ลำดับชนิดของใบอนุญาตขับรถอัตราค่าธรรมเนียม (บาท)/ฉบับ1.ใบอนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลฉบับละ 500 บาท2.ใบอนุญาตประกอบการขนส่งระหว่างประเทศ (ประเภทใบอนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคล)ฉบับละ 2,500 บาท3.ใบแทนใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางฉบับละ 100 บาท4.การโอนทะเบียนรถฉบับละ 200 บาท5.แผ่นป้ายเลขทะเบียนรถและเครื่องหมายแผ่นละ 100 บาท6.คำขอแก้ไขเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงสภาพเครื่องอุปกรณ์หรือส่วนควบของรถฉบับละ 20 บาท7.คำขอรับใบแทนหนังสือแสดงการจดทะเบียนรถหรือเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีฉบับละ 20 บาท8.ใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลชนิดที่ 1-4ฉบับละ 200 บาท9.ใบอนุญาตขับรถทุกประเภทชนิดที่ 1-4ฉบับละ 200 บาท10.ใบอนุญาตเป็นนายตรวจฉบับละ 200 บาท11.ใบอนุญาตเป็นผู้เก็บค่าโดยสารฉบับละ 100 บาท12.ใบอนุญาตเป็นผู้บริการฉบับละ 100 บาท13.ใบแทนใบอนุญาต(คัดหาย,ชำรุด)ฉบับละ 30 บาท14.การต่ออายุใบอนุญาต ครั้งละเท่ากับค่าธรรมเนียมสำหรับใบอนุญาตแต่ละฉบับ ค่าธรรมเนียมการขออนุญาตในหมวดเครื่องมือแพทย์ (ก) หนังสือรับรองประกอบการนําเข้าเครื่องมือแพทย์ บทกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติ ในปัจจุบัน ใบอนุญาตในการดำเนินการทางธุรกิจต่างๆนั้นมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจนั้นๆว่าอยู่ในรูปแบบใด ดังนั้น การดำเนินการขอใบอนุญาตจะต้องขอตามประเภทที่ทางองค์การอาหารและยาเป็นผู้กำหนดให้ โดยมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันตามแต่ละหมวด โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คือหนังสือสำคัญซึ่งบริษัทออกให้แก่ผู้ถือหุ้นเพื่อเป็นหลักฐานแสดงการถือหุ้น ใบหุ้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อ ต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอน และมีพยานอย่างน้อย 1 คนลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้โอนและผู้รับโอน และจะใช้บริษัทหรือบุคคลภายนอกได้ ต่อเมื่อมีการจดทะเบียนการโอนลงในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทแล้ว ส่วนการโอนหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ถือจะสมบูรณ์เพียงส่งมอบใบหุ้นให้แก่กันเท่านั้น ถ้าไม่ทำใบหุ้น หรือเรียกค่าธรรมเนียมเกิน หรือ มีรายละเอียดในใบหุ้นไม่ครบถ้วนมีความผิด ปรับ
การออกใบหุ้นบริษัทจำกัด มีหน้าที่ทำใบหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกคน **ผู้ถือหุ้นมีสิทธิเรียกร้องให้บริษัทจำกัด ออกใบหุ้นให้แก่ผู้ถือ ในทางปฏิบัติบริษัทจำกัดส่วนใหญ่ไม่ได้ออกใบหุ้นให้แก่ผู้ถือ เมื่อมีปัญหาโต้แย้งสิทธิในหุ้นที่ถือ ผู้ถือหุ้นที่แท้จริงจึงมีภาระหรือปัญหาในนำสืบหรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยความยากลำบาก และมีปัญหาฟ้องร้องกันในโรงในศาลมากมาย ตัวอย่าง เช่น บริษัท ก. มี นาย a. เป็นผู้ถือหุ้น โดย บริษัท ก. ไม่ได้ออกใบหุ้นให้แก่ นาย a. วันดีคืนดี บริษัท ก. ได้ส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ไปให้แก่ นายทะเบียน โดยไม่มีชื่อ นาย a. เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ด้วย ซึ่งตามหลักกฎหมาย