ในช่วงวันหยุดยาวในวันพระใหญ่แบบนี้ ถือเป็นโอกาสดีในการเข้าวัดทำบุญเสริมสร้างสิริมงคลกัน วันนี้เราจึงมาพูดถึงหลักธรรมคำสอนที่เหมาะกับการทำงาน นั่นก็คือ “อิทธิบาท 4” ก็คือ 4 หลักการ ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้ทุกอย่างที่เราต้องการ ถ้าเราสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม… Show
1. ฉันทะ : มีใจรักในงานที่ทำการทำงานให้ประสบความสำเร็จ จุดเริ่มต้นที่ง่ายๆ แต่สำคัญอย่างมาก คือการมีความสุขกับงานที่ทำอยู่ และการจะมีความสุขกับงานได้นั้น ก่อนอื่นคือคุณต้องชื่นชอบในสิ่งที่ทำ และพึงพอใจกับหน้าที่ที่ได้รับ ลองสังเกตตัวเองดูว่า ทุกวันนี้ทำงานแล้วรู้สึกสนุกไหม หรือพอถึงเวลางานทีไรแล้วรู้สึกเหมือนร่างกายจะพัง พลังแทบไม่มีทุกที แบบนี้ก็น่าเป็นห่วงแล้วล่ะว่าคุณอาจจะไม่ได้ชอบในงานหรือสิ่งที่คุณทำอยู่เท่าไร ลองเปลี่ยนมาทำอะไรที่คุณชอบและสนุกไปกับมันดีกว่านะ 2. วิริยะ : มุ่งมั่นทุ่มเทกับงานที่ได้รับมอบหมายถึงแม้ว่าคุณจะชอบและรักในงานของคุณแค่ไหน แต่ถ้าหากขาดสิ่งนี้ไปประตูสู่ประสบความสำเร็จก็น่าจะไกลหน่อย นั่นคือความขยันหมั่นเพียร หลายๆ ครั้งที่คุณอาจจะรู้สึกว่างานก็เยอะ เดดไลน์ก็ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ถ้าเอาแต่ผลัดก็ไม่มีวันเสร็จสักที ความขยันก็เหมือนบันไดที่พาคุณเดินไปสู่ความสำเร็จทีละขั้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะเหนื่อย เมื่อยล้า ไม่สบายเหมือนขึ้นลิฟต์ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่ก็ทำให้คุณถึงจุดหมายของคุณได้อย่างแน่นอน 3. จิตตะ : มีสมาธิและจดจ่อกับงานที่ทำอยู่หลายครั้งในเวลาที่คุณทำงาน อาจมีเรื่องต่างๆ มารบกวนการทำงานของคุณ ซึ่งทำให้คุณไม่มีสมาธิในการทำงาน จิตใจฟุ้งซ่านเอาแต่คิดเรื่องอื่น เช่น ตอนทำงานนี้ ก็อาจจะพะวงว่างานนั้นจะเป็นอย่างไร หรือพอทำงานใหม่ ก็คิดว่างานเก่าที่ยังไม่เสร็จจะส่งทันไหมนะ และทุกๆ ครั้งที่มีสิ่งรบกวนเหล่านั้น ก็จะทำให้ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานได้อย่างที่ควรจะเป็น และผลลัทธ์ที่ออกมาก็จะไม่มีประสิทธิภาพ ขาดความรอบคอบและความใส่ใจในตัวงาน ทางแก้ก็คือตั้งสติ และมีสมาธิจดจ่ออยู่กับปัจจุบันเสมอ 4. วิมังสา : ทบทวนในงานที่ทำและพัฒนาต่อยอดอีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการทำงาน แบบที่เราไม่สามารถขาดสิ่งนี้ไปได้นั่นคือปัญญา หรือความรู้ ความสามารถ ต่อให้เรารักในงานที่ทำอยู่ ขยันหมั่นเพียร ใจจดจ่อขนาดที่ว่าทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้งานเพียงอย่างเดียว แต่หากขาดการพินิจพิเคราะห์ ไตร่ตรอง ใช้สมองคิด งานก็อาจจะผิดพลาดได้ และหลังจากที่ทำงานสำเร็จลุล่วงแล้ว ก็ควรมีการติดตามผลหลังจากนั้นเช่นกัน หากมีข้อผิดพลาดก็เรียนรู้จากสิ่งนั้น และปรับปรุงในครั้งต่อๆ ไป ให้ดีขึ้นกว่าเดิม �Ըպ����çҹ���� ��� ����ҸԻ�·�����駾��പ��о�Фس��觷�������駹��㨤���мŢͧ�ҹ �ѡ������Ẻ����ҸԻ���ִ��������ѡ㹡�ú��������ո���������¡��� ��� � ��С��� ������ ��� �) �ѭ�Ҿ�� ���ѧ����������ͤ�����Ҵ �) ����¾�� ���ѧ��觤������� �) �Ѫ���� ���ѧ�ҹ�������������ͤ����ب�Ե �) �ѧ�˾�� ���ѧʧ������ ��������������ѹ�� ������͡��ѧ��觤س������� � ��С�� �������ѡ�����û�Ժѵ�˹�ҷ�����ҧ�ջ���Է���Ҿ ����Ǥ�� �ѡ������ ������ö�ҧἹ �Ѵͧ���� �觵�駺ؤ�ҡ� �ӹ�¡�� ��ФǺ�����յ�ͧ�դ�����Ҵ ��ѹ �ب�Ե�������������ѹ�� ������դس������� � ��� �ҡ������� ����觷ӧҹ���ջ���Է���Ҿ�ҡ�����ҹ�� �ç�ѹ���� ����ä�㴢Ҵ�س������� � ��С�� �����§�ҧ��� �ҡ��繹ѡ�����÷�������� �ѡ�����õ�ͧ�繤���Ҵ�ͺ�����Т�ѹ�ѹ�� ����ͧ�����������¡��������˵�� ���������¨���ҹ�繹ѡ�����������㴡�����ͧ�������������� ���ҧ���շ�駤�����Ҵ��Ф�����ѹ ���ҡ�������Ѻ����������˹��繹ѡ������������ͺ������ǡ����Ѻ��Ժ�¨ҡ����˭���� "������� ���� � �����͡ �����������ҧ���Ǥ����� ���繤�����Ҵ��Т�ѹ ���Ҵ⡧��Т�ѹ⡧" �ѧ��鹹ѡ�����÷��յ�ͧ�դ�����Ҵ ������ѹ ��Ф����ب�Ե ���ҧ���դس������������С�� ��� �繤���Ҵ ��ѹ����ب�Ե ���ҡ�������Ѻ����������˹��繹ѡ������ ������ͺ������ǡ����Ѻ��Ժ����� "��������繤��ը�ԧ �褧�繤��շ���š����ͧ��������Ҷ�͵����ҩ�Ҵ���Ҥ���� �֧��������Ծҡ���Ԩ�ó��Ǻ�ҹ ��ѹ����ѵ�ٷ���� ���繤����ٴ�������٤���Ф���ҧ����駹���" ����ʴ���Ҥ������Ҵ����������ѹ��֧�ӧҹ�����Ѻ���������� เป็นหลักธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของกันและกันเห็นเหตุให้ตนเอง และหมู่คณะก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง 1.ทาน ให้ปันสิ่งของแก่คนที่ควรให้ 2.ปิยวาจา เจรจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน 3.อัตถจริยา ประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ 4.สมานนัตตตา วางตนให้เหมาะสมกับฐานะของตน ๔.อิทธิบาท 4 เป็นหลักธรรมถือให้เกิดความสำเร็จ 1.ฉันทะ ความพึงพอใจในงาน 2.วิริยะ ความขยันมั่นเพียร 3.จิตตะ ความมีใจฝักใฝ่เอาใจใส่ในงาน 4.วิมังสา ไตร่ตรองหาเหตุผล ๕.ทศพิธราชธรรม 10 ประการ เป็นหลักธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์จะพึงถือปฏิบัติมาแต่โบราณกาลแด่นักบริหาร เช่น สรรพสามิตจังหวัด สรรพสามิตอำเภอ ก็น่าจะนำไปอนุโลมถือปฏิบัติได้ หลักทศพิธราชธรรม 10 ประการ มีอยู่ดังนี้ 1. ทาน คือ การให้ปัน ซึ่งอาจเป็นการให้เพื่อบูชาคุณหรือให้เพื่อเป็นการอนุเคราะห์ 2. ศีล ได้แก่การสำรวม กาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อยสะอาดดีงาม 3. บริจาค ได้แก่ การให้ทรัพย์สิ่งของเพื่อเป็นการช่วยเหลือหรือความทุกข์ยากเดือดร้อน ของผู้อื่นหรือเป็นการเสียสละเพื่อหวังให้ผู้รับได้รับความสุข 4. อาชวะ ได้แก่ ความมีอัธยาศัยซื่อตรงมั่นในความสุจริตธรรม 5. มัทวะ ได้แก่ ความมีอัธยาศัยดีงาม ละมุนละไม อ่อนโยน สุภาพ 6. ตบะ ได้แก่ การบำเพ็ญเพียรเพื่อขจัดหรือทำลายอกุศลกรรมให้สิ้นสูญ 7. อโกรธะ ได้แก่ ความสามารถระงับหรือขจัดเสียได้ซึ่งความโกรธ 8. อวิหิงสา ได้แก่ การไม่เบียดเบียนคนอื่น 9. ขันติ ได้แก่ ความอดกลั้นไม่ปล่อยกาย วาจา ใจ ตามอารมณ์หรือกิเลสที่เกิดมีขึ้นนั้น 10. อวิโรธนะได้แก่ การธำรงค์รักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม ๖.