โวลต์มิเตอร์ คือ เครื่องมือวัดไฟฟ้า ที่ใช้วัดแรงดันไฟฟ้าระหว่างจุด 2จุด ในวงจรความต้านทานภายในของเครื่องโวลต์มิเตอร์มีค่าสูง วิธีใช ้ต้องต่อขนานกับวงจรเครื่องมือที่ใช้วัดค่าความต่างศักย์ในวงจรไฟฟ้า ค่าที่วัดได้มีหน่วย โวลต์ (V) โวลต์มิเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ดัดแปลงมากจากแกลแวนอมิเตอร์ โดยต่อความต้านทาน แบบอนุกรม กับแกลแวนอมิเตอร์ และใช้วัดความต่างศักย์ในวงจรโดยต่อแบบขนานกับวงจรที่ต้องการวัด โวลต์มิเตอร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้วัดแรงดันไฟฟ้า ระหว่างจุดสองจุด ในวงจร ความจริงแล้วโวลต์มิเตอร์ก็คือแอมมิเตอร์นั่นเอง เพราะขณะวัดแรงดันไฟฟ้าในวงจร หรือแหล่ง จ่ายแรงดันจะต้องมี กระแสไฟฟ้าไหลผ่านมิเตอร์จึงทำให้เข็มมิเตอร์บ่ายเบนไป และการที่กระแสไฟฟ้าจะไหล ผ่าน เข้าโวลต์มิเตอร์ได้ ก็ต้องมี แรงดันไฟฟ้าป้อนเข้ามา นั่นเองกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้ามีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน กระแสไฟฟ้าไหลได้มากน้อยถ้า จ่ายแรงดันไฟฟ้าเข้ามาน้อย กระแสไฟฟ้าไหลน้อย เข็มชี้บ่ายเบนไปน้อยถ้าจ่าย แรงดันไฟฟ้าเข้ามามาก กระแสไฟฟ้าไหลมาก เข็มชี้บ่ายเบนไปมาก การวัด แรงดันไฟฟ้าด้วยโวลต์มิเตอร์ โวลต์มิเตอร์สร้างขึ้นมาเพื่อวัดค่าความแรงดันไฟฟ้าของแหล่งจ่ายแรงดัน หรือวัดค่าแรงดันไฟฟ้าตกคร่อม ระหว่างจุดสองจุดในวงจร การวัดแรงดันไฟฟ้าด้วย โวลต์มิเตอร์ เหมือนกับการวัดความดันของน้ำในท่อส่ง น้ำด้วยเกจ วัดความดัน โดยต้องต่อท่อเพิ่มจากท่อเดิมไปยังเกจวัดในทำนองเดียวกัน กับการวัดแรงดันไฟฟ้า ใน วงจร ต้องใช้โวลต์มิเตอร์ไปต่อขนานกับจุดวัดในตำแหน่งที่ต้องการวัด เสมอ
การใช้มิเตอร์วัดค่าความต้านทาน โอห์มมิเตอร์ (ohm meter) ในมิเตอร์ ยี่ฮ้อ sanwa รุ่นนี้แบ่ง range (ย่าน) การวัดค่าความต้านทานออกเป็น 4 range คือ R x 1, R x 10 , R x 1 K, R x 10 K ก่อนจะวัดจะต้องตั้งมิเตอร์ให้ถูกต้องจะวัดในเครื่องขณะเครื่องเปิดไม่ได้ เครื่องจะต้องดับและต้องปลดอุปกรณ์ที่จะวัดออกมา จะวัดทั้งที่ต่ออยู่ในเครื่องไม่ได้ และต้องตั้ง range ให้เหมาะสมกับค่าความต้านทานที่วัดในการวัดค่าความต้านทานนั้น ถ้าให้ละเอียดนิยมให้เข็มขึ้นอยู่ระหว่างกึ่งกลางถึง 0 เพราะว่าในช่วงนี้ scale แบ่งไว้ละเอียดทำให้อ่านค่าได้แน่นนอน ส่วนเกินครึ่งไปแล้ว scale จะเริ่มหยาบ อ่านค่าไม่ค่อยตรงกับความจริงต้องการพยายามปรับหรือตั้ง range ให้อยู่ในระหว่างกึ่งกลางถึงขวามือ ความคลาดเคลื่อนจะได้น้อยลง