Augmented Product มีอะไรบ้าง

����ͧ��� 4.1.3 �дѺ�ͧ��Ե�ѳ��

          ����;Ԩ�ó���觷������ö�ͺʹͧ������ͧ��âͧ������������   �Ҩ�¡��Ե�ѳ������ 3 �дѺ
�ѧ���

          1.  ��Ե�ѳ���鹰ҹ (Generic product)  ���¶֧  ����ª����ѡ�ͧ��Ե�ѳ��
          2.  ����ᵡ��ҧ੾�е�Ǣͧ��Ե�ѳ�� (Specific product)   ���¶֧    ��Ե�ѳ��������������͵�ͧ
               ᵡ��ҧ�ҡ��������� �  ���ҧ㴡�ҧ˹��    ��     ��Ҵ     ����Է���Ҿ��÷ӧҹ�ͧ��Ե�ѳ��
               �ٻ��ҧ   �س�Ҿ   ���������   �պ���   �繵�
          3.  ��Ե�ѳ������� (Total product)  ���¶֧  ͧ���Сͺ��ҧ � �ͧ��Ե�ѳ�����������������Ѻ
               �ҡ��ë��ͼ�Ե�ѳ��˹�� � �շ�����  5  �дѺ   ���������дѺ��������Ť�����Ѻ���������ҡ���
               �дѺ�ͧ��Ե�ѳ��  5  �дѺ   ����
               3.1  ����ª���鹰ҹ�ͧ��Ե�ѳ�� (Core Benefit)  �繻���ª��ͧ��Ե�ѳ��������������Ѻ�ҡ
                      ��ë���
               3.2  ��Ե�ѳ��������ö�Ѻ��ͧ�� (Tangible product)    ���¶֧     ��ǵ��ͧ��Ե�ѳ�����������
                      ����ö�Ѻ��ͧ��
               3.3  ��Ե�ѳ����Ҵ��ѧ (Expected product) ���¶֧ �ѡɳ�������͹䢷�����������ѧ��Ҩ����Ѻ
                      �ҡ��ë��ͼ�Ե�ѳ���� �
               3.4  ��Ե�ѳ����ǹ���� (Augment product)     �繻���ª�������������١������Ѻ������Ҵ��ѧ���
               3.5  �Ե�ѳ��������� (Potential product) �Ԩ��ä�è�����ʹͻ���ª������������ � ���Ҵ���
                      �繷���ͧ��âͧ���������͹Ҥ�       ��駹���������ҧ���������Ҵ���л�зѺ����������

สารานุกรมการบริหารและการจัดการ
คุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า [Kotler]

Augmented Product มีอะไรบ้าง

     Philip Kotler ได้เขียนแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า ไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Marketing Management ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1967 โดยเขาได้แบ่งคุณค่าที่ลูกค้ามีให้กับสินค้าออกเป็น 5 ระดับ เหมือนชั้นของโลก คือมีแกนกลางเป็นชั้นในสุด และไล่ระดับออกมาจนถึงเปลือกโลกเป็นชั้นนอกสุด Kotler มีความเห็นว่า ลูกค้าให้คุณค่าน้อยที่สุดที่ตัวสินค้าเองซึ่งเป็นระดับในสุดหรือระดับแกนกลาง และจะให้คุณค่าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับไล่ออกมาจนถึงชั้นนอกสุด เป็นคุณค่าทางจิตวิทยาที่พอกพูน (wrap around) เพิ่มบวกเข้าไปในตัวสินค้า เช่น การบรรจุหีบห่อ การจัดส่ง การสนับสนุน การให้บริการ และคำแนะนำ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงควรทำความเข้าใจในคุณค่าของสินค้าบริการแต่ละชั้น และกำหนดกลยุทธ์ว่าจะเน้นการสร้างความแตกต่างของคุณค่าสินค้าในชั้นใดจึงจะต่าง (differentiated) ไปจากสินค้าบริการรายอื่นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้า

