บทละครพูดคำฉันท์เรื่อง มัทนะพาธา ได้เค้าโครงเรื่องมาจากที่ใด *

คุณค่าด้านเนื้อหา

๑. โครงเรื่อง  เป็นบทละครพูดคำฉันท์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคิดโครงเรื่องเอง ไม่ได้ตัดตอนมาจากวรรณคดีเรื่องใด แก่นสำคัญของเรื่องมีอยู่  ๒  ประการ คือ 

                      

๑)  ทรงปราถนาจะกล่าวถึงตำนานดอกกุหลาบ  ซึ่งเป็นดอกไม้ที่สวยงาม  แต่ไม่เคยมีตำนานในเทพนิยาย  จึงพระราชนิพนธ์ให้ดอกกุหลาบมีกำเนิดมาจากนางฟ้าที่ถูกสาปให้จุติลงมาเกิดเป็นดอกไม้ชื่อว่า  "ดอกกุพฺชกะ" คือ  "ดอกกุหลาบ" 

                       

๒)  เพื่อแสดงความเจ็บปวดอันเกิดจากความรัก  ทรงแสดงให่เห็นว่าความรักมีอนุภาพอย่างยิ่ง  ผู้ใดมีความรักก็อาจเกิดความหลงขึ้นตามมาด้วย  ทรงใช้ชื่อเรื่องว่า  "มัทนะพาธา"  อันเป็นชื่อของตัวละครเอกของเรื่อง  ซึ่งมีความหมายว่า  "ความเจ็บปวดหรือความเดือดร้อนอันเกิดจากความรัก"  มีการผูกเรื่องให้มีความขัดแย้งซึ่งเป็นปมปัญหาของเรื่อง  คือ  

               

๑)  สุเทษณ์เทพบุตรหลงรักนางมัทนา  แต่นางไม่รับรักตอบจึงสาปนางเป็นดอกกุพฺชกะ (กุหลาบ) 

               

๒)  นางมัทนาพบรักกับท้าวชัยเสน  แต่ก็ต้องพบกับอุปสรรคเพราะนางจันทีมเหสีของท้าวชัยเสนวางอุบายให้ท้าวชัยเสนเข้าใจนางมัทนาผิด  สุดท้ายนางมัทนาได้มาขอความช่วยเหลือจากสุเทษณ์เทพบุตร  และสุเทษณ์เทพบุตรขอความรักนาง  อีกครั้งแต่นางปฏิเสธช่นเคย  เรื่องจึงจบลงด้วยความสูญเสียและความเจ็บปวดด้วยกันทุกฝ่าย

               

๒.๑  สุเทษณ์  เป็นเทพบุตรที่หมกมุ่นในตัณหาราคะ  เจ้าอารมณ์  เอาแต่ใจตนเอง  และไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น  ดังตัวอย่างบทกวีต่อไปนี้

                    สุเทษณ์     :    เหวยจิตรเสน  มึงบังอาจเล่น  ล้อกูไฉน?

                    จิตระเสน    :   เทวะข้าบาท  จะบังอาจใจ  ทำเช่นนั้นไซร้ได้บ่พึงมี.

                    สุเทษณ์     :     เช่นนั้นทำไม  พวกมึงมาให้  พรกูบัดนี้ว่าประสงค์ใด  ให้สมฤดีมึงรู้อยู่นี่ว่ากูเศร้าจิต  เพราะไม่ได้สม 

                                            จิตที่ใฝ่ชมอกกรมเนืองนิตย์.

                    จิตระเสน    :    ตูข้าภักดี  ก็มีแต่คิด  เพื่อให้ทรงฤทธิ์   โปรดทุกขณะ.

                    สุเทษณ์     :     กูไม่พอใจ  ไล่คนธรรพ์ไป  บัดนี้เทียวละ  อย่ามัวรอลั้ง  

 

๒.๒  มัทนา   ซื่อสัตย์  นิสัยตรงไปตรงมา  คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น  ไม่รักก็บอกตรงๆ  ไม่พูดปดหลอกลวง  ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม  พูดแต่ความจริง  แต่ความจริงที่นางพูดทำให้นางต้องได้รับความลำบากทุกข์ระทมใจ  ดังตัวอย่างเมื่อสุเทษณ์บอกรักนางและขอนางให้คำตอบ

                                                            ฟังถ้อยดำรัสมะธุระวอน                    ดนุนี้ผิเอออวย.