วิธีการปฏิบัติในการวัด –ถ้าตั้ง R x 1 หมายความว่าค่าที่อ่านได้บน scale ที่เข็มชี้มีค่าเท่าใดคูณด้วย 1 –ถ้าตั้ง R x 10 หมายความว่าค่าที่อ่านได้บน scale ที่เข็มชี้มีค่าเท่าใดคูณด้วย 10 –ถ้าตั้ง R x 1 K หมายความว่าค่าที่อ่านได้บน scale ที่เข็มชี้มีค่าเท่าใดคูณด้วย 1 K –ถ้าตั้ง R x 10 K หมายความว่าค่าที่อ่านได้บน scale ที่เข็มชี้มีค่าเท่าใดคูณด้วย 10 K เมื่อเริ่มวัดให้จับสาย + และ – ของ มิเตอร์ มาช็อตกันแล้วปรับ zero ให้เข็มตกถึง 0 ของแต่ ละ range ที่วัดหมายความว่าถ้าเราตั้ง R x 1 ก่อนจะวัดก็ต้องจับสาย + และ – มาช็อตหรือแตะกันแล้วปรับ zero ให้เข็มตกถึง 0 แล้วจึงจะทำการวัดอย่าลืมว่าอุปกรณ์ที่วัดต้องไม่มีแรงไฟหรือกระแสไฟคั่งค้างอยู่ ต้องเอาออกให้หมด มิฉะนั้นมิเตอร์จะพัง เวลาจะวัดอย่าเอามือทั้งสองข้างไปแตะอุปกรณ์ที่วัดจะทำให้ได้ค่าที่คลาดเคลื่อนตามรูปแล้วอ่านค่าบน scale ที่เข็มชี้และคูณด้วย range ที่เราตั้ง ถ้าเราพิจารณาจาก scale บนหน้าปัดจะเห็นว่ายังแบ่งออกเป็นช่องย่อยๆ อีกซึ่งแต่ละช่องนั้นมีค่าต่างๆ กัน ขอให้พิจารณาให้ละเอียด เช่น จาก 1 ถึง 2 แบ่งออกเป็น 5 ช่อง แต่ละช่องมีค่าเท่ากับ 0.2 ดังนั้นจาก 1 ถึง 2 ก็จะแบ่งออกเป็นช่องย่อยๆ เป็น 1.2,1.4,1.6,1.8 และ 2 หรือจาก 10 ถึง 20 แบ่งออกเป็น 10 ช่อง แต่ละช่องมีค่า 1 ค่า ที่อยู่ระหว่างนี้ก็จะเป็น 10,11,12,13,14 ไปเลื่อยๆ จนถึง 20 ซึ่งนับว่าไม่เป็นการยาก ภายในมิเตอร์นี้มีถ่านไฟฉายอยู่ 2 ชุด คือชุดที่ 1 มี 9 โวลต์ จำนวน 1 ก้อน และชุดที่ 2 มี 1.5 โวลต์ จำนวน 2 ก้อน เพื่อเอาไฟไปเลี้ยงขดลวด moving coil ถ้าเราจับสาย + และ – มาช็อตกันแล้วเข็มไม่ตกถึง 0 แสดงว่าถ่านอ่อนหรือกระแสไม่พอต้องเปลี่ยนใหม่ ถ้าไม่เปลี่ยนค่าที่วัดได้จะคลาดเคลื่อนหมด 2. เอ ซี โวลต์ มิเตอร์ ( A.C. volt meter ) เครื่องวัดแรงเคลื่อนไฟฟ้ากระแสสลับ การใช้มิเตอร์วัดไฟ เอ ซี โวลต์ มิเตอร์ ( A.C. volt meter ) Range switch A.C. volt meter แบ่งย่านการวัดออกเป็น 4 range คือ 10 v, 50v, 250v และ 1,000v จากรูปถ้าอ่านค่าที่สเกลบน เข็มชี้ที่เลข 4 ถ้าตั้งมาตร 10 v จุดที่วัดจะมีค่า 4 v ถ้าตั้งมาตร 1,000 v จุดที่วัดจะมีค่า 400 v (ค่าที่อ่านให้คูณด้วย 100) ถ้าอ่านค่าที่สเกลกลาง เข็มชี้ที่เลข 20 เมื่อตั้ง range 50 v จุดที่วัดจะมีค่า 20 v ถ้าอ่านค่าที่สเกลล่าง เข็มชี้ที่เลข 100 เมื่อตั้ง range 250 v จุดที่วัดจะมีค่า 100 v ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 10 v