การตราพระราชกําหนดมีกระบวนการหรือขั้นตอนอย่างไรบ้าง

  • ลำดับที่ ๑๓

    พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา แตกต่างกันอย่างไรครับ

    เด็กเนติ
    [], ๐๐:๐๐:๐๐ - ๐๕ สิงหาคม ๒๕๔๘

  • คำตอบที่ ๑

    กลุ่มงานราชกิจจานุเบกษาขอเรียนว่าพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และพระราชกฤษฎีกา มีความแตกต่างกันใน ๒ มิติ อันได้แก่ ลำดับศักดิ์ของกฎหมาย และองค์อำนาจในการตราและกระบวนการตรา กล่าวโดยละเอียดคือ ๑. พระราชบัญญัติและพระราชกำหนดมีลำดับศักดิ์ของกฎหมายเป็นชั้นกฎหมายแม่บท ส่วนพระราชกฤษฎีกาเป็นกฎลำดับรอง ที่ออกโดยอาศัยอำนาจของรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายแม่บท เท่านั้น ๒. พระราชบัญญัติเป็นกฎหมายที่ตราโดยฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา) ส่วนพระราชกำหนด และพระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายที่ตราโดยฝ่ายบริหาร (ครม.) อนึ่ง เมื่อผ่านกระบวนการตราโดยชอบตามขั้นตอนแล้วจะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงประปรมาภิไธย และต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไปด้วย จึงจะมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ ทั้งนี้รายละเอียด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข และ (สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา) พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และพระราชกฤษฎีกา เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ทั้งสิ้น

    กลุ่มงานราชกิจจานุเบกษา
    ๒๒:๔๙:๕๘ - ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๕

< ย้อนกลับ

       รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารที่จะตราพระราชกำหนดออกใช้บังคับได้ในกรณีจำเป็น ซึ่งบางครั้งอาจเกิดผลดี กล่าวคือ เป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารแก้ไขปัญหาอย่างรีบด่วนได้ในกรณีที่มีความจำเป็น แต่ในบางครั้งอาจเกิดผลเสียเช่นกัน กล่าวคือ เป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารเข้าไปก้าวก่ายงานซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติได้ เนื่องจากในการจะตัดสินใจว่าสถานการณ์ใดเป็นกรณีฉุกเฉินและจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนั้นเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ซึ่งขัดแย้งกับฝ่ายนิติบัญญัติที่เห็นว่าฝ่ายบริหารไม่มีความจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดออกใช้บังคับ 

พระราชกำหนดมี 2 ประเภท คือ

   ก.พระราชกำหนดทั่วไป การตราพระราชกำหนดชนิดนี้ ฝ่ายบริหารในฐานะรัฐบาลจะตราขึ้นได้จะต้องอาศัย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 184 ดังนี้

   1.เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ

   2.เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยสาธารณะ

   3.เพื่อประโยชน์ที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ

   4.เพื่อประโยชน์ในอันที่จะป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ

    เงื่อนไข 4 ประการข้างต้นนี้เท่านั้นที่ฝ่ายบริหารจึงจะมีอำนาจตราพระราชกำหนดได้ นอกจากนี้ การตราพระราชกำหนดจะกระทำได้เฉพาะกรณีคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้

  ข.พระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา การตราพระราชกำหนดชนิดนี้ จะต้องอาศัยหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 186 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ซึ่งกำหนดไว้ว่า คณะรัฐมนตรีจะตราพระราชกำหนดเกี่ยวด้วยการภาษีอากรหรือเงินตราได้ต่อเมื่อจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดิน เช่น กรณีประเทศชาติกำลังประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจำเป็นต้องออกกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาโดยทันที ไม่ให้ปัญหานั้นลุกลามออกไป และการพิจารณาโดยลับนั้นก็เพราะต้องการป้องกันมิให้บุคคลอื่นล่วงรู้ข้อมูลก่อน อันอาจนำไปสู่การเก็งกำไร การกักตุนสินค้า หรือการขึ้นราคาสินค้าได้ เมื่อพระราชกำหนดถูกประกาศใช้ให้เป็นกฎหมายในราชกิจจานุเบกษาแล้ว พระราชกำหนดฉบับนั้นจะมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้กำหนดเงื่อนไขต่อไปอีกว่า พระราชกำหนดที่ประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้วนั้นจะต้องนำเสนอต่อรัฐสภาโดยไม่ชักช้า เพื่อพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนด หากรัฐสภาพิจารณาไม่อนุมัติ พระราชกำหนดฉบับนั้นต้องตกไป ความเป็นกฎหมายของพระราชกำหนดก็จะระงับสิ้นสุดลงตามไปด้วย แต่ทั้งนี้จะไม่กระทบกระเทือนกิจการที่ได้กระทำไประหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น

  ลักษณะสำคัญของพระราชกำหนด

  ก.พระราชกำหนดออกโดยอาศัยอำนาจบริหาร ไม่ใช่อาศัยอำนาจนิติบัญญัติ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากฝ่ายนิติบัญญัติในขั้นสุดท้ายเสมอ เพราะการออกพระราชกำหนดนั้นเป็นการมอบหมายอำนาจให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจนิติบัญญัติได้ชั่วคราวในกรณีจำเป็น เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของรัฐ  ฝ่ายนิติบัญญัติจึงมีอำนาจที่จะพิจารณาได้อีกชั้นหนึ่งว่าเป็นการสมควรที่จะออกพระราชกำหนดนั้นหรือไม่ ในขั้นการพิจารณาอนุมัติ ถ้าเห็นว่าเป็นการไม่สมควรก็มีอำนาจลงมติไม่อนุมัติอันเป็นผลให้พระราชกำหนดนั้นตกไป เท่ากับเป็นการยกเลิกพระราชกำหนด นับแต่วันที่ประกาศมติไม่อนุมัติของสภานิติบัญญัติในราชกิจจานุเบกษา

  ข.พระราชกำหนดมีฐานะเท่ากับพระราชบัญญัติในระหว่างที่ใช้บังคับ และเมื่อได้รับอนุมัติจากสภานิติบัญญัติแล้ว ก็มีผลใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติต่อไป (แต่ใช้ชื่อพระราชกำหนดตามเดิม) ด้วยเหตุนี้ พระราชกำหนดจึงอาจแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกพระราชบัญญัติได้

  ค.พระราชกำหนดจะออกได้แต่เฉพาะในกรณีพิเศษตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ถ้าไม่เข้ากรณีจะออกพระราชกำหนดไม่ได้

17 ตุลาคม 2562 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีนัดพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพล และงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 หรือเรียกย่อๆ ว่า พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ ซึ่งอาจทำให้หลายคนสับสนว่า ทำไมสภาผู้แทนราษฎรถึงต้องพิจารณาพระราชกำหนด แล้วพระราชกำหนดนั้นแตกต่างจากพระราชบัญญัติอย่างไร จะขอสรุปไว้ในบทความนี้

การตราพระราชกําหนดมีกระบวนการหรือขั้นตอนอย่างไรบ้าง

พ.ร.ก.เป็นอำนาจเฉพาะของรัฐบาลในยามฉุกเฉิน

พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เป็นกฎหมายรูปแบบหนึ่งซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำและยินยอมของคณะรัฐมนตรี โดยอาศัยอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญวางไว้ว่าเป็นกรณีฉุกเฉิน ที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หรือ พูดง่ายๆ ว่าเป็นเครื่องมือในการให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจตรากฎหมายแทนสภา แต่ต้องมีเหตุจำเป็นและฉุกเฉิน  

โดยรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 172 กำหนดว่า "ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกําหนดให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติก็ได้

การตราพระราชกําหนดตามวรรคหนึ่ง ให้กระทําได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้"

ซึ่งคำว่า ฉุกเฉิน ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ว่า “ที่เป็นไปโดยปัจจุบัน ทันด่วน และต้องรีบแก้ไขโดยพลัน” และคำว่า “จำเป็น เร่งด่วน อันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้” หมายถึง ต้องทำทันที ถ้าไม่ทำจะเกิดผลร้ายแรงตามมา

