สมมติฐานทางสถิติ คือ อสมมติฐานที่เป็นผลมาจากสมติฐานการวิจัยที่เราได้ตั้งไว้ โดยสมมติฐานมักจะมีไว้เพื่อความสัมพันธ์ของตัวแปร ตัวอย่างเช่น ถ้าหาว่าคุณลักษณะส่วนบุคคลที่แตกต่างกันมีผลต่อความพร้อมในการเป็นนักลงทุนหรือไม่ Show สมมติฐานทางสถิติจะแบ่งเป็น 2 ตัว ที่ต้องมาพร้อมกันเสมอ ได้แก่
ซึ่งมักจะเห็นสมมติฐานทั้ง 2 แบบบ่อยๆ ในการตั้ง สมมติฐานการวิจัย Null hypothesis (H0)Null hypothesis หรือ H0 คือ สมมติฐานว่าง หรือ สมมติฐานเป็นกลาง หรือ สมมติฐานไร้นัยสำคัญ โดย H0 จะเป็นสมมติฐานที่อธิบายว่า “ไม่แตกต่างกันหรือไม่มีความสัมพันธ์กัน” ระหว่างตัวแปร H0 : ความสนใจของนักเรียนในห้องเรียนที่แตกต่างกันไม่มีผลกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน Alternative hypothesis (H1)Alternative hypothesis หรือ H1 คือ สมมติฐานทางเลือก หรือ สมมติฐานอื่น เป็นสมมติฐานที่จะตั้งขึ้นตรงข้ามกับ Null Hypothesis หรือ H0 ที่ตั้งไว้ โดย H1 มักจะเป็นสิ่งที่ผู้วิจัยเชื่อ โดย H1 จะเป็นสมมติฐานที่อธิบายตัวแปรว่า “มีความแตกต่างกัน มีความสัมพันธ์กัน มากกว่า น้อยกว่า มีผลทางบวก มีผลทางลบ” H1 : ความสนใจของนักเรียนในห้องเรียนที่แตกต่างกันมีผลกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นอกจากนี้ สมมติฐานทางสถิติ จะมาพร้อมกับสัญลักษณ์เหล่านี้ เพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์กันของตัวแปรในสมมติฐานที่เราตั้งขึ้นมา โดยสัญลักษณ์ที่พบบ่อยใน การตั้งสมมติฐานทางสถิติ มีดังนี้ สมมติฐาน ( Hypothesis ) มี 2 ชนิด คือ สมมติฐานทางการวิจัย (Research hypothesis) กับสมมติฐานทางสถิติ (Statistical hypothesis) การวิจัยบางเรื่องอาจไม่มีสมมติฐานการวิจัยก็ได้ ส่วนที่ มีสมมติฐานมักเป็นการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร เช่น ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความถนัดทางการเรียนกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นต้น หรือเป็นการวิจัยที่อยู่ในลักษณะที่เป็นการเปรียบเทียบ เช่น ความมีวินัยในตนเองระหว่างนักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูด้วยวิธีต่างกัน กระบวนการทดสอบสมมติฐาน จะช่วยผู้วิจัยในการตัดสินใจสรุปผลว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างตัวแปรจริงหรือไม่ หรือช่วยใจการตัดสินใจเพื่อสรุปผลว่าสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบกันนั้นแตกต่างกันจริงหรือไม่ สำหรับหัวข้อสำคัญที่จะกล่าวถึงคือ ความหมายของสมมติฐาน ประเภทของสมมติฐาน ขั้นตอนการทดสอบสมมุติฐาน ชนิดของความคลาดเคลื่อน ระดับนัยสำคัญ และการทดสอบสมมุติฐานแบบมีทิศทางและแบบไม่มีทิศทาง ความหมายของสมมุติฐาน สมมุติฐาน คือ คำตอบที่ผู้วิจัยคาดคะเนไว้ล่วงหน้าอย่างมีเหตุผล หรือสมมุติฐานคือข้อความที่อยู่ในรูปของการคาดคะเนความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว หรือมากกว่า 2 ตัวเพื่อใช้ตอบปัญหาที่ต้องการศึกษา สมมุติติฐานที่ดีมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญ 2 ประการคือ 1. เป็นข้อความที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2.เป็นสมมุติฐานที่สามารถทดสอบได้โดยวิธีการทางสถิติ ประเภทของสมมุติฐาน สมมุติฐานมี 2 ประเภท คือ 1. สมมุติฐานทางการวิจัย (Research hypothesis) เป็นคำตอบที่ผู้วิจัยคาดคะเนไว้ล่วงหน้า และเป็นข้อความที่แสดงความเกี่ยวข้องระหว่างตัวแปร ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างที่ 1 นักเรียนในกรุงเทพฯจะมีทัศนะคติทางวิทยาศาสตร์ดีกว่านักเรียนในชนบท ตัวอย่างที่ 2 ผลการเรียนรู้ก่อนเข้าค่ายของนักศึกษาน้อยกว่าผลการเรียนรู้หลังเข้าค่ายของนักศึกษา ตัวอย่างที่ 3 นักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูด้วยวิธีการต่างกันจะมีวินัยในตนเองต่างกัน ตัวอย่างที่ 4 ความถนัดทางการเรียนมีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมมุติฐานดังกล่าวเป็นเพียงการคาดคะเน ยังไม่เป็นความรู้ที่เชื่อถือได้ จนกว่าจะ ได้รับการทดสอบโดยใช้วิธีการทางสถิติ ตัวอย่างที่ 