เสริมสร้างประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ส่งผลทำให้เกิดความริเริ่มสร้างสรรค์ในการทำโครงงานใหม่ๆที่จะนำไปสู่โลกของงานอาชีพและการศึกษา อีกทั้งโครงงานที่ตนเองสนใจยังก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่กว้างขวาง เป็นการประสานงานทางวิชาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ ตัวบ่งชี้การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ศูนย์พัฒนาการเรียนการสอนสำนักงานการศึกษาแห่งชาติ ได้พัฒนาตัวบ่งชี้การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ กำหนดตัวบ่งชี้การเรียนของผู้เรียน 9 ข้อและตัวบ่งชี้การสอนของครู 10 ข้อดังนี้ ตัวบ่งชี้การเรียนของผู้เรียน 1. ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2. ผู้เรียนฝึกปฏิบัติจนค้นพบความถนัดและวิธีการของตนเอง 3. ผู้เรียนทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกลุ่ม 4. ผู้เรียนฝึกคิดหลากหลายและสร้างสรรค์จินตนาการ ได้แสดงออกอย่างชัดเจนและมีเหตุผล 5. ผู้เรียนได้รับการเสริมแรงให้ค้นคว้าหาคำตอบ แก้ปัญหาทั้งด้วยตนเองและร่วมกับเพื่อนๆ 6. ผู้เรียนได้ฝึกค้นคว้า รวบรวมข้อมูลและสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเอง 7. ผู้เรียนเลือกทำกิจกรรมตามความสามารถ ความถนัด ความสนใจอย่างมีความสุข 8. ผู้เรียนฝึกตนเองให้มีวินัยและมีความรับผิดชอบในการทำงาน 9. ผู้เรียนฝึกประเมิน ปรับปรุงตนเองและยอมรับผู้อื่น และสนใจใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่อง ตัวบ่งชี้การสอนของครู 1. ครูเตรียมการสอนทั้งเนื้อหาและวิธีการ 2. ครูจัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศที่ปลุกเร้า จูงใจและเสริมแรงให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ 3. ครูเอาใจใส่นักเรียนเป็นรายบุคคลและแสดงความเมตตาต่อนักเรียนอย่างทั่วถึง 4. ครูจัดกิจกรรมและสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้แสดงออกและคิดอย่างสร้างสรรค์ 5. ครูส่งเสริมให้ผู้เรียนฝึกคิด ฝึกทำและฝึกปรับปรุงตนเอง 6. ครูส่งเสริมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกลุ่มสังเกตข้อดีและปรับปรุงข้อด้อยของผู้เรียน 7. ครูใช้สื่อเพื่อฝึกการคิด การแก้ปัญหา และการค้นพบความรู้ 8. ครูให้แหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายและเชื่อมโยงกับประสบการณ์จริง 9. ครูฝึกฝนกิริยามารยาทและวินัยตามวิถีวัฒนธรรมไทย 10. ครูสังเกตและประเมินพัฒนาการของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง 2.ความหมายของโครงงานคอมพิวเตอร์ 3.ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์ ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์ 1.โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media) 4.ขั้นตอนการพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ ขั้นตอนการพัฒนาโครงงานการจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์ ถือเป็นกระบวนการในการทำงานที่้ต้องดำเนินการอย่างเป็นลำดับขั้นตอน เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดต่อการพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. การคัดเลือกหัวข้อโครงงาน หัวข้อส่วนใหญ่ที่นำมาพัฒนาเป็นโครงงานคอมพิวเตอร์ มักจะได้มาจากปัญหา คำถาม หรือความสนใจในเรื่องต่าง ๆ การสังเกตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์หรือสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ปัญหาที่นำมาพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์นั้นได้จากแหล่งที่ต่างกัน ได้แก่ การอ่านค้นคว้าจากหนังสือ เอกสาร หนังสือพิมพ์ หรือวารสารต่าง ๆ การไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ การฟังบรรยายทางวิชาการ รายการทางวิทยุและโทรทัศน์ ข้อมูลข่าวสารจากอินเทอร์เน็ต รวมทั้งการสนทนา อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเพื่อนนักเรียนหรือกับบุคคลอื่น ๆ กิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียน งานอดิเรกของนักเรียน การเข้าชมงานนิทรรศการหรืองานประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์ 2. การศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล การศึกษาจากเอกสารและแหล่งข้อมูล รวมถึงการขอความปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิจะช่วยให้เกิดแนวคิดในการกำหนดขอบเขตของเรื่องที่จะศึกษาได้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้นและได้ความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่จะศึกษา จนสามารถใช้ออกแบบและการวางแผนดำเนินการทำโครงงานได้อย่างเหมาะสม ในการศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูลจะต้องได้คำตอบว่า จะทำอะไร ทำไมต้องทำ ต้องการให้เกิดอะไร ทำอย่างไร ใช้ทรัพยากรอะไร ทำกับใคร และจะเสนอผลงานอย่างไร 3. การจัดทำข้อเสนอโครงงาน การจัดทำข้อเสนอโครงงานเป็นการจัดทำเค้าโครงของโครงงานเพื่อเสนอครูที่ปรึกษา โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 3.1 ศึกษาค้นคว้าเอกสารอ้างอิง และรวบรวบรวมข้อมูลที่ได้จากผู้ทรงคุณวุฒิ 3.2 วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อกำหนดขอบเขตและลักษณะของโครงงานที่จะพัฒนา 3.3 ออกแบบการพัฒนา มีการกำหนดลักษณะของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์และตัวแปลภาษาโปรแกรม และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ 3.4 กำหนดตารางการปฏิบัติงานของการจัดทำเค้าโครงของโครงงาน ลงมือทำโครงงานและสรุปรายงานโครงงาน โดยกำหนดช่วงเวลา 3.5 ทำการพัฒนาโครงงานขั้นต้น เพื่อศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้น โดยอาจจะทำการพัฒนาส่วนย่อย ๆ บางส่วน ตามที่ได้ออกแบบไว้แล้ว นำผลจากการศึกษาในช่วงนี้ไปปรับปรุงแผนการทดลองที่ออกแบบไว้ในครั้งแรกให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น 3.6 เสนอเค้าโครงของโครงงานคอมพิวเตอร์ต่อครูทึ่ปรึกษา เพื่อขอคำแนะนำปรับปรุงแก้ไข เพราะในการวางแผนการศึกษา ความคิดของนักเรียนอาจจะไม่ครอบคลุมทุกด้านเนื่องจากยังขาดประสบการณ์ จึงควรถ่ายทอดความคิดที่ได้ศึกษาและบันทึกไว้ให้ครูทราบเพื่อรับคำแนะนำ และนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ เมื่อผู้เรียนได้ศึกษาเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ และเลือกเรื่องที่จะทำโครงงานคอมพิวเตอร์รวมทั้งวางแผนการทำโครงงานทุกขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว จึงทำการเขียนเค้าโครงของโครงงานเพื่อใช้เป็นกรอบแนวคิดและแนวทางในการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ นอกจากจะต้องใช้หลักการทางวิชาการในการวางแผนทำโครงงานแล้ว ยังต้องมีข้อตกลงและเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น การขออนุญาตใช้ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ การจัดหาซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ เครื่องมือและตัวแปลภาษาโปรแกรม เพื่อช่วยให้การทำโครงงานดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยมีองค์ประกอบเค้าโครงของโครงงานคอมพิวเตอร์ ดังนี้ 1. ชื่อโครงงาน ต้องสื่อว่าทำอะไรกับใคร เพื่ออะไร เช่น โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา โครงงานพัฒนาเครื่องมือ 2. ชื่อผู้จัดทำ ระบุถึงผู้รับผิดชอบโครงงานอาจเป็นรายกลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้ 