บารมี 6 เป็นหลักธรรมอันสำคัญที่จะนิยมมาซึ่งความรักใคร่นับถือ นับว่าเป็นหลักธรรมที่เหมาะมาก สำหรับนักบริหารจะพึงยึดถือปฎิบัติ มีอยู่ 6 ประการคือทาน 1. ทาน การให้เป็นสิ่งที่ควรให้ 2. ศีล การประพฤติในทางที่ชอบ 3. ขันติ ความอดทนอดกลั้น 4. วิริยะ ความขยันหมั่นเพียร 5. ฌาน การเพ่งพิจารณาให้เห็นของจริง 6. ปรัชญา ความมีปัญญารอบรู้ ๗.ขันติโสรัจจะเป็นหลักธรรมอันทำให้บุคคลเป็นผู้งาม (ธรรมทำให้งาม) 1. ขันติ คือ ความอดทน มีลักษณะ 3 ประการ 1.1 อดใจทนได้ต่อกำลังแห่งความโกรธแค้นไม่แสดงอาการ กาย วาจา ที่ไม่น่ารัก ออกมาให้เป็นที่ปรากฏแก่ผู้อื่น 1.2 อดใจทนได้ต่อความลำบากตรากตรำหรือความเหน็ดเหนื่อย 2. โสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม ทำจิตใจให้แช่มชื่นไม่ขุนหมอง ๘.ธรรมโลกบาลเป็นหลักธรรมที่ช่วยคุ้มครองโลก หรือมวลมนุษย์ให้อยู่ความร่มเย็นเป็นสุข มี 2 ประการคือ 1. หิริ ความละอายในตนเอง 2. โอตัปปะ ความเกรงกลัวต่อทุกข์ และความเสื่อมแล้วไม่กระทำความชั่ว ๙.อธิฐานธรรม 4เป็นหลักธรรมที่ควรตั้งไว้ในจิตใจเป็นนิตย์ เพื่อเป็นเครื่องนิยมนำจิตใจให้เกิดความรอบรู้ความจริง รู้จักเสียสละ และบังเกิดความสงบ มี 4 ประการ1. ปัญญา ความรู้ในสิ่งที่ควรรู้ รู้ในวิชา 2. สัจจะ ความจริง คือประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริงไม่ทำอะไรจับจด 3. จาคะ สละสิ่งที่เป็นข้าศึกแห่งความจริงใจ คือ สละความเกียจคร้าน หรือความหวาดกลัวต่อความยุ่งยาก ลำบาก รักใคร่ และความขัดเคืองเป็นต้น ๑๐.คหบดีธรรม 4เป็นหลักธรรมของผู้ครองเรือนพึงยึดถือปฏิบัติ มี 4 ประการ คือ 1. ความหมั่นเพียร 2. ความโอบอ้อมอารี 3. ความไม่ตื่นเต้นมัวเมาในสมบัติ 4. ความไม่เศร้าโศกเสียใจเมื่อเกิดภัยวิบัติ ๑๑.ราชสังคหวัตถุ 4 เป็นหลักธรรมอันเป็นเครื่องช่วยในการวางนโยบายบริหารบ้านเมืองให้ดำเนินไปด้วยดี มี 4 ประการ คือ 1. ลัสเมธัง ความเป็นผู้ฉลาดปรีชาในการพิจารณาถึงผลิตผลอันเกิดขึ้นในแผ่นดิน แล้วพิจารณาผ่อนผันจัดเก็บเอาแต่บางส่วนแห่งสิ่งนั้น 2. ปุริสเมธัง ความเป็นผู้ฉลาดในการดูคนสามารถเลือกแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งในความถูกต้องและเหมาะสม 3. สัมมาปาลัง การบริหารงานให้ต้องใจประชาชน 4. วาจาเปยยัง ความเป็นบุคคลมีวาจาไพเราะรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวตามเหตุการณ์ ตามฐานะและตามความเป็นธรรม ๑๒.สติสัมปชัญญะ เป็นหลักธรรมอันอำนวยประโยชน์แก่ผู้ประพฤติเป็นอันมาก 1.สติ คือ ความระลึกได้ก่อนทำ ก่อนบูชา ก่อนคัด คนมีสติจะไม่เลินเล่อ เผลอตน 2.สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัวในเวลากำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด ๑๓.อกุศลมูล 3 อกุศลมูล คือ รากเหง้าของความชั่ว มี 3 ประการคือ 1. โลภะ ความอยากได้ 2. โทสะ ความคิดประทุษร้ายเขา 3. โมหะ ความหลงไม่รู้จริง ๑๔.