Jojo โจโจ ล าข ามศตวรรษ เล ม 1-80

บทความนี้ผมเริ่มเขียนตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว เพราะอยากจะทำบทวิเคราะห์สิ่ง ที่อยากจะเขียนถึงโจโจ้ตั้งแต่ภาค 1-8 และอยากจะเขียนยาวๆอย่างที่ใจคิดมา นานแล้วนะครับ ฉะนั้นขอบอกก่อนว่าบทความนี้ยาวมาก ขอบพระคุณเพื่อนๆ ชาวพันทิปที่คลิกเข้ามาอ่านบทความของผมจนจบทุกคนด้วยนะครับ

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว ของผมเท่านั้น และในเนื้อหามีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญในการ์ตูน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

Jojo โจโจ ล าข ามศตวรรษ เล ม 1-80

เจาะลึก "โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ : Part 1 Phantom Blood" (ฉบับสมบูรณ์)

"สิ่งที่ยิ่งใหญ่มักจะเริ่มจากจุดเล็กๆ"

ประโยคนี้นายแอนดรอยด์ เดวิด ในหนัง Prometheus ได้กล่าวเอาไว้ ...แม้แต่การ์ตูนมังงะ เองก็เริ่มต้นขึ้นมาจากการประกอบลายเส้น หมึกดำ และไอเดียในหัวคนเขียนเหมือนกันหมด ทุกเรื่อง แต่มันจะกลายเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตได้หรือเปล่านั้นมันช่างยากเย็น หากไม่ แน่จริงการ์ตูนเรื่องนั้นคงจะแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่แน่นอนว่าไม่ใช่กับโจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ เรื่องนี้แน่ๆ อย่างที่เห็นอยู่ว่าตอนนี้มันดำเนินอยู่ในภาคที่ 8 แล้ว ดังนั้นผมจึงขอพูดถึงจุดเริ่มต้น ของตำนานล่าข้ามศตวรรษเรื่องนี้กันนะครับ

ในคิ้วเล่มตอนสมัยช่วง Stone Ocean อ.อารากิ เคยพูดถึงการได้พบกับบรรณาธิการ คนแรกที่ได้อ่านและแสดงความเห็นต่อต้นฉบับของโจโจ้ภาคแรกในตอนนั้น แนวคิด ของของเขาคนนั้นยิ่งใหญ่และส่งผลกระทบต่อการทำงานของ อ.อารากิ มาก หากเขา ได้พบกับคนอื่น แนวคิดที่ได้รับอาจจะไม่เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้เลยก็ได้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ตอนสมัยแรกๆก่อนจะเขียนโจโจ้นั้น สไตส์การเล่าเรื่องของอาจารย์อารากิ ก็ใช่ว่าจะ โดดเด่นกว่ามังงะเรื่องอื่นๆในยุคเดียวกัน ตอน Magic Boy B.T หรือ Baoh Raihosha การดำเนินเรื่องมันก็ยังคงตามสูตรเดิมๆสไตส์มังงะในยุคนั้นอยู่ แต่พอมาถึงโจโจ้ภาคแรก สไตส์ของ อ.อารากิ ก็ชัดเจนและมีกลิ่นอายความยิ่งใหญ่ในตัวอย่างเห็นได้ชัดกว่าผลงาน ก่อนๆมาก ซึ่งคงต้องขอบคุณบรรณาธิการคนนั้นล่ะครับ

อย่างที่ทราบกันดีนะครับว่า โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ภาค 1 สายเลือดมรณะ นี้ เป็นโจโจ้ภาคที่สั้นที่สุด คือมีความยาวเพียง 5 เล่มเท่านั้น และถูกเขียนขึ้นใน ช่วงเวลาที่ อ.อารากิ ยังเป็นมือใหม่ในวงการ ที่พึ่งจะมีผลงานออกมาไม่มากนัก โจโจ้ภาคแรกจึงเป็นเหมือน "บทพิสูจน์" ในฝีมือที่แท้จริงของ อ.อารากิ เลยที เดียวว่าเขาจะเอาอยู่กับจุดเริ่มต้นนี้หรือไม่ เพราะตอนนั้น อ.อารากิ ได้คิดไว้ล่วง หน้าแล้วว่ามันจะเป็นการ์ตูนเรื่องยาวที่ดำเนินเรื่องไปหลายภาค หลายยุคสมัย พร้อมกับใส่คำว่า "ภาค 1" ลงไปในตอนแรกเสร็จสรรพ เหมือนจะบอกคนอ่าน ไปเลยทีเดียวว่านี่เป็นเรื่องราวปฐมบทนะจ๊ะ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

