ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อเดือน

หลายท่านคงจะทราบดีอยู่แล้วว่า การคิดดอกเบี้ยโดยทั่วไป กฎหมายอนุญาตให้เจ้าหนี้สามารถคิดดอกเบี้ยลูกหนี้ได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่ห้ามเกินร้อยละ 15 ต่อปี   และหากในสัญญากำหนดให้ลูกหนี้ต้องชำระดอกเบี้ยแต่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ว่าต้องคิดเท่าใด หรือเป็นหนี้อันเกิดจากมูลละเมิด ซึ่งหมายถึง การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้บุคคลอื่นเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือชื่อเสียง เป็นต้น มาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (เดิม) ให้เจ้าหนี้สามารถคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี 

เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2564 ได้มีการประกาศให้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 ทำให้มีการแก้ไขการคิดอัตราดอกเบี้ยในสัญญาที่กำหนดให้ลูกหนี้ต้องชำระดอกเบี้ยแต่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ว่าต้องคิดเท่าใด และกำหนดวิธีการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดในหนี้ที่ลูกหนี้มีหน้าที่ผ่อนชำระเป็นงวดให้มีความชัดเจนและเป็นธรรมต่อลูกหนี้มากยิ่งขึ้น   โดยกำหนดว่าเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในงวดใด เจ้าหนี้สามารถคำนวณจำนวนดอกเบี้ยผิดนัดได้เฉพาะจากต้นเงินของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้วเท่านั้น

การคิดดอกเบี้ยกรณีสัญญากำหนดให้ลูกหนี้ต้องชำระดอกเบี้ยแต่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ย มาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งถูกแก้ไขใหม่ตามพระราชกำหนดดังกล่าว ให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี   การแก้ไขอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวมีผลใช้บังคับกับหนี้ที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับ คือวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2564   ดังนั้น สัญญาที่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยชัดแจ้งซึ่งได้ทำขึ้นก่อนวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2564 สามารถคิดดอกเบี้ยในอัตราเดิมที่ร้อยละ 7.5 ต่อปี ได้ถึงวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2564  และตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยในสัญญาดังกล่าวจะลดลงเหลือร้อยละ 3 ต่อปี 

ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อเดือน

อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับการแก้ไขตามพระราชกำหนดดังกล่าวไม่กระทบถึงอัตราดอกเบี้ยที่คู่สัญญากำหนดไว้ชัดเจนในสัญญา และไม่กระทบถึงคดีที่มีการยื่นฟ้องและศาลมีคำพิพากษาไปแล้วก่อนวันที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับ   แต่หากคดียังไม่ถึงที่สุด ลูกหนี้ตามคำพิพากษาอาจจะใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายที่ถูกแก้ไขได้

สำหรับลูกหนี้ซึ่งต้องชำระดอกเบี้ยแต่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ หรือเป็นหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดที่ผิดนัดนั้น พระราชกำหนดดังกล่าวได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ให้คิดอัตราดอกเบี้ยตามมาตรา 7 คือ ร้อยละ 3 ต่อปี บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เท่ากับร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งไม่กระทบถึงอัตราดอกเบี้ยที่คู่สัญญากำหนดไว้ชัดเจนในสัญญา   ส่วนเจ้าหนี้ในมูลละเมิดสามารถเรียกดอกเบี้ยผิดนัดในค่าสินไหมทดแทนได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่มีการทำละเมิดถึงวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2564 และเรียกได้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป   นอกจากนี้ เจ้าหนี้ไม่สามารถคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ แต่สามารถพิสูจน์ค่าเสียหายอื่น ๆ จากการผิดนัดของลูกหนี้ได้ เช่น การที่เจ้าหนี้ขาดประโยชน์ในการนำบ้านเช่าซึ่งอยู่ในการครอบครองของลูกหนี้ออกให้บุคคลอื่นเช่า ลูกหนี้ต้องรับเป็ดชดใช้ค่าเสียหายในส่วนของค่าขาดประโยชน์ให้เจ้าหนี้ เป็นต้น และไม่กระทบถึงคดีที่มีการยื่นฟ้องและศาลมีคำพิพากษาไปแล้วก่อนวันที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับ   แต่หากคดียังไม่ถึงที่สุด ลูกหนี้ตามคำพิพากษาอาจจะใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายที่ถูกแก้ไขได้
 