สำเนาบัญชีรายชื่อผุ้ถือหุ้นที่บริษัทจำกัดส่งไว้กับนายทะเบียนให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสิ่งที่ถุกต้อง ถ้า นาย a. มีใบหุ้นที่บริษัทจำกัดออกให้ไว้ นาย a. ก็จะง่ายในการพิสูจน์กับองค์กรทางยุติธรรม หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในสิทธิที่ตนมีกรรมสิทธิ์ในหุ้นที่ตนถืออยู่ได้ง่ายเป็นต้น ข้อ 2. ใบหุ้น เลขที่ใบหุ้น บริษัทเป็นผู้กำหนดขึ้นเอง ใบหุ้นใบหนึ่งๆ ต้องมีข้อความที่กฎหมายกำหนดไว้ดังนี้ (1) ชื่อบริษัท (2) เลขหมายหุ้นที่กล่าวถึงใบหุ้นนั้น (3) มูลค่าหุ้นหนึ่งเป็นเงินเท่าใด (4) ถ้าและเป็นหุ้นที่ยังไม่ได้ใช้เงินเสร็จ ให้จดลงว่าได้ใช้เงินค่าหุ้นแล้วหุ้นละเท่าใด (5) ชื่อผุ้ถือหุ้น หรือคำแถลงว่าได้ออกใบหุ้นให้แก่ผุ้ถือ และใบหุ้นนั้นๆ ให้กรรมการของบริษัทอย่าง 1 คน ลงลายมือชื่อรับรอง พร้อมประทับตราของบริษัท ข้อ 3. เมื่อผู้ถือหุ้นชำระเงินค่าหุ้นให้แก่บริษัทแล้ว จะชำระเต็มมูลค่า 100 % หรือไม่เต็ม 100 % บริษัทจำกัดนั้นมีหน้าที่ออกใบหุ้นให้แก่ผู้ถือ ออกใบหุ้น จากการเพิ่มทุนมื่อบริษัทเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่ กรรมการต้องออกใบหุ้นใหม่โดยเลขหมายหุ้นที่ออกใหม่จะต้องต่อจากเลขหมายสุดท้ายของหุ้นเดิมของบริษัทในการนำส่งบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นฉบับใหม่กรณีที่บริษัทจดทะเบียนเพิ่มทุนเลขหมายหุ้นเดิมและหุ้นที่ออกใหม่ต้องระบุแยกออกจากกันเพื่อให้ทราบว่าบริษัทออกหุ้นใหม่ การเวนคืนใบหุ้น คือ การที่บริษัทเรียกคืนใบหุ้นเดิมทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นแล้วทำการออกใบหุ้นใหม่ให้กับผู้ถือหุ้น การเรียงเลขหุ้นใหม่บริษัทสามารถออกใบหุ้นตามการเรียงเลขหุ้นใหม่ได้ โดยใน บอจ. 5 เลขหมายของหุ้น ระบุหมายเลขหุ้นที่เรียงใหม่ ลงวันที่ ระบุวัน/เดือน/ปี ที่ออกใบหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นจริง ส่วนวันลงทะเบียนผู้ถือหุ้น ระบุวัน/เดือน/ปี ที่ผู้ถือหุ้นนั้นได้รับจดแจ้งในสมุดทะเบียนหุ้นของบริษัท คดีหุ้นในอดีต
เป็นคดีตัวอย่างที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจ หลังจาก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี เข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับ นายประพันธ์ ชูเมือง เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนหุ้นส่วนของบริษัทเครือซิเมนต์ไทย หลังจากมีพฤติกรรมฉ้อฉลปลอมเอกสารซื้อหุ้นสามัญของบริษัท จำนวน 2 ใบ รวมจำนวนหุ้น 6.72 แสนหุ้น มูลค่าประมาณ 67 ล้านบาท ก่อนนำหุ้นดังกล่าวไปทยอยเทขายในตลาดหุ้น โดยเรื่องดังกล่าวเกิดความแตกขึ้นมาเมื่อทายาทของนายวรรโณทัย อมาตยกุล นักธุรกิจตระกูลดัง เจ้าของหุ้นที่แท้จริง ได้นำใบรับรองหุ้นไปตรวจสอบกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์ แต่ปรากฏว่าหุ้นดังกล่าวถูกเปลี่ยนมือ โดยขายทอดตลาดไปแล้วตั้งแต่ปี 2547 ล่าสุดเวลา 10.00 น. วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.2 เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2547-2548 โดยรายละเอียดเท่าที่ทราบคือ ผู้เสียหายคือนายวรรโณทัย อมาตยกุล นักธุรกิจตระกูลดัง ชอบเก็งกำไรด้วยการซื้อหุ้นบริษัทใหญ่ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือมาเก็บไว้ โดยในช่วงที่เกิดเหตุหุ้นของเครือซิเมนต์ไทยอยู่ในช่วงสูงสุด หุ้นแต่ละหุ้นมีราคาในท้องตลาดถึงหุ้นละ 100 บาท ผู้เสียหายจึงเปิดเครดิตกับโบรกเกอร์ เพื่อซื้อหุ้นจำนวนตามที่เป็นข่าวไว้แล้ว จากนั้นนำเอกสารซื้อหุ้นไปฝากไว้กับนายประพันธ์ ชูเมือง เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนหุ้นส่วนของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) พล.