ านวันละ 8 ชว่ั โมง จงคานวณคา่ พลงั งานไฟฟ้า

ก. 47.4 หน่วย ข. 72 หน่วย ค 68.2หนว่ ย ง. 66หนว่ ย

ม.3

ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

ชอื่ ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว1.1 ม.3/1 ใบงานเร่อื งผลประชากรในระบบนเิ วศน์

คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นเติมคาหรือขอ้ ความลงในช่องวา่ งให้ถกู ตอ้ ง

1.ประชากร (Population) หมายถงึ ส่งิ มชี ีวิตทั้งหมดท่เี ปน็ ชนดิ เดียวกนั อาศัยอยู่ในแหล่งทอ่ี ยเู่ ดยี วกนั ในชว่ งเวลาใด เวลาหนึ่ง 2. กลุม่ ส่งิ มชี วี ติ (Community) หมายถึง สง่ิ มีชีวิตตา่ ง ๆ หลายชนดิ มาอาศัย อยู่รวมกนั ในบรเิ วณใด บรเิ วณหน่งึ โดยมีความสัมพนั ธก์ นั โดยตรงหรือโดยทางอ้อม

สิง่ มีชีวิต หมายถงึ สงิ่ ทต่ี อ้ งใช้พลังงานในการดารงชวี ิต

มกี ารเจรญิ เตบิ โต

มกี ารขบั ถ่ายของเสยี สบื พนั ธไ์ุ ด้

ต้องกินอาหารหรอื แร่ธาตตุ า่ ง ๆ สามารถปรบั ตัวให้เข้ากบั สภาพแวดลอ้ ม

3. ความหนาแน่นของประชากร หมายถึง สัดส่วนของจานวนประชากรทงั้ หมดทอี่ าศัยอยู่ในบรเิ วณใดบรเิ วณหน่งึ ต่อพ้ืนท่ีหรอื ปริมาตรที่ ประชากรอาศัยอยู่ 4. ขนาดของประชากร หมายถึง จานวนของประชากรทอ่ี าศยั อยใู่ นพืน้ ท่ที ก่ี าหนด หรอื แหล่งทอ่ี ยู่เดียวกนั 5. สง่ิ แวดลอ้ ม (Environment) หมายถงึ สิง่ ทีม่ ีผลต่อการด ารงชวี ติ ของ สิ่งมีชีวติ ทาให้สงิ่ มชี วี ติ เจรญิ เตบิ โตหรือดารงชีวติ อย่ไู ด้ดีหรอื ไม่

ชือ่ ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว1.1 ม.3/1 ใบงานเร่ืองผลประชากรในระบบนเิ วศน์ เพ่มิ

คาชแี้ จง ใหน้ ักเรียนเตมิ แผนภาพน้ใี หส้ มบรู ณ์

การอพยพ ลด

การตาย สาเหตุการเปลยี่ นแปลงขนาดของประชากร การเกดิ ปจั จัยอ่นื ที่สง่ ผล

สภาพอากาศ แสงสว่าง

ความเปน็ กรด - เบส แหล่งทอ่ี ยู่

มลพิษ โรคระบาด

น้า - ความช้ืน แสง

พฤตกิ รรมระหวา่ งประชากรดว้ ยกนั เอง

ช่ือ..........................................................................ช้นั ..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว1.1 ม.3/1 ใบงานเร่ืองผลระบบนเิ วศน์

คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนเติมแผนภาพนใ้ี หส้ มบรู ณ์

ระบบนเิ วศน์ คอื หน่วยพน้ื ที่หนึ่ง ที่ประกอบด้วยสังคมของสงิ่ มชี ีวิตกับ สง่ิ แวดล้อมทาหน้าท่ีร่วมกนั

องคป์ ระกอบไมม่ ีชีวิต

องคป์ ระกอบมีชีวติ 1. อนินทรยี ส์ าร เชน่ คารบ์ อน คาร์บอนไดออกไซด์ ผ้ผู ลติ ไนโตรเจน น้า ฟอสฟอรสั สงิ่ มชี วี ติ ท่สี ามารถสรา้ งอาหาร ออกซิเจน ฯลฯ ไดเ้ องตามธรรมชาติ 2. อนิ ทรีย์สาร เชน่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ผบู้ รโิ ภค ฮิวมัส ฯลฯ 3. สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ เชน่ ความชื้น อุณหภมู ิ แสง อากาศ ความเปน็ กรด-ดา่ ง ฯลฯ

ส่งิ มีชีวติ ท่สี ร้างอาหารเองไม่ได้จาเปน็ ต้องกนิ ผผู้ ลติ หรอื ผูบ้ รโิ ภคดว้ ยกนั เอง