พระราชกำหนดดังกล่าวได้มีการเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224/1 โดยกำหนดว่าเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในงวดใด ให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดได้เฉพาะจากต้นเงินของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดเท่านั้น   เจ้าหนี้ไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยผิดนัดจากต้นเงินที่ยังคงค้างชำระทั้งหมดได้   หากมีข้อตกลงในสัญญาที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันที่กำหนดให้เจ้าหนี้สามารถคิดดอกเบี้ยผิดนัดในแต่ละงวดจากต้นเงินที่ค้างชำระทั้งหมด ข้อตกลงในส่วนนั้นให้ตกเป็นโมฆะ   แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและร้องขอต่อศาลให้บังคับลูกหนี้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ทั้งหมด   ดังนั้น ข้อตกลงที่ว่าหากลูกหนี้ผิดนัดงวดใดงวดหนึ่ง เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ทั้งหมด จึงไม่ขัดกับมาตรา 224/1 และไม่ถือว่าเป็นกรณีที่ลูกหนี้มีหน้าที่ผ่อนชำระเป็นงวดอีก 

แม้ว่าคู่สัญญาจะทำสัญญาก่อนวันที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับ หากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ในวงดใดที่ถึงกำหนดชำระหลังวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2564 เจ้าหนี้สามารถคิดดอกเบี้ยผิดนัดในงวดนั้นได้เฉพาะจากต้นเงินนั้นเท่านั้น 

ตัวอย่างการคิดดอกเบี้ยผิดนัด ตามมาตรา 224/1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์   ลูกหนี้กู้เงินเจ้าหนี้ จำนวน 1,200,000 บาท โดยตกลงผ่อนชำระเป็นงวด งวดละเดือน เดือนละ 100,000 บาท จำนวน 12 งวด กำหนดอัตราดอกเบี้ยและดอกเบี้ยผิดนัดที่ร้อยละ 15 ต่อปี   หากลูกหนี้ผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวมา 4 งวด เมื่อถึงงวดที่ 5 ลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้จะสามารถคำนวณจำนวนดอกเบี้ยผิดนัดในงวดที่ 5 จากต้นเงินของงวดที่ 5 คือ 100,000 บาท เท่านั้น
 

บทความโดย วิทวัส  ออรัตนชัย

สัญญากู้ยืมเงินเป็นนิติกรรม 2 ฝ่าย เกิดขึ้นด้วยการแสดงเจตนาตรงกัน ของคู่สัญญา ดังนั้น คู่สัญญาจะตกลงกันว่า จะกู้ยืมเงินจำนวนเท่าใด จะคิดดอกเบี้ยต่อกันหรือไม่ ถ้าตกลงว่าจะคิดดอกเบี้ย จะต้องไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งเมื่อมีการส่งมอบเงินที่กู้ยืม สัญญากู้ยืมเงินก็จะบริบูรณ์หรือ สมบูรณ์ตามกฎหมาย

กรณีหลักฐานการกู้ยืมเงิน และการชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ยืมนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 653 บัญญัติไว้ว่า

 

การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

 

ในการกู้ยืมเป็นหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐาน เป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐาน แห่งการกู้ยืมนั้น ได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

 

สำหรับเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันว่าไม่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน ก็ต้องเป็นไปตาม ข้อตกลง คือไม่ต้องเสียดอกเบี้ยถ้าคู่สัญญาตกลงกันว่า จะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน แต่ไม่ได้กำหนด อัตราดอกเบี้ยไว้อย่างชัดแจ้ง กฎหมายกำหนดให้ เสียดอกเบี้ยให้แก่เจ้าหน้าที่(ผู้ให้กู้) ในอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า "ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน และมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบท กฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี"

