����Ըա�÷ҧ����ѵ���ʵ�� ���¶֧ ��кǹ����֡�� �鹤��� ����ͧ��������˵ء�ó�ҧ ����ѵ���ʵ�� ������ѡ�ҹ�ҧ����ѵ���ʵ�����դ�������ѹ��������§�Ѻ��������������¹�ŧ ��ѧ�� ���֡�Ҩҡ�͡��÷�����͡��ê�鹵���Ъ���ͧ����ѡ��Сͺ����红������Ҥʹ�� �繡�кǹ��������㹡�����Ǻ�������������繡�кǹ��÷��ѡ����ѵ���ʵ��������鷴�ͺ ������ԧ�ͧ�ҹ�����ҡ����Ǻ����ͧ�ؤ����� ���ͤ������§���� �����Ѵਹ �դ�Ҥ�����������٧ �������ö���繻���ª��㹡�����������ѧ����
ตัวเลขปีพ.ศ. ชื่อบุคคลสำคัญแสนยาวเหยียด ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร คือ “ข้อเท็จจริง” ทางประวัติศาสตร์ที่น่าเบื่อสำหรับใครหลาย ๆ คน เรื่องอดีตที่จบไปแล้วเกี่ยวข้องอย่างไรกับชีวิตในปัจจุบัน ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทั้งของโลกและของไทยในย่อหน้าถัดไปจากนี้ อาจทำให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเก่าแก่ซึ่งถูกแช่แข็งอยู่ในอดีต แต่เปลี่ยนแปลง เคลื่อนที่ ถูกรื้อสร้าง ตีความ นำไปต่อยอด และอยู่ร่วมสมัยกับโลกปัจจุบันได้เสมอ ทำไมประวัติศาสตร์จึงเปลี่ยนแปลง :
เมื่อความจริงไม่ได้มีเพียงหนึ่ง เมื่อเรามองประวัติศาสตร์ภายใต้กรอบความคิดที่ว่าความจริงทางประวัติศาสตร์อาจมีได้หลายชุดเช่นนี้แล้ว เราก็จะเห็นว่าธรรมชาติของประวัติศาสตร์ที่นักประวัติศาสตร์ให้ความสำคัญนั้นคือชุดความจริงที่สามารถตีความ ต่อยอด และปรับเปลี่ยนได้ ©medium.com วาดประวัติศาสตร์บนใบหน้า : โอกาสจากอดีต เครื่องมือบอกเวลาดังกล่าว มีลักษณะเป็นแผ่นจานทองแดง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 13.7 เซนติเมตร ใช้บอกเวลาโดยอาศัยการวัดค่าแสงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว บนแผ่นจานเต็มไปด้วยรอยสลักตัวเลขบอกวันที่ เวลา จักรราศีต่าง ๆ รวมไปถึงอักษรละติน “COLON” และอักษรโรมัน “1541” ซึ่งทำให้สันนิษฐานได้ว่า วัตถุโบราณชิ้นนี้ถูกนำเข้ามาจากเมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี โดยมิชชันนารีชาวเยอรมันที่เข้ามาในประเทศจีนปลายราชวงศ์หมิง แผนผังวงโคจรของพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว และการเรียงตัวกันของจักรราศีต่างๆ กลายมาเป็นแนวทางหลักในการออกแบบทั้งตัวบรรจุภัณฑ์และการวางช่องสีของอายแชโดว์ในคอลเล็กชันนี้ ในขณะที่สีอายแชโดว์ทั้ง 12 สี ก็เลือกใช้เนื้อสีที่มีความมันวาวเพื่อสื่อถึงประกายระยิบระยับของดวงดาว ส่วนลวดลายท้องฟ้า ดวงดาว และหน้าปัดนาฬิกาถูกนำไปถายทอดลงบนปลอกลิปสติกทั้ง 10 เฉดสี โดยแต่ละสีคือสีแดงเฉดต่าง ๆ ที่พบได้ภายในพระราชวังต้องห้ามในแต่ละช่วงเวลาในอดีต คอลเล็กชันเครื่องสำอางของพระราชวังต้องห้าม คือการหยิบเอาประวัติศาสตร์ที่หยุดนิ่งอยู่ในคอลเล็กชันวัตถุโบราณของวังมาปัดฝุ่น แล้วนำไปต่อยอดให้เกิดเป็นสินค้าและมูลค่าใหม่ที่ร่วมสมัยกับสังคมในปัจจุบัน โดยครั้งนี้ไม่ใช่คอลเล็กชันเครื่องสำอางครั้งแรกที่ทางวังปล่อยออกมา