                                                จักเปนมุสาวะจะนะด้วย                                 บมิตรงกะความจริง.

                                                อันชายประกาศวะระประทาน                         ประดิพัทธะแด่หญิง,

                                                หญิงควรจะเปรมกะมะละยิ่ง                           ผิวะจิตตะตอบรัก;

                                                แต่หากฤดีบอะภิรม                                        จะเฉลยฉะนั้นจัก

                                                เปนปดและลวงบุรุษะรัก                                 ก็จะหลงละเลิงไป.

                                                ตูข้าพระบาทสิสุจริต                                      บมิคิดจะปดใคร,

                                                จึ่งหวังและมุ่งมะนะสะใน                               วรเมตตะธรรมา.

           

๒.  กลวิธีในการดำเนินเรื่อง

                 การดำเนินเรื่องใช้กลวิธีให้มายาวินเป็นผู้เล่าอดีตชาติของสุเทษณ์เทพบุตร  และดำเนินเรื่องโดยแสดงให้เห็นลักษณะของสุเทษณ์เทพบุตรผู้เป็นใหญ่  ว่ามีบุญมีวาสนามาก  มีบริวารพรั่งพร้อมควรที่จะเสวยสุขในวิมานของตน  กลับเอาแต่ใจตนเองหมกมุ่นอยู่ในกามตัณหาราคะ  เฉพาะนางเทพธิดาที่ประดับบารมีก็มากล้นเหลือ  จะเสวยสุขอย่างไรก็ได้  แต่ก็ยังไม่พอ

                 ศิลปะการดำเนินเรื่อง  เปรียบให้เห็นว่าชายที่ร่ำรวยด้วยเงิน  อำนาจวาสนาอยากได้อะไรก็จะต้องเอาให้ได้  เมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล  ไม่ได้ด้วยมนตร์ต้องเอาด้วยคาถา  ผู้หญิงจึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะไม่มีอะไรจะไปต่อสู้  และมีไม่น้อยที่หญิงจะหลงไปติดในวิมานของคนร่ำรวย

                 การดำเนินเรื่องกำหนดให้สุเทษณ์สาปนางมัทนาให้เป็นดอกกุหลาบ  ต่อเมื่อถึงคืนเดือนเพ็ญจะกลายร่างเป็นหญิงรูปงามหนึ่งวันหนึ่งคืน  หากมีความรักเมื่อใดจึงจะกลายเป็นมนุษย์อย่างถาวร  และขอให้นางพบกับความทุกข์ระทมจากความรัก  หากนางมีความทุกข์ระทมเพราะความรักเมื่อก็ให้ไปอ้อนวอนสุเทษณ์ๆ  จึงจะยกโทษให้ 

                 เพราะสุเทษณ์เทพบุตรหวังว่าเมื่อนางต้องผิดหวังทุกข์ระทมเพราะความรัก  คงจะเห็นใจตนและยินดีรับรักบ้าง  แต่สุเทษณ์คาดการณ์ผิด   เพราะเรื่องกลับจบลงด้วยนางมัทนามาอ้อนวอนให้รักของนางสมหวัง  สุเทษณ์เทพบุตรขอให้นางรับรักก็ถูกปฏิเสธอีก  สุเทษณ์จึงโกรธแค้นและสาปนางให้เป็นดอกกุหลาบชั่วนิรันดร์            

คุณค่าด้านวรรณศิลป์

๑.  การใช้ถ้อยคำและรูแบบคำประพันธ์เหมาะสมกับเนื้อหา  ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกคล้อยตาม  เกิดความประทับใจอยากติดตามอ่าน  เช่น  เมื่อมายาวินเล่าเรื่องราวในอดีตถวายสุเทษณ์ว่าเหตุใดมัทนาจึงไม่รักสุเทษณ์  กวีเลือกใช้อินทรวิเชียรฉันท์  ๑๑  ที่มีท่วงทำนองเร็วเหมาะแก่การเล่าความ  หรือบรรยายเรื่อง  ส่วนเนื้อหาตอนสุเทษณ์ฝากรักนางมัทนานั้นใช้วสันตดิลกฉันท์  ซึ่งมีท่วงทำนองที่อ่อนหวาน  เมื่อสุเทษณ์กริ้วนางมัทนาก็ไช้ กมลฉันท์  ซึ่งมีคำครุลหุที่มีจำนวนเท่ากันแต่ขึ้นต้นด้วยคำลหุ  จึงมีทำนองประแทกกระทั้นถ่ายทอดอารมณ์โกรธเกรี้ยวได้ดี ดังตัวอย่าง

                                                                                    มะทะนาชะเจ้าเล่ห์        ชิชิช่างจำนรรจา,....