หมายความว่าวัดไฟ A.C. ได้ไม่เกิน 10 v ถ้าไฟที่เราจะวัดเกินกว่าที่ range switch ตั้งไว้ meter ก็พัง สรุปได้ว่า ตั้ง range เท่าใดไฟที่วัดต้องไม่เกิน range ที่วัด เวลาจะวัดก็วัดคร่อมหรือขนานกับไฟที่จะวัด คือสาย – (กราวนด์หรือดิน) สาย + จี้ไปยังจุดที่จะวัด (ไม่ต้องคำนึงถึงขั้ว + ขั้ว – เพราะเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ) ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 10 v หมายความว่าวัดไฟ A.C. ได้ไม่เกิน 10 v ให้อ่านสเกล 0 – 10 ในแต่ละช่องมีค่าเท่ากับ 0.2 v ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 50 v หมายความว่าวัดไฟ A.C. ได้ไม่เกิน 50 v ให้อ่านสเกล 0 – 50 ในแต่ละช่องมีค่าเท่ากับ 1 ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 250 v หมายความว่าวัดไฟ A.C. ได้ไม่เกิน 250 v ให้อ่านสเกล 0 – 250 ในแต่ละช่องมีค่าเท่ากับ 5 ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 1,000 v หมายความว่าวัดไฟ A.C. ได้ไม่เกิน 1,000 v ให้อ่านสเกล 0 – 10 ได้เท่าไรให้คูณด้วย 100 3. ดี ซี โวลต์ มิเตอร์ ( D.C. volt meter ) เครื่องวัดแรงเคลื่อนไฟฟ้ากระแสตรง การใช้มิเตอร์วัดไฟ ดี ซี โวลต์ มิเตอร์ ( D.C. volt meter ) Range switch D.C. volt meter แบ่งย่านการวัดออกเป็น 7 range คือ 0.1v, 0.5v ,2.5v , 10 v, 50v, 250v และ 1,000 v วิธีวัด ขั้ว – ของ meter คือกราวด์หรือดิน ขั้ว + จี้ไปยังจุดที่เป็นไฟ + ที่จะวัด ก่อนจะวัดต้องพิจารณาให้ดีว่าไฟที่จะวัดนั้นต้องไม่เกิน range ที่ตั้ง เพื่อความปลอดภัยควรตั้ง range สูงไว้ก่อนถ้าเข็มขึ้นเล็กน้อยจึงค่อยๆลด range switch ลงมา ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 10 v หมายความว่าวัดไฟ D.C. ได้ไม่เกิน 10 v ถ้าไฟที่เราจะวัดเกินกว่าที่ range switch ตั้งไว้ meter ก็พัง สรุปได้ว่า ตั้ง range เท่าใดไฟที่วัดต้องไม่เกิน range ที่วัด เวลาจะวัดก็วัดคร่อมหรือขนานกับไฟที่จะวัด คือสาย – (กราวนด์หรือดิน) สาย + จี้ไปยังจุดที่เป็นไฟ + ที่จะวัด ( ต้องคำนึงถึงขั้ว + ขั้ว – เพราะเป็นไฟฟ้ากระแสตรง ให้ขั้วหรือสายของเครื่องวัดตรงกับขั้วของวงจรหรือแหล่งจ่ายไฟที่เราจะวัด) ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 0.1 v หมายความว่าวัดไฟ D.C. ได้ไม่เกิน 0.1 v ให้อ่านสเกล 0 – 10 และอ่านให้เป็นสเกล 0 – 0.1 ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 0.5 v หมายความว่าวัดไฟ D.C. ได้ไม่เกิน 0.5 v ให้อ่านสเกล 0 – 50 