นิวรณ์ 5 นิวรณ์ แปลว่า ธรรมอันกลั้นจิตใจไม่ให้บรรลุความดี มี 5 ประการ 1. กามฉันท์ พอใจรักใคร่ในอารมณ์ มีพอใจในรูป เป็นต้น 2. พยาบาท ปองร้ายผู้อื่น 3. ถีนมิทธะ ความที่จิตใจหดหู่และเคลิบเคลิ้ม 4. อุธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ 5. วิจิกิจฉา ความลังเลไม่ตกลงใจได้ ผู้กำจัดหรือบรรเทานิวรณ์ได้ ย่อมได้นิสงส์ 5 ประการคือ1. ไม่ข้องติดอยู่ในกายตนหรือผู้อื่นจนเกินไป 2. มีจิตประกอบด้วยเมตตา 3. มีจิตอาจหาญในการประพฤติความดี 4. มีความพินิจและความอดทน 5. ตัดสินใจในทางดีได้แน่นอนและถูกต้อง ๑๕.เวสารัชชกรณะ 5 เวสารัชชกรณะ แปลว่า ธรรมที่ยังความกล้าหาญให้เกิดขึ้นมี 5 ประการ คือ1. ศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ 2. ศีล ประพฤติการวาจาเรียบร้อย 3. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ศึกษามาก 4. วิริยารัมภะ ตั้งใจทำความพากเพียร 5. ปัญญา รอบรู้สิ่งที่ควรรู้ ๑๖.อริยทรัพย์ 7 1. ศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ 2. ศีล ประพฤติการวาจาเรียบร้อย 3. หิริ ความละอายต่อบาปทุจริต 4. โอตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปทุจริต 5. พาหุสัจจะ ความเป็นคนได้ยินได้ฟังมามาก 6. จาคะ การให้ปันสิ่งของแก่คนที่ควรให้ 7. ปัญญา ความรอบรู้ทั้งสิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นไท ๑๗.สัปปุริสธรรม 7 เป็นหลักธรรมอันเป็นของคนดี (ผู้ประพฤติชอบ) มี 7 ประการ1. ธัมมัญญุตา ความเป็นผู้รู้ว่าเป็นเหตุ 2. อัตถัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักผล 3. อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักตน 4. มัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประมาณ 5. กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันเหมาะสม 6. ปุริสัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักสังคม 7. บุคคลโรปรัชญญุตา ความเป็นผู้รู้จักคบคน ๑๘.คุณธรรมของผู้บริหาร 6 ผู้บริหาร นอกจากจะมีคุณวุฒิในทางวิชาการต่าง ๆ แล้วยังจำเป็นต้องมีคุณธรรมอีก 6 ประการ1. ขมา มีความอดทนเก่ง 2. ชาตริยะ ระวังระไว 3. อุฎฐานะ หมั่นขยัน 4. สังวิภาคะ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 5. ทยา เอ็นดู กรุณา 6. อิกขนา หมั่นเอาใจใส่ตรวจตราหรือติดตาม ๑๙.ยุติธรรม 5 นักบริหารหรือผู้นำมักจะประสบปัญหาหรือร้องเรียนขอความเป็นธรรมอยู่เป็นประจำ หลักตัดสินความเพื่อให้เกิดความ “ยุติธรรม” มี 5 ประการ คือ 1. สัจจวา แนะนำด้วยความจริงใจ 2. บัณฑิตะ ฉลาดและแนะนำความจริงและความเสื่อม 3. อสาหะเสนะ ตัดสินด้วยปัญญาไม่ตัดสินด้วยอารมณ์ผลุนผลัน 4. เมธาวี นึกถึงธรรม (ยุติธรรม) เป็นใหญ่ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง5. ธัมมัฎฐะ ไม่ริษยาอาฆาต ไม่ต่อเวร ๒๐.ธรรมเครื่องให้ก้าวหน้า 7 นักบริหารในตำแหน่งต่าง ๆ ย่อมหวังความเจริญก้าวหน้าได้รับการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นพระพุทธองค์ทรงตรัสธรรมเครื่องเจริญยศ (ความก้าวหน้า) ไว้ 7 ประการ คือ 1. อุฎฐานะ หมั่นขยัน 2. สติ มีความเฉลียว 3. สุจิกัมมะ การงานสะอาด 4. สัญญตะ ระวังดี 5. นิสัมมการี ใคร่ครวญพิจารณาแล้วจึงธรรม 6. ธัมมชีวี เลี้ยงชีพโดยธรรม ๒๑.