สาย ชาร์จ type-c เสียบด้านไหน

หลายอาจคิดว่า สายชาร์จที่มีขายอยู่ทั่วไป คุณสมบัติก็คงไม่ต่างกัน แต่ความเป็นจริงแล้วมีความแตกต่างกันอยู่มาก โดยเฉพาะผู้ใช้งาน iPhone ต้องหันกลับมาคิดใหม่แล้ว เพราะสาย Lightning ของ Apple นั้นเป็นสายชาร์จที่มีความอัจฉริยะมากในตัวสายจะมีชิป Lightning สามารถตรวจสอบได้ว่า ตัวสายนี้มีคุณภาพหรือไม่ หรือเป็นของปลอมหรือไม่ หากเราใช้งานสาย Lightning ปลอม ผลก็คือ เครื่อง iPhone จะไม่ยอมรับให้เราชาร์จไฟเข้า accessories not supported จนทำให้ตัวเครื่องอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ในอนาคต และอาจทำให้เราเสียเงินไปฟรีๆ ดังนั้นการลงทุนกับสายชาร์จที่ได้มาตรฐานนั้นจะช่วยให้คุณมีความปลอดภัย และชาร์จแบตได้อย่างไม่มีสะดุด เป็นการช่วยถนอมแบตเตอรี่ของอุปกรณ์นั่นเอง เราควรเลือกสายชาร์จไอโฟนที่ได้มาตรฐาน MFI เท่านั้น เพื่อที่จะทำให้เราใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนอกจากสินค้าจากแบรนด์ Apple แล้วยังมีแบรนด์ผู้ผลิตอีกมายที่ได้รับ Logo MFI เช่นกัน ที่เราก็สามารถเลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจไม่ว่าจะเป็น Belkin, Nomad และ Anker เป็นต้น

ก่อนที่จะซื้อสายชาร์จเพื่อใช้งาน เราต้องรู้ก่อนว่า สมาร์ทโฟนของเรารองรับสายชาร์จแบบไหน

นอกจากสายชาร์จของระบบ iOS แล้ว อีกหนึ่งสายชาร์จ ที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้งานกันนั่นก็คือ สายชาร์จระบบ Android ที่มาในหัวพอร์ตแบบ USB Type C และ สาย Micro USB ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยพบปัญหาการเสียบชาร์จไม่เข้า สิ่งที่อาจจะเจอคือ ปัญหาที่เลือกสายชาร์จจ่ายไฟไม่ตรงตามอุปกรณ์ที่เราใช้งานอยู่ สายชาร์จ USB Type C และ สาย Micro USB ถือว่าหาซื้อได้ค่อนข้างง่าย ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ มากมาย แต่แน่นอนว่าสายชาร์จที่มีราคาแพงก็ย่อมมาพร้อมกับคุณภาพ เทคโนโลยีที่ใหม่กว่าที่ดีกว่า ซึ่งถ้าสายชาร์จไม่ดีไม่ได้มาตรฐาน ก็ส่งผลให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้ช้าลง แบตเตอรี่เสื่อมไว เครื่องร้อน จนอาจเกิดการระเบิดได้ เรื่องคุณภาพของสายชาร์จของ Android ก็ดูได้ไม่ยาก ส่วนใหญ่คนนิยมใช้สายชาร์จจากแบรนด์ ผู้ผลิตมือถือ อย่างสายชาร์จ Samsung, Xiaomi หรือ Huawei นอกจากนี้ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่เริ่มหันมาผลิต สายชาร์จนี้มากขึ้นอีกด้วยครับ

หลังจากสหภาพยุโรป (อียู) อนุมัติกฎหมายอุปกรณ์ชาร์จตามมาตรฐาน USB-C ซึ่งหมายความว่าภายในปี 2567 อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมถึงโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตจะต้องมีอุปกรณ์ชาร์จตามมาตรฐาน USB-C

