12 25ยกระด บมาตรฐานฝ ม อคร วไทยส คร วโลก

นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่เพิ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เป็น “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร “ตื่นแล้ว” ครับ ลุกขึ้นมาตั้งคำถามถึง “ความเป็นธรรม” เรื่อง “นักโทษชั้น 14”

  1. นายชัยธวัชกล่าวว่า “ขณะนี้คุณทักษิณอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจจะครบ 120 วันแล้ว มันก็เกิดคำถามว่าทำไมคุณทักษิณถึงได้รับการปฏิบัติที่ดูเหมือนมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าผู้ต้องขังคนอื่น เราเห็นด้วยว่าหากผู้ต้องขังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ จำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาล โดยที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์มีศักยภาพไม่เพียงพอ เราเห็นด้วยว่าผู้ถูกคุมขัง ควรได้รับสิทธิ์ออกไปรักษาข้างนอกได้ แต่ที่ผ่านมามีผู้ต้องขังน้อยมาก ที่ได้รับสิทธิ์นี้ ผู้ต้องขังหลายคนมีปัญหาสุขภาพรุนแรง แต่ก็ไม่ได้รับสิทธิ์นี้”

นายชัยธวัช กล่าวว่า คนที่ได้รับสิทธิ์นี้ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมือง มีฐานะ แต่คนธรรมดาไม่เคยได้รับสิทธิ์นี้เลย จึงเกิดคำถามว่าทำไมนายทักษิณได้รับสิทธิ์นี้เพียงคนเดียว รักษามา 120 วันแล้ว ทำไมถึงได้รับสิทธิ์นี้อยู่ เรื่องนี้รัฐบาลไม่ควรปล่อยไว้ควรตอบสังคมให้ชัดเจน และเรื่องนี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามกับระเบียบราชทัณฑ์ที่ออกมาใหม่ เพราะปรากฏการณ์นี้ทำให้คนจำนวนหนึ่งสงสัยว่า ระเบียบที่ออกมาใหม่จะเอื้อให้กับนายทักษิณแบบ2 มาตรฐานอีกหรือไม่

“การควบคุมตัวผู้ต้องขังนอกเรือนจำเป็นเรื่องที่ดี และควรทำมานานแล้ว หลายประเทศที่พัฒนาแล้วก็มีการพัฒนากระบวนการพวกนี้ เพื่อลดจำนวนผู้ต้องขังอยู่ในเรือนจำ แต่หากระเบียบนี้จะถูกใช้ในแบบ 2 มาตรฐาน มีใครได้รับอภิสิทธิ์เพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่ ต้องเข้าใจสังคมว่า ทำไมสังคมถึงตั้งคำถามแบบนี้”

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า รัฐบาลควรตอบคำถามให้ชัดทั้ง 2 กรณี เพื่อให้สังคมสบายใจ ว่าเรื่องนี้ทุกคนจะได้รับสิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรม เสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้ได้รับอภิสิทธิ์ เหนือคนอื่น นอกจากนี้ระเบียบก็ยังมีปัญหา เช่น ไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าใครจะได้รับสิทธิ์พิจารณาคุมตัวนอกเรือนจำบ้าง แต่ใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ล้วนๆ ถึงมีปัญหาทั้ง เรื่องนายทักษิณและระเบียบที่หละหลวม

เมื่อถามว่าเรื่องการเปิดเผยข้อมูลโรค รวมถึงการรักษาหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ข้อมูลสุขภาพ เป็นข้อมูลส่วนบุคคล แต่กรมราชทัณฑ์ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า มีเหตุผลที่ฟังได้อย่างไร ว่าทำไมนายทักษิณถึงมีสิทธิ์อยู่โรงพยาบาลเกือบจะ 120 วัน ไม่เหมือนกับนักโทษคนอื่นที่อาจจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพรุนแรง

เมื่อถามว่าหากรัฐบาลยังเงียบ นายชัยธวัช กล่าวทันทีว่า แน่นอนว่า ฝ่ายค้านจะต้องตรวจสอบแน่นอน ตนคิดว่าฝ่ายบริหาร ควรตอบสังคมให้ได้ในเรื่องนี้ อย่าเงียบและคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก

  1. ในการประชุมวุฒิสภา นพ.เจตน์ ศิรธารานนท์ สมาชิกวุฒิสภา ลุกขึ้นหารือต่อที่ประชุมฯ เพื่อตั้งคำถามไปถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม รวมถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อการออกระเบียบของกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการคุมขังนอกเรือนจำ ว่า เป็นการออกระเบียบเพื่อช่วยเหลือคนคนเดียวหรือไม่ เนื่องจากระเบียบดังกล่าวไม่เคยมีมาก่อน และส่อเอื้อกับนักโทษที่ได้รับฉายาว่า นักโทษเทวดา พักที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ หรือไม่ เนื่องจากขณะนี้จะครบกำหนดการพักรักษาตัวนอกเรือนจำ 120 วัน ในวันที่ 22 ธ.ค.นี้

“ถือว่าเป็นอภิสิทธิ์ชนที่แม้จะได้รับการลดโทษ แต่ไม่ถูกติดคุก อีกทั้งที่ผ่านมาไม่เคยมีคำชี้แจงว่าป่วยหนักอย่างไรถึงได้นอนนอกเรือนจำ ซึ่งกรณีดังกล่าวถือเป็นความเสื่อมของกระบวนการยุติธรรม และขัดต่อหลักนิติธรรมที่ต้องปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเสมอภาค”

นพ.เจตน์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้สังคมสงสัยว่าจะได้ติดคุกจริงบ้างหรือไม่ เนื่องจากได้รับการลดโทษ เหลือ 1 ปี และเข้าเกณฑ์ผู้สูงวัย มีโรคประจำตัว ทั้งนี้ อาการป่วยหนักจนต้องรักษาตัวนอกเรือนจำ ไม่ระบุรายละเอียดที่ชัดเจน ส่วนที่เปิดเผยโรคที่ผ่านมา ถือเป็นโรคทั่วไปที่เป็นโรคประจำตัวของคนสูงวัยและประชาชนทั่วไป

“แม้จะถามแพทย์ใหญ่ สตช. กรมราชทัณฑ์ ไม่เปิดเผยอ้างเป็นสิทธิของผู้ป่วย ดังนั้น อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ต้องรับผิดชอบ ฐานที่ทำลายกระบวนการยุติธรรม ละเมิดหลักนิติธรรมกรณีให้สิทธินักโทษเหนือกว่านักโทษคนอื่นและไม่ได้ติดคุกจริง และเป็นการละเมิดหลักนิติรัฐ นิติธรรมที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 และมาตรา 26 ด้วย” นพ.เจตน์ กล่าว

  1. นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน ยื่นฟ้อง อธิบดีกรมราชทัณฑ์, ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร, ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์, นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นผู้ถูกฟ้อง คดีที่ 1 ถึง 4 ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งที่ให้ นายทักษิณ ชินวัตร ออกไปนอนพักรักษาตัวนอกเรือนจำ รวมทั้งเพิกถอนระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 และขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อมีคำสั่งทุเลาการบังคับใช้ระเบียบดังกล่าวไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

“การออกระเบียบอนุญาตให้ผู้ต้องขังไปคุมขังนอกเรือนจำได้โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2566 ยิ่งตอกย้ำว่าเป็นความพยายามเพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณไม่ต้องนอนคุกสักวันเดียว โดยอ้างเหตุนักโทษล้นคุกทั้งที่นักโทษส่วนใหญ่ 99% เป็นนักโทษที่เกี่ยวกับยาเสพติดไม่ได้รับอานิสงส์จากระเบียบดังกล่าว แต่คนโกงแผ่นดินกลับเข้าเงื่อนไขให้ไปคุมขังที่บ้านได้ อันเป็นการทำให้คำพิพากษาของศาลไม่มีความหมายต่อการลงโทษนักโทษให้หลาบจำได้เลย” นายศรีสุวรรณ กล่าว

นอกจากนี้ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 ยังกำหนดไว้ชัดเจนว่า กรณีที่จะอนุญาตไปรักษาตัวนอกเรือนจำนั้น จะต้องมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตหรือเป็นโรคติดต่อเท่านั้น แต่จากคำแถลงของกรมราชทัณฑ์และแพทย์เจ้าของไข้ไม่พบว่านายทักษิณเข้าเงื่อนไขดังกล่าว แต่อย่างใด ดังนั้น การอนุญาตให้นายทักษิณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจที่สังคมสงสัยจำเป็นที่ต้องพิสูจน์กันในชั้นศาลเพื่อให้ได้ข้อยุติ

“เรื่องนี้ประชาชนจับเป็นข้อพิรุธได้มากมาย แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก็ไม่ยี่หระไม่สนใจ แม้แต่นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในฝ่ายบริหารก็ไม่สนใจต่อกรณีนี้ เพราะอาจจะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียร่วมกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมการที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์จะใช้อำนาจโดยพลการ น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องโดยเฉพาะการออกระเบียบให้ผู้คุมขังไปพักรักษาตัวอยู่นอกเรือนจำ ซึ่งกฎกระทรวงฯที่ออกโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน นั้น ไม่ได้เขียนไว้ว่าจะต้องออกไปพักอยู่ที่บ้านพัก ไปสถานประกอบการเอกชน วัดวาอาราม มัสยิด แต่ระเบียบนี้กลับมาเขียนไว้มากกว่าที่กฎกระทรวงกำหนด ไปพักที่บ้านพักก็ได้โรงพยาบาลเอกชน หรือที่ใดก็ได้ ซึ่งถือว่าเป็นการจัดการนอกเหนืออำนาจกฎกระทรวงโดยชัดเจน ถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้นักโทษชื่อทักษิณ”