"The Miracle Energy"

ในโจโจ้ภาคแรกเล่าเรื่องแบบพีเรียด ใช้ยุควิคตอเรียในอังกฤษเป็นฉากหลัง เปิดเรื่อง ด้วยเรื่องราวดราม่าในครอบครัว ผสมกับความลึกลับของตำนาน ความสยองของสิ่ง เหนือมนุษย์ ผ่านลายเส้นขึงขังและการต่อสู้หนักแน่น ...สิ่งเหล่านี้ถูกเอามายำรวมกัน จนออกมาเป็นโครงเรื่องหลักๆที่ใช้ในภาค 1 แม้ตัวละครหรือโครงเรื่องจะมี Reference จากหลายสิ่ง แต่ก็พูดได้เลยว่า โจโจ้ภาคแรกนั้นมีอัตลักษณ์ที่ต่างจากมังงะในยุคเดียว กันมากพอสมควร ซึ่งด้วยความต่างนี้ มันก็ส่งผลทั้งดีและเสียให้โจโจ้เหมือนกันนะครับ

สิ่งที่ส่งผลลบสำหรับภาคแรก คงน่าจะเป็นดังนี้ครับคือ 1) ลายเส้นของ อ.อารากิ ในช่วงนั้นค่อนข้างรกไปด้วยเส้นหนาทึบจะการลงดำที่พรืดไปหมด มีหลายตอนที่ แบ่งช่องแบบอัดกันแน่น ..หลายคนพอเจอลายเส้นหนาสไตส์โบราณแบบนี้ ก็แทบ จะเบือนหน้าหนี เพราะมันดูไม่สะอาดตา แต่มันก็เป็นสเน่ห์ของในภาคแรกๆนะครับ ซึ่งในยุคนี้คงไม่มีใครมาวาดเส้นแบบนี้แล้ว

  1. การดำเนินเรื่องที่เชื่องช้า ภาคแรกใช้เวลาปูเรื่องนาน ผ่านไป 1 รวมเล่มแล้วพึ่ง จะเข้าเรื่องหลักๆเอง ซึ่งแบบนี้ไม่น่าจะมีปัญหากับคนอ่านในยุคนั้น แต่สำหรับวัยโจ๋ ที่คุ้นชินกับการดำเนินเรื่องฉึบฉับว่องไว คงมีน้อยคนนักที่จะอดทนอ่านไปจนถึงจุด พลิกผันของเรื่องได้ ถ้าโจโจ้ภาคแรกเป็นการ์ตูนยุคนี้ ไม่รู้ว่ามันจะรอดจากการตัด จบมาหรือเปล่าเนี่ยสิ? ทั้งๆที่ว่าตามจริงแล้ว บทดราม่าในช่วงแรกๆมันดีไม่น้อยเลย (เพราะเหตุนี้พอมันมาเป็นอนิเมะ จึงถูกรวบรัดสรุปใจความในตอนเดียวไปเลย เพื่อจะได้มีเวลาเล่าเรื่องหลักๆได้เต็มที่)

แต่พอผ่านช่วงดราม่าน้ำเน่าในช่วงแรกๆมาได้ ทีนี้ก็จะเข้าสู่การผจญภัยสนุกๆกันแล้ว ความเนิบนาบเชื่องช้าในตอนต้นๆหายไปหมด ...แต่ก็อย่างที่ทราบนะครับว่าฉากบู๊ ในภาคแรก มันไม่ได้เป็นฉากต่อสู้ที่ผสมไหวพริบและการพลิกแพลงสถานการณ์แบบ ในภาคหลังๆ ส่วนใหญ่ฉากต่อสู้จะตัดสินด้วยกำลัง ใครเหนือกว่าก็ชนะ ดังนั้นฉากบู๊ ในภาคนี้เลยไม่ได้มีอะไรให้เอาทึ่งเท่าไหร่ แต่ก็ชดเชยด้วยเหล่าวิชาพิสดารทั้งหลาย ที่มาพร้อมกับคำอธิบายถึงหลักการต่างๆทำให้ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในฉากต่อสู้มันน่า สนใจไปหมด เช่น การอธิบายหลักการของพลังคลื่นมนตรา วิชาระเหยน้ำแข็งของ ดีโอ การเปรียบเทียบผมของบราฟอร์ดกับใบไมยราพ รวมถึงบทบรรยายถึงเหตุการณ์ และหน้าประวัติศาสตร์ต่างๆให้เราเข้าใจได้ทันที ซึ่งก็นับว่าเป็นเอกลักษณ์อย่าง หนึ่งที่ส่งผลมาถึงภาคหลังๆด้วยเช่นกัน