และอ่านให้เป็นสเกล 0 – 0.5 ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 2.5 v หมายความว่าวัดไฟ D.C. ได้ไม่เกิน 2.5 v ให้อ่านสเกล 0 – 250 และอ่านให้เป็นสเกล 0 – 2.5 ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 10 v หมายความว่าวัดไฟ D.C. ได้ไม่เกิน 10 v ให้อ่านสเกล 0 – 10 ในแต่ละช่องมีค่าเท่ากับ 0.2 v ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 50 v หมายความว่าวัดไฟ D.C. ได้ไม่เกิน 50 v ให้อ่านสเกล 0 – 50 ในแต่ละช่องมีค่าเท่ากับ 1 ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 250 v หมายความว่าวัดไฟ D.C. ได้ไม่เกิน 250 v ให้อ่านสเกล 0 – 250 ในแต่ละช่องมีค่าเท่ากับ 5 ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 1,000 v หมายความว่าวัดไฟ D.C. ได้ไม่เกิน 1,000 v ให้อ่านสเกล 0 – 10 ได้เท่าไรให้คูณด้วย 100 หรือ อ่านสเกล 0 – 10 ให้เป็นสเกล 0 – 1,000 4. ดี.ซี. มิลลิแอมป์ มิเตอร์ ( D.C. Milliamp meter ) เครื่องวัดไฟฟ้ากระแสตรง การใช้มิเตอร์ วัดไฟฟ้ากระแสตรง ดี.ซี. มิลลิแอมป์ มิเตอร์ ( D.C. Milliamp meter ) Range switch D.C. Milliamp meter แบ่งย่านการวัดออกเป็น 4 range คือ 50 uA, 2.5 MA, 25 MA และ 0.25 A (หรือ 500 MA) Selector switch ที่เราบิดไปที่ range ใดก็หมายความว่าวัดได้สูงสุดไม่เกินนั้น วิธีวัด เสียบสายให้เรียบร้อยลงในมิเตอร์ตั้ง selector switch ในตำแหน่งย่ายที่วัดกระแสไฟ D.C. เพื่อความไม่ประมาทถ้าหากไม่รู้ว่ากระแสที่วัดนั้นมีค่ามากน้อยขนาดไหน ให้ตั้งที่ย่านวัดสูงๆ ไว้ก่อนแล้วค่อยๆลด selector switch ลงมา จากนั้นให้ตัดวงจรที่จะวัดออกแล้วนำสายวัดทั้งสองที่ปลายสายของวงจรที่ถูกตัดซึ่งการวัดในลักษณะนี้ก็คือการวัดโดยต่อมิเตอร์อันดับกับวงจรที่วัดและจะต้องต่อสายวัดให้ถูกขั้วกับการไหลของกระแสไฟฟ้าในวงจรด้วย ถ้าต่อผิดขั้วเข็มมิเตอร์จะตีกลับทำให้มิเตอร์เสีย การอ่านค่าบนสเกลนั้นใช้สเกลเดียวกับ D.C. volt meter ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 50 uA หมายความว่าวัดกระแสไฟ D.C. ได้ไม่เกิน 50 uA ให้อ่านสเกล 0 – 50 และอ่านให้เป็นสเกล 0 – 0.5 uA ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 2.5 MA หมายความว่าวัดกระแสไฟ D.C. ได้ไม่เกิน 2.5 MA ให้อ่านสเกล 0 – 250 และอ่านให้เป็นสเกล 0 – 2.5 M A ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 25 M A หมายความว่าวัดกระแสไฟ D.C. ได้ไม่เกิน 25 M A ให้อ่านสเกล 0 – 250 และอ่านให้เป็นสเกล 0 – 25 M A ถ้าตั้ง range switch ไปที่ 0.25 A หมายความว่าวัดกระแสไฟ D.C. ได้ไม่เกิน 0.25 A ให้อ่านสเกล 0 – 250 และอ่านให้เป็นสเกล 0 – 0.25 A 3.การขยายย่านวัดไฟฟ้า 1. ขดลวดเคลื่อนที่แบบแม่เหล็กถาวร โครงสร้างของมิเตอร์เบื้องต้นจะใช้รูปแบบของดาร์สันวาลมิเตอร์ตามที่กล่าวในหน่วยที่ 1 เรื่องขดลวดเคลื่อนที่ จะอาศัยการทำงานโดยใช้กระแสไฟฟ้าจ่ายเข้ามิเตอร์แต่เนื่องจากโครงสร้างมีขนาดเล็กขดลวดเคลื่อนที่จึงรับกระแสไฟฟ้าได้จำกัดค่าหนึ่งซึ่งน้อยมากแต่เกิดความคล่องตัวในการทำงานในขณะบ่ายเบนไปของอาร์เมเจอร์จะเกิดแรงเสียดทานน้อยช่วยให้การวัดค่าเกิดความเที่ยงตรงมากขึ้นด้วยข้อจำกัดของโครงสร้างจึงทำให้ดาร์สันวาลมิเตอร์ถูกจำกัดการใช้งานในวงแคบๆแต่ถ้าต้องการวัดกระแสไฟฟ้าปริมาณสูงเกินค่าจำกัดของกระแสไฟฟ้า จึงต้องหาตัวต้านทานมาต่อขนานเพื่อแบ่งกระแสไฟฟ้าส่วนที่เกินค่าจำกัดมาต่อ โครงสร้างของดาร์สันวาลมิเตอร์จะเป็นขดลวดเคลื่อนที่แบบแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Moving Coil: PMMC) แสดงดังรูปที่ 2.22 จากรูปที่ 2.22 แสดงแม่เหล็กถาวรรูปเกือกม้ากับแกนเหล็กอ่อนทรงกระบอกที่ติดกับแม่เหล็กถาวรระหว่างขั้วเหนือ–ใต้ โดยมีขดลวดเล็ก ๆ พันอยู่รอบ ๆ เรียกว่า ขดลวดอามาเจอร์(Armature) หรือขดลวดเคลื่อนที่ ขดลวดนี้จะพันบนรอบเหล็กสี่เหลี่ยมที่มีน้ำหนักเบามาก ๆ และติดยึดอยู่บนเดือยเพื่อให้สามารถเกิดการหมุนได้ เข็มชี้จะถูกยึดติดอยู่กับขดลวด เข็มชี้จะบ่ายเบนเมื่อขดลวดเคลื่อนที่เกิดการหมุน 2. ตัวต้านทานชันต์ การสร้างมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้าตรงแต่ละชนิดมีข้อจำกัดคือขดลวดของเครื่องวัดเล็กมากจึงรับกระแสไฟฟ้าได้ค่าจำกัดค่าหนึ่งซึ่งน้อยมาก เมื่อต้องการวัดกระแสไฟฟ้าที่มีปริมาณสูงเกินค่าจำกัดของกระแสไฟฟ้า จึงต้องหาตัวต้านทานมาต่อขนานหรือเรียกว่า “ตัวต้านทานชันต์ (Shunt Resistor: RSh)” มาต่อขนานเข้ากับดาร์สันวาลมิเตอร์ตัวต้านทานขนานจะทำหน้าที่แบ่งกระแสไฟฟ้าส่วนเกินที่ดาร์–สันวาลมิเตอร์รับไม่ได้ให้ผ่านตัวต้านทานขนานนั้นไปลักษณะของตัวต้านทานชันต์ที่ใช้ต่อขนานกับ ดาร์สันวาลมิเตอร์แสดงดังรูปที่ 2.23 ซึ่งสามารถต่อเพิ่มเข้าไปจากภายนอกมิเตอร์ได้เพื่อช่วยเพิ่มให้แอมมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้าได้สูงมากขึ้น 2.3.2 การขยายย่านวัดของแอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง การขยายย่านวัดของขดลวดเคลื่อนที่แบบแม่เหล็กถาวรเพื่อทำเป็นแอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง มี 2 วิธี คือใช้ตัวต้านทานชันต์แบบตัวเดียวหรือแบบซิงเกิลชันต์ และใช้ตัวต้านทานแบบอาร์ตันชันต์ 1. การขยายย่านวัดของแอมมิเตอร์แบบซิงเกิลชันต์ การขยายย่านวัดของแอมมิเตอร์ย่านวัดเดียวแบบซิงเกิลชันต์ (Single Shunt Type of Ammeter) ใช้หลักการของการขนาน โดยนำตัวต้านทานชันต์ (ShuntResistor: RSh) มาต่อขนานดังรูปที่ 2.24 เพื่อแบ่งกระแสไฟฟ้าเข้าแอมมิเตอร์ไม่ให้เกินกระแสไฟฟ้าเต็มสเกล จากรูปที่ 2.24 เมื่อนำมาเขียนเป็นวงจรไฟฟ้าของแอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง (Ammeter Circuit) ได้ดังรูปที่ 2.25 และเป็นพื้นฐานของการขยายย่านวัดของแอมมิเตอร์ประกอบด้วยขดลวดเคลื่อนที่แบบแม่เหล็กถาวรและตัวต้านทานชันต์ซึ่งมีค่าความต้านทานต่ำกระแสมิเตอร์(IM)หรือกระแสไฟฟ้าขดลวดจะเป็นสัดส่วนที่ส่งผลไปยังกระแสชันต์ (ISh) ดังนั้นกระแสไฟฟ้า I จึงเป็นย่านวัด (Range) ของแอมมิเตอร์ จากรูปที่ 2.25 โดยเพิ่ม RS ต่อขนานกับดาร์สันวาลมิเตอร์ RM เมื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้ามาในวงจร กระแสไฟฟ้าถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งผ่านดาร์สันวาลมิเตอร์ อีกส่วนหนึ่งผ่านตัวต้านทานชันต์อักษรย่อต่างๆ กำหนดไว้ดังนี้ RM = ความต้านทานของขดลวดเคลื่อนที่(ความต้านทานภายใน) หน่วยโอห์ม (W) RSh = ความต้านทานชันต์ หน่วยโอห์ม(W) IM = กระแสไฟฟ้าสูงสุดเต็มสเกลของขดลวดเคลื่อนที่ หน่วยแอมแปร์ (A) ISh = กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวต้านทานชันต์หน่วยแอมแปร์ (A) I = กระแสไฟตรงรวมที่ไหลผ่านเข้าวงจรไฟฟ้าของแอมมิเตอร์ หน่วยแอมแปร์ หรือกระแสไฟฟ้าสูงสุดเต็มสเกล (Full Scale Deflection Current: FSD) ของแอมมิเตอร์ (กระแสไฟฟ้านี้จะไหลไปยังโห ที่ต้องการวัด) เนื่องจากตัวต้านทานชันต์ (RSh) ต่อเป็นวงจรขนานกับดาร์สันวาลมิเตอร์มีความต้านทาน RMดังนั้นแรงดันไฟฟ้าตกคร่อมตัวต้านทานชันต์เท่ากับแรงดันไฟฟ้าตกคร่อมดาร์สันวาลมิเตอร์ ตามคุณสมบัติของวงจรขนาน เขียนสมการได้เป็น ในการออกแบบการขยายย่านวัดแอมมิเตอร์จะออกแบบให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านความต้านทานชันต์ (ISh) มีค่ามากกว่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้ามิเตอร์ (IM) มาก ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ขดลวดเคลื่อนที่แบบแม่เหล็กถาวรชำรุด ตัวอย่างที่ 2.11 จากรูปที่ 2.26 แอมมิเตอร์เป็นแบบขดลวดเคลื่อนที่แบบแม่เหล็กถาวร มีความต้านทานขดลวด (ภายใน) RM= 99 W ที่เข็มชี้เต็มสเกลมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวด 0.1 mA ความต้านทานชันต์RSh= 1 W จงหาค่าต่อไปนี้(Bell, David A., 1994: 41) ก) กระแสไฟฟ้ารวมไหลเข้าแอมมิเตอร์ขณะเข็มชี้เต็มสเกล ข) กระแสไฟฟ้ารวมไหลเข้าแอมมิเตอร์ขณะเข็มชี้ที่ 0.5 ของเต็มสเกล ตัวอย่างที่ 2.12 จากรูปที่ 2.27 แอมมิเตอร์ขนาด 1 mA มีความต้านทานขดลวด 100 Wต้องการ ทำให้เป็นแอมมิเตอร์ ขนาด 0–100 mA จงหาค่าความต้านทานชันต์ที่จะนำมาต่อขนาน 2.3.3 การขยายย่านวัดของแอมมิเตอร์หลายย่านวัดแบบซิงเกิลชันต์ แอมมิเตอร์หลายย่านวัด (Multi–Range Ammeters) แบบซิงเกิลชันต์ ดังรูปที่ 2.28 ใช้ในกรณีที่ต้องการแอมมิเตอร์เพื่อให้สามารถวัดกระแสไฟฟ้าได้หลายค่าในเครื่องเดียวกัน ตัวต้านทานชันต์แต่ละย่านวัด จะแยกอิสระต่อกันและใช้สวิตช์เลือก (Selector Switch) เป็นตัวเปลี่ยนย่านวัด แต่มีข้อเสียคือเมื่อนำแอมมิเตอร์ไปวัดกระแสไฟฟ้าของวงจรใด ๆ แล้ว ขณะเปลี่ยนย่านวัดไปยังย่านวัดต่อไปทำให้กระแสไฟฟ้ารวมของวงจรไหลเข้าขดลวดเคลื่อนที่ จนทำให้เกิดความเสียหายได้ 2.3.4 การขยายย่านวัดของแอมมิเตอร์แบบอาร์ตันชันต์ การขยายย่านวัดของแอมมิเตอร์แบบอาร์ตันชันต์ (Ayrton Shunt) หรือเรียกว่ายูนิเวอร์เซลชันต์ (Universal Shunt) ใช้หลักการของวงจรขนานเหมือนกับแบบซิงเกิลชันต์โดยใช้ตัวต้านทานชันต์ ย่านวัดต่ำสุดให้ถูกแบ่งไปให้ย่านวัดถัดไปตามลำดับจนถึงย่านวัดสูงสุด ดังรูปที่ 2.29 ทำให้ไม่มีปัญหาเหมือนกับการเปลี่ยนย่านวัดของแอมมิเตอร์หลายย่านวัดแบบซิงเกิลชันต์ เนื่องจากมีตัวต้านทานชันต์ต่อขนานอยู่กับขดลวดเคลื่อนที่เพื่อแบ่งกระแสไฟฟ้าส่วนที่เกินอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ทำให้ขดลวดเคลื่อนที่เกิดความเสียหายเนื่องจากกระแสไฟฟ้าเกิน (Jones, Larry D. & Chin, Foster A. 1991: 26) จากรูปที่ 2.29 อาร์ตันชันต์ประกอบด้วย RSh2, RSh2และ RSh3 และอธิบายทิศทางกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าตกคร่อมได้ดังรูปที่ 2.30 ความต้านทานชันต์: RShT = RSh2+ RSh2+RSh3 ........... (2.6) ถ้าสวิตช์เลือกอยู่ตำแหน่ง C ดังรูปที่ 2.30 ข) เป็นผลให้ RSh2 + RSh3 ต่อขนานกับ RM+ RSh2 แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมสาขาที่ขนานกันจะเท่ากัน ในเทอมของกระแสไฟฟ้าและความต้านทาน จะได้ ตัวอย่างที่ 2.13 จากรูปที่ 2.31 แอมมิเตอร์แบบ PMMCจงหาความต้านทานชันต์(Jones, Larry D. & Chin, Foster A. 1991: 27) |