เชื่อว่าน้องๆ หลายๆ คนคงอยากพูดภาษาอังกฤษสำเนียงที่เหมือนกับเจ้าของภาษามาเอง เพราะมันดูน่าฟัง แถมดูมืออาชีพอีก ไม่ว่าจะไปพูดคุย หรือนำเสนองาน ถ้ามีสำเนียงดี ฟังเป็นธรรมชาติ และออกเสียงได้ถูกต้องชัดเจน ก็ดึงดูดผู้ฟังได้แล้ว บทความนี้ได้รวบรวม 5 เทคนิคการฝึกออกเสียงและสำเนียงภาษาอังกฤษให้เหมือนเจ้าของภาษามาฝากกัน Show
เทคนิคที่ 1 การออกเสียงพยัญชนะโดยใช้หลักสัทศาสตร์ (Phonetics)การฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษให้เหมือนเจ้าของภาษา เทคนิคแรก ก็คือ การออกเสียงให้ถูกต้องตามหลักสัทศาสตร์ อธิบายง่ายๆ ว่า สัทศาสตร์ (Phonetics) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการอ่านออกเสียงของมนุษย์ วิธีการเปล่งเสียง และอวัยวะในปากที่ใช้ในการออกเสียง ซึ่งสัทศาสตร์เปรียบเหมือนตัวกลางที่ช่วยให้เข้าใจวิธีการอ่านออกเสียงในแต่ละภาษา เนื่องจากมีการใช้สัทอักษรสากล หรือ International Phonetic Alphabet (IPA) ซึ่งสามารถพบได้บ่อยในพจนานุกรม เช่น Ant = /ænt/ Believe = / bəˈliv/ Expert = /ˈekˌspərt/ และ Ecosystem /ˈēkōˌsistəm/ เป็นต้น โดยเสียงพยัญชนะ (Consonants) ในภาษาอังกฤษมีดังนี้
การออกเสียงพยัญชนะคู่คล้ายเมื่อสามารถอ่านตัวพยัญชนะได้แล้ว สิ่งที่ต้องระวังในการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษ คือ การออกเสียงพยัญชนะ 2 ตัวที่มีเสียงคล้ายกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นเสียงพยัญชนะที่มีลักษณะการออกเสียง และเกิดบริเวณฐานกรณ์หรืออวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการออกเสียงเดียวกัน แต่มีจุดแตกต่างกันอยู่ที่ความก้องของเสียงที่เปล่งออกมา ซึ่งในทางสัทศาสตร์ได้มีการแยกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
ตัวอย่างของเสียงพยัญชนะที่มีความคล้ายคลึงกัน เช่น
โดยเทคนิคในการสังเกต เมื่อฝึกออกเสียงคู่คล้ายในภาษาอังกฤษ ว่าตนเองออกเสียงพยัญชนะตัวนั้นๆ ถูกหรือไม่ คือ ถ้าพยัญชนะเสียงก้อง บริเวณลูกกระเดือกจะสั่น ส่วนเสียงไม่ก้องจะมีลมออกจากริมฝีปากมากกว่า การออกเสียง -edน้องๆ คงเคยสับสนเกี่ยวกับการออกเสียง -ed กันมาแล้ว ว่าคำไหน ควรออกเสียงลงท้าย -ed หรือไม่ออกกันแน่ ซึ่งจริงๆ แล้ววิธีการออกเสียงท้ายพยางค์ของ -ed มีทั้งหมด 3 แบบ
สามารถฝึกออกเสียง ED ในภาษาอังกฤษเพิ่มเติมได้ที่: ออกเสียง ED ยังไงให้คะแนน Speaking IELTS 7.0 การออกเสียง -s, -esน้องๆ หลายคนอาจจะเคยงงกันว่า หากคำศัพท์เติม -s หรือ -es จะมีวิธีการออกเสียงอย่างไร โดยมีเทคนิคในการสังเกตได้จาก 3 ลักษณะ ดังนี้
เทคนิคที่ 2 รู้จักเสียงสระ (Vowels)น้องๆ หลายคนจะคุ้นเคยว่า สระในภาษาอังกฤษมีทั้งหมด 5 ตัว คือ a, e, i, o, u แต่ในทางสัทศาสตร์ เสียงสระในภาษาอังกฤษสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ สระเดี่ยว (Monophthong) และสระประสม (Diphthong) ซึ่งจะมีเสียงที่แตกต่างกันทั้งสิ้นจำนวน 20 ตัว ดังนี้ สระเดี่ยว