ที่สำคัญคือ โจโจ้ภาคแรกสามารถสร้างฉากการตายของตัวละครได้อย่างน่า จดจำทุกตัว ทั้งการตายของเซเปลี่ซัง แม้แต่ตัวละครบทเล็กๆอย่าง ไดเออร์ ก็สามารถตายได้อย่างน่าจดจำ ...ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือบทสรุปการตายของ โจนาธาน ที่นับว่าเป็นจุดหักมุมที่น่าตกใจ และสะเทือนใจ เพราะคงไม่คิดว่าฮีโร่ อย่างโจนาธานจะต้องมาตายตอนจบแบบนี้ ..แต่ก็เป็นการจบที่ทิ้งประกายความ หวังเอาไว้ ที่ อ.อารากิ จบลงได้อย่างทรงพลัง และน่าติดตาม จนเป็นส่วนที่ ทำให้โจโจ้ภาคแรกเป็นที่จดจำ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

"Fire and Ice"

สำหรับตัวละครเอกในภาคนี้ ส่วนตัวผมไม่คิดว่าโจนาธานคือพระเอก แล้วดีโอ จะเป็นบอสนะครับ เพราะจะว่าไปบทบาทของสองคนนี้ก็ตีคู่กันมาตั้งแต่แรก ถ้านับเอาความดึงดูดของบทบาทแล้วดีโอดูจะโดดเด่นกว่าโจนาธานด้วยซ้ำไป ผมเลยขอถือว่าสองคนนี้คือตัวเอกทั้งคู่ ที่มีชะตากรรมร่วมกันไปจนจบ อีกคน เป็นแสงสว่าง ส่วนอีกคนเป็นความมืด อันเป็นชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ระหว่าง ขาวและดำ ...ลองสมมุตรให้ดีโอ เอาหน้ากากศิลาไปใส่ให้โจนาธานได้ดูสิครับ แน่นอนว่าเนื้อหามันคงจะกลายเป็น "บาโอ ภาค 2" ที่โจนาธานกลายเป็นปีศาจ ที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ส่วนดีโอก็เป็นชายธรรมดาที่มีอำนาจมาต่อสู้กับโจนาธาน แน่นอน (ดีที่ อ.อารากิ ไม่หักดิบแบบนั้น) ...ส่วนตัวละครสมทบอย่าง เซเปลี่ซัง, สปีดวาก้อน, เอริน่า, บราฟอร์ด, ทาลูคัส ต่างก็ออกมาเพื่อส่งเสริมเรื่องราวของ ตัวละครเอกทั้งสองได้เป็นอย่างดี ภายในระยะเวลาการผจญภัยที่สั้นแค่ 5 เล่มนี้

จะว่าไปแล้ว "ความจืดของโจนาธาน" อาจจะดูน่าเบื่อสำหรับคนอ่านวัยรุ่น แต่พอ ลองมองย้อนกลับไป มันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้โจนาธานดูโดดเด่น กว่าตัวเอกทุกคน ไปซะแล้ว เพราะในสมัยนี้จะหาคาแรคเตอร์ที่เป็นสุภาพบุรุษโดยเนื้อแท้ ทำทุกอย่าง เพื่อความถูกต้องโดยไม่เห็นแก่ตนเองแบบนี้มันยากแล้ว เพราะเราก็รู้แก่ใจดีว่าใน โลกนี้มันไม่มีอะไรเป็นสีดำหรือขาวไปเลยชัดเจน ไม่มีใครดีหรือชั่วไปซะหมด การมีคาแรคเตอร์คนดีแสนดีแบบโจนาธานเป็นตัวเอกมันก็คงคล้ายๆกับจะบอกว่า โลกเราใบนี้ยังไงซะ ธรรมะก็ต้องชนะอธรรมอยู่ดี ...แม้แต่ตัวดีโอเองก็ถือกำเนิด ขึ้นมาจากความเศร้า ความเคียดแค้นต่อโชคชะตา ทำให้เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อ ให้ได้มาซึ่งอำนาจ ...หลังจากได้อ่านนิยาย Over Heaven ปุ๊บจากที่ผมเคยมอง ว่าดีโอนั้นเลวโดยสันดาน อย่างที่สปีดวาก้อนบอก ก็ทำให้ผมเปลี่ยนความคิด แทบไม่ทัน ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ดีโอจะไม่เคียดแค้นโลกใบนี้เลย เพราะมัน ไม่คุ้มกันเลยถ้าเขาจะให้อภัยความโหดร้ายที่ตัวเองเผชิญมาทั้งชีวิตได้ง่ายๆ ...ดีโอจะเป็นคนดีก็ได้ เพราะตัวเขาเองก็เป็นคนมีศักดิ์ศรีและเคารพความ กล้าหาญของศัตรู แต่มันก็สายเกินกว่าที่จะหันหลังกลับแล้ว

