ภาษาคอมพิวเตอร์มีการพัฒนา
หรือมีวิวัฒนาการมาโดยลำดับ ซึ่งจะสามารถแบ่งออกเป็น ระดับภาษาคอมพิวเตอร์ อ้างอิง : https://sites.google.com/site/benzthitiya/radab-khxng-phasa-khxmphiwtexrภาษาคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ยุค ดังนี้1. ภาษาเครื่อง (Machine Language) เป็นภาษาที่มนุษย์เข้าใจได้ยาก เพราะใช้เลขฐาน- สอง แทนข้อมูล คือ (0 และ 1) แทนลักษณะของการปิด (Off) และเปิด (On) และคำสั่งต่างๆ ทั้งหมด จะเป็นภาษาที่ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือหน่วยประมวลผลที่ใช้ คือ แต่ละเครื่องก็จะมี รูปแบบของคำสั่งเฉพาะของตนเอง ซึ่งนักเขียนโปรแกรมในสมัยก่อนต้องรู้จักวิธีที่จะรวมตัวเลขเพื่อ แทนคำสั่งต่างๆ เป็นภาษาที่มีความยุ่งยากในการพัฒนามาก ภาษาชนิดนี้ได้แก่ ภาษาแอสเซมบลี ภาษาเครื่องคอมพิวเตอร์ อ้างอิง : https://sites.google.com/site/benzthitiya/radab-khxng-phasa-khxmphiwtexr 2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) เป็นภาษาที่มีการใช้ตัวอักษรในภาษา - สัญลักษณ์เหล่านี้จะไม่ใช่คำที่มีความหมายในภาษาอังกฤษ แต่สามารถทำให้นักเขียน
B80103 mov ax,00301 อ้างอิง : https://sites.google.com/site/benzthitiya/radab-khxng-phasa-khxmphiwtexr 3. ภาษาระดับสูง (High-level Language) เป็นภาษารุ่นที่ 3 (3rd Generation Language อ้างอิง : https://sites.google.com/site/benzthitiya/radab-khxng-phasa-khxmphiwtexr 4. ภาษาระดับสูงมาก (Very high-level Language) เป็นภาษารุ่นที่ 4 (4GLs: Fourth- Generation Languages) ลักษณะของภาษาเป็นภาษาธรรมชาติคล้ายกับภาษาพูดของมนุษย์ จะช่วยใน เรื่องของการสร้างแบบฟอร์มบนหน้าจอ เพื่อจัดการเกี่ยวกับข้อมูลรวมไปถึงการออกรายงาน ซึ่งมีการ จัดการ ที่ง่ายมากไม่ยุ่งยากเหมือนภาษารุ่นที่ 3 ตัวอย่างของภาษาในรุ่นที่4 ได้แก่ Informix-4GLFocus Sybase InGres เป็นต้น ลักษณะของภาษาระดับสูงมาก (4GLs) ดังนี้ 4.1 เป็นภาษาแบบ Nonprocedural คือ ผู้พัฒนาโปรแกรมไม่จำเป็นจะต้องเขียนโปร- แกรม ในทุกส่วนเอง เพียงแต่กำหนดสิ่งต่างๆ ตามที่ต้องการแล้วให้คอมพิวเตอร์เป็นผู้กำหนดราย - ละเอียดต่างๆ ให้ เช่น การสร้างแบบฟอร์มการรับข้อมูลจากผู้ใช้งาน เขียนโปรแกรมเพียงแต่ทำการ ออกแบบหน้าตาของแบบฟอร์มนั้นบนโปรแกรมอิดิเตอร์ (Editor) นั้น และเซฟเป็นไฟล์ไว้ เมื่อจะเรียก ใช้งานแบบฟอร์มก็เพียงแต่ใช้คำสั่งเปิดไฟล์นั้นขึ้นมาแสดงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้โดยทันที ซึ่งต่าง จากภาษาระดับที่ 3 ซึ่งเป็นแบบ Procedural ผู้เขียนโปรแกรมจะต้องเขียนรายละเอียดของโปรแกรม ทั้งหมดว่าที่บรรทัดนี้ คอลัมน์จะให้แสดงข้อความหรือข้อมูลอะไรออกมา ซึ่งถ้าต่อไปจะมีการปรับเปลี่ยน หน้าตาของแบบฟอร์มก็จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างยิ่ง ในการสร้างรายงานด้วย 4GLs ก็สามารถทำได้ อย่างง่าย เพียงแต่ระบุลงไปว่าต้องการรายงานอะไร มีข้อมูลใดที่จะนำมาแสดงบ้าง โดยไม่ต้องบอกถึง วิธีการสร้าง หรือการดึงข้อมูลแต่อย่างใด โดยการเขียนโปรแกรมภาษา 4GLs จัดการคำสั่งนั้นเป็นให้ ตรงความต้องการของผู้เขียนโปรแกรม ดังนั้นจะเห็นว่า ภาษาระดับที่ 4 เป็นภาษาที่ผู้เขียนโปรแกรมเพียงแต่บอกว่าต้องการ อะไร (What) แต่ไม่ต้องบอกคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอย่างไร (How) แต่ภาษารุ่นที่ 3 ผู้เขียนโปรแกรม ต้องบอกคอมพิวเตอร์ทั้งหมดว่าต้องการทำอะไร และต้องบอกด้วยว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งจะต้องสั่งให้ คอมพิวเตอร์ทำงานเป็นขั้นตอนและคอมพิวเตอร์ก็จะมีหน้าที่ทำงานตามที่ผู้เขียนโปรแกรมสั่ง