1 มีตัวแปรที่เกี่ยวข้อง 2 ตัว คือ 1) ภูมิลำเนาของนักเรียน 2) ทัศนะคติทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างที่ 2 มีตัวแปรที่เกี่ยวข้อง 2 ตัวคือ 1) ผลการเรียนรู้ก่อนเข้าค่าย 2) ผลการเรียนรู้หลังเข้าค่าย ตัวอย่างที่ 3 มีตัวแปรที่เกี่ยวข้อง 2 ตัว คือ 1) วิธีการอบรมเลี้ยงดู 2) วินัยในตนเอง ตัวอย่างที่ 4 มีตัวแปรที่เกี่ยวข้อง 2 ตัว คือ 1) ความถนัดทางการเรียน และ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมมุติฐานทางการวิจัย มี 2 ชนิดคือ 1. สมมุติฐานทางการวิจัยมีแบบมีทิศทาง (Directional hypothesis) เป็นสมมุติฐานที่เขียนระบุอย่างชัดเจนถึงทิศทางของความแตกต่างถึงทิศทางของความแตกต่างระหว่างกลุ่ม โดยมีคำว่า “ ดีกว่า ” หรือ “ สูงกว่า ” หรือ “ ต่ำกว่า ” หรือ “ น้อยกว่า” ในสมมุติฐานนั้นๆ ดังตัวอย่างที่ 1 และที่ 2 ข้างต้น หรือระบุทิศทางของความสัมพันธ์ โดยมีคำว่า “ ทางบวก ” หรือ “ทางลบ ” ดังตัวอย่างที่ 4 ข้างต้น ยกตัวอย่างเช่น - ผู้บริหารเพศชายมีประสิทธิภาพในการบริหารงานมากกว่าผู้บริหารเพศหญิง - ผู้บริหารชายมีการใช้อำนาจในตำแหน่งมากกว่าผู้บริหารหญิง - ครูอาจารย์เพศชายมีความวิตกกังวลในการทำงานน้อยกว่าครูอาจารย์เพศหญิง - เจตคติต่อวิชาวิจัยทางการศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิจัยทางการศึกษา 2. สมมุติฐานทางการวิจัยไม่มีแบบไม่มีทิศทาง (Non-directional hypothesis ) เป็นสมมุติฐานที่ไม่กำหนดทิศทางของความแตกต่างดังตัวอย่างที่ 3 หรือไม่กำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ ดังตัวอย่าง - นักเรียนที่มีเพศต่างกันมีเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์แตกต่างกัน - ผู้บริหารที่มีเพศต่างกันมีปัญหาในการบริหารงานวิชาการแตกต่างกัน - ภาวะผู้ของผู้บริหารมีความสัมพันธ์กับบรรยากาศองค์การ 2. สมมุติฐานทางสถิติ (Statistical hypothesis) เป็นสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นเพื่อใช้ทดสอบว่า สมมุติฐานทางการวิจัยที่ผู้วิจัยตั้งไว้เป็นจริงหรือไม่ เป็นสมมุติฐานที่เขียนอยู่ในรูปแบบของโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้อยู่ในรูปที่สามารถทดสอบได้ด้วยวิธีการทางสถิติ สัญลักษณ์ที่ใช้เขียนในสมมุติฐานทางสถิติจะเป็นพารามิเตอร์เสมอ ที่พบบ่อยๆได้แก่ สมมติฐานแบบมีทิศทาง มีอะไรบ้าง1.2 สมมติฐานมีทิศทาง (Directional Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่บอกให้ทราบว่าตัวแปรทั้งสองแตกต่างกันในลักษณะมากกว่า น้อยกว่า ดีกว่า ด้อยกว่า ต่ำกว่าฯลฯ นักกีฬาชายมีแรงจูงใจในการเป็นนักกีฬาทีมชาติมากกว่านักกีฬาหญิง ความถนัดกับแรงจูงใจในการเป็นนักกีฬาทีมชาติ มีความสัมพันธ์ทางบวก
ข้อใดเป็นสมมติฐานแบบไม่มีทิศทาง2. สมมุติฐานทางการวิจัยไม่มีแบบไม่มีทิศทาง (Non-directional hypothesis ) เป็นสมมุติฐานที่ไม่กำหนดทิศทางของความแตกต่างดังตัวอย่างที่ 3 หรือไม่กำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ ดังตัวอย่าง - นักเรียนที่มีเพศต่างกันมีเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์แตกต่างกัน - ผู้บริหารที่มีเพศต่างกันมีปัญหาในการบริหารงานวิชาการแตกต่างกัน
สมมติฐานมีกี่ประเภทอะไรบ้างสมมติฐานแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ 1. สมมติฐานทางการวิจัย (Research hypothesis) สมมติฐานแบบมีทิศทาง (Directional hypothesis) เช่น กลุ่มหนึ่งมากกว่า หรือน้อยกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง สมมติฐานแบบไม่มีทิศทาง (Non-directionalo hypothesis) เช่น แตกต่างกัน หรือสัมพันธ์กัน
สมมติฐานประกอบไปด้วยอะไรบ้าง1) สมมติฐานต้องเป็นข้อความที่บอกความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปรต้น กับ ตัวแปรตาม 2) ในสถานการณ์หนึ่ง ๆ อาจตั้งหนึ่งสมมติฐานหรือหลายสมมติฐานก็ได้ สมมติฐานที่ตั้งขึ้นอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ดังนั้นจำเป็นต้องมีการทดลองเพื่อตรวจสอบว่า สมมติฐานที่ ตั้งขึ้นนั้นเป็นที่ยอมรับหรือไม่ซึ่งจะทราบภายหลังจากการทดลองหาคำตอบแล้ว
|