ต.ต.สาโรจน์ กล่าวต่อว่า เมื่อนายวรรโณทัยนำเอกสารซื้อหุ้นไปฝากไว้ ทำให้นายประพันธ์สบช่องทำใบทะเบียนผู้ถือหุ้นปลอมขึ้นมา ก่อนจะนำไปคืนให้นายวรรโณทัย จากนั้นนายประพันธ์ได้นำใบหุ้นไปขายต่อ กระทั่งนายวรรโณทัยเสียชีวิตด้วยโรคชราเมื่อปีที่แล้ว ทายาทจึงตั้งนายวรรณพงษ์ รุ่งโรจน์วุฒิกุล เป็นผู้จัดการมรดก เพื่อดำเนินการแบ่งมรดกให้ทายาททุกคน โดยส่วนของหุ้นของเครือซิเมนต์ไทยตกเป็นของบุตรชายคือ นายเกียรติพงษ์ อมาตยกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงาน ภาค 6 ทั้งนี้ นายวรรณพงษ์ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ติดต่อไปยังนายประพันธ์ ผู้ต้องหา เพื่อปรึกษา เนื่องจากเห็นว่ามีความสนิทสนมกับผู้ตาย และดูแลผลประโยชน์ด้านหุ้นให้แก่ผู้ตายมาโดยตลอด ระหว่างนั้น นายประพันธ์ยังรับปากว่าจะดำเนินการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจากนายวรรโณทัย เป็นชื่อของนายเกียรติพงษ์ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าตนเองนำหุ้นออกขายไปหมดแล้ว จึงมีผลเท่ากับนายประพันธ์ปลอมเอกสารขึ้นถึง 2 ครั้ง เมื่อได้ใบหุ้นปลอมไป ต่อมานายวรรณพงษ์จึงนำหุ้นดังกล่าวไปตรวจสอบกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์ แต่กลับปรากฏว่าหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นที่ถูกเปลี่ยนมือ คือมีการขายทอดตลาดไปแล้วตั้งแต่ปี 2547 นายวรรณพงษ์และทายาทจึงนำเรื่องไปปรึกษากับบริษัท ทางบริษัทจึงตั้งตัวแทนเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน ตั้งแต่เดือนมกราคม ที่ผ่านมา กระทั่งศาลอาญาได้พิจารณาออกหมายจับผู้ต้องหาตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผบก.น.2 กล่าว พ.ต.ท.พิสิฐชัย สุนทรธนปรีดา พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.เตาปูน เจ้าของคดีเปิดเผยว่า คดีนี้บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ได้มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติการเข้าแจ้งความตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม ที่ผ่านมา หลังจากรับแจ้งความได้ทำรายงานเสนอผู้บังคับบัญชาทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดย พ.ต.อ.วีระ จิรวีระ ผกก.สน.เตาปูน ได้ตั้งคณะทำงานชุดเฉพาะกิจขึ้น โดยมีพนักงานสอบสวน 3 นาย เพื่อประสานขอข้อมูลด้านธุรกรรมระหว่างผู้เสียหายกับบริษัทขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ และขอข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้ต้องหาคือนายประพันธ์ ชูเมือง อายุ 37 ปี ภูมิลำเนาเดิม บ้านเลขที่ 66/2 หมู่ 9 ต.