Anaerobic Exercise เหมาะกับกลุ่มใด

สายฟิตหลายๆ คนคงเคยได้ยินศัพท์เกี่ยวกับการออกกำลังกายมามากมาย แต่มีอยู่ 2 คำที่หลายคนยังสับสนในความหมาย นั่นก็คือ Aerobic (แอโรบิค) กับ Anaerobic (แอนแอโรบิค) สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกายคงเคยได้ยินคำว่า Aerobic กันจนคุ้นหูอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราจะพาไปรู้จักการออกกำลังกายทั้ง Aerobic และ Anaerobic ที่มีชื่อคล้ายคลึงกัน แต่วิธีการออกกำลังกายและผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างกันครับ

Aerobic หรือ แอโรบิค

แอโรบิค เป็นการออกกำลังกายที่พวกเรารู้จักกันดีอยู่แล้ว มีการใช้พลังงานโดยอาศัยออกซิเจนในร่างกาย และส่วนใหญ่เป็นการออกกำลังหรือกิจกรรมที่ไม่รุนแรงมากแต่มีความต่อเนื่อง เช่น การเดินวิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน กระโดดเชือก เล่นเทนนิส ปีนเขา พายเรือ หรือง่ายๆ คือ เต้นแอโรบิค เป็นต้น แอโรบิคจึงเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง หรือคล้ายที่เราเรียกกันว่าการ “คาร์ดิโอ” นั่นเอง แอโรบิคเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ไม่หนักมาก ซึ่งการออกกำลังกายแบบแอโรบิคอัตราการเต้นของหัวใจจะอยู่ที่ประมาณ 60-80 เปอร์เซนต์ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด เพราะฉะนั้นร่างกายจะใช้พลังงานจากไขมันสะสมและคาร์โบไฮเดรต และต้องใช้ออกซิเจนเป็นตัวช่วยแปรสภาพไขมันให้เป็นพลังงาน ช่วยให้ร่างกายได้มีการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน เป็นการออกกำลังกายลดน้ำหนักที่ดี อีกทั้งหัวใจจะสูบฉีดเลือดได้ดี สร้างความทนทานให้กับร่างกาย ยิ่งถ้าหมั่นออกกำลังกายแบบแอโรบิคเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายไม่เหนื่อยง่าย ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

Anaerobic หรือ แอนแอโรบิค

แอนแอโรบิค จะเป็นการออกกำลังกายที่มีการใช้พลังงานโดยที่ไม่อาศัยออกซิเจน แต่อาศัยสารเคมีในร่างกายแทน เป็นการออกกำลังหรือกิจกรรมที่ใช้แรงมากเช่น การยกเวท ปั่นหรือวิ่งเร็วในระยะสั้น หรือ HIIT เป็นการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และให้สามารถออกแรงได้มากในชั่วระยะเวลาสั้นๆได้ดี การออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิคนั้นอัตราการเต้นของหัวใจจะอยู่ที่ประมาณ 80-92 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด ซึ่งแอนแอโรบิคจะใช้แหล่งพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเป็นหลักเพราะเปลี่ยนมาเป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว และเป็นการออกกำลังที่ไม่ใช้ออกซิเจน ดังนั้น จะทำให้ไม่สามารถแปรสภาพไขมันให้เป็นพลังงานได้ แต่ข้อดีคือหลังจากการออกกำลังกายเสร็จ ร่างกายจะยังเผาผลาญพลังงานต่อไปอีกระยะหนึ่ง หรือ ที่เรียกกันว่า “After Burn Effect” โดยสภาวะนี้จำทำให้ร่างกายได้ดึงไขมันเปลี่ยนออกมาใช้พลังงานแทน

แน่นอนว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีประโยชน์ต่อระบบของร่างกายหลายระบบ แต่ถ้าหน้ามืดตามัวออกกำลังกายอย่างหักโหมจนร่างกายอ่อนล้า จนส่งผลทำให้ร่างกายปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเป็นเวลานาน เครียด หงุดหงิดง่าย แถมยังมีอาการนอนไม่หลับอีกด้วยล่ะก็ อันนั้นเรียกว่า Over Exercise แล้วล่ะครับ