เพราะในเดือนธันวาคม ปี 2018 พระราชวังเคยได้เปิดตัวคอลเล็กชันลิปสติก บลัชออน และอายแชโดว์ ซึ่งล้วนแต่หยิบเอาวัฒนธรรมและความเชื่อจีนโบราณมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเทพนกกระเรียน เครื่องแต่งกายของนางสนม ดอกเบญจมาศ และแจกันเคลือบสีของราชวงศ์ชิง คอลเล็กชันเครื่องสำอางเหล่านี้ถือเป็นลิมิเต็ดคอลเล็กชันและได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนรุ่นใหม่ของจีน โดยมีรายงานว่าขายหมดอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่กี่วัน จนนำไปสู่การออกคอลเล็กชันอื่น ๆ ร่วมกับแบรนด์เครื่องสำอางต่าง ๆ ด้วย แม้แต่พระราชวังฤดูร้อนเองก็มองเห็นถึงความสำเร็จนี้ จึงร่วมกับแบรนด์ Catkin ในการผลิตเครื่องสำอางที่หยิบเอาลายปักนกฟีนิกซ์บนฉากกั้นห้องในพระราชวังมาใช้บนบรรจุภัณฑ์ด้วยการพิมพ์ระบบสามมิติรูปแบบใหม่ เพื่อทำให้ผู้ใช้งานสัมผัสถึงความเป็นรอยปักที่สมจริง สาเหตุที่ทำให้เครื่องสำอางที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสถานที่ทางประวัติศาสตร์และวัตถุโบราณเหล่านี้ขายดีเป็นอย่างมากในหมู่ชาวมิลเลนเนียลของจีนนั้น บทความจากเว็บไซต์คอสเมติกดีไซน์เอเชียกล่าวว่า ส่วนหนึ่งมาจากความภูมิใจในชาติที่เพิ่มมากขึ้น โดยสืบเนื่องมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ความสำเร็จของบริษัทสัญชาติจีนอย่างอาลีบาบา (Alibaba) หรือเสี่ยวมี่ (Xiaomi) ที่สามารถเทียบเคียงได้กับยักษ์ใหญ่ในโลกตะวันตกไม่ว่าจะเป็นแอมะซอน (Amazon) หรือแอปเปิล (Apple) ทำให้ความเป็นจีนนั้นข้ามผ่านภาพลักษณ์แบบ “ผลิตในเมืองจีน - Made in China” ไปสู่การ “สร้างสรรค์จากเมืองจีน - Created in China” คนรุ่นใหม่จึงเริ่มหันกลับมาตื่นเต้นกับการค้นหาและให้คุณค่ากับมรดกทางวัฒนธรรมของตนเองอีกครั้ง Operation Night Watch: คำอธิบายใหม่จากหลักฐานเดิม ไรค์มิวเซียม (Rijksmuseum) หรือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ สังเกตเห็นว่าภาพเขียน เดอะ ไนท์ วอท์ช (The Night Watch) อันโด่งดังของเรมบลันดต์ (Rembrandt) เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่นว่าภาพสุนัขที่มุมขวาล่างมีสีซีดลง ทางพิพิธภัณฑ์จึงตัดสินใจที่จะซ่อมแซมภาพวาดชิ้นสำคัญด้วยโปรเจ็กต์ที่ชื่อว่า โอเปอร์เรชัน ไนต์ วอท์ช (Operation Night Watch) ©commons.wikimedia.org แต่เดอะ ไนต์ วอท์ชนั้น ไม่ต่างจากโมนาลิซ่าแห่งพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ การนำชิ้นงานซึ่งดึงดูดผู้เข้าชมกว่าสองล้านคนต่อปีชิ้นนี้ไปซ่อมหลังพิพิธภัณฑ์เป็นเวลาหลายปีย่อมไม่อาจทำได้ โอเปอร์เรชัน ไนต์ วอท์ช จึงเป็นการตรวจสอบ เก็บข้อมูล และซ่อมแซมชิ้นงานในห้องกระจกกลางพิพิธภัณฑ์ซึ่งถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ทั้งยังเปิดให้ทุกคนร่วมเป็นประจักษ์พยานในปฏิบัติการครั้งนี้ ทั้งในพื้นที่จริงและทางออนไลน์ ทาโก ดิบบิตส์ (Taco Dibbits) ผู้อำนวยการไรค์มิวเซียมกล่าวว่า โอเปอร์เรชัน ไนต์ วอท์ช คือโครงการวิจัยและอนุรักษ์ผลงานมาสเตอร์พีซของเรมบลันดต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยการจะซ่อมแซมและอนุรักษ์ชิ้นงานในระยะยาวให้ได้อย่างถูกต้องนั้น ทางพิพิธภัณฑ์จำเป็นต้องตรวจสอบภาพวาดอย่างถี่ถ้วนโดยอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น
การถ่ายภาพความละเอียดสูงและการสแกนภาพด้วยรังสีเอ็กซ์ (Macro-XRF Scanner) ตลอดจนกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ โดยหวังว่าจะช่วยให้เข้าใจทั้งสภาพดั้งเดิมของชิ้นงาน การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับภาพวาดตลอดระยะเวลาเกือบสี่ร้อยปี เทคนิคและวัสดุที่ใช้ ขั้นตอนในการวาด ตลอดจนความเสื่อมของชิ้นงานที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ครั้งสุดท้ายที่เดอะ ไนต์ วอท์ช ได้รับการบูรณะคือเมื่อปี 1975 นับเป็นเวลากว่า 45 ปีที่ไม่มีใครแตะต้องภาพเขียนชิ้นเอกนี้เลย แต่ด้วยความรู้ มุมมอง และเทคโนโลยีจากศตวรรษที่ 21 นี้เอง ที่เปิดโอกาสให้นักประวัติศาสตร์ได้ย้อนกลับมาทำความเข้าใจกับหลักฐานชิ้นเดิม เพื่อค้นหาคำอธิบายใหม่ ๆ ให้กับเรื่องราวในอดีตต่อไป อดีต - ปัจจุบัน : ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ศิลปะคือสื่อที่ทั้งสะท้อนความร่วมสมัยของประวัติศาสตร์ และนำเสนอประวัติศาสตร์ให้ร่วมสมัยได้ดีสื่อหนึ่ง เราจะพบศิลปะมากมายที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เป็นแรงบันดาลใจ ผลงานศิลปะมงกุฎ (Mongkut, 2015) ของอริญชย์ รุ่งแจ้ง ศิลปินไทยซึ่งได้รับเชิญให้เข้าร่วมเทศกาลศิลปะร่วมสมัยมากมายทั่วโลกก็เป็นหนึ่งในนั้น มงกุฎของอริญชย์ จำลองพระมหามงกุฎของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้ายู่หัว รัชกาลที่ 4 จากมงกุฎจำลองที่พระองค์มีรับสั่งให้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นหนึ่งในเครื่องมงคลราชบรรณาการสำหรับส่งไปถวายพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ณ พระราชวังฟงแตนโบล ในปี 1861 เพื่อที่จะได้มาซึ่งงานศิลปะมงกุฎ อริญชย์และทีมงานขออนุญาตเข้าไปยังพระราชวังฟงแตนโบลเพื่อเก็บข้อมูล ทั้งในรูปแบบของภาพถ่าย วิดีโอ และข้อมูลดิจิทัลจากการสแกนสามมิติ เนื่องจากเขาไม่สามารถเข้าถึงพระมหามงกุฎองค์จริงที่เก็บอยู่ในพระบรมมหาราชวังได้ เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการ อริญชย์เดินทางกลับประเทศไทย เพื่อลงมือสร้างมงกุฎจำลองจากมงกุฎจำลอง โดยที่เพียงสองสัปดาห์ก่อนนิทรรศการมงกุฎจะจัดแสดงที่หอศิลป์ในปารีส เขาก็ได้รับข่าวว่าพระราชวังฟงแตนโบลถูกขโมยขึ้น และหนึ่งในของมีค่าที่หายไปก็คือพระมหามงกุฎจำลองของรัชกาลที่ 4 ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น