3. ครูที่ปรึกษา ระบุชื่อ สกุลของครูที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาควบคุมการทำโครงงานของนักเรียน 4. ระยะเวลาดำเนินงาน ให้ระบุเวลาตั้งแต่เริ่มทำโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการบริหารจัดการเพื่อใช้วางแผนควบคุมการทำงาน 5. แนวคิด ที่มา อธิบายถึงสาเหตุที่เลือกทำโครงงาน กล่าวถึงความต้องการและความคาดหวังที่จะเกิดผล 6. วัตถุประสงค์ ระบุสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดโครงงานนี้ในเชิงกระบวนการและผลลัพธ์ที่ได้ 7. หลักการทฤษฎี อธิบายหลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่นำมาใช้ในโครงงาน 8. วิธีดำเนินงาน กล่าวถึงกิจกรรมหรือขั้นตอนการดำเนินงาน 9. ขั้นตอนปฏิบัติ กล่าวถึงวันเวลาและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น 10. ผลที่คาดว่าจะได้รับ ระบุถึงสภาพของผลที่ต้องการให้เกิด รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น 11. เอกสารอ้างอิง ระบุชื่อเอกสารข้อมูลที่ได้จากแหล่งต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการดำเนินงาน 4. การพัฒนาโครงงาน เมื่อเค้าโครงของโครงงานได้รับความเห็นชอบของครูที่ปรึกษาแล้ว ขั้นตอนต่อไปจึงเป็นการลงมือพัฒนาโครงงานตามขั้นตอนที่วางไว้ เช่น จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อม รวมทั้งการกำหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบของสมาชิกในกลุ่มให้ชัดเจน แล้วจึงดำเนินการทำโครงงาน ขณะเดียวกันต้องมีการทดสอบ ตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไข เพื่อพัฒนาโครงงานเป็นระยะ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าผลงานที่พัฒนาขึ้นนั้น ทำงานได้ถูกต้องตรงกับความต้องการที่ระบุไว้ในเป้าหมายและเกิดประสิทธิภาพตามขั้นตอนดังนี้ 4.1 การเตรียมการ ต้องเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์และวัสดุอื่น ๆ ที่ใช้ในการพัฒนาให้พร้อมและควรเตรียมสมุดบันทึกหรือบันทึกเป็นแฟ้มข้อความไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับบันทึกการทำกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างทำโครงงาน ได้แก่ การดำเนินการเป็นอย่างไร ได้ผลอย่างไร มีปัญหาและแก้ไขได้หรือไม่อย่างไร รวมทั้งข้อสังเกตต่าง ๆ ที่พบ 4.2 การลงมือพัฒนา เป็นการปฏิบัติตามแผนที่วาง ไว้ในเค้าโครง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมได้ หากพบว่าจะช่วยทำให้ผลงานพัฒนาได้ดีขึ้น โดยจัดระบบการทำงานโดยทำส่วนที่เป็นหลักสำคัญให้เสร็จก่อน จึงค่อยทำส่วนที่เป็นส่วนประกอบหรือส่วนเสริม เพื่อให้โครงงานมีความสมบูรณ์มากขึ้น และถ้ามีการแบ่งงานกันทำให้ตกลงรายละเอียดในการเชื่อมต่อชิ้นงานที่ชัดเจนด้วย รวมทั้งต้องพัฒนาระบบงานด้วยความละเอียดรอบคอบ บันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบและครบถ้วน 4.3 การทดสอบผลงานและแก้ไข เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของผลงาน เพื่อให้แน่ใจว่าผลงานที่พัฒนาขึ้น ทำงานได้ถูกต้องตรงกับความต้องการที่ระบุไว้ในเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ 4.4 การอภิปรายและข้อเสนอแนะ เมื่อพัฒนาผลงงานเรียบร้อยแล้ว ให้จัดทำสรุปด้วยข้อความที่สั้นกะทัดรัดครอบคลุมหัวข้อโครงงาน เพื่อช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงสิ่งที่ค้นพบจากการทำโครงงานและทำการอภิปรายผล เพื่อพิจารณาข้อมูลและผลที่ได้ พร้อมกับนำไปหาความสัมพันธ์กับหลักการ ทฤษฎี หรือผลงานที่ผู้อื่นได้ศึกษาไว้แล้ว ทั้งนี้ยังรวมถึงการนำหลักการ ทฤษฎีหรือผลงานของผู้อื่นมาใช้ประกอบการอภิปรายผลที่ได้ 4.5 แนวทางการพัฒนาโครงงานในอนาคตและข้อเสนอแนะ เมื่อทำโครงงานเสร็จสิ้นลงแล้ว