     ก่อนทำความเข้าใจแนวคิดของ Kotler จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามของคำว่าสินค้า (product) ตามความหมายของ Kotler เสียก่อน มิเช่นนั้นอาจสับสนไปได้ว่า สินค้าทางกายภาพจริงๆ อยู่ที่ชั้นแกนกลางเท่านั้น ส่วนชั้นถัดๆ ออกมาคือบริการ แต่สำหรับ Kotler คำว่าสินค้า มีความหมายตาม
  o ความคาดหวังในประโยชน์ที่จะได้รับ (psychological expectation)
  o ความพึงพอใจที่ได้รับ (emotional association) และ
  o ความคาดหวังจากประสบการณ์ (perceptual aspiration)

     สินค้าในความหมายของ Kotler จึงหมายถึงอะไรก็ได้ที่สนองความต้องกาวของผู้บริโภคหรือลูกค้า แม้แต่ร้านค้าปลีกหรือหน่วยบริการลูกค้าก็ถือว่าเป็นสินค้า สินค้าในความหมายของ Kotler จึงมีความหมายรวมทั้งตัวสินค้าและบริการอยู่ในตัวเดียวกัน หรือแม้แต่บริการเพียงอย่างเดียว ก็นับเป็นสินค้าได้ เขาจึงได้แบ่งสินค้าในความหมายของเขาออกเป็น 5 ชั้นโดยใช้คุณค่าที่สินค้านั้นมีให้ต่อผู้บริโภคเป็นตัวแบ่งชั้นของสินค้า

     ลูกค้าจะเลือกซื้อสินค้าที่เขาเห็นว่ามีคุณค่า หากพบว่าสินค้าใดมีคุณค่าตามหรือมากเกินกว่าที่คาดหวัง ก็จะรู้สึกพอใจในสิ่งนั้น หากมีคุณค่าต่ำกว่าที่คาดหวังก็จะไม่พอใจ ผู้ผลิตหรือผู้ขายจึงจำเป็นต้องพยายามทำให้ลูกค้าพอใจคุณค่าของสินค้าตั้งแต่แก่นกลางซึ่งเป็นชั้นในสุดจนถึงเปลือกซึ่งเป็นชั้นนอกสุดหากไม่มั่นใจว่าลูกค้าให้ความสำคัญกับคุณค่าชั้นใดมากกว่ากัน

คุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า [Kotler]0

คุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า [Kotler]1
คุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า [Kotler]2
คุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า [Kotler]3
คุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า [Kotler]4
คุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า [Kotler]5

คุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า [Kotler]6
คุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า [Kotler]7
คุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า [Kotler]8
คุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า [Kotler]9

Augmented Product มีอะไรบ้าง
0

Augmented Product มีอะไรบ้าง
1
Augmented Product มีอะไรบ้าง
2
Augmented Product มีอะไรบ้าง
3
Augmented Product มีอะไรบ้าง
4
Augmented Product มีอะไรบ้าง
5