ผ้ยู อ่ ยสลาย

สง่ิ มีชวี ิตท่ที าหนา้ ท่ีย่อยสลายซากพชื ซากสตั ว์ใหเ้ นา่ เป่อื ยผพุ ังกลายเป็นแร่ธาตตุ า่ งๆ

ชอื่ ..........................................................................ชนั้ ..........เลขที่................ คะแนน มาตรฐาน ว1.1 ม.3/2-4 ใบงานเรอ่ื งผล ความสมั พนั ธข์ องสง่ิ มีชวี ิต

คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามจากข้อมลู ตอ่ ไปน้ี

1.ความสัมพันธใ์ นภาพคือ สายใยอาหาร แตกต่างจากห่วงโซ่อาหารยงั ไง

สายใยอาหารประกอบด้วยหลายๆห่วงโซอ่ าหาร ทมี่ คี วามคาบเกย่ี วและสัมพนั ธก์ นั อย่างไมเ่ ป็นระเบยี บ

หว่ งโซอ่ าหารคอื การกนิ ตอ่ กนั เป็นทอดๆจากผผู้ ลิตไปถึงผลู้ า่ ท่ไี ม่มใี ครมากนิ ตอ่

2.จงเขยี นหว่ งโซอ่ าหารทกุ ห่วงโซ่จากภาพดา้ นบน

ดอกไม้ ผง้ึ

ดอกไม้ ผเี สอื้ นกขนุ ทอง เหยีย่ ว

ผัก หนอน นกเอี้ยง

ผัก กระตา่ ย เหยย่ี ว

ผัก กระต่าย สนุ ัขจ้ิงจอก

หญ้า กระต่าย เหยยี่ ว

หญา้ กระต่าย สนุ ขั จ้ิงจอก

เมลด็ พืช นกกางเขน เหยี่ยว

เมลด็ พืช หนู สุนขั จ้ิงจอก

เมล็ดพชื หนู เหยี่ยว

เมล็ดพชื หนู นกฮกู

ชือ่ ..........................................................................ชน้ั ..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว1.1 ม.3/2-4, ว1.1 ม.3/5-6 ใบงานเร่ืองผล ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสง่ิ มีชีวิตกับสงิ่ มชี ีวิต

คาชีแ้ จง จงบอกความสัมพนั ธ์ของสง่ิ มชี วี ติ ตอ่ ไปนพ้ี ร้อมแสดงสญั ลักษณ์(+,+),(+,-),(-,-),(+,0)

.ก...า..ร..ไ..ด..ร้...ับ..ป...ร..ะ..โ..ย..ช..น...์ร..่ว..ม...ก..นั....... 1. เพลย้ี กับมดดา (+,+) .ภ...า..ว..ะ..พ...ง่ึ..พ...า..อ...า..ศ..ยั...ก..นั................. 2. แหนแดงกบั สาหรา่ ยสีเขยี วแกมนา้ เงิน (+,+) .ภ...า..ว..ะ..แ...ข..่ง..ข..ัน.............................. 3. เสือกบั สงิ โต (-,-) .ภ...า..ว..ะ..พ...ึ่ง..พ...า..อ...า..ศ..ยั...ก..นั................. 4. โพรโทซวั ในลาไส้ปลวก (+,+) .ภ...า..ว..ะ..เ..ก..อื้...ก..ลู.............................. 5. กลว้ ยไม้กับต้นไม่ใหญ่ (+,0) .ภ...า..ว..ะ..ป...ร..ส...ิต............................... 6. กาฝากกับตน้ ไม้ (+,-) .ก...า..ร..ไ..ด..ร้...ับ..ป...ร..ะ..โ..ย..ช..น...ร์..่ว..ม...ก..นั....... 7. ปเู สฉวนกบั ดอกไมท้ ะเล (+,+) .ภ...า..ว..ะ..ป...ร..ส...ติ ............................... 8. หนอนกบั ผักกาด (+,-) .ภ...า..ว..ะ..พ...ึ่ง..พ...า..อ...า..ศ..ัย...ก..นั................. 9. แบคทีเรียไรโซเบยี มในปมรากพชื ตระกลู ถว่ั (+,+) .ภ...า..ว..ะ..ล...า่..เ.ห...ย..อ่ื............................ 10. ตกุ๊ แกกบั จ้งิ จก (+,-) .ภ...า..ว..ะ..ป...ร..ส...ติ ............................... 11. นกกาเหว่ากบั อกี า (+,-) .ก...า..ร..ไ..ด..ร้...ับ..ป...ร..ะ..โ..ย..ช..น...์ร..่ว..ม...ก..นั....... 12. นกเอย้ี งกับควาย (+,+) .ภ...า..ว..ะ..พ...่ึง..พ...า..อ...า..ศ..ยั...ก..นั................. 13. ราในรากสน (+,+) .ภ...า..ว..ะ..เ..ก..ือ้...ก..ลู.............................. 14. ผึ้งกบั ตน้ ไม้ (+,+) .ภ...า..ว..ะ..แ...ข..ง่..ข..ัน.............................. 15. หมาป่าสีเทากบั หมาปา่ สนี า้ เงนิ (-,-)