 

คำพิพากษาฏีกา ที่ 497/2506 สัญญากู้มีข้อความว่า "จำเลยยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ตาม กฎหมาย" ถือว่ามีอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี 

 

คำพิพากษาฏีกา ที่ 3708/2528 สัญญากู้ระบุเรื่องดอกเบี้ยไว้เพียงว่า "ยอมให้ดอกเบี้ยตาม กฎหมายอย่างสูง" ข้อความดังกล่าวไม่ได้กำหนด อัตราดอกเบี้ยไว้โดยชัดแจ้งว่าเป็นอัตราอย่างสูง เท่าใด ต้องตีความในทางเป็นคุณแก่ฝ่ายลูกหนี้ คือ อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

 

การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 บัญญัติว่า "ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ สิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี" ซึ่ง มาตรา 654 นี้ อยู่ในบรรพ 3 ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2474 แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 ได้มีพระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ประกาศใช้บังคับ ซึ่ง มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติว่า

 

บุคคลใดให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ มีความผิดฐานเรียก ดอกเบี้ยเกินอัตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

 

ดังนั้น การกู้ยืมเงินโดยตกลงคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยนี้ไม่ชอบด้วย กฎหมายที่กำหนดว่าเป็นความผิดและมีโทษอาญา ดอกเบี้ยจึงเป็นโมฆะทั้งหมด ไม่ใช่เป็นโมฆะเฉพาะดอกเบี้ยส่วนที่เกินร้อยละ 15 ต่อปี

 

คำพิพากษาฎีกา ที่ 567/2536 เมื่อโจทก์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลยซึ่งเป็นผู้กู้อัตราร้อย 19.5 ต่อปี ซึ่งเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 ข้อกำหนด อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียก ดอกเบี้ยจากจำเลยตามสัญญา

 

คำพิพากษาฎีกา ที่ 1452/2511 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงิน 14,000 บาท จำเลยให้การว่า กู้และรับเงินเพียง 10,000 บาท จำเลยชำระแล้ว ส่วนอีก 4,000 บาท โจทก์เอาดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน จำนวน 8 เดือน มารวมเข้าเป็นเงินต้น เป็นคำให้การที่ต่อสู้ว่าหนี้ตามสัญญากู้ จำนวน 4,000 บาท ไม่สมบูรณ์ จำเลยนำสืบได้ และเมื่อฟังได้ตามคำให้การ ดอกเบี้ย 4,000 บาท เป็นดอกเบี้ยที่เกินอัตราตกเป็นโมฆะทั้งหมด ไม่ใช่เป็นโมฆะเฉพาะส่วนที่เกิน และเมื่อจำเลยชำระหนี้ 10,000 บาท ให้แก่โจทก์แล้ว หนี้เป็นอันระงับสิ้นไป

 

คำพิพากษาฎีกา ที่ 5781/2533 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำนวน 84,000 บาท แต่โจทก์นำสืบรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้จำนวนดังกล่าว เมื่อจำเลยให้การว่า เป็นหนี้โจทก์ จำนวน 33,000 บาท โดยได้ความว่า เป็นหนี้ต้นเงิน 10,000 บาท ส่วนที่เหลือเป็น ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงิน 10,000 บาทได้ ส่วนเงินอีก 23,000 บาท เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงตกเป็นโมฆะแม้จำเลยจะให้การยอมรับ จะชำระหนี้เงินจำนวนนี้ ก็บังคับให้ไม่ได้

ความผิดตาม พระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพุทธศักราช 2475 ฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นคดีอาญาแผ่นดิน ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ 

 

ดังนั้น นายทุนเงินกู้ทั้งหลาย ที่เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี หรือเกินกว่าร้อยละ 5 สลึงต่อเดือน ต้องพึงสังวรไว้