นิคมพัฒนา อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อปี 2546 นายวรรโณทัย ผู้เสียหายได้ติดต่อของซื้อหุ้นของบริษัทเป็นจำนวนหลายแสนหุ้นเพื่อมาเก็บไว้ แต่เนื่องจากผู้เสียหายไม่ต้องการขายทำกำไร เพราะต้องการเก็บไว้เป็นทรัพย์สินให้แก่ลูกหลาน จึงไปแจ้งต่อศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขอปิดหุ้นจำนวนดังกล่าวไว้ โดยทางศูนย์ออกใบรับรองมอบให้นายวรรโณทัยถือไว้ 1 ฉบับ จากนั้นนายวรรโณทัยจึงนำใบรับรองไปฝากไว้กับนายประพันธ์ด้วยความไว้วางใจ กระทั่งปี 2547 ผู้ต้องหาออกอุบายว่า ทำใบรับรองหายแล้วไปแจ้งความ เพื่อขอใบรับรองใหม่ให้ผู้เสียหาย แต่กลับปลอมใบรับรองแล้วมอบคืนให้ผู้เสียหาย ส่วนใบรับรองตัวจริงนำไปทยอยเทขายในตลาดหุ้น กระทั่งเรื่องแดงขึ้น ภายหลังทายาทนำใบรับรองไปตรวจสอบ พ.ต.ท.พิสิฐชัย กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ยังพบพิรุธมากมายเกี่ยวกับธุรกรรมด้านการเงินของผู้ต้องหา เนื่องจากที่ผ่านมาได้โอนเงินเข้าออกบัญชีธนาคารหลายแห่ง ทั้งกรุงไทย กรุงเทพ ไทยพานิชย์ และกรุงศรีอยุธยา ครั้งละเป็นจำนวนมาก ซึ่งตำรวจได้ประสานกับธนาคารเหล่านี้ เพื่อตรวจสอบข้อมูลด้านการเงินของผู้ต้องหาแล้ว นอกจากนั้นผู้ต้องหายังซื้อขายหุ้นดังๆ อีกหลายตัวในตลาดหลักทรัพย์ ล่าสุดเมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว มีการเทขายหุ้นตัวหนึ่งเป็นมูลค่า 15 ล้านบาท โดยโอนเงินผ่านธนาคารแห่งหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเช็กเจอ จึงอายัดไว้ได้ก่อน นอกจากนี้ ขณะที่พนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบข้อมูลกับบริษัทก็ได้รับแจ้งจากทางบริษัทว่า ผู้ต้องหาได้ทุจริตด้วยการเพิ่มจำนวนหุ้นในเครือบริษัทฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ ให้มีจำนวนมากกว่าที่ระบุไว้ในใบซื้อขายแล้วนำเงินส่วนต่างที่ได้ไปโอนเข้าบัญชีเงินฝากของนางมยุรี สมบูรณ์ อายุ 36 ปี ภรรยาของนายประพันธ์ ทางพนักงานสอบสวนคาดว่า นางมยุรีน่าจะมีส่วนรู้เห็นในคดีนี้ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเสนอศาลอาญาพิจารณาอนุมัติออกหมายจับในข้อหาร่วมกันปลอมและใช้ใบหุ้นปลอมแก่นายประพันธ์และนางมยุรี ซึ่งศาลอนุมัติออกหมายจับที่ 370-371 /52 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ติดตามจับกุมนางมยุรีได้เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ซึ่งนางมยุรีได้ให้การปฏิเสธ ไม่รู้เห็น เพราะได้เลิกรากันไปนานแล้ว และใช้เงินสดจำนวน 2 แสนบาท ประกันตัวออกไปในชั้นศาล แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อตามที่ผู้ต้องหาให้การ พ.ต.ท.พิสิฐชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประพันธ์ ผู้ต้องหาที่ยังอยู่ระหว่างหลบหนีนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนปราบปรามและฝ่ายสืบสวน สน.เตาปูน ได้เบาะแสแล้วว่าหลบหนีไปกบดานอยู่ในจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ และกำลังติดตามจับกุมอย่างกระชั้นชิด คาดว่าจะได้ตัวในเร็วๆ นี้ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.เตาปูน ได้ประสานงานกับ กก.สส.บก.น.2 และศูนย์สืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมกับประสานไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองทุกจุดทั่วประเทศ เพื่อสกัดไม่ให้ผู้ต้องหาหนีออกนอกประเทศได้ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว อดีตผู้ต้องโทษคดีปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งเคยอยู่ในขบวนการปลอมแปลงเอกสารมา กระทั่งถูกจับกุมและพ้นโทษออกมา ให้ข้อมูลว่า ในวงการปลอมแปลงเอกสารส่วนใหญ่จะไม่รับทำใบหุ้นปลอม เพราะได้ไม่คุ้มเสีย คนที่นำใบหุ้นมาให้ปลอมจะได้ผลประโยชน์มหาศาลหลายสิบล้านบาท ขณะที่คนทำได้รับเงินค่าจ้างเพียง 1-2 หมื่นบาทเท่านั้น ดังนั้นจึงไปรับงานสุจริตทำจะดีกว่า เพราะไม่เสี่ยงถูกตำรวจจับกุม อีกทั้งยังได้ราคาค่าจ้างพอๆ กัน และเป็นงานถูกกฎหมายด้วย ครั้นจะนำใบหุ้นมาปลอมเองก็เข้าไม่ถึงวงใน กรณีอย่างนี้ต้องเป็นคนในของบริษัทเป็นคนทำเอง วิธีทำนั้นง่ายมาก ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย แค่พิมพ์ขึ้นมาให้เหมือนใบจริงมากที่สุดเท่านั้น แต่คนส่วนใหญ่เขาไม่ทำกัน เพราะคนทำได้แค่ไม่กี่หมื่น แต่คนเอามาให้ทำกลับได้เป็นสิบยี่สิบล้าน ขณะที่ตำรวจชุดสืบสวนที่คลุกคลีกับคดีปลอมแปลงเอกสาร มองว่า คดีเช่นนี้เป็นลักษณะเฉพาะออกไป คือคนทำต้องมีความรู้เรื่องกฎหมายตลาดหลักทรัพย์และคลุกคลีอยู่ในวงการเงินมานาน เท่าที่ผ่านมาไม่เคยพบคดีแก๊งปลอมแปลงเอกสารทั่วๆ ไปปลอมใบหุ้นลักษณะนี้มาก่อน หรือถ้าพบก็น้อยมาก อาจเป็นเพราะว่ารายได้น้อยเลยไม่อยากเสี่ยง สู้ปลอมแปลงบัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม หรือปลอมหนังสือเดินทางไม่ได้ เพราะเป็นสากลคนจึงต้องการมากกว่า นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย กล่าวว่า บริษัทได้เร่งตรวจสอบต้นตอที่มา และความเสียหายที่เกิดขึ้น พบว่ามีมูลความจริง โดยมีใบหุ้นสามัญเลขที่ 0025001-0025034 หายไปจำนวน 34 ใบ มูลค่านับหมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทได้แจ้งความและยกเลิกใบหุ้นดังกล่าวแล้ว น.ส.โสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เตือนว่า หากผู้ถือหุ้นปูนซิเมนต์ไทยคนใดที่ถือครองเป็นใบหุ้นอยู่ และไม่แน่ใจก็สามารถนำใบหุ้นมาให้ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ตรวจสอบได้ และอยากแนะนำให้ผู้ถือหุ้นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทุกคน ควรนำหุ้นที่ถืออยู่มาเข้าระบบสคริปเลส (Scrip less) หรือระบบไร้ใบหุ้น เพราะระบบของศูนย์รับฝากจะเก็บข้อมูลไว้ในระบบอย่างดีปลอดภัยไม่ต้องกลัวสูญหายและเป็นไปตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ การเปิดโปงคดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก ผลประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ตรวจสอบเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีมติให้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กรณีมีผู้ปลอมแปลงใบหุ้นสามัญของบริษัท โดยเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2552 บริษัทได้รับแจ้งจากบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า มีการปลอมแปลงใบหุ้นสามัญของบริษัท 2 ใบ รวมจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 6.72 แสนหุ้น เป็นมูลค่าหุ้นประมาณ 67 ล้านบาท และจากการตรวจสอบพบว่า แบบฟอร์มใบหุ้นสามัญได้สูญหายจริง และมีจำนวนที่ตรวจพบดังกล่าว ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น บริษัทได้ตั้งข้อสงสัยว่า นายประพันธ์ พนักงานคนหนึ่งของบริษัทเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าว โดยผู้ต้องสงสัยได้หลบหนีไปในวันเดียวกัน เนื่องจากมีพิรุธกรณีจ่ายเงินปันผลที่เป็นหลักฐานมัดตัว บริษัทจึงแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัย และศาลอาญาได้ออกหมายจับแล้วเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา |