สังคมสงเคราะห์ค่ารักษาพยาบาล ศิริราช

โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล เป็นโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ โดยมีจำนวนผู้ป่วยนอกต่อวันถึงประมาณ 8,000 - 10,000 คน พบผู้ป่วย และญาติผู้ยากไร้ส่วนหนึ่งที่มีนัดต้องพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่มีปัญหาการเดินทางไป-กลับโรงพยาบาล ขาดทั้งปัจจัย และที่พักอาศัย

สังคมสงเคราะห์ค่ารักษาพยาบาล ศิริราช

ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล

"เรือนเสมือนญาติ” ริเริ่มจัดตั้งโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 โดย ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เข้ากราบนมัสการหารือกับ พระพิศาลพัฒนกิจ เจ้าอาวาสวัดอมรินทราราม ให้อนุญาตจัดทำโครงการฯนี้ โดย พระสุนทรกิจจาภิวัฒน์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอมรินทราราม ได้สนับสนุนทุนก้อนแรกในการดำเนินงานจัดทำโครงการฯและให้การสนับสนุนตลอดมา โดยมี พระครูสมุห์ภักดี ยตินฺธโร ซึ่งเป็นศิษย์เก่ารุ่นแรกของ วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้รับอาสาดูแลดำเนินโครงการฯ

ศ.นพ.อภิชาติ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งโครงการ "เรือนเสมือนญาติ" ว่า เป็นการช่วยลดความกังวลใจเรื่องที่พักของผู้ป่วย และญาติ เมื่อเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยเป็นการจัดหาที่พักชั่วคราวให้กับผู้ป่วย และญาติที่มีปัญหาการเดินทางไป-กลับโรงพยาบาล กรณีมีนัดต่อเนื่องในเวลาใกล้เคียงกัน รวมทั้งในรายที่มีปัญหาเรื่องเศรษฐานะ

สังคมสงเคราะห์ค่ารักษาพยาบาล ศิริราช

ส่งศรี เมืองทอง

ส่งศรี เมืองทอง หัวหน้างานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลศิริราช กล่าวเสริมว่า ผู้ป่วยและญาติที่จะขอเข้าพักทุกรายจะต้องได้รับการประเมินจากนักสังคมสงเคราะห์ ของโรงพยาบาลศิริราช จึงจะสามารถเข้าพักได้ โดยแสดงความประสงค์จะขอเข้าพัก พร้อมส่งประวัติมาเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ณ ตึกผู้ป่วยนอกชั้น 1 ห้อง 109 โรงพยาบาลศิริราช จากนั้นจะนำเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปมอบให้แก่ พระครูสมุห์ภักดี ยตินฺธโร พระผู้รับผิดชอบดูแล "เรือนเสมือนญาติ”เพื่อดำเนินการต่อไป

สังคมสงเคราะห์ค่ารักษาพยาบาล ศิริราช

พระครูสมุห์ภักดี ยตินฺธโร

ด้าน พระครูสมุห์ภักดี ยตินฺธโร ได้กล่าวถึง "เรือนเสมือนญาติ" ในฐานะผู้ดูแลว่า โครงการฯ เริ่มรับผู้ป่วย และญาติเข้ามาพักในเดือนตุลาคม 2559 โดยปรับปรุงต่อเติมบริเวณพื้นที่ด้านข้างกุฏิ และปรับพื้นที่บริเวณชั้นล่างกุฏิของอาตมาเป็นที่ดำเนินการโครงการฯ

พระครูสมุห์ภักดี ยตินฺธโร กล่าวต่อไปว่า พุทธศาสนาเถรวาทสอนว่า วาระจิตสุดท้ายที่ดับไปเป็นวาระจิตที่สำคัญที่สุด ถ้าจิตสุดท้ายสงบ จะไปเกิดภพภูมิที่ดี ในฐานะบัณฑิตอาสา วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล อาตมาจึงเชื่อว่า การช่วยดูแลจิตใจผู้ป่วยระยะท้าย (Palliative Care) หรือการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง จะช่วยให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ

ที่ผ่านมา อาตมาได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมตามเตียงที่ผู้ป่วยและญาติร้องขอมา โดยได้นำพระพุทธศาสนาไปช่วยดูแลผู้ป่วยด้วยการใช้ศิลปะในการพูดคุยด้วยความจริงใจ เมตตา กรุณา พร้อมกับแนะนำให้ญาติปรับบรรยากาศในห้องพักให้มีความสงบเย็น เปิดเพลงบรรเลง และบทสวดมนต์เบาๆ คลอตลอดเวลา นอกจากนี้ได้แนะให้ญาติหารูปภาพพระพุทธรูปมาแขวนไว้ในระดับสายตา เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถลืมตาขึ้นมามองเห็น ที่สำคัญ คือ จะต้องพูดคุยด้วยความระมัดระวัง โดยสังเกตุทั้งผู้ป่วยและญาติว่ามีความรู้สึกรับได้หรือไม่ด้วย

"พอดีกับทางศิริราชมีเรื่อง Palliative Care อยู่แล้วจึงเข้ากันได้พอดี โดยระหว่างที่ทำการรักษา ญาติจะแจ้งทางวอร์ดขอให้นิมนต์พระสงฆ์ โดยเมื่ออาตมาได้รับนิมนต์ก็จะไปที่เตียงผู้ป่วย ให้รับศีล สวดบทโพชฌังคปริตร และสวดบทพุทธคุณ (อิติปิโส) ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย แต่ถ้าผู้ป่วยยังมีสติ รับรู้ ตอบโต้ได้ก็จะสนทนาธรรมให้กำลังใจผู้ป่วยเพิ่มไปด้วย

ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่กำลัง หรือใกล้จะจากไป จะสวดบทพุทธคุณซ้ำไปมาเพื่อเป็นการช่วยย้ำให้จิตของผู้ป่วยจับเสียงนั้นได้ง่าย จะได้จากไปอย่างสงบพร้อมกับเสียงสวดมนต์ และหลังจากผู้ป่วยเสียชีวิต อาตมาจะให้ญาติมากราบศพ และพูดคุยธรรมะเกี่ยวกับการเกิด แก่ เจ็บ ตายให้ฟัง เพื่อให้ญาติยอมรับการจากไปได้ และเข้าใจสัจธรรมของชีวิต ส่งผลให้ญาติผู้ป่วยแม้จะเสียใจต่อการจากไปของผู้ป่วย แต่ก็ทำใจยอมรับได้ดีกว่าเดิม ทั้งยังมีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนามากขึ้น" พระครูสมุห์ภักดี ยตินฺธโร กล่าว

"ในช่วงแรกเรือนเสมือนญาติสามารถรับผู้ป่วย และญาติได้ประมาณวันละไม่เกิน 17 คน โดยที่ผ่านมานับจากเดือนตุลาคม 2559 - กันยายน 2562 มีผู้ป่วยเข้าพักรวมทั้งสิ้น 206 ราย แต่เนื่องจากจำนวนผู้ป่วย และญาติเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับสถานที่คับแคบ ไม่สะดวก ในเดือนตุลาคม 2562 "เรือนเสมือนญาติ" จึงได้ปิดปรับปรุงเป็นเวลาประมาณ หนึ่งเดือน โดยคณะนักศึกษาหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่นที่ 28 ซึ่งมีจิตสาธารณะร่วมบริจาคเงิน เพื่อปรับปรุงให้สามารถรับผู้ป่วยได้มากขึ้นประมาณ 30 คนต่อวัน พร้อมบริจาคสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น เตียงนอน พัดลม โคมไฟ เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้มีจิตศรัทธาสามารถติดต่อเพื่อร่วมบริจาคได้ที่ ศิริราชมูลนิธิ" ศ.นพ.กล่าวทิ้งท้าย

     โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ตั้งอยู่บนพื้นที่เดิมของสถานีรถไฟธนบุรีถัดจากโรงพยาบาลศิริราช โดยตึกตั้งอยู่หน้าสถานีท่าเรือรถไฟ ถือเป็นอีกหนึ่งโรงพยาบาลในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

     พร้อมให้บริการดูแล รักษาและให้คำปรึกษาอย่างครบวงจร ด้วยมาตรฐานระดับสากล JCI (Joint Commission International) และเป็นต้นแบบสำหรับโรงพยาบาลรัฐในการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ ด้วยรูปแบบวิธีการบริหารพิเศษเพื่อให้มีรายได้ที่เลี้ยงตัวเองอย่างยั่งยืน โดยเป้าหมายทางการสร้างรายได้นั้นมีขึ้นเพื่อเพิ่มผลประโยชน์ของสังคม นั่นคือการมอบรายได้คืนกลับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อนำไปใช้ในการยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข แก่ประชาชนทั่วไปของโรงพยาบาลศิริราช