ดอกเบี้ย MLR, MRR และ MOR ต่างกันอย่างไร สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้บ้านเราอาจจะงงกับคำย่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น MLR หรือ MRR (ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะในต่างประเทศก็มีคำย่อหลากหลายประมาณนี้เหมือนกัน เช่น LIBOR หรือ SIBOR) วันนี้ CheckRaka.com จะพามาดูกันค่ะว่า แต่ละ Rate คืออะไร เป็นอย่างไร ดอกเบี้ยเงินกู้ โดยปกติ ดอกเบี้ยเงินกู้จะมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆ คือ อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) ซึ่งก็คือ อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้เป็นตัวเลขเฉพาะ คงที่ตลอดอายุสัญญาหรือในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น กำหนดให้ชำระดอกเบี้ย 5% ต่อปี เป็นระยะเวลา 4 ปี เป็นต้น และอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating rate) ซึ่งก็คือ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (Reference Rate) ที่เปลี่ยนแปลงไปตามต้นทุนของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งในช่วงเวลาต่างๆ โดยแต่ละธนาคารก็จะประกาศอัตราใหม่กันเป็นครั้งคราว ซึ่งอัตราพวกนี้เราสามารถเข้าไปดูได้จากเว็บไซต์ หรือสาขาของแต่ละธนาคาร ตัวอย่างที่เราจะได้ยินกันบ่อยๆ ก็คือ MLR, MOR, MRR ซึ่งแบงก์ชาติได้ให้ความหมายไว้เป็นแนวทางคร่าวๆ ดังนี้
นอกเหนือจาก 3 อัตราข้างต้นแล้ว ในชีวิตจริงเราอาจเจอมากกว่านั้นก็ได้ เช่น ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด จะมีอัตราดอกเบี้ยอื่นอีกหลายอย่าง เช่น Minimum Housing Rate (MHR) หรือ Housing Loan Rate (HLR) ซึ่งทางสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดก็ได้ให้คำจำกัดความ MHR ไว้ว่าคืออัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะสำหรับลูกค้าชั้นดี เป็นต้น ตามกฎแบงก์ชาตินั้น แบงก์ชาติไม่ได้มีการบังคับว่าแต่ละธนาคารจะต้องมีแค่ MLR, MRR หรือ MOR เท่านั้น ดังนั้น แต่ละธนาคารจึงมีอิสระที่จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงใดก็ได้ เพียงแต่ว่าจะต้องให้คำจำกัดความชัดเจนว่า อัตราดอกเบี้ยที่ตั้งขึ้นมานั้นมีความหมาย และคำจำกัดความว่าอะไร แต่ในชีวิตจริงส่วนใหญ่แล้ว ธนาคารก็มักไม่ค่อยมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยพิสดารอะไรมากนัก ดังนั้น เรามักจะเจอ MLR, MRR และ MOR บ่อยที่สุด และเป็นอัตราอ้างอิงแบบลอยตัวที่ธนาคารพาณิชย์ใช้กันมากที่สุดในธุรกรรมการให้สินเชื่อ ตัวอย่าง ตารางอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ซึ่งมีความหมายหลากหลายพอสมควร ไม่จำกัดเฉพาะ MLR, MRR, หรือ MOR ข้อควรรู้ และข้อแตกต่างโดยรวมของอัตราดอกเบี้ยต่างๆ
ตัวอย่าง ตารางอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค (Consumer Loan) ของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
วิธีคิดดอกเบี้ยเงินกู้ ทีนี้พอเราเริ่มเห็นภาพอัตราดอกเบี้ยแต่ละแบบแล้ว เราลองมาทำความรู้จักกับวิธีการคิดดอกเบี้ยสินเชื่อเพิ่มเติมกันดีกว่าค่ะ ว่าการคิดดอกเบี้ยแต่ละวิธี เอาไปใช้สำหรับเงินกู้ประเภทไหนบ้าง และใช้อย่างไร โดยทั่วไปการคิดดอกเบี้ยเงินกู้จะมีด้วยกัน 2 วิธี ดังนี้ 1. การคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) ส่วนมากจะใช้กับการเช่าซื้อรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์โดยเริ่มคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นทั้งจำนวน และระยะเวลาการผ่อนชำระทั้งหมด จากนั้นผู้ให้สินเชื่อจะนำดอกเบี้ยที่คำนวณได้มารวมกับเงินต้น แล้วหารด้วยจำนวนงวดที่จะผ่อนชำระ ซึ่งเงินที่ผ่อนชำระจะเท่ากันทุกงวด เช่นเดียวกับจำนวนเงินต้นและดอกเบี้ยก็จะคงที่ทุกๆ งวดด้วย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่จะมีข้อดี คือ คิดง่าย เข้าใจง่าย แต่ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าการคิดแบบลดต้นลดดอกข้างล่างเมื่อเทียบอัตราดอกเบี้ย เงินต้น และระยะเวลาที่เท่ากัน เพราะจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเป็นดอกเบี้ยจะไม่ลดลงแม้เราจะเหลือเงินต้นน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็ตาม การแปลงอัตราดอกเบี้ยจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ เป็นแบบลดต้นลดดอกทำได้คร่าวๆ โดยใช้ 1.8 คูณกับอัตราดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ เช่น 2% ต่อปี จะคิดเป็นแบบลดต้นลดดอกได้เท่ากับ 3.6% (1.8 x 2) ต่อปี โดยประมาณ 2. การคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) เป็นการคำนวณดอกเบี้ยในสินเชื่อเกือบทุกประเภทนอกเหนือจากพวกที่ยกตัวอย่างใน Flat Rate ข้างบน การคิดดอกเบี้ยวิธีนี้ จะคิดทีละงวดจากฐานเงินต้นที่ทยอยลดลงตามการชำระหนี้ ซึ่งถ้าเราชำระหนี้ในแต่ละงวดเท่าๆกัน ในอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม จะพบว่า เงินที่จ่ายไปในงวดแรกๆ ส่วนใหญ่จะถูกจ่ายเป็นค่าดอกเบี้ย เนื่องจากจำนวนเงินต้นยังสูงอยู่นั่นเอง แต่เมื่อผ่อนไปสักระยะ ดอกเบี้ยจะค่อยๆ ลดลงตามจำนวนเงินต้นที่ค่อยๆ ลดลง สุดท้ายนี้ CheckRaka.com หวังว่าเมื่อได้ไอเดียในเรื่องดอกเบี้ยนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องของอัตรา และวิธีการคิดคำนวณ พวกเราจะตัดสินใจกู้ธนาคารกันได้อย่างรอบคอบ และมั่นใจได้มากขึ้น และมองภาพออกว่าอัตราดอกเบี้ยที่แต่ละธนาคารเสนอกันมาเมื่อคำนวณดูแล้วของธนาคารไหนสูง หรือต่ำกว่ากันเมื่อคำนวณออกมาตลอดระยะเวลากู้แล้ว (ไม่ใช่แค่ช่วงโปรโมชั่น 3 เดือน หรือ 3 ปีแรก) โชคดีกันทุกคนค่ะ |