อย่างไรก็ตาม 4GLs ก็สามารถมีรูปแบบเป็น Procedural ได้ด้วย เนื่องจากงานบางงาน อาจมีความซับซ้อน จึงต้องอาศัยการเขียนโปรแกรมที่เป็นแบบ Procedural เข้าช่วยด้วย จึงสรุปได้ว่า 4GL จะมีรูปแบบผสมระหว่าง Procedural และ Nonprocedural 4.2 การเขียนโปรแกรมระดับสูงมาก 4GLs ส่วนใหญ่จะเขียนโปรแกรมเพื่อควบคู่ กับระบบฐานข้อมูล โดยผู้ใช้ระบบฐานข้อมูลจะสามารถจัดการฐานข้อมูลได้โดยผ่านทาง 4GLs นี้ ส่วนประกอบของภาษาระดับสูงมาก 4GLs โดยทั่วไปจะมีส่วนสำคัญ 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 เครื่องมือช่วยสร้างรายงาน (Report Generators) เป็นโปรแกรมสำหรับ ผู้ใช้ (End-users) ให้สามารถเขียนรายงานอย่างง่ายได้ด้วยตนเอง โดยผู้ใช้สามารถกำหนดเงื่อนไข และข้อมูลที่นำออกมาพิมพ์รายงาน รวมถึงรูปแบบของการพิมพ์ไว้ โปรแกรมช่วยสร้างรายงานนี้จะ ทำการพิมพ์รายงานตามรูปแบบที่กำหนดไว้ให้ ส่วนที่ 2 ภาษาช่วยค้นหาข้อมูล (Query Languages) เป็นภาษาที่ช่วยในการค้นหาหรือ ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล ภาษานี้จะง่ายต่อการใช้งานมาก เนื่องจากจะอยู่ในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับภาษา อังกฤษมากตัวอย่างเช่น ภาษา SQL (Structured Query Language) ส่วนที่ 3 เครื่องมือช่วยสร้างโปรแกรม (Application Generators)จะมีรูปแบบการเขียน โปรแกรมเฉพาะตัว และสามารถเรียกใช้เครื่องมือช่วยสร้างโปรแกรมนี้ทำการแปลง 4GLs ให้กลายเป็น โปรแกรมภาษารุ่นที่ 3 ได้ เช่น ภาษาโคบอล หรือภาษาซี ซึ่งอาจนำภาษาโคบอล หรือภาษาซีที่แปลง แล้ว ไปพัฒนาต่อ เพื่อใช้งานที่ซับซ้อนมากๆ ต่อไปได้ 5. ภาษาธรรมชาติ (Natural Language) เป็นภาษาในยุคที่ 5 ที่มีรูปแบบเป็นแบบ Non- procedural เช่นเดียวกับภาษาระดับที่ 4 ที่เรียกว่าภาษาธรรมชาติ เพราะสามารถสั่งงานคอมพิวเตอร์ได้ โดยใช้ภาษามนุษย์ได้โดยตรงโดยทั่วไป คำสั่งที่มนุษย์ป้อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ จะอยู่ในรูปแบบของ ภาษาพูดมนุษย์ซึ่งอาจมีรูปแบบที่ไม่แน่นอนตายตัว แต่คอมพิวเตอร์สามารถแปลคำสั่งนั้นให้อยู่ใน รูปแบบที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ภาษาธรรมชาตินี้สร้างขึ้นมาจากเทคโนโลยีผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบบ (Expert System) ซึ่งเป็นงานที่อยู่ในสาขาปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ในการที่พยายามทำให้คอมพิวเตอร์ เปรียบเสมือนกับเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งที่สามารถคิดและตัดสินใจได้เช่นเดียวกับมนุษย์ คอมพิวเตอร์ สามารถตอบคำถามของมนุษย์ได้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งมีข้อแนะนำต่างๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของ มนุษย์ได้ด้วย ระบบผู้เชี่ยวชาญนี้จะใช้กับงานเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ในด้านการแพทย์ ในด้าน พยากรณ์อากาศ ในการวิเคราะห์ทางเคมี การลงทุน ฯลฯ ซึ่งจะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูล และข่าวสาร จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเหล่านั้นและแปลงข้อมูล และเก็บไว้ในรูปแบบของระบบฐานข้อมูลของผู้ เชี่ยวชาญ ที่เรียกว่าฐานความรู้ (Knowledge Base) ซึ่งจะต้องเก็บข้อมูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และให้ผู้ ใช้ สามารถใช้กับภาษาธรรมชาติ ในการดึงข้อมูลจากฐานความรู้นี้ได้ ดังนั้นเราจึงอาจเรียกระบบผู้ เชี่ยวชาญนี้ได้อีกอย่างว่า ระบบฐานความรู้ (Knowledge Base System) คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ โครงสร้างของข้อมูล |