หนี้สาธารณะของไทย 2564 ส่วนใหญ่เป็น “หนี้ในประเทศ” อยู่ในรูปสกุลเงินบาท คิดเป็น 98.2% ถ้าเทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 ที่ไทยเป็นหนี้นอกประเทศ คิดเป็น 90.25% ถือว่าตอนนี้ “เสี่ยงต่ำ” กว่า Show
รูปบน ของ desktop “หนี้สาธารณะ” คนไทยน่าจะได้ยินคำนี้บ่อย ๆ ในปี 2564 และข่าวส่วนใหญ่ก็ออกมาในทางว่า เราจะเป็นหนี้กันเพิ่มขึ้น คำว่า “หนี้” ฟังอย่างไรก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ วันนี้พี่ทุยเลยจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับคำคำนี้ ประเทศหนึ่ง ๆ เปรียบเสมือนครัวเรือนหลังใหญ่ เมื่อประเทศเผชิญกับ “โควิด-19” ที่กินเวลายาวนาน คนในประเทศไม่มีรายได้จากการที่หลายธุรกิจต้องหยุดชะงักเป็นการชั่วคราว รายได้จากรัฐที่ส่วนใหญ่มาจาการเก็บภาษีก็ลดต่ำลงไป รัฐจึงต้องไปกู้เงินมา เพื่อให้เงินกู้บวกกับรายได้ของรัฐ แล้วได้สิ่งที่เราเรียกว่า “รายรับของรัฐ” สามารถครอบคลุมรายจ่ายทั้งหมดได้ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐาน และการเยียวยาไปยังภาคประชาชน ซึ่งการกู้นั้น ทำให้เกิด “หนี้สาธารณะ” (Public Debt) “หนี้สาธารณะ” ไทยตอนนี้มีเท่าไหร่ แล้วใครเป็นเจ้าหนี้หนี้สาธารณะของไทย ข้อมูลเดือน ก.ย. 2564 พบว่ามีหนี้สาธารณะรวมทั้งหมด 9.3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ในประเทศ 9.16 ล้านล้านบาท คิดเป็น 98.2% ซึ่งส่วนใหญ่เป็น “หนี้ในรูปสกุลเงินบาท” ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะการบริหารจัดการเงินบาททำได้ง่ายกว่าสกุลเงินต่างประเทศมาก อีกทั้งส่วนใหญ่หนี้สาธารณะเป็นหนี้ระยะยาว มีอายุเฉลี่ยประมาณ 9 ปี ซึ่งเป็นเวลามากพอที่จะหาเงินมาจ่ายหนี้ได้ และหนี้นอกประเทศ 0.16 ล้านล้านบาท คิดเป็น 1.8% ซึ่งถือว่าสัดส่วนหนี้นอกประเทศอยู่ในระดับที่เสี่ยงต่ำ ถ้าเทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 ที่ไทยเป็นหนี้นอกประเทศ คิดเป็น 90.25% และหนี้ในประเทศ 9.75% แล้วนั้นถือว่าแตกต่างกันมาก เนื่องจากใน “ปัจจุบันเราสามารถกำหนดทิศทางนโยบายต่าง ๆ ได้เอง” โดยไม่มี IMF เข้ามาควบคุมแบบในอดีต ในปัจจุบันนั้นแหล่งเงินกู้โดยส่วนใหญ่ก็มาจากสถาบันการเงินภายในประเทศ หรือ “การออกพันธบัตรรัฐบาล” ที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย ที่คนแห่กันไปซื้อหมดภายในไม่กี่นาทีหลังจากการเปิดขายนั้นแหละ บางทีพี่ทุยก็คิดว่าเราอาจจะเป็นเจ้าหนี้ตัวเองโดยไม่รู้ตัวก็ได้ สถานการณ์ประเทศอื่นเป็นอย่างไรหากเราเทียบแค่กับไทยเองอาจจะไม่เห็นภาพมากนัก ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงนิยมนำไปเปรียบเทียบหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP กับประเทศอื่น โดยในปี 2563 และ 2564 ทั้งประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศที่กำลังพัฒนา พบว่าทุกประเทศมีหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มขึ้นทุกประเทศในปี 2563 แต่กลับพบว่า ในปี 2564 ส่วนใหญ่หลายประเทศมี “หนี้สาธารณะต่อ GDP ที่มีแนวโน้มลดลง” ทั้ง ๆ ที่ยังมีการ “ก่อหนี้เพิ่มขึ้น” ในปี 2564