ยกอย่างเช่น ในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกพระราชกำหนดเกี่ยวกับการประมงอย่างน้อยสองฉบับ คือ พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 และ พ.ร.ก.การประมง (ฉบับที่สอง) พ.ศ. 2560 เนื่องจากให้เหตุผลว่าขณะนั้นปัญหาการประมงไทยเป็นปัญหาที่จำเป็นเร่งด้วย ต้องเร่งแก้ไข เนื่องจากมีปัญหาการถูกใบเหลือง ในการทำประมงผิดกฎหมายจากสหภาพยุโรป ทำให้ไทยไม่สามารถส่งออกสินค้าจากการประมงไปที่สหภาพยุโรปได้

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังเสนอให้ตรา พ.ร.ก. ที่เกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตราได้ โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 174 ระบุว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วน และลับเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดินให้ออกพระราชกำหนดได้

กล่าวคือ การออกพระราชกำหนดตามมาตรานี้ทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตราซึ่งต้องได้รับพิจารณาโดยด่วน และลับ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน โดย พ.ร.ก. ลักษณะนี้ เช่น พ.ร.ก.การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2540 และพ.ร.ก.บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน พ.ศ. 2540 ซึ่งออกมาเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ตกต่ำในสมัยพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี 

พ.ร.บ. มาได้ทั้งจากสภา รัฐบาล หรือประชาชน แต่จบที่สภา

ความหมายของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คือ บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้น โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา หรือ พูดง่ายๆ ว่า ในกรณีที่รัฐต้องการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องใดๆ ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ

โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 81 กำหนดว่า ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติจะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้ก็แต่โดยคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา แตทั้งนี้ ผู้ที่มีสิทธิเสนอร่าง พ.ร.บ. ต่อสภาอยู่ในมาตรา 133 ของรัฐธรรมนูญ ได้แก่ คณะรัฐมนตรี หรือ ส.ส. ไม่น้อยกว่ายี่สิบห้าคน หรือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน

สำหรับขั้นการพิจารณากฎหมายนั้นจะเริ่มต้นที่สภาผู้แทนฯ และจะแบ่งออกเป็น 3 วาระ ด้วยกัน ได้แก่ 

วาระที่หนึ่ง เรียกว่า ‘ขั้นรับหลักการ’ เป็นการพิจารณาหลักการของร่างกฎหมาย โดยผู้เสนอร่างกฎหมายจะมาชี้แจงหลักการและเหตุผลประกอบ ความจำเป็นที่ต้องออกกฎหมายนั้นๆ 

วาระที่สอง เรียกว่า ‘ขั้นกรรมาธิการ’ เป็นการพิจารณาร่างกฎหมายเป็นรายมาตรา อาจเพิ่ม ตัดทอนหรือแก้ไขบางมาตรา หรือบางถ้อยคำให้สมบูรณ์ขึ้น แต่ต้องไม่ขัดแย้งกับหลักการของร่างกฎหมายฉบับนั้น โดยสภาอาจให้ ส.ส. ทุกคนร่วมพิจารณาในรายละเอียดก็ได้ เรียกว่า ‘คณะกรรมาธิการเต็มสภา’ 

วาระสุดท้ายคือ  ‘ขั้นลงมติเห็นชอบ’ เป็นการลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายทั้งฉบับ ไม่มีการอภิปรายใดๆ และจะแก้ไขข้อความใดๆ ไม่ได้ ถ้ามีมติเห็นชอบก็จะนำไปสู่การพิจารณาของวุฒิสภา แต่ถ้าไม่เห็นชอบร่างนั้นก็เป็นอันตกไป

เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเสร็จแล้ว วุฒิสภาจะเป็นผู้พิจารณาต่อโดยแบ่งเป็นสามวาระเช่นเดียวกันกับสภาผู้แทนฯ แต่ต้องเสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้ หากไม่เสร็จภายในเวลาจะถือว่าวุฒิสภาได้เห็นชอบร่างกฎหมายนั้นแล้ว โดยมาตรา 136 ของรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ร่างกฎหมายทั่วไปต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วัน ส่วนร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน ทั้งนี้ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สามารถลงมติขยายเวลาออกไปเป็นกรณีพิเศษได้ไม่เกิน 30 วัน