รู้อย่างนี้แล้ว มาลองจัดตารางการออกกำลังกายให้มีการออกกำลังกายทั้งสองแบบสลับกันไป เพื่อให้การลดน้ำหนักเห็นผลอย่างชัดเจนมากขึ้นครับ แล้วอย่าลืมว่าการออกกำลังกายทุกชนิดมีความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุได้ จะดีกว่าไหม ถ้าเรามีประกันอุบัติเหตุ ฟิต แอนด์ ฟิน 365 จ่ายค่าเบี้ยประกันแค่ 365 บาทต่อปี เพียงวันละ 1 บาท สามารถคุ้มครองสูงถึง 300,000 บาท ซื้อออนไลน์ได้ง่าย สะดวก 24 ชม. เรียกได้ว่าเป็นประกันอีกตัวที่เหมาะสำหรับคนที่รักการออกกำลังกาย โดยที่เราไม่ต้องกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บ และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้บางส่วนอีกด้วยนะครับ ชีวิตดี๊ดีไปเลย

           คุณอาจคุ้นเพียงชื่อของการออกกำลังแบบแอโรบิค หรือเต้นแอโรบิค สำหรับแอนแอโรบิคอาจเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนใกล้ชิดของ การออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่เราคุ้นเคย เนื่องจากมีความใกล้เคียงผู้พักกัน เพราะมีรูปแบบการออกกำลังต่อเนื้อง เช่นการวิ่งใน ระยะ เวลาหนึ่ง การเล่นกีฬาในระยะเวลาหนึ่งเป็นประจำ หากแต่แอนแอโรบิคคือการออกกำลังกายที่รุ่นแรง รวดเร็ว และใช้พละกำลังอย่าง เต็มที่ ใช้พลังงานอย่างมากในการออกกำลัง เช่น การวิ่งสปิ๊ดเร็วๆ หรือการเล่นกีฬาที่ต้องใช้กำลังมาก ซึ่งกีฬาที่มีการแข่งขัน ทั่วไปหลาย ชนิดก็ล้วนเป็นการออกกำลังแบบแอนแอโรบิค ซึ่งการใช้พละกำลงแบบนี้จะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานในรูปแบบ แป้งมากกว่า ใช้พลังงานจากไขมัน ดังนั้นแอนแอโรบิคจึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่แข็งแรงมากพอสมควร แต่คิดว่ายังอยากลดน้ำหนัก ลดหุ่น และอยากฝึกพละกำลังของร่างกายเพื่อเตรียมสำหรับการแข่งขัน หรือการทำกิจกรรมต่างๆที่ต้องใช้ทั้งความแข็งแรงและความอดทน

การออกกำลังกายแบบแอโรบิคคืออะไร

     การออกกำลังกายแบบแอโรบิค หรือ Aerobic Exercise หมายถึง การออกกำลังกายแบบที่ต้องใช้อากาศหรือออกซิเจน หรือก็คือต้องหายใจในขณะที่กำลังออกกำลังกายเพื่อนำเอาออกซิเจนไปเป็นตัวช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน

การออกกำลังกายแบบแอโรบิคร่างกายจะปรับตัวอย่างไร

     การออกกำลังกายแบบแอโรบิคทำให้ร่างกายต้องการออกซิเจนอย่างมากที่สุดเพื่อที่จะให้ร่างกายแปลงพลังงานที่สะสมอยู่มาใช้งานได้ ดังนั้นร่างกายก็จะมีการปรับตัว
ดังนี้

  • ระบบการหายใจของร่างกายจะทำงานเร็วและแรงมากขึ้น ทำให้ต้องหายใจทางปากเพื่อดูดอากาศหรือออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายให้ได้มากที่สุด
  • หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นเพื่อเร่งการส่งเลือดจากปอดที่เต็มไปด้วยออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในร่างกายให้
  • หลอดเลือดขยายตัวมากขึ้นเพื่อให้การลำเลียงเลือดในร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การทำงานของระบบหายใจและระบบไหลเวียนเลือดขณะออกกำลังกายแอโรบิค