สระประสม
เมื่อรู้วิธีการอ่านออกเสียงทั้งพยัญชนะ และ สระ เรียบร้อยแล้ว ในการฝึกเทคนิคออกเสียงภาษาอังกฤษให้เหมือนกับเจ้าของสำเนียง ให้ลองนำพยัญชนะ + สระ มารวมกัน เช่น pet เมื่อเราอ่านออกมาจะได้คำว่า พ-เอะ-ท อ่านว่า [เพ็ท] หรือ bat = /bæt/ จะได้คำว่า บ-แอ-ท อ่านว่า [แบท] นั่นเอง เทคนิคที่ 3 รู้จักลงน้ำหนักเสียงหนัก-เบา (Stressed and Unstressed) ตามแต่ละพยางค์ในการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษ จะต้องเรียนรู้วิธีการลงน้ำหนักเสียงหนักและเสียงเบาในแต่ละพยางค์ รวมถึงการเลือกใช้น้ำเสียงในแต่ละประโยคให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถพูดคุยกับเจ้าของภาษาได้อย่างถูกต้อง น้องๆ ที่อยากมีสำเนียงเหมือนเจ้าของภาษาจะต้องเข้าใจเรื่องของ Word Stress และ Intonation ให้ดีก่อน Word StressWord Stress คือ การเรียนรู้การออกเสียงโดยเลือกใช้น้ำเสียงหนักหรือเสียงเบาตามแต่ละพยางค์ ในหนึ่งคำสามารถมีทั้งเสียงหนักและเสียงเบาได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเสียงเดียวกันทั้งประโยค หรือทั้งคำ
น้ำเสียง หรือทำนองเสียง (Intonation)น้ำเสียง (Intonation) หรือทำนองเสียง เป็นสิ่งที่จำเป็นในการสื่อสาร ใช้บ่งบอกอารมณ์ และความรู้สึก ซึ่งจะทำให้เข้าใจบริบทที่ต้องการจะสื่อออกมา มีทั้งหมด 2 รูปแบบ
เทคนิคที่ 4 รู้จักการใช้เสียงเชื่อมให้เหมือนเจ้าของภาษา (Linking Sounds)โดยปกติเจ้าของภาษามักออกเสียงเชื่อมระหว่างคำเป็นหลัก ไม่นิยมพูดแยกเป็นคำๆ เน้นพูดให้คล่องปาก ไม่ติดขัด ทำให้ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาฟังไม่ทัน หรืออาจจับใจความประโยคได้ไม่ครบถ้วน ดังนั้น หากอยากมีสำเนียงเหมือนเจ้าของภาษา จะต้องใช้เสียงเชื่อม (Linking Sound) ให้เป็น โดยหลักการเชื่อมนั้น จะดูจากพยัญชนะท้ายของคำ ผสมกับเสียงสระของอีกคำหนึ่งเข้าด้วยกัน เช่น พยางค์ตามหลังเป็นเสียงสระ เช่น -ing คำว่า running หากอ่านแยกจะอ่านออกเสียงว่า รัน-อิง แต่เจ้าของภาษามักพูดเชื่อมเสียงว่า รัน-นิง เทคนิคที่ 5 หาตัวช่วยด้วยการลงเรียนกับผู้เชี่ยวชาญ (Consultants and Professional)ในโลกปัจจุบัน มีตัวเลือกในการฝึกภาษาอังกฤษมากมาย ทั้งหนังสือสอนอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษหรือแม้แต่การเริ่มฝึกอ่านออกเสียงด้วยตนเอง แต่ที่จริงแล้วนั้น การฝึกด้วยตนเองเพียงอย่างเดียว อาจเกิดความคลาดเคลื่อนในการออกเสียงที่ถูกต้องได้ เนื่องจากไม่ได้ฝึกพูดกับเจ้าของภาษาโดยตรง ดังนั้น การหาตัวช่วยด้วยวิธีการลงเรียนกับผู้เชี่ยวชาญหรือเจ้าของภาษา จะช่วยยกระดับการอ่านออกเสียงและสำเนียงภาษาอังกฤษได้อย่างดี |