สมมุติว่าเรา จะก่อสร้างอาคารสักอาคารนึง และเราจะเลือกฐานรากแบบไหนดี ความลึกของฐานราก หรือความลึกของเสาเข็มจะลึกเท่าไร Show
ถ้า ไม่ใช่กรุงเทพ อันดับแรกผมจะถามข้อมูลดินจากที่ข้างเคียงก่อน หรือบริษัทเสาเข็มเจ้าถิ่นครับ ว่าเขาทำฐานรากยังไง ความลึกเท่าไรเป็นข้อมูลในใจ ที
นี้ก็มาดูข้อมูลดิน ว่าเป็นยังไง ถ้ารู้ข้อมูลดินมาว่าแถวนั้น ตอกเข็มไม่ลง และ้ต้องเป็นฐานแผ่แน่ๆ ผมก็จะระบุไว้ในแบบ เพื่อความปลอดภัยว่า แล้วก็ออกแบบฐานรากแผ่ ว่าควรจะใหญ่ขนาดไหน โดยการสมมุติ การรับน้ำหนักของดิน
เรียกว่าเดาอย่างมีหลักการครับว่า คร่าวๆ การออกแบบนะครับ ว่าขนาดฐานรากจะเป็นเท่าไรคือ น้ำหนักของอาคารที่ลงเสาเข็ม ลบ กับ การรับน้ำหนักของดินคูณกับพื้นที่ของฐานรากที่สัมผัสดิน วิธีสังเกตุ ตอนคนงานขุด หรือแมคโคจ้วงลงไป คือลักษณะดินจะเป็นชั้นๆ มีสีต่างๆกัน และมีลักษณะดิน ไม่เหมือนกัน ตอนขุดลงไป คอยสังเกตุครับดินที่รับงน้ำหนักได้ดีควร จะเป็นดินแข็ง, ลูกรัง, ทราย หรือดินปนทราย, ถ้าเป็นดินเหนียว หรือดินปลูกต้นไม้ยังใช้ไม่ได้ ใหุ้ขุดลงไปอีก แต่ชั้นดินที่แข็งมันก็ยังเป็นชั้นๆอีกครับ ถ้าทะลุชั้นดินแข็งลงไปอาจจะกลายเป็นดินอ่อนอีกรอบก็ได้ไม่แน่ เพื่อนๆ อาจเคยเห็น อาคารบางอาคาร ที่อยู่ในบริเวณที่ไม่น่าจะต้องตอกเข็ม เช่นชายทะเล เชิงเขา แต่ ก็ยังตอกเข็มอีก เป็นเพราอะไร
งาน ฐานราก และเสาเข็ม มีความสำคัญอย่างไร?❝ ฐานราก (Footing) คือ โครงสร้างส่วนที่อยู่ใต้ผิวดิน ทำหน้าที่แบกรับน้ำหนักจากเสา แล้วถ่ายลงสู่ดิน การใช้ฐานรากแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก จะก่อสร้างได้ง่าย รวดเร็ว และมีความแข็งแรง ทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ซึ่งวิศวกรผู้ออกแบบจะทำการออกแบบและคำนวนขนาดโดยพิจารณาจากน้ำหนักที่กระทำในแต่ละเสา และเมื่อกำหนดค่าออกแบบมาแล้วสิ่งที่เราจะได้เป็นแบบของ ฐานราก พร้อมสิ่งที่จะกำหนดมา คือ น้ำหนักบรรทุก (Loads) ของฐานรากนั้น ❞
ฐานราก สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้1) ฐานราก แผ่ (Spread Footing)คือ ฐานราก ที่แบกรับน้ำหนักจากตัวอาคารแล้วถ่ายน้ำหนักลงสู่ชั้นดินนั้นได้โดยตรง ดังนั้น การเลือกใช้ ฐานราก จึงต้องคำนึงถึงปัจจัยทางด้านขนาดของน้ำหนักที่บรรทุกว่ามีมากหรือไม่ และกลสมบัติของดินที่สามารถรับน้ำหนักได้ในท้องถิ่นนั้น
ๆ 2) ฐานราก เสาเข็ม (Pile Footing)คือ ฐานราก ที่แบกรับน้ำหนักจากตัวอาคารแล้วจะถ่ายน้ำหนักลดสู่ตัวเสาเข็มก่อน จากนั้นเสาเข็มจะทำหน้าที่ถ่ายน้ำหนักลงสู่ชั้นดินที่ลึกลงไป นิยมใช้กับดินเนื้ออ่อน ๆ ซึ่งไม่สามารถรับน้ำหนักของโครงสร้างบ้านได้ จุดเด่นของ ฐานรากแบบเสาเข็ม จะเป็นฐานราก แบบลึก ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน คือ เสาเข็มคอนกรีต หรือเสาเข็มไม้สำหรับบ้านไม้ ฐานรากเข็ม แบ่งประเภทของเสาเข็มที่มารองรับได้ 2 ประเภท คือ
3) ฐานราก แบบตอม่อจะเป็นการทำฐานคอนกรีตแบบตอม่อหล่อลึกลงไปในดินหรือน้ำ โดยจะมีความแข็งแรงค่อนข้างมาก แต่ไม่นิยมใช้กันในการสร้างบ้านพักอาศัย การทำ ฐานราก มีขั้นตอนการทำงานและตรวจสอบ ดังนี้ 1)
การสำรวจวางตำแหน่งเสา (Survey) เพื่อทำ ฐานราก ในขั้นตอนจะมีการวางผังเส้นกรอบรอบโครงการก่อน แล้วมาล้อมตัวอาคารที่จะสร้างอีกครั้งเพื่อกำหนด แนวเสา (Gridline) โดยต้องกำหนดกรอบแล้วทำการตรวจสอบระยะอาคาร, ระยะห่างของเสาแต่ละแนว, ระยะร่นของอาคารและขอบเขตของที่ดินว่าถูกต้องหรือไม่