  • เมื่อเริ่มออกกำลังกายแบบแอโรบิคหลังจากที่หายใจเอาอากาศเข้าไปสู่ร่างกายแล้ว อากาศจะเดินทางไปยังปอดและเดินทางผ่านท่อเล็กๆ มากมายภายในปอดไปยังถุงลม ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นจุดที่ออกซิเจนสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้
  • หลังจากนั้นกระแสเลือดจะไหลไปยังหัวใจโดยตรง เมื่อหัวใจรับออกวิเจนมากพอแล้วก็จะทำการส่งเลือดไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆ ของร่างกายต่อไป
  • หลังจากส่วนต่างๆ ของร่างกายได้รับออกซิเจนแล้วก็จะไหลกลับเข้ามาที่หัวใจและส่งไปยังปอดต่อไปเพื่อรับออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายอีกครั้ง  

หากร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอขณะออกกำลังกายจะเป็นอย่างไร

     การออกกำลังกายแบบแอโรบิคร่างกายต้องการออกซิเจนเพื่อไปช่วยในการเผาผลาญพลังานในร่างกายมาใช้งาน แต่หากร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอก็จะทำให้การเผาผลาญพลังงานน้อยลงจนอาจจะมไ่เพียงพอต่อการใช้งาน ร่างกายก็จะสับเปลี่ยนไปเผาผลาญไกลโคเจนที่อยู่ในกล้ามเนื้อแทน ซึ่งเป็นการเผาผลาญพลังงานแบบที่ไม่ต้องใช้ออกซิเจนเข้าช่วย แต่ข้อเสียคือทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลง และยังให้พลังงานน้อยกว่าด้วย

Anaerobic Exercise เหมาะกับกลุ่มใด

ออกกำลังกายแบบแอโรบิคเท่าไหนจึงจะพอ

     การออกกำลังกายแบบแอโรบิคต้องการความต่อเนื่อง และระยะเวลาการออกกำลังกายที่นานพอจึงจะมีประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องออกอย่างหนักแต่ต้องออกให้พอเหนื่อยและใช้ระยะเวลาการออกไม่น้อยกว่า 20 นาที

การออกกำลังกายแบบแอโรบิคมีอะไรบ้าง

     การออกกำลังกายแบบแอโรบิคได้แก่ การวิ่งระยะไกล ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน การเดินเร็ว ปีนเขา การเต้น การกระโดดเชือก และอื่นๆ ที่ต้องใช้ระยะเวลานานในการออกกำลังกายและทำให้ต้องหายใจเข้าเยอะล้วนเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค

ข้อดีของการออกกำลังกายแบบแอโรบิคมีอะไรบ้าง

  1. ทำให้หัวใจและระบบไหลเวียนเลือดแข็งแรงเพราะหัวใจได้ฝึกบีบและคลายตัวอยู่บ่อยๆ หลังจากนั้นเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงก็จะไม่ต้องบีบและคลายตัวบ่อยทำให้ไม่เหนื่อยง่ายตอนออกกำลังกายแบบแอโรบิค
  2. ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานได้ดีมากขึ้น การออกกำลังกายแบบแอโรบิคจะทำให้เซลล์ที่มีหน้าที่เผาผลาญพลังงานเพิ่มจำนวนมากขึ้นจึงเป็นสาเหตุให้คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำไม่ค่อยอ้วนเพราะมีระบบเผาผลาญที่ดี

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ชั้น 3 โซน C

การออกกำลังกายแบบแอโรบิคคืออะไร

การออกกำลังกายแบบแอโรบิค หรือ Aerobic Exercise หมายถึง การออกกำลังกายแบบที่ต้องใช้อากาศหรือออกซิเจน หรือก็คือต้องหายใจในขณะที่กำลังออกกำลังกายเพื่อนำเอาออกซิเจนไปเป็นตัวช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน

การออกกำลังกายแบบแอโรบิคร่างกายจะปรับตัวอย่างไร

การออกกำลังกายแบบแอโรบิคทำให้ร่างกายต้องการออกซิเจนอย่างมากที่สุดเพื่อที่จะให้ร่างกายแปลงพลังงานที่สะสมอยู่มาใช้งานได้ ดังนั้นร่างกายก็จะมีการปรับตัวดังนี้