1. จงบอกหลัก 7 R ในการลดขยะเพอื่ รกั ษาสภาพแวดลอ้ ม ซง่ึ ได้แก่ 1.1 REFUSE คอื การปฏเิ สธหรืองดใช้สงิ่ ของที่ทาลายและสร้างมลพิษ 1.2 RECYCLE คอื การหมุนเวียนนาสงิ่ ของทท่ี งิ้ กลบั มาผา่ นกระบวนการใหม่และนาไปใช้ 1.3 REUSE คอื การหมนุ เวยี นนาสิง่ ของทใ่ี ชแ้ ลว้ กลับมาใช้ใหม่ใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ 1.4 REFILL คือ การเลอื กใช้สง่ิ ทเี่ ตมิ ได้เพอื่ ลดขยะบรรจภุ ณั ฑ์ 1.5 REPAIR คือ การใช้อยา่ งทะนถุ นอม การซอ่ มแซมในสว่ นทท่ี าได้ 1.6 REDUCE คือ ลดการใชส้ ิ่งของเกนิ จาเปน็ เพือ่ ประหยัดทรัพยากรและลดปริมาณขยะ 1.7 RETURN คอื การหมนุ เวียนเช่นสนิ ค้าคืนขวด รวมถงึ สนิ คา้ ทสี่ ามารถนากลบั มาใช้ซา้ ได้

แบบฝกึ หดั ทา้ ยหน่วย คะแนน

คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นเลอื กคาตอบท่ีถกู ทสี่ ดุ

1. การถา่ ยทอดพลังงานจากโซอ่ าหารหนง่ึ ไปอกี โซอ่ าหารหนง่ึ เรยี กว่าอะไร

ก. สายใยอาหาร ข. วฏั จกั รอาหาร

ค. พรี ะมดิ พลงั งาน ง. หว่ งโซอ่ าหาร

2. ขอ้ ใดไมจดั เปน็ ระบบนเิ วศ ข. ลานจอดรถพนื้ คอนกรตี ก. บ่อนา้ ท่ีมสี ง่ิ มีชวี ติ อยเู่ ต็ม ง. สวนดอกไมห้ น้าเสาธง ค. สนามหญา้ หนา้ โรงเรียน

3. ระบบนิเวศทใี่ หญท่ ี่สุดคอื ข้อใด

ก. มหาสมทุร ข. ปา่ ไม ค. โลกของส่ิงมชี วี ติ ง. ทุ่งหญา้

4. ระบบนเิ วศ ประกอบด้วยสิง่ ใด ข. herbivore + carnivore + omnivore ก. producer + consumer + decomposer ง. community + habitat ค. population + habitat

5. ขอ้ ใดแสดงการปรบั ตวั ใหเ้ หมาะแกก่ ารพรางตาจากศตั รู ก. ต๊กั แตนกง่ิ ไม้ชอบเกาะตามลาตน้ พืช ข. กบจาศลี ในรเู ม่อื ยา่ งเขา้ ฤดรู ้อนและฤดหู นาว ค. ผกั ตบชวามีกา้ นใบพองเปน็ กระเปาะทาให้ลอยน้าได้ดี ง. ผเี สอ้ื มปี ากเป็นงวงยาว ซึง่ เหมาะสาหรับใช้ดดู นา้ หวานจากดอกไม้

6. สาหร่ายทเี่ ลยี้ งไวก้ ับปลาหางนกยูงในกลอ่ งพลาสตกิ จะมีชีวิตอยู่ไดห้ ลายวัน สาหร่ายไดร้ บั

ประโยชน์จากปลาหางนกยงู ในดา้ นใด

ก.ไดร้ บั นา้ จากปลาหางนกยูง ข.ไดร้ ับเกลอื แร่จากปลาหางนกยงู

ค.ไดร้ ับแกส๊ ออกซเิ จนจากปลาหางนกยงู ง.ไดร้ ับแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์จากปลาหางนกยงู

7.นกั เรยี นคนหนง่ึ สงั เกตขอนไม้จามจรุ ีทอี่ ยรู่ มิ สระนา้ พบว่า มสี ง่ิ มีชวี ติ อยู่ทีข่ อนไม้ คือ ปลวก ตวั ทาก