                                                                         ....................................

                                                                        ก็และเจ้ามิเต็มจิต                       จะสดับดนูชวน,

                                                                        ผิวะให้อนงค์นวล                       ชนะหล่อนทนงใจ.

                                                                        บ่มิยอมจะร่วมรัก                        และสมัครสมรไซร้,

                                                                        ก็ดะนูจะยอมให้                          วนิดานิวาศสวรรค์,....

            ๒.  การใช้โวหาร  กวีใช้อุปมาโวหารในการกล่าวชมความงามของนางมัทนาทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพความงามของมัทนาเด่นชัดขึ้น  ดังตัวอย่าง

                                                                                    งามผิวประไพผ่อง               กลทาบศุภาสุพรรณ

                                                                        งามแก้มแฉล้มฉัน                            พระอรุณแอร่มละลาน

                                                                        งามเกศะดำขำ                                 กลน้ำ ณ ท้องละหาน

                                                                        งามเนตรพินิจปาน                           สุมณีมะโนหะรา

                                                                        งามทรวงสล้างสอง                         วรถันสุมนสุมา-

                                                                        ลีเลิดประเสริฐกว่า                           วรุบลสะโรชะมาศ

                                                                        งามเอวอนงค์ราว                             สุระศิลปชาญฉลาด

                                                                        เกลากลึงประหนึ่งวาด                      วรรูปพิไลยพะวง

                                                                        งามกรประหนึ่งงวง                           สุระคชสุเรนทะทรง

                                                                        นวยนาฏวิลาศวง                              ดุจะรำระบำระเบง

                                                                        ซ้ำไพเราะน้ำเสียง                            อรเพียงภิรมย์ประเลง,

                                                                        ได้ฟังก็วังเวง                                    บ มิว่างมิวายถวิล

                                                                        นางใดจะมีเทียบ                               มะทะนา ณ ฟ้า ณ ดิน

                                                                        เป็นยอดและจอดจิน-                        ตะนะแน่ว ณ อก ณ ใจ

            ๓.  การใช้ลีลาจังหวะของคำทำให้เกิดความไพเราะ  กวีมีความเชี่ยวชาด้านฉันทลักษณ์อย่างยิ่ง  สามารถแต่งบทเจรจาของตัวละครให้เป็นคำฉันท์ได้อย่างดีเยี่ยม  อีกทั้งการใช้ภาษาก็คมคาย  โดยที่บังคับฉันทลักษณ์  ครุ  ลหุ  ไม่เป็นอุปสรรคเลย  เช่น  บทเกี้ยวพาราสีต่อไปนี้ แต่งด้วยวสันตดิลกฉันท์  ๑๔  มีการสลับตำแหน่งของคำ  ทำให้เกิดความไพเราะได้อย่างยอดเยี่ยม

                        สเทษณ์ :     พี่รักและหวังวธุจะรัก และบทอดบทิ้งไป

                        มัทนา :    พระรักสมัครณพระหทัย ฤจะทอกจะทิ้งเสีย?

                        สุเทษณ์ :    ความรักละเหี่ยอุระระทด เพราะมิอาจจะคลอเคลีย

                         มัทนา :    ความรักระทดอุระละเหี่ย ฤจะหายเพราะเคลียคลอ

           ๔.  การใช้คำที่มีเสียงไพเราะ  อันเกิดจากการเล่นเสียงสัมผัสคล้องจอง  และการหลากคำทำให้เกิดความำพเราะ  เช่น  ตอนมายาวินร่ายมนตร์

                                              อ้าสองเทเวศร์        โปรดเกศข้าบาท         ทรงฟังซึ่งวาท          ที่กราบทูลเชอญ

                                    โปรดช่วยดลใจ                 ทรามวัยให้เพลิน         จนลืมขวยเขิน         แล้วรีบเร็วมา

                                     ด้วยเดชเทพไท้                ทรามวัยรูปงาม            จงได้ทราบความ     ข้าขอนี้นา

                                     แม้คิดขัดขืน                     ฝืนมนตร์คาถา             ขอให้นิทรา             เข้าสึงถึงใจ

                                     มาเถิดนางมา                   อย่าช้าเชื่องช้อย         ตูข้านี้คอย               ต้อนรับทรามวัย

                                     อ้านางโศภา                     อย่าช้ามาไว                ตูข้าสั่งให้                โฉมตรูรีบจร.