ไม่ได้มีเพียงพระราชวังฟงแตนโบลที่ถูกบุกรุก เพราะในต้นปี 2016 มีคลิปเหตุการณ์การลอบสแกนรูปปั้นครึ่งตัวราชินีเนเฟอร์ติติแห่งอียิปต์ (Nefertiti Bust) ซึ่งจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เผยแพร่ออกไปทางโลกออนไลน์ ทั้ง ๆ ที่โดยปกติแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้มีการบันทึกภาพใด ๆ ในห้องจัดแสดง ภาพโดย Nora Al-Badri and Jan Nikolai Nelles. เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2015 จากการที่สองศิลปิน นอรา อัล-บาดรี (Nora Al-Badri) และ ยาน นิโคลัย เนลเลส (Jan Nikolai Nelles) เข้าไปในห้องจัดแสดงโดยแอบซ่อนเครื่องสแกนสามมิติไว้ใต้ผ้าพันคอ พวกเขาเผยแพร่ไฟล์สามมิติที่ได้ลงบนอินเทอร์เน็ต ทั้งยังสร้างรูปปั้นขึ้นมาใหม่ (The Other Nefertiti, 2015) ด้วยเทคนิคการพิมพ์สามมิติ (3D Print) เพื่อนำไปจัดแสดงที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ บ้านเกิดของรูปปั้นที่ตัวมันไม่เคยได้กลับไปอีกเลยตั้งแต่ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวเยอรมันในปี 1912 งานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับอดีตจากทั้งสองอารยธรรมนี้นั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นการทำให้วัตถุทางประวัติศาสตร์กลายเป็นวัตถุร่วมสมัย ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามถึงสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์อย่างเสรี ตลอดจนแสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์นั้นไม่ได้หยุดนิ่งอยู่ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต แต่สามารถถูกรื้อสร้าง ตีความ และโลดแล่นอยู่ร่วมสมัยได้ ในกรณีของมงกุฎ ช่างฝีมือที่อริญชย์ทำงานด้วย ได้จำลองมงกุฎขึ้นมาใหม่ด้วยเทคนิคการทำหัวโขนแบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยอริญชย์มองว่าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการดั้งเดิมอย่างในสมัยรัชกาลที่ 4 เพราะเทคนิคในการสร้างสามารถพัฒนาไปตามเวลา แต่ความประณีตต่างหากที่ยังคงอยู่ นอกจากนี้ ในวิดีโอซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ อริญชย์เล่าถึงความหมายและนัยยะของมงกุฎในฐานะเครื่องมงคลราชบรรณาการจากมุมมองที่ต่างกันของทั้งสยามและฝรั่งเศสผ่านการตีความของภัณฑารักษ์ชาวฝรั่งเศส และเล่าประวัติครอบครัวของช่างฝีมือ ซึ่งปรากฏว่าสืบเชื้อสายมาจากรัชกาลที่ 4 ในแง่นี้ แม้มงกุฎของอริญชย์จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ไม่ได้มีอายุเก่าแก่และคุณค่าในทางประวัติศาสตร์เฉกเช่นวัตถุทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ แต่การจำลองวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้แล้วในปัจจุบันด้วยเทคนิคและมุมมองของวันนี้ ก็ช่วยพัฒนาพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่เขาพูดถึงให้อยู่ร่วมสมัยกับปัจจุบัน