การปฐมพยาบาล หมายถึง การให้ความช่วยเหลือต่อผู้บาดเจ็บหรือผู้เจ็บป่วย ณ สถานที่เกิดเหตุ โดยใช้อุปกรณ์เท่าที่หาได้ขณะนั้น หลังจากนั้นส่งผู้บาดเจ็บให้อยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์ Show วัตถุประสงค์ของการปฐมพยาบาล 1. เพื่อช่วยชีวิต 2. ลดความรุนแรง ภาวะไม่พึงประสงค์ 3. เพื่อป้องกันความพิการ 4. บรรเทาความเจ็บปวดทรมาน 5. ช่วยให้กลับคืนสู่สภาพเดิม หลักการทั่วไปสำหรับการช่วยเหลือปฐมพยาบาล คือจำเป็นจะต้องกระทำโดยเร็วที่สุด และมีสิ่งพึงระวังถึงบุคคล 2 กลุ่ม ดังนี้ 1.กลุ่มผู้ช่วยเหลือ บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์อุบัติเหตุขณะนั้นส่วนมากแล้วจะเป็นผู้ช่วยเหลือ จึงควรมีหลักการช่วยเหลือ คือมองดู สำรวจระบบสำคัญของร่างกายอย่างรวดเร็ว และวางแผนช่วยเหลืออย่างมีสติ ไม่ตื่นเต้นตกใจ ห้ามเคลื่อนย้าย เมื่ออวัยวะต่างๆ บาดเจ็บ ร่างกายได้รับความกระกระเทือน อาจมีการฉีกขาด หัก มีเลือดออกทั้งภายในและภายนอก ซึ่งผู้ช่วยเหลืออาจมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ได้ การเคลื่อนย้ายทันทีอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บมากขึ้น โดยเฉพาะถ้ากระดูกสันหลังหัก กระดูกที่หักจะตัดไขสันหลัง จะทำให้ผู้บาดเจ็บพิการตลอดชีวิตได้ ดังนั้นไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บจนกว่าจะแน่ใจว่า เคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย การเคลื่อนย้ายควรทำอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันอันตราย และความพิการที่อาจเกิดขึ้น ข้อยกเว้น กรณีที่การบาดเจ็บเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่สะดวกต่อการปฐมพยาบาล หรืออาจเกิดอันตรายมากขึ้นทั้งผู้บาดเจ็บและผู้ช่วยเหลือ จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บไปที่ปลอดภัยก่อน จึงทำการปฐมพยาบาลได้ เช่น อยู่ในห้องทึบ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก อยู่ในน้ำ หรืออยู่ในกองไฟ เป็นต้น แต่ต้องเคลื่อนย้ายอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบริเวณศีรษะ คอ และหลัง ต้องระวัง การให้ความช่วยเหลือด้วยความนุ่มนวลและระมัดระวัง ควรให้ความช่วยเหลือตามลำดับความสำคัญของการมีชีวิต หรือตามความรุนแรงที่ผู้บาดเจ็บได้รับ 2. กลุ่มผู้บาดเจ็บ ผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ต่างๆ อันตรายที่ร่างกายได้รับ เรียงตามลำดับความสำคัญ ดังนี้ 1.หยุดหายใจ 2.ทางเดินหายใจอุดตัน หัวใจหยุดเต้น 3.เสียโลหิตจำนวนมากอย่างรวดเร็ว 4.หมดสติ 5.เจ็บปวด 6.อัมพาต 7.กระดูกหัก ข้อควรจำ การปฐมพยาบาลที่ดี ผู้ช่วยเหลือควรให้การปฐมพยาบาลอย่างถูกต้อง รวดเร็ว นุ่มนวล และต้องคำนึงถึงสภาพจิตใจของผู้บาดเจ็บ ควรได้รับการปลอบประโลม และให้กำลังใจเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะได้รับการช่วยเหลืออย่างปลอดภัย ประเมินสภาพผู้บาดเจ็บ เมื่ออุบัติเหตุจราจรเกิดขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวจะประกอบได้ด้วยสถานการณ์ที่อันตรายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้ที่ให้การช่วยเหลือต้องตระหนักถึงความสำคัญของสถานการณ์นั้น จะทำให้การช่วยเหลือมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถ้าหากผู้ช่วยเหลือไม่ตระหนักถึงอันตรายของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว อาจได้รับอันตรายทั้งผู้ช่วยเหลือและผู้บาดเจ็บ การไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการประเมินสภาพผู้บาดเจ็บก่อนให้การปฐมพยาบาล อาจก่อให้เกิดผลเสียและทำให้ผู้บาดเจ็บได้รับอันตรายมากยิ่งขึ้นได้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ผู้ป่วยหมดสติ การปฐมพยาบาลผู้ป่วยหมดสติ นั้นผู้ให้การปฐมพยาบาลจะต้องดูว่าผู้ป่วยหายใจหรือไม่ ถ้าหยุดหายใจต้องทำการช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาหายใจให้ได้โดยเร็ว ถ้าผู้ป่วยมีเลือดออก ควรจับให้ผู้ป่วยนอนหงาย เอียงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ลิ้นตกไปด้านหลังลำคอ ซึ่งจะเป็นการอุดกั้นทางเดินหายใจ และป้องกันไม่ให้อาเจียนไหลเข้าสู่หลอดลม ในส่วนของการจัดท่านอนนั้น ถ้าผู้ป่วยหน้าแดง ควรให้นอนศีรษะสูง ถ้าผู้ป่วยมีสีหน้าซีด ให้นอนราบเหยียดขาและแขน เพราะอาจมีกระดูกหักได้ หากต้องการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้ดื่มน้ำหรือรับประทานยาใดๆ ตรวจดูบาดแผลโดยเฉพาะบริเวณศีรษะ หากมีอาการชักให้ม้วนผ้าดามช้อนใส่เข้าไประหว่างฟันเพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้นตนเอง รวมถึงให้หาสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยหมดสติและประวัติการเกิดอุบัติเหตุของผู้ป่วย เพื่อแจ้งให้แพทย์ทราบ การหมดสติ ไม่ใช่การนอนหลับ แต่การหมดสติ คือ อาการที่ไม่สามารถปลุกให้รู้สึกตัวหรืออาการที่ไม่สามารถรับรู้หรือตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ ข้อแตกต่างระหว่างการหมดสติ และการนอนหลับ ก็คือ การนอนหลับสามารถ “ปลุก” ได้ หากมีตัวกระตุ้นที่ดีพอ เช่น การเขย่าตัวแรงๆ หรือตะโกนดังๆ แต่การหมดสติไม่สามารถปลุกได้ ทั้งนี้ การหมดสติอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น จากการเจ็บป่วยบาดเจ็บ หรือการตื่นตกใจที่รุนแรงก็ได้ ระดับการหมดสติ สาเหตุของการหมดสติ – เป็นลม- ภาวะช็อค – โรคลมบ้าหมู (Epilepsy) – หน้ามืด หรือ ร่างกายอ่อนเพลีย – หมดสติอันมีสาเหตุจากโรคเบาหวาน – เลือดออกมาก – ดื่มแอลกอฮอล์ (เมา) – ใช้ยาเกินขนาด – ได้รับสารพิษต่างๆ – ศีรษะได้รับบาดเจ็บหรือกระทบกระเทือน – ปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำ – อัตราการเต้นของหัวใจช้าหรือเร็วผิดปกติ – ภาวะหัวใจวาย – ผลข้างเคียงจากการใช้ยา – โรคลิ้นหัวใจรั่ว เมื่อพบผู้ที่หมดสติ ให้หาดูว่าผู้ป่วยได้เก็บบันทึกรายละเอียดอาการป่วยของตนเองไว้ที่ใดในร่างกายบ้างหรือไม่ เช่น ตรวจดูบริเวณกำไลข้อมือ สร้อยคอ ในกระเป๋าเงิน บนบัตรต่างๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะระบุข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อใช้ในการปฐมพยาบาลผู้ป่วยหมดสติได้อย่างถูกต้อง การปฐมพยาบาลผู้ป่วยหมดสติ 2. เมื่อผู้ป่วยหยุดหายใจ แต่ชีพจรยังคงเต้นอยู่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทันที จากนั้นให้ดำเนินการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยทำการผายปอดเพื่อช่วยให้ออกซิเจนไหลเข้าไปที่ปอดของผู้บาดเจ็บและให้ปฏิบัติเช่นนี้ไปจนกระทั่งผู้บาดเจ็บสามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง หรือจนกว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเดินทางมาถึง ทั้งนี้ ต้องควบคุมศีรษะ ลำคอหรือหลังของผู้บาดเจ็บให้ไม่มีการเคลื่อนไหวเช่นกัน 3. เมื่อผู้ป่วยมีการบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือลำคอ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทันที จากนั้นให้ดำเนินการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยให้ดำเนินการตามวิธีการปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บที่ศีรษะ และลำคอ/หลัง ข้อควรจำ: ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าลำคอหรือหลังของผู้บาดเจ็บได้รับการบาดเจ็บด้วยหรือไม่ ห้ามทำให้ลำคอหรือหลังของผู้บาดเจ็บมีการเคลื่อนไหวอย่างเด็ดขาดจนกว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเดินทางมาถึง (นอกจากจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บออกจากบริเวณที่มีความเสี่ยงอันตรายเท่านั้น) การเคลื่อนไหวของศีรษะ ลำคอหรือหลังอาจทำให้ผู้บาดเจ็บเป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้ ในกรณีที่จำเป็นต้องเคลื่อนย้าย ให้ใช้มือทั้งสองข้างจับไปที่ศีรษะทั้งสองข้างของผู้บาดเจ็บ โดยให้ศีรษะ ลำคอหรือหลังของผู้บาดเจ็บมีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุด ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทันทีจากนั้นให้ดำเนินการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยให้ดำเนินการตามวิธีการปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บที่มีเลือดออกหรือการห้ามเลือด 5. เมื่อผู้ป่วยมีอาการต่อไปนี้ก่อนการหมดสติ (อาการของปฏิกิริยาตอบสนองต่ออินซูลิน หรือปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำ) – ควบคุมร่างกายไม่ได้ – ทำให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกมากที่สุด 6. เมื่อผู้ป่วยมีอาการต่อไปนี้ 8. เมื่อเขย่าตัวผู้ป่วยเป็นเวลา 2 นาทีแล้วผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัวหรือไม่มีการตอบรับใดๆแต่ยังมีการหายใจอยู่ และผู้ป่วยไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทันที จากนั้นให้ดำเนินการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่หายใจได้สะดวกมากที่สุด (Recovery Position) 9. เมื่อผู้ป่วยหน้ามืด วิงเวียน เป็นลม ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทันที จากนั้นให้ดำเนินการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยให้ดำเนินตามวิธีการปฐมพยาบาลผู้ป่วยหน้ามืดหรือเป็นลม การปฐมพยาบาลอย่างถูกวิธีนั้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยทุกๆครั้งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยที่รุนแรงหรือการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะ”การหมดสติ”นั้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะจะสามารถนำไปสู่การเสียชีวิตได้ดังนั้นผู้ให้การปฐมพยาบาล จึงต้องปฏิบัติกับผู้ป่วยอย่างถูกวิธีและรวดเร็วทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้น การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างถูกวิธี การยกและการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การยกและการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังมากไม่ให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บหรืออันตรายเพิ่มขึ้นอีก และผู้ที่ทำการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเอง ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ตนเองได้รับบาดเจ็บจากการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ไม่ถูกวิธีด้วย เหตุผลสำคัญในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย 1. อาการของผู้ป่วยไม่ปลอดภัย จำเป็นต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล กฎในการยกและการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การยกและการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมีหลายวิธี แต่มีหลักการเหมือนกัน คือ การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเล็กน้อยและ/หรือรู้สึกตัว ผู้ช่วยเหลือ 1 คน 1. ท่าประคองเดิน 2. การอุ้ม ผู้ช่วยเหลือ 2 คน 1.การประคองเดิน 2.กรณีที่ผู้ป่วยตัวใหญ่ อุ้มคนเดียวไม่ไหวและไม่มีกระดูกส่วนใดหัก การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บรุนแรงและ/หรือไม่รู้สึกตัว ผู้ช่วยเหลือ 1 คน 1. ท่าลาก 2. ท่าอุ้มแบก ในกรณีที่ผู้ป่วยตัวเล็ก ผู้ช่วยเหลือตัวใหญ่ ผู้ป่วยไม่มีส่วนใดหักเลื่อนย้ายไประยะทางไกลๆได้สะดวก ผู้ช่วยเหลือ 3-4 คน ในกรณีที่ผู้ป่วยตัวใหญ่มาก จำเป็นต้องใช้ผู้ช่วยเหลือมากกว่า 2 คนในการเคลื่อนย้าย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยวิธีนี้ผู้ป่วยจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัยมากกว่า แต่ผู้ช่วยเหลือต้องยึดหลักในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างแม่นยำ และต้องทำอย่างนุ่มนวล ที่สำคัญ คือ ต้องแน่ใจว่ายกผู้ป่วยไหว ถ้าไม่แน่ใจห้ามลองยกเด็ดขาด ต้องหาคนมาช่วยอีก ถ้าใช้คนมากขึ้นจะช่วยให้ผู้ป่วยปลอดภัยมากขึ้น การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บที่กระดูกสันหลังหัก กระดูกสันหลังหักมักมีอันตรายต่อเส้นประสาทไขสันหลัง ทำให้เกิดอัมพาตได้ ถ้าบริเวณคอ อาจทำให้ผู้ป่วยตายได้ ในการช่วยเหลือผู้ป่วยจึงมีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยวิธีใดก็ตาม ต้องยึดถือหลักในการยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างเคร่งครัด และต้องคิดถึงความปลอดภัยทั้งของผู้ป่วยและตัวผู้ช่วยเหลือเองไว้เสมอ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยใช้ผ้าห่ม การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยใช้เปลหาม วิธีการเคลื่อนย้าย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยใช้เปลหาม วัสดุที่นำมาดัดแปลงทำเปลหาม การใช้ผ้าห่มมาดัดแปลงทำเปลหามผู้ป่วย 3. เสื้อและไม้ยาว 2 อัน การใช้เสื้อมาดัดแปลงทำเปลหามผู้ป่วย อุบัติเหตุหมู่ ในสถานการณ์ภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุหมู่ เมื่อท่านพบเหตุการณ์เป็นคนแรกควรปฏิบัติดังนี้ ในกรณีมีผู้บาดเจ็บหลายคนพร้อมกัน ควรทำการประเมินสภาพผู้ป่วยคร่าวๆ ทุกคนเพื่อทำการคัดแยก และพิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือ โดยใช้แนวทางในการคัดแยกดังนี้ การห้ามเลือดจากแผล โดยปกติเมื่อคนเรามีบาดแผล หากบาดแผลไม่ใหญ่เลือดมักจะหยุดเอง แต่ถ้าเป็นบาดแผลใหญ่และมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดถ้าไม่ทำการห้ามเลือดอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการทรุดลงและอาจเสียชีวิตได้ ๑) การห้ามเลือดแผลทั่วไป มีวิธีการดังนี้ ๑. ใช้นิ้วกดลงบนบาดแผลตรงที่มีเลือดออก ๒. ยกส่วนที่มีเลือดออกให้สูงกว่าระดับหัวใจ ๓. ถ้าบริเวณที่เลือดออกอยู่ต่ำกว่าข้อพับของข้อศอกหรือข้อเข่า ให้ใช้ผ้าวางที่ข้อพับ และพับข้อศอกหรือข้อเข่านั้นไว้ แล้วใช้ผ้าสะอาดพันรอบๆ ซึ่งวีนี้เรียกว่า “Pad and Bandage” ๔. ใช้น้ำแข็งประคบที่บริเวณแผล ซึ่งความเย็นนี้ทำให้หลอดเลือดตีบ ทำให้เลือดที่ออกมาแข็งตัวได้เร็วขึ้น ๕. การใช้เครื่องรัดรัดเหนือแผล เป็นการห้ามเลือดไม่ให้ไหลไปสู่บริเวณแผลนั้น ๒) การห้ามเลือดตามตำแหน่งต่างๆของร่ายกาย ๑. ศีรษะ ใช้ผ้าสะอาดทับกันหนาๆแทนผ้าพันแผล ๒. ลิ้นหรือริมฝีปาก ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบทั้งสองข้างของแผล ๓. บริเวณที่คอ ใช้นิ้วหัวแม่มือกดบนหลอดโลหิต ๔. ต้นแขน ให้ใช้สายมารัดเหนือแผล ข้อควรคำนึง ๑. ผู้ให้ความช่วยเหลือต้องป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อโรคที่สามารถติดต่อได้ทางเลือดของผู้ป่วย ๒. กรณีที่ผู้ช่วยเหลือมีบาดแผล ควรใช้ผ้าปิดบาดแผลของตนก่อน ๓. ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลของผู้ป่วย โดการทำความสะอาดมือหรืออุปกรณ์ต่างๆที่ต้องสัมผัสกับบาดแผลของผู้ป่วย ๔. การห้ามเลือดในกรณีที่เลือดไม่หยุดไหลรีบนำส่งแพทย์ทันที ๒.๒ การปฐมพยาบาลเมื่อได้รับบาดแผล บาดแผล หมายถึง การชอกช้ำฉีกขาดของผิวหนังและเนื้อเยื่อของร่างกาย เป็นสาเหตุให้เกิดอาการต่างๆแทรกซ้อนได้ เช่น การเกิดหนอง บาดทะยัก และตกเลือด เป็นต้น หลักสำคัญของการปฐมพยาบาล มีดังนี้ ๑. ถ้ามีเลือดไหล จะต้องห้ามเลือดโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ๒. ถ้ามีอาการช็อกหรือเป็นลม ควรรักษาการเป็นลมเสียก่อน ๓. เมื่อเลือดหยุด ให้ทำความสะอาดบาดแผล ๔. ขณะทำความสะอาดควรตรวจบาดแผลว่ากว้างลึกแค่ไหน มีอะไรค้างอยู่ไหม ๕. ถ้าบาดแผลเกิดขึ้นบริเวณแขนหรือขา ควรให้บริเวณนั้นได้พัก ๖. รีบนำส่งสถานพยาบาลโดยด่วน ๗. ควรบันทึกเหตุการณ์ และการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้แพทย์ได้ทราบ การปฐมพยาบาล ๑) บาดแผลตัด บาดแผลตัดเกิดจากแผลที่ถูกของมีคมบาด ซึ่งวิธีการมี ดังนี้ 1.ถ้าบาดแผลเลือดออกเล็กน้อยให้ทำการห้ามเลือด โดยการให้ผ้าสะอาดกดลงประมาณ ๑๕-๒๐ นาที 2.ถ้าเลือดหยุดแล้วให้ทำความสะอาดแผล 3.ถ้าแผลกว้างและลึกให้ใช้ผ้าสะอาดกดแผลไว้และรีบนำส่งสถานพยาบาลทันที ๒) บาดแผลช้ำ บาดแผลช้ำเกิดจากการถูกชกต่อย กระแทก หกล้ม เป็นต้น มีวิธีการปฐมพยาบาล ดังนี้ 1. ใน ๒๔ ชั่วโมงแรกให้ประคบด้วยความเย็น เพื่อระงับความเจ็บปวดและการเลือดออก ๒๔ ชั่วโมงหลังให้ประคบความร้อนได้ เพื่อบรรเทาอาการบวม 2. บาดแผลถูกแทง 3. บาดแผลถูกแทงให้รีบนำส่งสถานพยาบาลทันที การปฐมพยาบาลถูกสัตว์มีพิษกัด ๑) งูกัด วิธีการรักษา 1.ดูแผลว่าเป็นงูมีพิษกัดหรือไม่ 2.ใช้เชือกหรือสิ่งที่หาได้ในขณะนั้นรัดไว้เหนือแผล(ให้สอดนิ้วก้อยเข้าได้) 3.ให้ล้างน้ำสะอาดหรือน้ำด่างทับทิมแก่ๆบ่อยๆเพื่อชะลอการแพร่กระจายของพิษ 4.ทำให้ผู้ที่ถูกกัดไม่ตกใจเพราะถ้าตกใจจะทำให้การสูบฉีดเลือดเยอะขึ้นทำให้พิษแพร่กระจายได้เร็วขึ้น 5.หากปฐมพยาบาลแล้วไม่ดีขึ้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ข้อห้ามสำหรับผู้ที่ถูกงูพิษกัด ๑. ไม่ควรรัดแบบขันชะเนาะ เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณที่ต่ำกว่ารอยรัดไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้บริเวณนั้นเกิดการเน่าขึ้นได้ภายหลัง ๒. ไม่ควรใช้ไฟจี้แผล มีดกรีดแผล หรือดูดแผล ๓. ผู้ที่ถูกงูกัด ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะไปออกฤทธิ์กดการหายใจ ไม่ควรให้ยากล่อมประสาท ยาระงับประสาท เพราะจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการง่วงได้ ซึ่งทำให้สับสนับอาการจากพิษงูบางชนิด ๔. อย่าเสียเวลาลองใช้ยาในบ้าน หรือวิธีรักษาแบบอื่นๆ ควรรีบนำส่งสถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ทำการรักษาจะปลอดภัยมากกว่า ๕. อย่าพยายามใช้เชือกรัดบริเวณข้อกระดูกต่างๆ เช่น ข้อเท้า เข่า ข้อศอก เป็นต้น เกร็ดน่ารู้! การป้องกันไม่ให้งูกัด 1.พยายามอย่าเดินในทางที่มีหญ้ารกมาก 2.หลีกเลี่ยงการเดินในป่าเวลากลางคืน 3.อย่าเดินในซอกหินแคบ 4.ไม่ควรนอนกับพื้นเมื่อนอนในป่า ถูกสุนัขบ้ากัด โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดต่อร้ายแรง พบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว กระรอก วัว ม้า สามารถติดต่อได่โดย น้ำลายของสัตว์มาเข้าบาดแผล ซึ่งจะมีอาการ กระสับกระส่าย ไม่ชอบแสงสว่าง ลม และเสียงดัง ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาได้ แต่สามารถป้องกันได้ดังนี้ เมื่อถูกสัตว์กัดให้รีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาด และฟอกสบู่หลายๆครั้ง ทำความสะอาดซ้ำด้วยแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ แล้วใส่ยารักษาแผลสดทั่วไป ควรรีบนำส่งสถานพยาบาลเพื่อรับการฉีดวัคซีน ถ้ารักษาด้วยสมุนไพรนั้น ไม่สามารถรักษาได้ ถ้ากักขังสัตว์ไม่ได้ ควรรีบกำจัดสัตว์โดยเร็วแต่อย่าให้ส่วนหัวบุบสลายเพราะจะต้องนำส่งตรวจต่อไป ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็จำเป็นจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ควรนำสัตว์เลี้ยงไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ตามคำแนะนำของแพทย์ ข้อสังเกตุสำหรับสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า จะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น สัตว์ที่ดุร้ายมีอาการเชื่อง สัตว์ที่เชื่องมีอาการดุร้าย ตื่นเต้น กระวนกระวาย ๒.๔ การปฐมพยาบาลเมื่อถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก ผิวหนังที่ถูกทำลายด้วยความร้อนจนเกิดเป็นแผลไหม้ จะทำให้เกิดอันตรายจนถึงเสียชีวิต หรือแผลที่โดนน้ำร้อนลวก จะมีวิธีปฐมพยาบาลที่เหมือนกันหากมีการปฐมพยาบาลที่ถูกวิธีจะช่วยลดอาการลงได้ แผลที่ถูกไฟไหม้และน้ำร้อนลวกมีอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1. แผลแบบตื้นๆ การบาดเจ็บเกิดขึ้นที่บริเวณผิวหนังชั้นนอก โดยผิวหนังจะมีสีเข้ม เกรียม ดำหรือพอง และเจ็บตรงบริเวณแผล 2. แผลแบบลึก ผิวหนังทุกชั้นจะถูกทำลาย มีสีแดงเข้มไหม้เกรียมหรือพุพองขึ้นมา แต่ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บบริเวณแผลเพราะปลายประสาทถูกทำลาย การปฐมพยาบาลมีดังนี้ 1. สำหรับผู้ป่วยที่มีแผลไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวกให้ใช้น้ำเย็นราดอย่างน้อย 10 นาที และ ไม่ควรใช้น้ำมัน ครีม หรือน้ำยาทาผิว ทาบริเวณแผล ใช้ผ้าสะอาดเช็ด เช่น ผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดปิดบริเวณแผล และใช้ผ้านุ่มๆคลุมทับไว้ เพื่อไม่ให้แผลเจ็บมากขึ้น 2. ถ้าแผลไหม้หรือถูกลวกนั้นรุนแรงมาก ห้ามให้แผลถูกน้ำ แต่ใช้ผ้าปิดแผลที่ฆ่าเชื้อโรคแล้ว ปิดแผลไว้หลวมๆ และให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ 3. ถ้าแผงไหม้หรือลวกนั้นมีบริเวณกว้าง ให้ผู้ป่วยนอนยกขาทั้ง 2 ข้างให้สูงกว่าลำตัว แต่ถ้าแผลไหม้เกิดบริเวณศีรษะ หน้าท้อง หน้าอก ให้ใช้ผ้าห่มหนุนไหลไว้ ห้ามเจาะถุงน้ำที่พองบริเวณแผล เพราะจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น ๒.๕ การปฐมพยาบาลเมื่อเลือดกำเดาไหล เลือดกำเดาไหลเป็นอาการที่พบได้บ่อยในวัยเด็กและวัยกลางคน ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแน่ชัด อาจเกิดจากการเป็นหวัด จามแรงเกินไป หรือ แคะจมูก หรืออาจพบในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ การปฐมพยาบาล ควรกระทำดังนี้ 1. ให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรงบนเก้าอี้และก้มศีรษะไปข้างหน้าเล็กน้อย 2. บีบจมูกให้แน่นประมาณ ๑๐ นาที ระหว่างนี้กลืนเลือดที่ออกจากทางด้านหลังจมูก และหายใจทางปาก พอครบ ๑๐ นาที ให้ปล่อยมือที่บีบีจมูก แล้วนั่งนิ่งๆถ้าเลือดยังออกอีกให้บีบีต่ออีก ๑๐ นาที 3. วางน้ำแข็ง หรือผ้าเย็นๆ บนสันจมูก หรือหน้าผาก 4. เมื่อเลือดหยุด ให้นั่งนิ่งๆ หรือนอนลงสักพัก ระหว่างนี้ห้ามสั่งน้ำมูกอย่างน้อย ๓ ชั่วโมง และไม่ควรแคะจมูกหรือใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าไป 5. ถ้าเลือดออกมาจนซีด และปวดศีรษะ หรือไม่สามารถห้ามเลือดด้วยวิธีธรรมดา (โดยเฉพาะผู้สูงอายุ) หรือถ้าเป็นบ่อยๆ ควรไปพบแพทย์ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมี 2 แบบคืออะไร1. การทาเปลมือ 2. การอุ้มหน้า - หลัง เหมาะสาหรับ... ผู้ป่วยที่รู้สึกตัวดี แต่ขาข้างใดข้างหนึ่งเจ็บ
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมีแบบใดบ้าง2. การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยผู้ช่วยเหลือสองคน วิธีที่ 1 อุ้มและยก เหมาะสำหรับผู้ป่วยรายในรายที่ไม่รู้สึกตัว แต่ไม่ควรใช้ในรายที่มีการบาดเจ็บของลำตัว หรือกระดูกหัก. 3. การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยผู้ช่วยเหลือสามคน วิธีที่ 1 อุ้มสามคนเรียง เหมาะสำหรับผู้ป่วยในรายที่ไม่รู้สึกตัว ต้องการอุ้มขึ้นวางบนเตียงหรืออุ้มผ่านทางแคบๆ. การอุ้มเคียง 2 คนมีวิธีการอย่างไรวิธีเคลื่อนย้าย ผู้ช่วยเหลือทั้งสองคนใช้มือขวากำข้อมือซ้ายของตนเอง ขณะเดียวกันก็ใช้มือซ้ายกำมือขวาซึ่งกันและกัน ให้ผู้ป่วยใช้แขนทั้งสองยันตัวขึ้นนั่งบนมือทั้งสี่ที่จับประสานกันเป็นแคร่ แขนทั้งสองของผู้ป่วยโอบคอผู้ช่วยเหลือ จากนั้นวางผู้ป่วยบนเข่าเป็นจังหวะที่หนึ่ง และอุ้มยืนเป็นจังหวะที่สอง แล้วจึงเดินไปพร้อมๆ กัน
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมีความสําคัญอย่างไรการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของผู้ป่วย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอาจกระทำก่อนให้การปฐมพยาบาล ๅหรือหลังจากให้การปฐมพยาบาลก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในหลายกรณีพบว่ามีผู้ป่วยจำนวนมาก ได้รับอันตรายจากการเคลื่อนย้ายที่ไม่ถูกวิธี ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ...
|