อย่างไรก็ดี ส.ว. ไม่มีอำนาจ ‘ปัดตก’ หรือทำให้ร่างกฎหมายที่ผ่านสภาผู้แทนฯ แล้วหายไปได้  เมื่อ ส.ว. พิจารณาร่างกฎหมายแล้วสามารถลงมติได้ 3 กรณี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 137 คือ เห็นชอบ ไม่เห็นชอบ และแก้ไขเพิ่มเติม 

หากไม่เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ให้ "ยับยั้ง" ไว้ได้ไม่เกิน 180 วัน สภาผู้แทนฯ จึงจะยกกลับมาพิจารณาใหม่ได้ หาก ส.ส.ยืนยันร่างเดิมด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ ให้ถือว่า ร่างฉบับนั้นได้รับความเห็นชอบ

ส่วนกรณี ส.ว. แก้ไขเพิ่มเติม ถ้า ส.ส. ไม่เห็นด้วย ให้ตั้ง “คณะกรรมาธิการร่วม” ของสองสภาขึ้นมาพิจารณา โดยกรรมาธิการต้องมีจำนวน ส.ส. และ ส.ว. เท่ากัน เมื่อกรรมาธิการร่วมพิจารณาร่างกฎหมายเสร็จแล้วให้เสนอต่อทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา ถ้าสภาทั้งสองเห็นชอบด้วย ก็นำสู่ขั้นตอนประกาศใช้เป็นกฎหมาย แต่ถ้าสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบให้ยับยั้งร่างกฎหมายนั้นไว้ก่อน ซึ่ง ส.ส. อาจยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้หลัง 180 วัน โดยอาจยืนยันร่างเดิม หรือร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาก็ได้

พ.ร.ก. เมื่อรัฐบาลใช้แล้ว ต้องส่งให้สภาอนุมัติโดยเร็ว

ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 วรรคสามกำหนดให้ เมื่อประกาศใช้ พ.ร.ก.แล้ว ในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป ให้ครม. เสนอ พ.ร.ก.นั้นต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาโดยไม่ชักช้า ถ้าอยู่นอกสมัยประชุม และการรอการเปิดสมัยประชุมสามัญจะเป็นการชักช้า คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติ พ.ร.ก.โดยเร็ว

ในการลงเสียงอนุมัติ พ.ร.ก.เป็นกฎหมายนั้น กำหนดไว้ในมาตรา 172 ว่าหาก ส.ส. ไม่อนุมัติ โดยการลงคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ ให้ พ.ร.ก.ฉบับนั้นตกไป แต่ถ้า ส.ส. อนุมัติ แต่ ส.ว.ไม่อนุมัติ หาก ส.ส.เห็นด้วยเกินครึ่งหนึ่งก็ให้ พ.ร.ก. มีผลเป็นกฎหมาย และประกาศใช้เป็น พ.ร.บ. ต่อไป

ส.ส. หรือ ส.ว. หนึ่งในห้า ร้องศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ พ.ร.ก. ได้

ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 173 กำหนดให้ ก่อนที่สภา ส.ส. หรือ สภา ส.ว. จะอนุมัติ พ.ร.ก. หากเห็นว่า พ.ร.ก. ขัดกับมาตรา 172 วรรคแรก คือ ไม่เป็นกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ ส.ส. หรือ ส.ว. จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้า ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อเสนอต่อประธานสภาของตน เพื่อให้ประธานสภาส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และให้ชะลอ พ.ร.ก.ฉบับนั้นไว้ก่อน

หลังจากนั้นให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง และให้ศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งคำวินิจฉัยนั้นไปยังประธานแห่งสภาที่ส่งความเห็นนั้นมา 

ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพระราชกำหนดใดไม่เป็นไปตามมาตรา 172 วรรคแรก ให้ พ.ร.ก. ฉบับนั้นไม่มีผลใช้บังคับมาแต่ต้น

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า พ.ร.ก. ใดไม่เป็นไปตามมาตรา 172 วรรคแรก ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ คือปัจจุบันมีศาลรัฐธรรมนูญเก้าคน ต้องมีไม่น้อยกว่าหกคนที่เห็นว่าไม่เป็นไปตามมาตรา 172 วรรคแรก