รวมไปถึงมีความสามารถในการนำเงินกู้ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพรอบด้าน ทั้งการควบคุมโรค การจัดหาและการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง การกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเยียวยาภาคการผลิตให้กลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ทันกับความต้องการบริโภคที่เริ่มทยอยกลับมา ซึ่งเป็นส่วนไปช่วยกระตุ้นให้มูลค่า GDP กลับมาเติบโตได้อีกครั้งเมื่อเทียบกับปี 2563 จะเห็นได้จากการประเมินอัตราการเติบโตของ IMF ที่คาดการณ์ว่าประเทศส่วนใหญ่ในปี 2564 จะมีอัตราการเปลี่ยนแปลงของ GDP ที่เป็น “บวกหรือเติบโตขึ้น” ก็ทำให้ “สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP นั้นลดลงได้” และอยู่ในกรอบที่กฎหมายกำหนดได้โดยไม่จำเป็นต้องขยายเพดานหนี้บ่อยครั้ง (ทำไมไทยต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70% ? อ่านที่นี่) แต่หากมาลองพิจารณาเหตุผลของการขยายเพดานหนี้สาธารณะรอบนี้ของไทย เป็นเพราะสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยปัจจุบันอยู่ที่ 55.6% ซึ่งหากกู้เงินครบเต็มจำนวนจากส่วนที่เหลือของ พ.ร.ก.กู้เงิน ปีงบประมาณ 2564 ทั้ง 2 รอบวงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท จะทำให้สัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นแตะเพดานที่ตั้งไว้ของรัฐบาลที่ 60% ต่อ GDP อีกทั้งทางกระทรวงการคลังยังคาดการณ์ว่าสิ้นปีงบประมาณ 2565 จะมีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงถึง 62% รัฐบาลไทยจึงได้ขยายกรอบเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จากเดิมไม่เกิน 60% เป็น 70% ซึ่งเป็นการขยายแบบชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขว่าต้องกลับมาต่ำกว่า 60% ต่อ GDP ภายใน 10 ปี โดยที่เศรษฐกิจไทยต้องเติบโตปีละ 3-5% แล้วจะเป็นอย่างไรเมื่อรัฐบาลสร้าง “หนี้สาธารณะ” เพิ่มถ้ามองกันตามความเป็นจริงแล้วการสร้าง “หนี้สาธารณะ” เพิ่มเติม ไม่ได้เป็นเรื่องน่ากังวลมากนัก เนื่องจากเป็นหนี้ระยะยาวมีเวลาในการทยอยชำระหนี้ แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือเงินที่กู้มาถูกนำไปใช้กับอะไรมากกว่า ถ้ากู้มาเพื่อบริโภคระยะสั้น ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคตเลย แบบนี้ค่อนข้างอันตรายมาก แต่ถ้ากู้มาลงทุนสร้างโครงการต่าง ๆ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ แล้วคาดว่าจะมีมีผลตอบแทนทั้งในรูปตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินกลับมาเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเดินต่อได้แบบนี้ถือว่าเป็นการสร้างหนี้สาธารณะที่ดี การสร้างหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้ในอนาคตประชาชนมีรายได้มากขึ้น ในภาพรวมประเทศจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็จะยิ่งทำให้สามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น ก็จะมีเงินจ่ายคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยที่กู้ยืมมาได้อย่างไม่มีปัญหานั่นเอง ซึ่งคำว่าการสร้างหนี้อย่างประสิทธิภาพ อาจจะมีทั้งระยะสั้นที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่าง การนำมาเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผู้ประกอบการต่าง ๆ การจัดซื้อวัคซีนเพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้ประเทศกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ รวมไปถึงการแก้ปัญหาระยะยาว เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมความสามารถของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ก่อให้เกิดการจ้างงานและรายได้ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้อย่างสม่ำเสมอ รัฐเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้คำตอบง่าย ๆ ที่พี่ทุยเชื่อว่าทุกคนรู้กันอยู่อย่างแน่นอนก็คือ “ภาษี” ซึ่งภาษีที่เราถูกเรียกเก็บกันอยู่ทุกวันก็จะมีทั้งภาษีทางตรงอย่าง “ภาษีเงินได้ (Income Tax)” และภาษีทางอ้อมอย่าง “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” (Value Added Tax) แน่นอนว่าตามหลักการแล้วถ้าหากการก่อหนี้เพิ่ม ช่วยทำให้รายได้ทุกคนในประเทศเพิ่มขึ้น เราก็จะเสียภาษีเงินได้เพิ่มโดยอัตโนมัติ รวมถึงภาษีทางอ้อม ก็เพิ่มจากการจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้นด้วย แต่หากการก่อหนี้นั้นไม่ก่อให้เกิดรายได้มากขึ้น รายได้เข้ารัฐไม่เพิ่ม เราก็จะเห็นรัฐเรียกเก็บภาษีในอัตราที่เพิ่มขึ้น รวมไปจนถึงเรียกเก็บภาษีจากฐานภาษีใหม่ ๆ เพิ่มเติม เราควรเตรียมรับมือทางการเงินอย่างไร ?ส่วนตัวพี่ทุยคิดว่าถ้าหากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดคือหนี้ที่สร้างเพิ่มขึ้นมา ไม่สามารถสร้างรายได้ในภาพรวมของประเทศได้ ผลจะกลับมาที่ “ภาษี” ที่โดนเรียกเก็บมากขึ้น การวางแผนภาษีเพื่อให้เราจ่ายภาษีน้อยลงอย่างถูกต้องก็จะเป็นเรื่องที่เราจะใส่ใจกันมากขึ้น การก่อหนี้สาธารณะ มีอะไรบ้างหลักการจัดการการก่อหนี้สาธารณะ
1. การให้ได้เงินกู้ครบถ้วนตามวงเงินที่ก าหนด 2. การประหยัดค่าใช้จ่ายและได้อัตราดอกเบี้ยต ่าสุด 3. การให้ได้การกระจายของภาระหนี้ที่สม ่าเสมอ 4. การให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเงินของประเทศ 5. การรักษาตลาดของหลักทรัพย์รัฐบาลให้คงอยู่ในความสนใจ หรือเป็นที่นิยมของตลาด 6. การกระจายเงินกู้
การก่อหนี้สาธารณะของรัฐบาลมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไรวัตถุประสงค์ในการก่อหนี้สาธารณะ ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ได้กำหนดให้กระทรงการคลังกู้เงินได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่าง ใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ 1. (1) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ หรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ (2) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (3) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
ใครเป็นผู้ก่อหนี้สาธารณะหนี้สาธารณะ (อังกฤษ: Public debt) หรือ หนี้ของรัฐบาล (อังกฤษ: Government debt) คือหนี้ที่ถือโดยรัฐบาลกลาง, หน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่น, องค์กรของรัฐ รวมไปถึง รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนการค้ำประกันหนี้สินโดยรัฐบาล ซึ่งการเกิดขึ้นของหนี้สาธารณะส่วนใหญ่ของรัฐบาลทั่วโลก มาจากการดำเนินนโยบายของรัฐแบบขาดดุล หรือก็คือรายได้ของรัฐน้อย ...
การก่อหนี้สาธารณะจะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไรการก่อหนี้สาธารณะจะส่งผลกระทบต่อตัวแปรต่างๆทางเศรษฐกิจได้ หนึ่งในนั้นคือการ เปลี่ยนแปลงปริมาณเงินภายในระบบเศรษฐกิจซึ่งจะส่งผลให้ระดับอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลง ไป และการที่อัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงนั้นย่อมจะกระทบต่อเนื่องกับระบบเศรษฐกิจ อาทิ การลงทุนภาคเอกชนภายในประเทศ ซึ่งหากรัฐบาลดําเนินนโยบายก่อหนี้สาธารณะ ภายในประเทศ ...
|