นักเรียนอาจพบข้อสังเกต ประเด็นที่สำคัญหรือปัญหา ซึ่งสามารถเขียนเป็นข้อเสนอแนะสำหรับผู้สนใจจะนำไปพัฒนาผลงานให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 5. การเขียนรายงานโครงงาน การเขียนรายงานโครงงาน เป็นวิธีการสื่อความหมายเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจความคิด วิธีการดำเนินการศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงงานนั้น โดยในการเขียนรายงานนั้น ควรใช้ภาษาที่อ่านง่าย ชัดเจน กระชับ ตรงไปตรงมา รวมทั้งให้ผู้จัดทำคู่มือการใช้งาน ซึ่งประกอบด้วยรายละเอียด ดังนี้ 5.1 ชื่อโครงงาน 5.2 ความต้องการของระบบคอมพิวเตอร์ ระบุรายละเอียดของคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีเพื่อจะใช้กับโครงงานนั้น 5.3 ความต้องการของซอฟต์แวร์ ระบุรายชื่อซอฟต์แวร์ที่ต้องใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่จะให้โครงงานนั้นทำงานได้อย่างสมบูรณ์ 5.4 คุณลักษณะของโครงงาน ซึ่งอธิบายว่าผลงานนั้นทำหน้าที่อะไรบ้าง รับอะไรเป็นข้อมูลขาเข้า และอะไรที่ออกมาเป็นข้อมูลขาออก 5.5 วิธีการใช้งานของแต่ละฟังก์ชัน อธิบายว่าจะต้องกดคำสั่งใด หรือกดปุ่มใด เพื่อให้ผลงานทำงานในฟังก์ชั่นหนึ่ง ๆ 6. การนำเสนอและแสดงโครงงาน เป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากการพัฒนาโครงานเสร็จเรียบร้อยตามเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยเป็นการนำเสนอรายงานสรุปผลการดำเนินการในการจัดทำโครงงาน และโปรแกรมที่ได้พัฒนาขึ้นมาให้กับคณะกรรมการและผู้เกี่ยวข้องของโครงงานนั้น จึงจัดเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งของการทำโครงงาน เพื่อแสดงออกถึงผลผลิต ความพยายามในการทำงานที่ผู้ทำโครงงานได้ทุ่มเท และเป็นวิธีทำให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจถึงผลงานนั้น https://sites.google.com/site/khrujun/khan-txn-kar-phathna-khorng-ngan 5.การจัดรูปเล่มรายงานการพัฒนาโครงงาน รายงานเสนอโครงงานวิศวกรรมประกอบด้วยส่วนสำคัญ 5 ส่วน คือ - ส่วนนำ - ส่วนเนื้อความ - ส่วนอ้างอิง - ภาคผนวก (อาจมีหรือไม่มีก็ได้) - ประวัติผู้จัดทำโครงงาน 2.2 ส่วนนำ ในส่วนนำนี้ จะประกอบด้วยส่วนต่างๆ ตามลำดับดังนี้ - ปกหน้า ให้ใช้ปกแข็งสีเลือดหมู ประกอบด้วยชื่อโครงงานภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ชื่อผู้ทำโครงงาน ชื่อปริญญา คณะ มหาวิทยาลัย และปีการศึกษาที่ได้รับอนุมัติ - ปกใน ประกอบด้วยชื่อโครงงานภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ชื่อผู้ทำโครงงาน รหัสประจำตัวนิสิต ชื่อปริญญา คณะ มหาวิทยาลัย และปีการศึกษาที่ได้รับอนุมัติ - หน้าอนุมัติ - บทคัดย่อภาษาไทย - บทคัดย่อภาษาอังกฤษ - กิตติกรรมประกาศ - สารบัญ เป็นส่วนแจ้งถึงตำแหน่งหน้าของเนื้อหาในรายงาน โดยเริ่มหมายเลขหน้าตั้งแต่สารบัญจนถึงหน้าสุดท้าย ชื่อบทและหัวข้อที่ปรากฏในสารบัญจะต้องตรงกับที่ปรากฏในเนื้อหา - สารบัญรูป (ถ้ามี) เป็นส่วนแจ้งตำแหน่งหน้าของรูปภาพหรือแผนภูมิ - สารบัญตาราง (ถ้ามี) เป็นส่วนแจ้งตำแหน่งของตารางในโครงงาน - คำอธิบายสัญลักษณ์และคำย่อ สัญลักษณ์และคำย่อทุกตัว ต้องมีการระบุคำอธิบาย สัญลักษณ์และค่าทางฟิสิกส์ทุกตัวต้องมีการระบุหน่วยทุกครั้ง 2.3 ส่วนเนื้อหา ในส่วนนี้บรรจุรายละเอียดของโครงงาน โดยแยกออกเป็นบทและกำกับด้วยหมายเลขพร้อมชื่อบท โดยแบ่งโครงสร้างตามลำดับต่อไปนี้ 2.3.1 บทที่ 1 บทนำ ประกอบด้วยหัวข้อและเนื้อหาหลักๆดังต่อไปนี้ - หัวข้อ 1.1 ความสำคัญและที่มาของปัญหา - หัวข้อ 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงงาน - หัวข้อ 1.3 ขอบเขตการศึกษา - หัวข้อ 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ - หัวข้อ 1.5 ความรู้ที่นำมาประยุกต์ใช้ 2.3.2 บทที่ 2 ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้อง บทที่ 2 กล่าวถึงทฤษฎีพื้นฐาน และ การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Literature review) ซึ่งเป็นส่วนที่สรุปข้อมูลหรือผลงานที่มีผู้ทำมาแล้วและมีความสัมพันธ์ต่อโครงงาน เช่น ในกรณีที่โครงงานเป็นการพัฒนาโปรแกรม ในบทนี้ให้กล่าวถึงลักษณะทั่วไปของระบบงานเดิม หรือหากเป็นการสร้างชิ้นงานที่พัฒนาจากของเดิม ให้กล่าวถึงลักษณะทั่วไป ข้อดีและข้อเสียของชิ้นงานเดิม ในบทนี้การแบ่งจำนวนหัวข้อให้แบ่งตามความเหมาะสม การอ้างถึงวรรณกรรมหรือทฤษฏีที่เกี่ยวข้องทุกครั้งจะต้องระบุที่มาโดยอ้างอิงให้ตรงกับเอกสารอ้างอิงในส่วนหลัง 2.3.3 บทที่ 3 วิธีดำเนินการโครงงาน อธิบายถึงขั้นตอนการลงมือดำเนินการโครงงาน โดยเริ่มตั้งแต่รายละเอียดการออกแบบ อุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการจัดทำโครงงาน ทั้งเครื่องมือที่เป็นฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ตลอดจนการลงมือสร้างชิ้นงานอย่างละเอียด (ควรมีภาพประกอบ) 2.3.4 บทที่ 4 ผลการทดลอง อธิบายการทดสอบชิ้นงานหรือตัวโปรแกรมที่ได้ออกแบบ (ในกรณีไม่ได้สร้างชิ้นงาน) การวางแผนการทดสอบเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของงาน และการนำผลที่ได้ไปเปรียบเทียบกับทางทฤษฎี หรือค่าที่ออกแบบไว้ว่าได้ผลตรงตามทฤษฎีหรือไม่ อย่างไร 2.3.5 บทที่ 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ นำผลการทดสอบที่ได้มาสรุปประสิทธิภาพของงาน ปัจจัยที่มีผลต่อการออกแบบและการสร้างชิ้นงาน ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะถึงความผิดพลาดในการทำงาน และให้แนวทางการนำผลงานไปใช้เพื่อพัฒนาต่อไปในอนาคต 2. 4 ส่วนท้าย ส่วนท้ายนี้ เป็นส่วนที่ตามหลังส่วนเนื้อหา ประกอบไปด้วย เอกสารอ้างอิง ภาคผนวก และ ประวัติผู้จัดทำโครงงาน 2.4.1 เอกสารอ้างอิง เอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรม ในส่วนนี้ให้บรรจุชื่อเอกสารที่ได้อ้างอิงไว้ในโครงงาน ซึ่งจะต้องเขียนให้ถูกต้องตามหลักการที่กำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัย การเขียนรายงานแต่ละประโยคนั้น จำเป็นต้องมีรายชื่อเอกสารที่นำข้อมูลมาใช้อ้างอิง หรือใช้ประกอบการเขียนแนบท้าย เพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่าบทความหรือรายงานนั้นมีเหตุผล สาระที่เชื่อถือได้ และเอกสารที่นำมาอ้างจะต้องให้ข้อมูลรายละเอียด ชัดเจนเพียงพอที่ผู้สนใจในรายงานนั้น สามารถติดตามค้นหาข้อมูลที่อ้างถึงหรือเกี่ยวข้องได้ถูกต้อง แม้แต่การนำรูป แผนที่ หรือตารางมาใช้ในรายงานก็ต้องอ้างถึงและใส่ไว้ในเอกสารอ้างอิง การจัดทำรายชื่อเอกสารอ้างอิงท้ายเรื่องมีหลายรูปแบบ ส่วนจะเลือกใช้แบบใดขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของสถาบันการศึกษา หรือวารสารของแต่ละสถาบัน ที่สำคัญคือ เมื่อเลือกใช้แบบใดแล้ว ต้องใช้แบบนั้นอย่างสม่ำเสมอโดยตลอด และเขียนให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด พร้อมทั้งให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนและชัดเจน 2.4.2 ภาคผนวก ภาคผนวกเป็นส่วนที่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายละเอียดข้อมูลที่ผู้จัดทำรายงานไม่ได้ทำขึ้นเอง เช่น การพิสูจน์สมการ ขั้นตอนวิธีการติดตั้งระบบ วิธีการใช้โปรแกรม ข้อมูลหรือแผนที่ ที่ใช้ในการดำเนินการโครงงาน เป็นต้น สามารถภาคผนวกหลายบท หรือมีหลายภาคผนวกได้ เช่น ภาคผนวก ก, ภาคผนวก ข เป็นต้น 2.4.3 ประวัติผู้จัดทำโครงงาน ประกอบไปด้วยชื่อ-ประวัติของอาจารย์ที่ปรึกษา และชื่อ-ประวัติของคณะผู้จัดทำโครงงาน หากมีหลายคนให้เรียงตามลำดับตัวอักษร |