                                     โฉมยงอย่าขัด                  รีบรัดมาเถิด                 ขืนขัดคงเกิด           ในทรวงเร่าร้อน

                                      มาเร็วบัดนี้                       รีบลีลาจร                     มาเร็วบังอร             ข้าเรียกนางมา

                จากตัวอย่างมีการเล่นเสียงสัมผัสใน  ทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร และการหลากคำ

           

๑.  สอดแทรกความคิดเกี่ยวกับความเชื่อในสังคมไทย  เช่น

               

๑.๑  ความเชื่อเรื่องชาติภพ

               

๑.๒  ความเชื่อเรื่องการทำบุญมากๆ  จะได้ไปเกิดในสวรรค์  และเสวยสุขในวิมาน

               

๑.๓  ความเชื่อเรื่องทำกรรมสิ่งใดย่อมได้รับผลกรรมนั้น

                ๑.๔  ความเชื่อเรื่องเวทมนตร์คาถา  การทำเสน่ห์เล่ห์กล

 

๒.  แสดงกวีทัศน์  โดยแสดงให้เห็นว่า  "การมีรักเป็นทุกข์อย่างยิ่ง"  ตรงตามพุทธวัจนะที่ว่า  "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์"  เช่น

               

๒.๑  สุเทษณ์รักนางมัทนาแต่ไม่สมหวังก็เป็นทุกข์  แม้เมื่อได้เสวยสุขเป็นเทพบุตรก็ยัง

รักนางมัทนาอยู่  จึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้นางมาแต่ไม่สมหวังก็พร้อมที่จะทำลาย   ความรักเช่นนี้เป็นความรักที่เห็นแก่ตัวควรหลีกหนีให้ไกล

               

๒.๒  ท้าาสุราษฎร์รักลูกและรักศักดิ์ศรี  พร้อมที่จะปกป้องศักดิ์ศรีและลูกแม้จะสู้ไม่ได้และต้องตายแน่นอนก็พร้อมที่จะสู้  เพราะรักของพ่อแม่เป็นรักที่ลริสุทธิ์และเที่ยงแท้

               

๒.๓  นางมัทนารักบิดา  นางยอมท้าวสุเทษณ์เพื่อปกป้องบิดา  รักศักดื์ศรีและรักษาสัจจะ  เมื่อทำตามสัญญาแล้วจึงฆ่าตัวตาย  รักของนางมัทนาเป็นความรักที่แท้จริงมั่นคง  กล้าหาญและเสียสละ

               

๒.๔  ท้าวชัยเสนและนางจันที  เป็นความรักที่มีความใคร่และความหลงอยู่ด้วยจึงมีความรู้สึกหึงหวง  โกรธแค้นเมื่อถูกแย่งชิงคนรัก  พร้อมที่จะต่อสู้ทำลายทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับคืนมา

                ตัวละครทั้งหมดในเรื่องประสบแต่ความทุกระทมจากความรัก  มีรักแล้วรักไม่สมหวังก็เป็นทุกข์  อยู่กับคนที่ไม่รักก็เป็นทุกข์  มีรักแล้วไม่ได้อยู่กับคนรักก็เป็นทุกข์  มีความรักแล้วถูกแย่งคนรักก็เป็นทุกข์  มีรักแล้วพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์

แก่นของเรื่องมัทนะพาธาแสดงให้เห็นว่า  ผู้ที่มีความรักต้องเจ็บปวดจากความรักทั้งสิ้น

          

๓.  ให้ข้อคิดในการครองตน  หญิงใดอยู่ในฐานะอย่างนางมัทนาจะต้องมีความระมัดระวังตัว  หลีกหนีจากผู้ชายมาราคะให้ไกล  กวีจึงกำหนดให้ทางมัทนาถูกสาปกลายเป็นดอกไม้ชื่อดอกกฺุชกะ (กุหลาบ) ซึ่งสวยงามมีหนามแหลมคมเป็นเกราะป้องกันตนให้พ้นจากมือผู้ที่ปรารถนาจะหักหาญรานกิ่งหรือเด็ดดอกไปเชยชม  ดอกกุหลาบจึงเป็นสัญลักษณ์แทนหญิงสาวที่มีรูปสวยย่อมเป็นที่หมายปองของชายทั่วไป หนามแหลมคมเปรียบเหมือนสติปัญญา  ดังนั้นถ้าหญิงสาวที่รูปงามและมีความเฉลียวฉลาดรู้ทันเล่ห์เหลี่ยม  ย่อมสามารถเอาตัวรอดจากผู้ที่หมายจะหยามเกียรติหรือหมิ่นศักดิ์ศรีได้

           

๔.  ให้ข้อคิดในเรื่องการมีบริวารที่ขาดคุณธรรมอาจทำให้นายประสบหายนะได้  เช่น  บริวารของท้าวสุเทษณ์ที่เป็นคนธรรพ์  ชื่อจิตระเสนมีหน้าที่บำรุงบำเรอให้เจ้านายมีความสุข  มีความพอใจ  ดังนั้นจึงทำทุกอย่างเพือ่เอาใจผู้เป็นเจ้านาย  เช่น  แสวงหาหญิงงามมาเสนอสนองกิเลสตัณหาของเจ้านาย  ให้วิทยาธรชื่อมายาวินใช้เวทมนตร์สะกดนางมัทนามาให้ท้าวสุเทษณ์  บริวารลักษณะอย่างนี้มีมากในสังคมจริง  ซึ่งมีส่วนให้นาย หรือประเทศชาติ ประสบความเดือดร้อนเสียหายได้

              บทละครพูดคำฉันท์  เรื่อง  มัทนะพาธาถือเป็นวรรณคดีเรื่องเยี่ยมและได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรให้เป็นแบบอย่างของบทละครพูดคำฉันท์  โดยวรรณคดีเรื่องนี้ให้ความเพลิดเพลินจากเนื้อหาที่ชวนติดตาม  และวรรณศิลป์อันไพเราะแล้วยังให้ข้อคิดเกี่ยวกับความรักอย่างน่าสนใจ  จึงควรศึกษาวรรณคดีเรื่องนี้อย่างพินิจพิเคราะห์  เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการอ่านอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

ที่มา https://sites.google.com/a/htp.ac.th/mathna-phatha/home

มัทนะพาธา ได้เค้าโครงเรื่องมาจากที่ใด

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เรื่องมัทนะพาธา โดยทรงจินตนาการให้เรื่องเกิดที่ประเทศอินเดียในสมัยโบราณ เนื้อเรื่องเริ่มต้นกล่าวถึงเทพบุตรในสวรรค์ ชื่อ “สุเทษณ์เทพบุตร” ว่าหลงรักนางฟ้าชื่อ “มัทนา” แต่นางไม่รักตอบ สุเทษณ์ใช้ให้วิทยาธร ชื่อ “มายาวิน” สะกดนาง มัทนามาพบด้วยเวทมนตร์ และเจรจาขอความรักจาก ...

บทละครพูดคำฉันท์เรื่อง มัทนะพาธา มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องใด *

มัทนะพาธาเป็นเรื่องที่สมมุติว่าเป็นกำเนิดของต้นกุหลาบ มีการผูกเรื่องให้เกิดความ ขัดแย้งซึ่งเป็นปมปัญหาของเรื่อง กล่าวคือ สุเทษณ์หลงรักมัทนา แต่มัทนาไม่รับรัก สุเทษณ์จึงกริ้ว มัทนาต้องลงมาเกิดในโลกมนุษย์เป็นการชดใช้โทษ เมื่อพบรักกับชัยเสน ความรักก็ไม่ราบรื่น

บทละครพูดเรื่องมัทนะพาธามีตัวละครสําคัญใดบ้าง

การศึกษาคนควาบทละครพูดคําฉันทเรื่องมัทนะพาธานี้จะนําหลักอริยสัจสี่มาวิเคราะห ตัวละคร จํานวน 9 ตัว คือ 1. มัทนา 2. ทาวชัยเสน 3. สุเทษณะเทพบุตร 4. พระนางจัณฑี 5. พระกาละทรรศิน 6. ทาวมคธ 7. ศุภางค 8. อราลี 9. ปริยัมวะทา

บทละครพูดคำฉันท์เรื่อง มัทนะพาธา ผู้แต่งสมมติเรื่องขึ้นในสมัยใด

มัทนะพาธา เป็นวรรณคดีประเภท “บทละครพูด” พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถทางด้านอักษรศาสตร์ของพระองค์เป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ ที่ทรงจินตนาการขึ้นด้วยพระองค์เอง โดยเริ่มพระราชนิพนธ์ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๖๖ เสร็จสมบูรณ์วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๖๖ รวมเวลา ...