Augmented Product มีอะไรบ้าง
6

Augmented Product มีอะไรบ้าง
7
Augmented Product มีอะไรบ้าง
8
Augmented Product มีอะไรบ้าง
9
     Philip Kotler ได้เขียนแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า ไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Marketing Management ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1967 โดยเขาได้แบ่งคุณค่าที่ลูกค้ามีให้กับสินค้าออกเป็น 5 ระดับ เหมือนชั้นของโลก คือมีแกนกลางเป็นชั้นในสุด และไล่ระดับออกมาจนถึงเปลือกโลกเป็นชั้นนอกสุด Kotler มีความเห็นว่า ลูกค้าให้คุณค่าน้อยที่สุดที่ตัวสินค้าเองซึ่งเป็นระดับในสุดหรือระดับแกนกลาง และจะให้คุณค่าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับไล่ออกมาจนถึงชั้นนอกสุด เป็นคุณค่าทางจิตวิทยาที่พอกพูน (wrap around) เพิ่มบวกเข้าไปในตัวสินค้า เช่น การบรรจุหีบห่อ การจัดส่ง การสนับสนุน การให้บริการ และคำแนะนำ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงควรทำความเข้าใจในคุณค่าของสินค้าบริการแต่ละชั้น และกำหนดกลยุทธ์ว่าจะเน้นการสร้างความแตกต่างของคุณค่าสินค้าในชั้นใดจึงจะต่าง (differentiated) ไปจากสินค้าบริการรายอื่นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้า0
     Philip Kotler ได้เขียนแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า ไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Marketing Management ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1967 โดยเขาได้แบ่งคุณค่าที่ลูกค้ามีให้กับสินค้าออกเป็น 5 ระดับ เหมือนชั้นของโลก คือมีแกนกลางเป็นชั้นในสุด และไล่ระดับออกมาจนถึงเปลือกโลกเป็นชั้นนอกสุด Kotler มีความเห็นว่า ลูกค้าให้คุณค่าน้อยที่สุดที่ตัวสินค้าเองซึ่งเป็นระดับในสุดหรือระดับแกนกลาง และจะให้คุณค่าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับไล่ออกมาจนถึงชั้นนอกสุด เป็นคุณค่าทางจิตวิทยาที่พอกพูน (wrap around) เพิ่มบวกเข้าไปในตัวสินค้า เช่น การบรรจุหีบห่อ การจัดส่ง การสนับสนุน การให้บริการ และคำแนะนำ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงควรทำความเข้าใจในคุณค่าของสินค้าบริการแต่ละชั้น และกำหนดกลยุทธ์ว่าจะเน้นการสร้างความแตกต่างของคุณค่าสินค้าในชั้นใดจึงจะต่าง (differentiated) ไปจากสินค้าบริการรายอื่นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้า1

     Philip Kotler ได้เขียนแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า ไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Marketing Management ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1967 โดยเขาได้แบ่งคุณค่าที่ลูกค้ามีให้กับสินค้าออกเป็น 5 ระดับ เหมือนชั้นของโลก คือมีแกนกลางเป็นชั้นในสุด และไล่ระดับออกมาจนถึงเปลือกโลกเป็นชั้นนอกสุด Kotler มีความเห็นว่า ลูกค้าให้คุณค่าน้อยที่สุดที่ตัวสินค้าเองซึ่งเป็นระดับในสุดหรือระดับแกนกลาง และจะให้คุณค่าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับไล่ออกมาจนถึงชั้นนอกสุด เป็นคุณค่าทางจิตวิทยาที่พอกพูน (wrap around) เพิ่มบวกเข้าไปในตัวสินค้า เช่น การบรรจุหีบห่อ การจัดส่ง การสนับสนุน การให้บริการ และคำแนะนำ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงควรทำความเข้าใจในคุณค่าของสินค้าบริการแต่ละชั้น และกำหนดกลยุทธ์ว่าจะเน้นการสร้างความแตกต่างของคุณค่าสินค้าในชั้นใดจึงจะต่าง (differentiated) ไปจากสินค้าบริการรายอื่นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้า2

     Philip Kotler ได้เขียนแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า ไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Marketing Management ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1967 โดยเขาได้แบ่งคุณค่าที่ลูกค้ามีให้กับสินค้าออกเป็น 5 ระดับ เหมือนชั้นของโลก คือมีแกนกลางเป็นชั้นในสุด และไล่ระดับออกมาจนถึงเปลือกโลกเป็นชั้นนอกสุด Kotler มีความเห็นว่า ลูกค้าให้คุณค่าน้อยที่สุดที่ตัวสินค้าเองซึ่งเป็นระดับในสุดหรือระดับแกนกลาง และจะให้คุณค่าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับไล่ออกมาจนถึงชั้นนอกสุด เป็นคุณค่าทางจิตวิทยาที่พอกพูน (wrap around) เพิ่มบวกเข้าไปในตัวสินค้า เช่น การบรรจุหีบห่อ การจัดส่ง การสนับสนุน การให้บริการ และคำแนะนำ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงควรทำความเข้าใจในคุณค่าของสินค้าบริการแต่ละชั้น และกำหนดกลยุทธ์ว่าจะเน้นการสร้างความแตกต่างของคุณค่าสินค้าในชั้นใดจึงจะต่าง (differentiated) ไปจากสินค้าบริการรายอื่นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้า3