เมื่อถามว่า จะครบ 120 วันแล้วมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่กรมราชทัณฑ์จะขอขยายระยะเวลาการรักษาตัวของนายทักษิณ นั้น นายศรีสุวรรณกล่าวว่า ก็มีแนวโน้มเป็นอย่างนั้นมาโดยตลอดอยู่แล้ว แต่ตนเชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรมทางปกครองที่มายื่นฟ้องในวันนี้จะรักษาบรรทัดฐานในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน เพราะที่ผ่านมาศาลปกครองก็พูดมาโดยตลอดเรื่องความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น คำขอของตนเพื่อขอไต่สวนฉุกเฉินและบังคับให้มีการทุเลาตามระเบียบนี้ทางศาลเห็นชอบด้วยก็จะทำให้นายทักษิณ ทำให้ในทักษิณที่ต้องมารักษาตัว ต้องกลับมารักษาตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯหรือโรงพยาบาลราชทัณฑ์

เมื่อถามต่อว่า หากในทักษิณได้ประโยชน์จากระเบียบราชทัณฑ์ดังกล่าวจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป นายศรีสุวรรณกล่าวว่า จะไปฟ้องคณะทำงานพิจารณาการคุมขังในสถานที่คุมขัง ที่มีจำนวน 9 คน และมีรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธาน ซึ่งเป็นผู้อนุญาตให้นายทักษิณ ไปคุมขังนอกเรือนจำเป็นคดีอีก 1 คดี โดยอรหันต์ทั้ง 9 เป็นคนที่ชี้เป็น ชี้ตายที่จะเสนอเรื่องไปยังอธิบดีให้ลงนามอนุมัติในขั้นตอนสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม เห็นว่าเรื่องนี้นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บริหารสูงสุดควรลงมาดูแลเพราะเป็นเรื่องที่ทำลายกระบวนการยุติธรรม แต่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็ลอยตัว ไม่พูด ไม่แตะต้องเรื่องนี้ ก็เป็นที่รับรู้กันของสังคมไทย

ส่วนที่อ้างว่าระเบียบดังกล่าวเป็นการออกมารองรับกฎกระทรวงที่ออกมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วนั้น นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เห็นว่าโดยปกติการออกกฎหมายให้เป็นไปตามกฎหมายแม่ ซึ่งจะต้องออกภายใน 1 - 2 ปี ดังนั้นเมื่อนายสมศักดิ์ออกกฎกระทรวงมาในปี 2563 ระเบียบก็ควรออกภายในวันนั้น ไม่จำเป็นต้องไปจัดประชุมหรือรับฟังความคิดเห็นประชุมกันในองค์กรก็ออกระเบียบได้เลย แต่กลับมาออกในช่วงที่นายทักษิณกลับมารับโทษเมื่อ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา และออกมารองรับ เพราะคิดว่านายทักษิณจะได้ประโยชน์จากการอภัยโทษในวาระสำคัญ แต่เมื่อไม่มีจึงต้องเร่งระเบียบนี้ออกมาเพื่อรองรับใช่หรือไม่

สรุป : เมื่อไล่เลียงข้อมูลทั้งหมดข้างต้นแล้ว

ก) ผมอยากจะถามคุณชัยธวัชว่า คุณจะมีแอ๊กชั่นใดในการทำเรื่องนี้ให้เกิดความเป็นธรรม หรือเพียงพูดให้ดูดี แต่ไม่มีบทบาทหรือการใช้กลไกในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ทำเรื่องนี้ให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม เพื่อให้ “คนเท่ากัน” ตามแนวทางทางการเมืองของคุณ จะเก่งแต่ปาก สร้างแต่วาทกรรม แต่ไม่ทำอะไรหรือไม่?

ข) ผมอยากจะถาม นพ.เจตน์ ว่า คุณจะใช้กลไกใดภายใต้อำนาจของ “วุฒิสภา” มาตรวจสอบเรื่องนี้ ทำให้กระจ่าง สร้างการปฏิบัติที่ถูกต้อง เป็นธรรม และเปิดเผยหรือไม่ หรือแค่บ่นๆๆๆ แล้วเงียบไป ซึ่งทำได้เท่ากับชาวบ้านร้านตลาดเลย ไม่ต้องเป็นสมาชิกวุฒิสภาก็ได้ ยิ่งคุณเป็น “แพทย์” มีกลไกอื่นใดในองค์กรแพทย์ที่จะนำไปสู่การตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้บ้างหรือไม่ โปรดนำสังคมไทยไปสู่ความถูกต้อง ตรวจสอบได้ ด้วยเถิดครับ

ค) และขอขอบคุณนายศรีสุวรรณ ที่มีแอ๊กชั่น “เป็นรูปธรรม” ที่สุด ห่วงก็แต่ประเด็นเดียวว่า นายศรีสุวรรณมีสิทธิ์ในการยื่นเรื่องนี้หรือไม่ ซึ่งขณะนี้ผมยังไม่มีความรู้พอที่จะฟันธง

สังคมไทยต้องไม่ย่อท้อและไม่ปล่อยเรื่องนี้แบบ “เลยตามเลย” มีคนบ่นเยอะเกินพอแล้วครับ เราต้องการ “คนทำ” โดยเฉพาะคนที่ “มีตำแหน่งหน้าที่” ทำให้สมกับที่ท่านมีตำแหน่งและรับประโยชน์จาก “ภาษีประชาชน” เถิดครับ !!