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

"Into Oblivion"

สารภาพตามตรงว่า สมัยเด็กๆนั้นผมไม่ชอบภาค 1 เลยครับ เคยคิดว่าเป็น ภาคที่ห่วยที่สุดด้วยซ้ำ เพราะเด็กที่โตมากับมังงะลายเส้นสะอาดๆ พอมา เจอลายเส้นดุดันแบบนี้ ทำให้มันทำใจลำบากมากที่จะอ่านจนจบ ...แต่พอ อายุมากขึ้น ผมก็เริ่มมีทัศนคติที่ดีกับลายเส้นและเนื้อหาโบราณแบบนี้มากขึ้น จนพอได้ลองคิดวิเคราะห์ถึงสิ่งต่างๆในภาคแรกก็ทำให้เห็นอะไรๆหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องดราม่าในช่วงต้นๆที่เข้มข้น พอเข้าสู่ช่วงพลิกผัน กลางๆเรื่อง ก็จะเข้าสู่เรื่องแนวชะตากรรมที่หลีกไม่พ้นที่สุดจะน่าติดตาม ทำให้เริ่มชอบภาค 1 มากขึ้นไปเลย จนในที่สุดผมก็รวบรวมสิ่งที่อยากเขียน ถึงโจโจ้ภาคนี้ออกมาเป็นบทความยาวๆอันนี้นี่เองครับ

การจะบอกว่าโจโจภาคแรกเป็นแค่จุดเริ่มต้นที่ไม่มีความหมายอะไรนอกจาก การเป็น "ภาคแรก" นั้น มันคงจะเป็นการดูแคลนกันไปหน่อย เพราะในฐานะ นักเขียนการ์ตูนมือใหม่ที่มีผลงานฮิตเงียบๆในมาก่อน นี่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ที่สนุกและมีสเน่ห์มาก และกลายเป็นตำนานมังงะในยุคปลายๆ 80 หน้าหนึ่ง จนทุกวันนี้ยังมีการพูดถึง หรือโดนล้ออยู่เนืองๆ ...และอย่างน้อยมันก็คือบท พิสูจน์ว่า อ.ฮิโรฮิโกะ อารากิ เป็นนักเขียนการ์ตูนที่มีฝีมือในการเล่าเรื่องที่สนุก และมีชั้นเชิงการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์นั่นคือ การหยิบสิ่งที่ตนเองสนใจ และชื่นชอบ มาผสมรวมกันจนออกมาเป็นการ์ตูนโชเนนรสชาติแปลกลิ้น ที่สนุกและมีแนวคิดที่เป็นตัวของตัวเองสูง ..ถ้าเปรียบเป็นอาหารคงเป็นอาหาร ออเดิร์ฟ ที่แม้จะไม่ได้อร่อยเลิศรส แต่ก็รสชาติดีพอจะทำให้เรารอที่จะทาน อาหารจานต่อไปได้ล่ะครับ

เพราะการผจญภัยบทใหม่ของโจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ จะถึงจุดเปลี่ยนสำคัญก็ ในภาคต่อไปนี่เอง... ปฎิเสธไม่ได้เลยนะครับว่าโจโจ้ได้เปลี่ยนจากการ์ตูนเนื้อ หาง่ายๆเนิบๆไปเป็นการ์ตูนแอ็คชั่นฉับไวเปี่ยมสไตส์อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สาเหตุเพราะความสนุกและสเน่ห์ของพระเอกที่ชื่อ "โจเซฟ โจสตาร์" ในภาคที่สองนั่นเอง...

(To Be Continued >>>)