     Philip Kotler ได้เขียนแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า ไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Marketing Management ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1967 โดยเขาได้แบ่งคุณค่าที่ลูกค้ามีให้กับสินค้าออกเป็น 5 ระดับ เหมือนชั้นของโลก คือมีแกนกลางเป็นชั้นในสุด และไล่ระดับออกมาจนถึงเปลือกโลกเป็นชั้นนอกสุด Kotler มีความเห็นว่า ลูกค้าให้คุณค่าน้อยที่สุดที่ตัวสินค้าเองซึ่งเป็นระดับในสุดหรือระดับแกนกลาง และจะให้คุณค่าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับไล่ออกมาจนถึงชั้นนอกสุด เป็นคุณค่าทางจิตวิทยาที่พอกพูน (wrap around) เพิ่มบวกเข้าไปในตัวสินค้า เช่น การบรรจุหีบห่อ การจัดส่ง การสนับสนุน การให้บริการ และคำแนะนำ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงควรทำความเข้าใจในคุณค่าของสินค้าบริการแต่ละชั้น และกำหนดกลยุทธ์ว่าจะเน้นการสร้างความแตกต่างของคุณค่าสินค้าในชั้นใดจึงจะต่าง (differentiated) ไปจากสินค้าบริการรายอื่นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้า4
     Philip Kotler ได้เขียนแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า ไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Marketing Management ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1967 โดยเขาได้แบ่งคุณค่าที่ลูกค้ามีให้กับสินค้าออกเป็น 5 ระดับ เหมือนชั้นของโลก คือมีแกนกลางเป็นชั้นในสุด และไล่ระดับออกมาจนถึงเปลือกโลกเป็นชั้นนอกสุด Kotler มีความเห็นว่า ลูกค้าให้คุณค่าน้อยที่สุดที่ตัวสินค้าเองซึ่งเป็นระดับในสุดหรือระดับแกนกลาง และจะให้คุณค่าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับไล่ออกมาจนถึงชั้นนอกสุด เป็นคุณค่าทางจิตวิทยาที่พอกพูน (wrap around) เพิ่มบวกเข้าไปในตัวสินค้า เช่น การบรรจุหีบห่อ การจัดส่ง การสนับสนุน การให้บริการ และคำแนะนำ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงควรทำความเข้าใจในคุณค่าของสินค้าบริการแต่ละชั้น และกำหนดกลยุทธ์ว่าจะเน้นการสร้างความแตกต่างของคุณค่าสินค้าในชั้นใดจึงจะต่าง (differentiated) ไปจากสินค้าบริการรายอื่นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้า5
     Philip Kotler ได้เขียนแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า ไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Marketing Management ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1967 โดยเขาได้แบ่งคุณค่าที่ลูกค้ามีให้กับสินค้าออกเป็น 5 ระดับ เหมือนชั้นของโลก คือมีแกนกลางเป็นชั้นในสุด และไล่ระดับออกมาจนถึงเปลือกโลกเป็นชั้นนอกสุด Kotler มีความเห็นว่า ลูกค้าให้คุณค่าน้อยที่สุดที่ตัวสินค้าเองซึ่งเป็นระดับในสุดหรือระดับแกนกลาง และจะให้คุณค่าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับไล่ออกมาจนถึงชั้นนอกสุด เป็นคุณค่าทางจิตวิทยาที่พอกพูน (wrap around) เพิ่มบวกเข้าไปในตัวสินค้า เช่น การบรรจุหีบห่อ การจัดส่ง การสนับสนุน การให้บริการ และคำแนะนำ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงควรทำความเข้าใจในคุณค่าของสินค้าบริการแต่ละชั้น และกำหนดกลยุทธ์ว่าจะเน้นการสร้างความแตกต่างของคุณค่าสินค้าในชั้นใดจึงจะต่าง (differentiated) ไปจากสินค้าบริการรายอื่นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้า6
     Philip Kotler ได้เขียนแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า ไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Marketing Management ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1967 โดยเขาได้แบ่งคุณค่าที่ลูกค้ามีให้กับสินค้าออกเป็น 5 ระดับ เหมือนชั้นของโลก คือมีแกนกลางเป็นชั้นในสุด และไล่ระดับออกมาจนถึงเปลือกโลกเป็นชั้นนอกสุด Kotler มีความเห็นว่า ลูกค้าให้คุณค่าน้อยที่สุดที่ตัวสินค้าเองซึ่งเป็นระดับในสุดหรือระดับแกนกลาง และจะให้คุณค่าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับไล่ออกมาจนถึงชั้นนอกสุด เป็นคุณค่าทางจิตวิทยาที่พอกพูน (wrap around) เพิ่มบวกเข้าไปในตัวสินค้า เช่น การบรรจุหีบห่อ การจัดส่ง การสนับสนุน การให้บริการ และคำแนะนำ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงควรทำความเข้าใจในคุณค่าของสินค้าบริการแต่ละชั้น และกำหนดกลยุทธ์ว่าจะเน้นการสร้างความแตกต่างของคุณค่าสินค้าในชั้นใดจึงจะต่าง (differentiated) ไปจากสินค้าบริการรายอื่นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้า7
     Philip Kotler ได้เขียนแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า ไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Marketing Management ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1967 โดยเขาได้แบ่งคุณค่าที่ลูกค้ามีให้กับสินค้าออกเป็น 5 ระดับ เหมือนชั้นของโลก คือมีแกนกลางเป็นชั้นในสุด และไล่ระดับออกมาจนถึงเปลือกโลกเป็นชั้นนอกสุด Kotler มีความเห็นว่า ลูกค้าให้คุณค่าน้อยที่สุดที่ตัวสินค้าเองซึ่งเป็นระดับในสุดหรือระดับแกนกลาง และจะให้คุณค่าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับไล่ออกมาจนถึงชั้นนอกสุด เป็นคุณค่าทางจิตวิทยาที่พอกพูน (wrap around) เพิ่มบวกเข้าไปในตัวสินค้า เช่น การบรรจุหีบห่อ การจัดส่ง การสนับสนุน การให้บริการ และคำแนะนำ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงควรทำความเข้าใจในคุณค่าของสินค้าบริการแต่ละชั้น และกำหนดกลยุทธ์ว่าจะเน้นการสร้างความแตกต่างของคุณค่าสินค้าในชั้นใดจึงจะต่าง (differentiated) ไปจากสินค้าบริการรายอื่นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้า8