ทั้งยังเป็นการเพิ่มมิติใหม่ ๆ ให้กับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นั้นขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ในกรณีของ The Other Nefertiti ไฟล์สแกนสามมิติของอัล-บาดรีและเนลเลสนั้นถูกกังขาว่า สมบูรณ์แบบเกินกว่าที่ประสิทธิภาพของเครื่องสแกนจะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการสแกนเกิดขึ้นในสภาวะที่ตัวรูปปั้นถูกวางไว้ในกล่องกระจก และตัวศิลปินเองก็ทำได้เพียงแค่เดินสแกนรอบรูปปั้นแต่ไม่สามารถสแกนส่วนหัวของรูปปั้นจากด้านบนได้ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสาระสำคัญของเรื่องจะไม่ได้อยู่ที่ “ความจริง” ของเหตุการณ์ แต่อยู่ที่เจตนาของศิลปินที่จะตอบโต้การที่ตัวพิพิธภัณฑ์มีไฟล์สามมิติของรูปปั้นมาตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว แต่ไม่เคยเผยแพร่ให้สาธารณชนเข้าถึง และพวกเขายังหวังที่จะขยายไปสู่ประเด็นที่ใหญ่ขึ้นอย่างการกลับมาถกเถียงถึงวิธีการที่ประเทศกลุ่มเหนือ (Global North Country) อย่างเยอรมนี ยังคงใช้แนวคิดแบบจักรวรรดินิยมที่ล้าสมัยไปแล้วในการจัดการกับมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศอื่นอยู่ นอกจากนี้ เมื่อนิทรรศการจบลง พวกเขายังนำรูปปั้นจำลองนี้ไปฝังในทะเลทรายนอกกรุงไคโร โดยไม่มีการบันทึกพิกัดใด ๆ ไว้ เพื่อเป็นการโต้กลับการที่รูปปั้นถูกขุดพบในเชิงสัญลักษณ์อีกด้วย อดีต - ปัจจุบัน - อนาคต : มองประวัติศาสตร์ไปข้างหน้า ในปี 2016 เป็นปีครบรอบ 350 ปีแห่งเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ของกรุงลอนดอน (Great Fire of London) อาร์ติโชกได้รับมอบหมายให้จัดเทศกาลลอนดอน อีส เบิร์นนิง (London’s Burning) ว่าด้วยมุมมองร่วมสมัยที่มีต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญนี้ พวกเขาจึงเชิญศิลปินและนักวิชาการมาร่วมสร้างสรรค์ผลงานกระจายไปทั่วพื้นที่ที่เคยไฟไหม้ โดยเป็นทั้งการย้อนกลับไปรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ตลอดจนการฉุกคิดถึงภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่เมืองทั้งหลายต้องเผชิญทั้งในวันนี้และอนาคต ตั้งแต่ภาวะโลกร้อนไปจนถึงความขัดแย้งต่าง ๆ ทั่วโลก ย้อนกลับไปในคืนวันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 1666 ไฟเริ่มลุกไหม้จากร้านเบเกอรี่ในตรอกพุดดิ้ง เลน (Pudding Lane) และขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วเขตเมืองซึ่งรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยยุคกลางและมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 80,000 คน ไฟไหม้เป็นเวลา 4 วัน ทำลายบ้านเรือนไป 13,2000 หลัง ส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยกว่า 70,000 คนต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน สถานที่สำคัญทางราชการและโบสถ์ทั้งหลายพังทลายลง ความเสียหายในครั้งนั้น ในแง่หนึ่งคือโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่งมันคือสิ่งที่ทำให้ลอนดอนกลายเป็นลอนดอนในทุกวันนี้ ทั้งผังเมืองและมหาวิหารเซนต์พอล (St. Paul's Cathedral) ที่มีหน้าตาอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบันก็เป็นผลพวงจากเพลิงไหม้ในครั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ สำหรับอาร์ติโชกแล้ว เทศกาลลอนดอน อีส เบิร์นนิงจึงเป็นทั้งการรำลึกและเฉลิมฉลองไปพร้อม ๆ กัน ©DANIEL LEAL-OLIVAS / AFP กิจกรรมในเทศกาลลอนดอน อีส เบิร์นนิงนั้น เต็มไปด้วยความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะจัดวาง (Installation Art) การแสดงสด (Performance Art) ไปจนถึงกิจกรรมเดินทัวร์และเสวนา อาร์ติโชกเชิญทีมสเตชัน เฮาส์ โอเปรา (Station House Opera) มาบอกเล่าเส้นทางที่เปลวเพลิงลุกไหม้ ด้วยการใช้อิฐมวลเบาตั้งเรียงกันไปเป็นโดมิโน 3 เส้นทาง ตลอดแนว 6 กิโลเมตร แล้วเริ่มล้มอิฐก้อนแรกพร้อม ๆ กัน โดยหากอิฐล้มไปจนถึง 3 จุดสุดท้ายได้สำเร็จ ก็จะเป็นการจุดไฟให้กับประติมากรรมที่ตั้งอยู่พังทลายลงมา ราวกับเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 350 ปีก่อน นอกจากนี้ ยังมีการแสดงที่ชื่อว่า โฮโลซีนส์ (Holoscenes) โดยนักแสดงจากกลุ่มเออร์ลี มอร์นิง โอเปรา (Early Morning Opera) ที่ทั้งเต้นรำและแหวกว่ายอยู่ในแทงก์น้ำขนาดใหญ่ในขณะที่น้ำกำลังไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อสะท้อนความคิดที่ว่า ภัยที่กำลังคุมคามโลกในปัจจุบันอาจไม่ใช่อัคคีภัยอย่างในอดีต แต่เป็นภัยจากน้ำต่างหาก ©Produced by Artichoke. Photo by Oliver Rudkin เทศกาลลอนดอน อีส เบิร์นนิง ปิดฉากลงด้วยโปรแกรมไฮไลต์อย่างลอนดอน 1666 (London 1666) ที่อาร์ติโชกร่วมมือกับเดวิด เบสต์ (David Best) ในการสร้างประติมากรรมยาว 120 เมตร ซึ่งจำลองเมืองลอนดอนในศตวรรษที่ 17 กลับขึ้นมาใหม่ เพียงเพื่อที่จะถูกไฟเผาให้มอดไหม้กลางแม่น้ำเทมส์ เดวิด เบสต์ เป็นศิลปินชาวแคลิฟอร์เนียซึ่งโด่งดังจากผลงานการสร้างวิหารไม้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก เบสต์สร้างให้วิหารไม้ของเขาดำรงอยู่เพียงชั่วคราว เปิดให้ใครก็ตามที่สูญเสีย หวังจะได้รับการให้อภัย หรือต้องการให้อภัยผู้อื่น ได้เข้ามาใช้เวลาอยู่กับตัวเองและปลดปล่อยความรู้สึกเหล่านั้น ก่อนที่ทุกคนจะร่วมยืนมองไฟที่เผาไหม้อาคารทั้งหลังลงไปพร้อมกัน ©Produced by Artichoke. Photo by Matthew Andrews สำหรับลอนดอน 1666 เบสต์มองว่า เมื่อ 350 ปีก่อนมีผู้คนที่ถูกขับไล่และต้องย้ายที่อยู่อย่างไร ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ต่างกันที่ว่า
ชาวลอนดอนชนชั้นล่างในวันนี้ไม่ได้ถูกผลักไสโดยเปลวไฟสีแดงแต่เป็นเปลวไฟทางเศรษฐกิจมากกว่า ที่มา : เรื่อง : นันทกานต์ ทองวานิช |