การต่อสู้เรื่องนี้กินเวลายาวนานนับ 10 ปี จนกระทั่งผลักดันได้สำเร็จ นั่นทำให้ปีหน้า Apple ผู้ผลิต iPhone ซึ่งยังยืนหยัดใช้สายชาร์จแบบ Lightning มาตลอดจนถึงปัจจุบัน ต้องเปลี่ยนมาใช้ Type-C ตามกฎหมายของอียู โดยได้รับการยืนยันแล้วจาก เกร็ก จอสเวียก รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดโลกของ Apple Inc. ในการประชุมวอลล์สตรีท เจอร์นัล เทค ไลฟ์ เมื่อวันอังคารที่ 25 ต.ค. ว่า Apple จะปฏิบัติตามกฎหมายของสหภาพยุโรป ที่กำหนดให้บริษัทเทคโนโลยีผลิตอุปกรณ์ชาร์จตามมาตรฐาน USB-C

KT Review กรุงเทพธุรกิจไอที จะพาไปรู้จัก สายชาร์จเปลี่ยนโลกสายนี้ว่ามีดีอะไร ทำไมถึงทรงอิทธิพลถึงขนาดยักษ์ใหญ่ของโลกเทคโนโลยียังต้องยอม

ข้อดีของ Type-C

ช่วงหลายปีมานี้ ถือเป็นยุคเปลี่ยนผ่านจากสายชาร์จรูปแบบอื่น เช่น Micro USB มาเป็น "USB-C" หรือ "Type-C" จนแทบจะเปลี่ยนมาหมดทั้งวงการแล้ว ณ ปัจจุบัน เหตุผลที่ สายชาร์จ Type-C กลายเป็น Mainstream ของเทคโนโลยีการชาร์จไฟในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รวมถึงสมาร์ทโฟน หลักๆ จะอยู่ที่ประสิทธิภาพด้านการชาร์จ

สายชาร์จ USB-C มีเทคโนโลยีชาร์จไว (Fast Charge) ซึ่งมีหลายประเภท หลักๆ จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ชาร์จไวด้วยกระแสไฟฟ้าหรือแอมป์ เป็นการเพิ่มค่ากระแสไฟฟ้าเพื่อช่วยให้ชาร์จได้ไวขึ้น มีหน่วยของกระแสไฟเป็นวัตต์ (W)

ประเภทต่อมาคือชาร์จไวด้วยแรงดันไฟฟ้า เป็นการเพิ่มค่าแรงดันไฟฟ้า หรือโวลท์ (V) มักจะใช้ในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง การเพิ่มโวลท์ให้สูงขึ้นเพื่อให้กระแสไฟฟ้าเข้าได้เร็วขึ้น

อีกข้อดีของ "Type-C" คือ เป็นสายชาร์จที่เสียบได้ทุกด้าน ไม่ต้องพลิกหาฝั่งที่ถูกต้อง และเมื่อทุกแบรนด์รวมถึงทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เปลี่ยนมาใช้สายชาร์จประเภทเดียวกันหมดก็จะช่วยลดจำนวนการซื้อและใช้สายชาร์จที่แตกต่างกันไปด้วย

สาย Type-C ก็มีความแตกต่าง

ในจักรวาลของ สาย Type-C ยังแยกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ แบบสาย Type-A to Type-C ที่ด้านหนึ่งคือพอร์ต USB ที่เราคุ้นเคย และแบบสาย Type-C to Type-C ที่เป็นพอร์ต USB-C ทั้งสองข้าง แน่นอนว่าสองแบบนอกจากทางกายภาพแล้วก็ยังแตกต่างในแง่ประสิทธิภาพ

ระยะหลังจะเห็นว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรวมถึง Device อื่นๆ มักจะใช้สายแบบ Type-C to Type-C เนื่องจากรองรับเทคโนโลยี Power Delivery (PD) ซึ่งนอกจากจะชาร์จสมาร์ทโฟนได้แล้ว ยังชาร์จแล็ปท็อปบางรุ่น, MacBook Pro, iPhone หรือ iPad ได้อีกด้วย โดยชาร์จเร็วได้สูงสุดที่ 50V/2A (100W) ซึ่งแบรนด์ที่ใช้เทคโนโลยีชาร์จเร็วนี้ คือ SAMSUNG, HUAWEI, Apple, Xiaomi และ ASUS

อีกเทคโนโลยีคือ Qualcomm Quick Charge (QC) เทคโนโลยีชาร์จเร็วที่ถูกพัฒนาโดย Qualcomm ซึ่งชาร์จเร็วได้สูงสุดที่ 20 V/5A (100W) โดยแบรนด์ที่ใช้เทคโนโลยีชาร์จเร็วนี้ คือ Xiaomi, SAMSUNG, ASUSและ Vivo

ที่สำคัญ "สายชาร์จ Type-C" แบบนี้ยังใช้ Data Transfer ได้เกือบหมด ในขณะที่ Type-A to Type-C จะต้องเป็นรุ่นที่รองรับการส่งข้อมูลเท่านั้น

และนอกจากนี้ยังมี Subset ของ "สายชาร์จ USB-C" อีก เช่น Type-C 3a คือสายชาร์จที่รองรับเทคโนโลยี Fast Charge ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าปกติ ช่วยให้การชาร์จลื่นไหล ชาร์จไว รับส่งข้อมูลได้รวดเร็ว และในสมาร์ทโฟนที่รองรับสายแบบนี้ก็ทำ Reverse Charge ผ่านสายได้ด้วย

ไม่ว่าสายชาร์จแบบ "Type-C" จะมีดีแค่ไหน แต่ก็อย่าชะล่าใจ เพราะในความเจ๋งของสายชาร์จแบบนี้ก็ยังมีทั้งสายที่ไม่ได้คุณภาพและสายประสิทธิภาพต่ำ ที่ไม่ได้ช่วยให้การชาร์จหรือการรับส่งข้อมูลทำได้ไวหรือไหลลื่นกว่าปกติ เบื้องต้นให้เลือกใช้สายชาร์จและอะแดปเตอร์ของค่ายเดียวกับสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์ที่ใช้จะทั้งปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพมากที่สุด

สาย Type C ดียังไง

ระยะหลังจะเห็นว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรวมถึง Device อื่นๆ มักจะใช้สายแบบ Type-C to Type-C เนื่องจากรองรับเทคโนโลยี Power Delivery (PD) ซึ่งนอกจากจะชาร์จสมาร์ทโฟนได้แล้ว ยังชาร์จแล็ปท็อปบางรุ่น, MacBook Pro, iPhone หรือ iPad ได้อีกด้วย โดยชาร์จเร็วได้สูงสุดที่ 50V/2A (100W) ซึ่งแบรนด์ที่ใช้เทคโนโลยีชาร์จเร็วนี้ คือ SAMSUNG, ...

USB Type C เป็นยังไง

โดยหัวการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C จะค่อนข้างมีลักษณะ และขนาดที่ใกล้เคียงกับ USB Type-B micro ซึ่ง USB Type-C มาพร้อมกับเทคโนโลยีเวอร์ชัน 3.1 ที่สามารถถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลได้สูงสุดถึง 10 Gbps เรียกว่าสามารถถ่ายโอนไฟล์ได้เร็วกว่าเดิมเป็นสองเท่าของ USB เวอร์ชัน 3.0 ที่สามารถถ่ายโอนไฟล์ได้ที่ 5 Gbps จึงทำให้ USB Type-C มี ...

สายชาร์จไอโฟน Type C อะไร

เมื่อใช้ USB-C to Lightning Cable คุณจะสามารถชาร์จและซิงค์ AirPods, AirPods Pro, iPhone, iPad หรือ iPod touch รวมถึงชาร์จ Siri Remote และทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย คุณสามารถใช้ USB-C to Lightning Cable เพื่อทำสิ่งต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้

สาย USB

เชื่อมต่อ iPhone, iPad หรือ iPod ที่มีช่องต่อ Lightning เข้ากับ Mac ที่รองรับ USB-C หรือ Thunderbolt 3 (USB-C) เพื่อซิงค์และชาร์จ หรือเชื่อมต่อกับ iPad ที่รองรับ USB-C เพื่อชาร์จ