ยุคสมัยของดนตรีไทย ได้ดำเนินแนวทางพัฒนาการมากขึ้น เมื่อเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์ นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
(รัชกาลที่ 1 ) ได้มีผู้คิดค้นเครื่องดนตรีเพิ่มเติมขึ้นมาอย่างหนึ่งคือ มีการเพิ่มกลองทัดอีก 1 ลูก ทำให้ในวงปี่พาทย์เครื่องห้ามีกลองทัดครบ 2 ลูก เมื่อการดนตรีไทยได้พัฒนาตัวเองเข้าสู่ยุคสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ( รัชกาลที่ 2 ) จึงได้มีการปรับปรุงการบรรเลงปี่พาทย์ประกอบเสภา ที่เดิมทีเดียวนั้น การขับเสภา จะไม่มีปี่พาทย์รับไม่มีเครื่องดนตรีชนิดใดเข้ามาประกอบคงใช้แต่กรับเสภาอย่างเดียว เมื่อการขับเสภา มีปี่พาทย์รับเข้ามาทำให้การบรรเลงปี่พาทย์ประกอบการขับเสภาเป็นที่ชื่นชอบ
เพราะการฟังดนตรีมีรสมีชาดมากขึ้นนั่นเอง เป็นยุคที่ดนตรีไทยเจริญรุ่งเรืองอยู่ในราชสำนัก และในวังของเจ้านายต่างกรม เป็นยุคที่นักดนตรีไทย หรือครูดนตรีไทยที่มีฝีมือ ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูอย่างมีศักดิ์ศรี มียศถาบรรดาศักดิ์และมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย
มีความพร้อมที่ครูเหล่านั้นสามารถคิดสร้างสรรค์ผลงานทางดนตรีไว้มากมาย ผลงานแต่ละชิ้นแต่ละเพลงที่ออกมามีความสละสลวยสวยงาม พบว่าเจ้านายชั้นสูงหลายพระองค์ทรงจัดตั้งวงปี่พาทย์ในพระองค์ขึ้น มีการบรรเลงอวดฝีมือ และสืบเสาะหานักดนตรีมีฝีมือเข้ามาร่วมวง เมื่อได้นักดนตรีที่มีความสามารถแล้วก็ให้การสนับสนุนเพื่อผลิตผลงาน และมีการพัฒนาฝีมือทางดนตรีกันอย่างเต็มที่ เป็นยุคที่ดนตรีไทยออกจากวังเข้าสู่วัด และอยู่ตามบ้าน เป็นยุคที่นักดนตรีและครูดนตรีต้องช่วยเหลือตนเองเพื่อหารายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และการที่ต้องดำรงฐานะยศถาบรรดาศักดิ์ รวมถึงเกียรติยศของตนเองให้ดำรงอยู่ รวมถึงบริวารและสานุศิษย์ทั้งหลายที่เข้ามาฝากตัวศึกษาวิชาการดนตรีพร้อมทั้งกินอยู่หลับนอนที่บ้านครู ถือกันว่ายุคนี้เป็นยุคที่นักดนตรีไทยต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในสังคมขณะนั้นเป็นอย่างมาก ยุคที่สามถือเป็นยุคที่การดนตรีไทยเริ่มสดใสขึ้น เนื่องจากสถาบันการศึกษาต่างๆทั้งในระดับโรงเรียนมัธยมและในระดับอุดมศึกษา เริ่มตื่นตัวให้ความสนใจร่วมกลุ่มกันจัดตั้งชุมนุมดนตรีไทยบ้าง ชมรมดนตรีไทยบ้าง เช่นชุมนุมดนตรีไทยสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชมรมดนตรีไทยแห่งสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย สโมสรดนตรีไทยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น ในระดับโรงเรียนมัธยมศึกษา ก็มีการจัดการเรียนการสอนดนตรีไทยขึ้น ทำให้วงการดนตรีไทยในยุคนี้มีความเข็มแข็งขึ้นเป็นอันมาก นิสิตนักศึกษาก็เริ่มให้ความสนใจเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกชุมนุมกันเป็นจำนวนมากขึ้น วงการดนตรีไทยเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายออกไปสู่ประชาชนทั่วไป ในระดับมหาวิทยาลัยนำโดย ชุมนุมดนตรีไทยสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชมรมดนตรีไทยแห่งสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และ สโมสรดนตรีไทยแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นแกนนำได้ริเริ่มจัดงานชุมนุมสังสรรค์ดนตรีไทยขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2509 ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์บางเขน และการจัดงานนี้ก็ได้เติบโตมาอย่างต่อเนื่องเป็นงาน " ดนตรีไทยอุดมศึกษา " อย่างที่เรารู้จักกันนั่นเองจะพบว่าในยุคนี้ ระยะแรกๆที่ดนตรีไทยเข้าสู่สถาบันการศึกษานั้น ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากผู้บริหารระดับสูงในในมหาวิทยาลัยเท่าที่ควร การพัฒนาดนตรีไทยจึงเป็นเรื่องของแต่ละชุมนุมดนตรีฯ ที่เป็นองค์กรเล็กๆและมีผู้ที่สนใจจริงเท่านั้น นักศึกษาที่เรียนจบออกไปก็ไปประกอบอาชีพอย่างอื่นแล้วเล่นดนตรีไทยเป็นงานอดิเรก ในยุคนี้เองที่ดนตรีไทยเริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นในต่างประเทศบ้างแล้ว เนื่องจากมหาวิทยาลัยในอเมริกาได้ให้ทุนกับ นายเดวิท มอร์ตัน นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนีย ให้เข้ามาศึกษาค้นคว้าทำวิจัยเรื่องดนตรีไทย เมื่อปี พุทธศักราช 2510 แล้วทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ออกไปสู่ต่างประเทศ ทำให้วิชาการดนตรีไทยเป็นที่รู้จักขึ้นมาและเกิดความตื่นตัวกันในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของเราอย่างจริงจัง เป็นยุคที่เรียกว่า " ดนตรีไทยในโลกอินเตอร์เน็ต " นั่นเอง นับเป็นการยกเครื่องหรือ การ Re – Engineering อีกครั้งหนึ่งเรียกว่ายุค โลกาภิวัตน์ หรือ Globalizationเป็นยุคที่ทุกชีวิตในโลกสามารถถ่ายทอดวัฒนธรรม และการสื่อสารซึ่งกันและกันได้เพียงปลายนิ้วกระดิก ( คลิก ) อาจเรียกได้ว่ายุคนี้เป็นยุคที่สังคมโลกใกล้กันเพียงลัดนิ้วมือโดยผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่สามารถส่งภาพ เสียง และข้อมูลต่างๆถึงกันได้ทันทีที่กระดิกนิ้วเท่านั้น เมื่อการดนตรีไทยได้เดินทางเข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ต มีเวปไซด์ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีไทยจริงๆขึ้นมาเป็นครั้งแรกคือ http://www.dontrithaitoday.com ขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2542 นับเป็นการปรับตัวตนของดนตรีไทย ให้เป็นดนตรีที่สามารถเข้าใจในสังคมได้มากยิ่งขึ้น การทำดนตรีไทยเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ตนั้น ทำให้วิชาการด้านดนตรีไทยเผยแพร่ไปได้ทั่วโลกโดยผ่านการสื่อสารที่เป็นสากลนี้ แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีการสื่อสารสารสนเทศนี้แม้มีคุณอนันต์ หากนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องก็จะมีโทษมหันต์ กลายเป็นการสื่อสารสารสนเทศที่แฝงและเต็มไปด้วยพิษภัยอย่างรุนแรงได้เช่นกัน ขอบคุณเว็บไซต์ http://dontrithaitoday.net/?page_id=210
|