     Philip Kotler ได้เขียนแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่า 5 ระดับที่มีอยู่ในตัวสินค้า ไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Marketing Management ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1967 โดยเขาได้แบ่งคุณค่าที่ลูกค้ามีให้กับสินค้าออกเป็น 5 ระดับ เหมือนชั้นของโลก คือมีแกนกลางเป็นชั้นในสุด และไล่ระดับออกมาจนถึงเปลือกโลกเป็นชั้นนอกสุด Kotler มีความเห็นว่า ลูกค้าให้คุณค่าน้อยที่สุดที่ตัวสินค้าเองซึ่งเป็นระดับในสุดหรือระดับแกนกลาง และจะให้คุณค่าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับไล่ออกมาจนถึงชั้นนอกสุด เป็นคุณค่าทางจิตวิทยาที่พอกพูน (wrap around) เพิ่มบวกเข้าไปในตัวสินค้า เช่น การบรรจุหีบห่อ การจัดส่ง การสนับสนุน การให้บริการ และคำแนะนำ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงควรทำความเข้าใจในคุณค่าของสินค้าบริการแต่ละชั้น และกำหนดกลยุทธ์ว่าจะเน้นการสร้างความแตกต่างของคุณค่าสินค้าในชั้นใดจึงจะต่าง (differentiated) ไปจากสินค้าบริการรายอื่นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้า9
     ก่อนทำความเข้าใจแนวคิดของ Kotler จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามของคำว่าสินค้า (product) ตามความหมายของ Kotler เสียก่อน มิเช่นนั้นอาจสับสนไปได้ว่า สินค้าทางกายภาพจริงๆ อยู่ที่ชั้นแกนกลางเท่านั้น ส่วนชั้นถัดๆ ออกมาคือบริการ แต่สำหรับ Kotler คำว่าสินค้า มีความหมายตาม0
     ก่อนทำความเข้าใจแนวคิดของ Kotler จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามของคำว่าสินค้า (product) ตามความหมายของ Kotler เสียก่อน มิเช่นนั้นอาจสับสนไปได้ว่า สินค้าทางกายภาพจริงๆ อยู่ที่ชั้นแกนกลางเท่านั้น ส่วนชั้นถัดๆ ออกมาคือบริการ แต่สำหรับ Kotler คำว่าสินค้า มีความหมายตาม1
     ก่อนทำความเข้าใจแนวคิดของ Kotler จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามของคำว่าสินค้า (product) ตามความหมายของ Kotler เสียก่อน มิเช่นนั้นอาจสับสนไปได้ว่า สินค้าทางกายภาพจริงๆ อยู่ที่ชั้นแกนกลางเท่านั้น ส่วนชั้นถัดๆ ออกมาคือบริการ แต่สำหรับ Kotler คำว่าสินค้า มีความหมายตาม2
     ก่อนทำความเข้าใจแนวคิดของ Kotler จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามของคำว่าสินค้า (product) ตามความหมายของ Kotler เสียก่อน มิเช่นนั้นอาจสับสนไปได้ว่า สินค้าทางกายภาพจริงๆ อยู่ที่ชั้นแกนกลางเท่านั้น ส่วนชั้นถัดๆ ออกมาคือบริการ แต่สำหรับ Kotler คำว่าสินค้า มีความหมายตาม3

     ก่อนทำความเข้าใจแนวคิดของ Kotler จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามของคำว่าสินค้า (product) ตามความหมายของ Kotler เสียก่อน มิเช่นนั้นอาจสับสนไปได้ว่า สินค้าทางกายภาพจริงๆ อยู่ที่ชั้นแกนกลางเท่านั้น ส่วนชั้นถัดๆ ออกมาคือบริการ แต่สำหรับ Kotler คำว่าสินค้า มีความหมายตาม4
     ก่อนทำความเข้าใจแนวคิดของ Kotler จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามของคำว่าสินค้า (product) ตามความหมายของ Kotler เสียก่อน มิเช่นนั้นอาจสับสนไปได้ว่า สินค้าทางกายภาพจริงๆ อยู่ที่ชั้นแกนกลางเท่านั้น ส่วนชั้นถัดๆ ออกมาคือบริการ แต่สำหรับ Kotler คำว่าสินค้า มีความหมายตาม5
     ก่อนทำความเข้าใจแนวคิดของ Kotler จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามของคำว่าสินค้า (product) ตามความหมายของ Kotler เสียก่อน มิเช่นนั้นอาจสับสนไปได้ว่า สินค้าทางกายภาพจริงๆ อยู่ที่ชั้นแกนกลางเท่านั้น ส่วนชั้นถัดๆ ออกมาคือบริการ แต่สำหรับ Kotler คำว่าสินค้า มีความหมายตาม6

     ก่อนทำความเข้าใจแนวคิดของ Kotler จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามของคำว่าสินค้า (product) ตามความหมายของ Kotler เสียก่อน มิเช่นนั้นอาจสับสนไปได้ว่า สินค้าทางกายภาพจริงๆ อยู่ที่ชั้นแกนกลางเท่านั้น ส่วนชั้นถัดๆ ออกมาคือบริการ แต่สำหรับ Kotler คำว่าสินค้า มีความหมายตาม7
     ก่อนทำความเข้าใจแนวคิดของ Kotler จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามของคำว่าสินค้า (product) ตามความหมายของ Kotler เสียก่อน มิเช่นนั้นอาจสับสนไปได้ว่า สินค้าทางกายภาพจริงๆ อยู่ที่ชั้นแกนกลางเท่านั้น ส่วนชั้นถัดๆ ออกมาคือบริการ แต่สำหรับ Kotler คำว่าสินค้า มีความหมายตาม8

     ก่อนทำความเข้าใจแนวคิดของ Kotler จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามของคำว่าสินค้า (product) ตามความหมายของ Kotler เสียก่อน มิเช่นนั้นอาจสับสนไปได้ว่า สินค้าทางกายภาพจริงๆ อยู่ที่ชั้นแกนกลางเท่านั้น ส่วนชั้นถัดๆ ออกมาคือบริการ แต่สำหรับ Kotler คำว่าสินค้า มีความหมายตาม9
  o ความคาดหวังในประโยชน์ที่จะได้รับ (psychological expectation)0

  o ความคาดหวังในประโยชน์ที่จะได้รับ (psychological expectation)1
  o ความคาดหวังในประโยชน์ที่จะได้รับ (psychological expectation)2

  o ความคาดหวังในประโยชน์ที่จะได้รับ (psychological expectation)3
  o ความคาดหวังในประโยชน์ที่จะได้รับ (psychological expectation)4

  o ความคาดหวังในประโยชน์ที่จะได้รับ (psychological expectation)5

  o ความคาดหวังในประโยชน์ที่จะได้รับ (psychological expectation)6
  o ความคาดหวังในประโยชน์ที่จะได้รับ (psychological expectation)7
  o ความคาดหวังในประโยชน์ที่จะได้รับ (psychological expectation)8
  o ความคาดหวังในประโยชน์ที่จะได้รับ (psychological expectation)9
  o ความพึงพอใจที่ได้รับ (emotional association) และ0
  o ความพึงพอใจที่ได้รับ (emotional association) และ1
  o ความพึงพอใจที่ได้รับ (emotional association) และ2

———————————

  o ความพึงพอใจที่ได้รับ (emotional association) และ3

Visits: 15575

Share this:

  • Click to share on Facebook (Opens in new window)
  • Click to share on Twitter (Opens in new window)
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window)

Like this:

Like Loading...

Related

Augmented Product คืออะไร

1.2.3 ผลิตภัณฑ์ควบ (Augmented Product) หมายถึงประโยชน์เพิ่มเติม หรือ บริการที่ผู้ซื้อจะได้รับควบคู่ไปกับการซื้อสินค้า ประกอบด้วยบริการก่อนและหลังการขาย เช่น การ ขนส่ง การให้สินเชื่อ

องค์ประกอบด้านผลิตภัณฑ์มีอะไรบ้าง

องค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ (Product component) - ผลิตภัณฑ์หลัก(Core Product) - รูปร่างของผลิตภัณฑ์(Tangible Product) - ผลิตภัณฑ์ที่คาดหวัง(Expect product) - ผลิตภัณฑ์ควบ(Augmented product) - ศักยภาพที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ (Potential product)

Expected Product หมายถึงอะไร

3.3 ผลิตภัณฑ์ที่คาดหวัง (Expected product) หมายถึง ลักษณะและเงื่อนไขที่ผู้บริโภคหวังว่าจะได้รับ จากการซื้อผลิตภัณฑ์นั้น ๆ 3.4 ผลิตภัณฑ์ส่วนเพิ่ม (Augment product) เป็นประโยชน์เพิ่มเติมที่ลูกค้าได้รับโดยมิได้คาดหวังไว้

องค์ประกอบของผลิตภัณฑ์มี 5 ส่วนอะไรบ้าง

องค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ ศักยภาพเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์(Potential Product) ผลิตภัณฑ์ที่คาดหวัง (Expected Product) ผลิตภัณฑ์หลัก (Core Product) รูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์(Tangible Product or Formal Product) ผลิตภัณฑ์ควบ (Augment Product)