ไตรสิกขา เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกิดความตั้งใจดีและมีมือสะอาด นักบริหารต้องประกอบตนไว้ในไตรสิกขาข้อที่ต้องสำเหนียก 3 ประการ คือ 1. ศีล 2. สมาธิ 3. ปัญญา ทั้งนี้เพราะ ศีล เป็นเครื่องสนับสนุนให้กาย (มือ) สะอาด สมาธิ เป็นเครื่องสนับสนุนให้ใจสงบ ปัญญา เป็นเครื่องทำให้ใจสว่าง รู้ถูก รู้ผิด ๒๒.พระพุทธโอวาท 3 นักบริหารที่ทำงานได้ผลดี เนื่องจากได้ ”ตั้งใจดี” และ “มือสะอาด” พระพุทธองค์ได้วางแนวไว้ 3 ประการ ดังนี้ 1. เว้นจากทุจริต การประพฤติชั่ว ทางกาย วาจา ใจ 2. ประกอบสุจริต ประพฤติชอบ ทางกาย วาจา ใจ 3. ทำใจของตนให้บริสุทธิ์สะอาด ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง การนำหลักธรรมที่ประเสริฐมาปฎิบัติ ย่อมจักนำความเจริญ ตลอดจนความสุขกาย สบายใจ ให้บังเกิดแก่ผู้ประพฤติทั้งสิ้น สมดังพุทธสุภาษิตที่ว่า “ ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง” ธรรมะย่อมคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรม หลักธรรมสำหรับผู้บริหาร คือข้อใดเมตตา คือ การเห็นอกเห็นใจผู้ใต้บังคับบัญชา กรุณา คือ การช่วยเหลือ มุทิตา คือ รู้สึกยินดีหรือดีใจ และ อุเบกขา คือ การวางเฉยกับปัญหาที่เล็กน้อย หลักธรรมแห่งความเป็นจริง "อริยสัจ 4"
ข้อใดคือหลักธรรมของนักบริหารที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ทศพิธราชธรรม เป็นข้อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบสำหรับพระมหากษัตริย์ที่ทรงใช้ปกครองพระ ราชอาณาจักร และเป็นหลักธรรมของผู้บริหารทุกระดับ ที่จะพึงใช้ประกอบการปฏิบัติงานของตน ให้บรรลุ ความสำเร็จตามเป้าหมายเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชนโดยร่วม เป็นคุณธรรมที่โบราณบัณฑิตได้บัญญัติไว้ ก่อนสมัยพุทธกาล ซึ่งพระมหากษัตริย์ในอดีตได้ทรงถือ ...
หลักธรรมใดสำคัญที่สุดที่ผู้บริหารทุกคนควรนำมาใช้ในการบริหารงานการครองคนของผู้บริหารในองค์การต้องใช้หลักธรรมพรหมวิหาร ๔ คือ ธรรมเครื่องอยู่อย่าง ประเสริฐ/ธรรมประจาใจอันประเสริฐ ๔ ประการ ซึ่งเป็นหลักการประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์ธรรมที่ต้องมีไว้เป็น หลักของจิตใจและก ากับความประพฤติ เชื่อได้ว่าด าเนินชีวิตหมดจดและปฏิบัติตนต่อมนุษย์ทั้งหลายโดยชอบ ผู้บริหารที่มีพรหมวิหารธรรมย่อมมีความ ...
หลักธรรมที่ผู้ปกครองควรยึดถือคือข้อใดทศพิธราชธรรม หรือ ราชธรรม 10 คือจริยวัตร 10 ประการที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็น หลักธรรม ประจำพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจำตนของผู้ปกครองบ้านเมือง ให้มีความเป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชนจนเกิดความชื่นชมยินดี ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้จำเพาะเจาะจงสำหรับพระเจ้าแผ่นดินหรือผู้ปกครองแผ่นดินเท่านั้น บุคคลธรรมดา ...
|