ส่วนการทำ ฐานราก จะผูกเหล็กเป็น ฐานราก ภาษาช่างเรียกกันว่า “เหล็กตะกร้อ” โดยจะนำเหล็กวางบนหัวเสาเข็ม และต้องวางเหล็กเสา, ตอม่อ มาฝากไว้บนเหล็กเสริม ฐานราก ก่อนทำการเทคอนกรีต การเทคอนกรีตต้องมีการเตรียมเครื่องจี้คอนกรีต (Vibrator) จี้ให้ทั่วเพื่อให้คอนกรีตไม่เป็นโพร่งอากาศและผิวสวยงาม หลักการสำคัญ คือ การทำฐานราก ต้องทำบนดินเดิม ห้ามถมขึ้นมาเพราะหากดินถมทรุดและจะดึงฐานราก ลงไปด้วยทำให้เสียหาย ดังนั้นหากเราขุดดินพลาดเกินระดับไป ให้เทฐานราก ที่ระดับนั้น ๆ อย่าถมแต่ให้ใช้วิธีเพิ่มความหนาฐานราก หรือต่อตอม่อ ขึ้นมาแทน ประเภทเสาเข็ม มีอะไรบ้าง?เสาเข็มสั้น (Friction Pile)เสาเข็มคอนกรีตประเภทนี้ มีผลิตขายในหลายรูปร่าง เช่น รูปตัวที (T), รูปตัวไอ (I), รูปหกเหลี่ยมกลวง และรูปสี่เหลี่ยมตัน ขนาดหน้าตัดทั่วไป คือ 15×15 ซม. และ 18×18 ซม. ส่วนความยาวสามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่ 1-8 ม. ถ้าความยาวมากกว่านี้สัดส่วนจะไม่เหมาะสมและหักได้ง่าย ความสามารถในการรับน้ำหนักของเสาเข็มสั้น ให้ใช้ค่าความฝืดหรือความเสียดทานของดินรอบเสาเข็ม ดังนี้
เสาเข็มยาว (Bearing Pile)สามารถแบ่งตามชนิดการก่อสร้างได้ ดั้งนี้ เข็มประเภทนี้ เป็นเข็มที่ราคาประหยัด ทำงานได้รวดเร็ว เป็นที่นิยม และมีผู้ผลิตแพร่หลาย มีหน้าตัดต่าง ๆ กัน เช่น สี่เหลี่ยมตัน, รูปตัวไอ, รูปวงกลม
เสาเข็มเจาะ (Boring Pile)เป็นที่นิยมในปัจจุบัน เหมาะกับบ้านที่ก่อสร้างติดกัน หรือกรณีที่พื้นที่ทางเข้าแคบมาก รถใหญ่ไม่สามารถเข้าได้ มีแบบใหญ่และขนาดเล็ก ซึ่งขนาดเล็ก (Small Bored Pile) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 30 – 60 ซม. สามารถเจาะได้ลึกประมาณ 20 – 30 เมตร จึงเรียกเสาเข็มเจาะขนาดเล็กนี้ว่าเป็น ระบบแบบแห้ง (Dry Process) จะใช้เพื่อทดแทนเสาเข็มตอกคอนกรีตอัดแรง ส่วนขนาดใหญ่ (Large Bored Pile) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 60 ซม.ขึ้นไป สำหรับความลึกตั้งแต่ 25 – 60 ม. ใช้สำหรับงานก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น สะพานลอยฟ้า สะพานทางหลวง อาคารสูงมาก ฯลฯ เสาเข็มเจาะขนาดใหญ่นี้ จะมีทั้ง ระบบแบบเปียก และระบบแบบแห้ง สำหรับระบบแบบเปียกนั้น ใช้ในกรณีที่ชั้นดินมีน้ำใต้ดิน ซึ่งน้ำใต้ดินจะดันให้หลุมที่เจาะพังทลายได้ จึงต้องใส่น้ำผสมสารละลายเบนโทไนต์ (Bentonite) ลงไปในหลุมเจาะด้วย เพื่อทำหน้าที่ต้านทานน้ำใต้ดินและเคลือบผิวหลุมเจาะไม่ให้พัง ส่วนระบบแห้งนั้นจะใช้ในกรณีที่ชั้นดินไม่มีน้ำใต้ดิน และสภาพดินมีความหนาแน่น ไม่ทำให้หลุมที่เจาะพังได้โดยง่าย
ข้อดีของ เสาเข็มเจาะ1. สามารถลดแรงสั่นสะเทือน และเสียงรบกวนเนื่องจากการตอกเสาเข็ม ข้อเสียของ เสาเข็มเจาะ1. ราคาแพงกว่าเสาเข็มตอก ค่า ฐานราก สร้างบ้าน ขึ้นอยู่กับโครงสร้างบ้าน และการประเมินราคาของผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยควรสอบถามรายละเอียดและให้มีการแจกแจงรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษร จากนั้นหากอยากทราบว่าราคาที่ประเมินมาเหมาะสมหรือไม่ ให้ลองปรึกษาวิศวกรหรือสถาปนิกผู้ออกแบบ ได้รู้จักกับข้อมูลของงานฐานรากและเสาเข็มแล้ว หากคิดจะสร้างบ้านก็อย่าลืมใส่ใจและสังเกตจุดสำคัญที่สุดของบ้านจุดนี้กันให้ดี เพื่อความปลอดภัยของสมาชิกในบ้านจากการทรุดตัวหรือถล่มของบ้านด้วย 🥰 Share This Post With Others!Related PostsTitlePage load link
|