1. ระบบการหายใจของร่างกายจะทำงานเร็วและแรงมากขึ้น ทำให้ต้องหายใจทางปากเพื่อดูดอากาศหรือออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายให้ได้มากที่สุด

2. หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นเพื่อเร่งการส่งเลือดจากปอดที่เต็มไปด้วยออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในร่างกายให้

3. หลอดเลือดขยายตัวมากขึ้นเพื่อให้การลำเลียงเลือดในร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การทำงานของระบบหายใจและระบบไหลเวียนเลือดขณะออกกำลังกายแอโรบิค

1. เมื่อเริ่มออกกำลังกายแบบแอโรบิคหลังจากที่หายใจเอาอากาศเข้าไปสู่ร่างกายแล้ว อากาศจะเดินทางไปยังปอดและเดินทางผ่านท่อเล็กๆ มากมายภายในปอดไปยังถุงลม ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นจุดที่ออกซิเจนสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้

2. หลังจากนั้นกระแสเลือดจะไหลไปยังหัวใจโดยตรง เมื่อหัวใจรับออกวิเจนมากพอแล้วก็จะทำการส่งเลือดไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆ ของร่างกายต่อไป

3. หลังจากส่วนต่างๆ ของร่างกายได้รับออกซิเจนแล้วก็จะไหลกลับเข้ามาที่หัวใจและส่งไปยังปอดต่อไปเพื่อรับออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายอีกครั้ง  

หากร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอขณะออกกำลังกายจะเป็นอย่างไร

การออกกำลังกายแบบแอโรบิคร่างกายต้องการออกซิเจนเพื่อไปช่วยในการเผาผลาญพลังานในร่างกายมาใช้งาน แต่หากร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอก็จะทำให้การเผาผลาญพลังงานน้อยลงจนอาจจะมไ่เพียงพอต่อการใช้งาน ร่างกายก็จะสับเปลี่ยนไปเผาผลาญไกลโคเจนที่อยู่ในกล้ามเนื้อแทน ซึ่งเป็นการเผาผลาญพลังงานแบบที่ไม่ต้องใช้ออกซิเจนเข้าช่วย แต่ข้อเสียคือทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลง และยังให้พลังงานน้อยกว่าด้วย

Anaerobic Exercise เหมาะกับกลุ่มใด

ออกกำลังกายแบบแอโรบิคเท่าไหนจึงจะพอ

การออกกำลังกายแบบแอโรบิคต้องการความต่อเนื่อง และระยะเวลาการออกกำลังกายที่นานพอจึงจะมีประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องออกอย่างหนักแต่ต้องออกให้พอเหนื่อยและใช้ระยะเวลาการออกไม่น้อยกว่า 20 นาที

การออกกำลังกายแบบแอโรบิคมีอะไรบ้าง

การออกกำลังกายแบบแอโรบิคได้แก่ การวิ่งระยะไกล ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน การเดินเร็ว ปีนเขา การเต้น การกระโดดเชือก และอื่นๆ ที่ต้องใช้ระยะเวลานานในการออกกำลังกายและทำให้ต้องหายใจเข้าเยอะล้วนเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค

ข้อดีของการออกกำลังกายแบบแอโรบิคมีอะไรบ้าง

1. ทำให้หัวใจและระบบไหลเวียนเลือดแข็งแรงเพราะหัวใจได้ฝึกบีบและคลายตัวอยู่บ่อยๆ หลังจากนั้นเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงก็จะไม่ต้องบีบและคลายตัวบ่อยทำให้ไม่เหนื่อยง่ายตอนออกกำลังกายแบบแอโรบิค

2. ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานได้ดีมากขึ้น การออกกำลังกายแบบแอโรบิคจะทำให้เซลล์ที่มีหน้าที่เผาผลาญพลังงานเพิ่มจำนวนมากขึ้นจึงเป็นสาเหตุให้คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำไม่ค่อยอ้วนเพราะมีระบบเผาผลาญที่ดี