การ เดิน และ พยุง ตัว ใน Metaverse

“มนุษย์” สิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้เมื่อประมาณหลายแสนปีก่อน ค่อย ๆ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นมามากมาย ทั้งวิธีการจุดไฟ เครื่องบิน สมาร์ตโฟน หรือแม้กระทั่งยานอวกาศที่นำพาเราออกไปพบเจอดาวดวงอื่น แต่ล่าสุด ความทะเยอทะยานของมนุษย์ กำลังจะทำให้มนุษย์ทำการ “สร้างโลก” ใบใหม่ขึ้นมา และโลกใบนี้จะกลายเป็นอนาคตของทุกคน ที่เรามองข้ามไม่ได้อย่างแน่นอน และโลกใบใหม่นี้มีชื่อว่า “Metaverse”

Metaverse คืออะไร

“Metaverse” เกิดจากคำศัพท์สองคำคือ Meta ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลว่า เหนือกว่า หรือไปได้ไกลกว่า และคำว่า Verse ซึ่งมาจากคำว่า Universe ซึ่งแปลว่าจักรวาล ฉะนั้นคำศัพท์ที่เรียกว่า Metaverse จึงหมายถึงจักรวาลใหม่ที่ไปได้ไกลกว่าที่เราเคยรู้จัก โดยคำศัพท์นี้ปรากฎครั้งแรกในปี ค.ศ. 1992 บนหน้าหนังสือนวนิยายที่มีชื่อว่า “Snow Crash” ที่พูดถึงโลกในศตวรรษที่ 21 มีการพัฒนาโลกเสมือนขึ้นมา และเชื่อมต่อโลกจริงเข้ากับโลกดิจิทัลได้อย่างกลมกลืน เหมือนกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงในตอนนี้ ซึ่ง Metaverse นั้นคือพื้นที่โลกเสมือนแบบ 3 มิติ เราสามารถโต้ตอบได้ และสามารถเข้าไปใช้งานร่วมกันกับคนอื่นได้ การทำกิจกรรมร่วมกันกับผู้อื่นไม่จำเป็นต้องเดินทาง การไปเที่ยวสามารถไปได้ในระยะเวลาเพียงแค่ชั่วอึดใจ การเล่นเกมจะสมจริงมากยิ่งขึ้น และการรักษาทางการแพทย์จะเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

การ เดิน และ พยุง ตัว ใน Metaverse
(ซ้าย) หนังสือเรื่อง “Snow Crash” นวนิยายวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับโลกในยุคที่ Metaverse กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน
(ขวา) นีล สตีเฟนสัน ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง “Snow Crash” บุคคลแรกที่ใช้คำว่า “Metaverse” ก่อนจะกลายเป็นคำศัพท์ที่
ที่มา Neal Stephenson

ที่จริง โลกเสมือนนั้นเกิดขึ้นมาให้เราเห็นนานแล้ว ที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือโลกของเกมออนไลน์ ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ให้เดินทาง มีสินค้าให้จับจ่ายใช้สอย และมีผู้คนที่เล่นเกมพร้อมกับเราให้ร่วมพูดคุย แต่ท้ายที่สุด โลกเสมือนที่มาในรูปของเกมออนไลน์เหล่านี้ ยังมีข้อจำกัดภายในเกม และต้องถูกควบคุมโดยองค์กร หรือบุคคลกลุ่มหนึ่ง แต่การมาของ Metaverse ในอนาคต เกมออนไลน์คนละเกมอาจเชื่อมต่อกัน การพบผู้คนจะไร้พรมแดน การซื้อสินค้าข้ามไปมาระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนจะเกิดขึ้นได้ และที่สำคัญคือ โลกเสมือนเหล่านั้นอาจมีทุกสิ่งที่เราต้องการจนเราไม่อยากกลับออกมาใช้ชีวิตในโลกแห่งความจริงเลยก็ได้

เมื่อทุกพื้นที่บนโลกนั้นล้วนมีคุณค่า การที่จะมีพื้นที่ใหม่ ๆ ย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญในการสร้างมูลค่าและคุณค่าใหม่ ๆ ให้กับผู้ที่ยังมองหาโอกาส บางคนเลือกที่จะมุ่งหน้าออกจากดาวโลก เพื่อไปตั้งถิ่นฐานใหม่บนดาวดวงอื่น อย่างเช่น อีลอน มัสก์ ที่มุ่งมั่นกับภารกิจการพาคนไปยังดาวอังคาร แต่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อีกหลายแห่งบนโลก กลับเลือกที่จะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เพื่อสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมาไว้บนอินเทอร์เน็ตแทน จนหลายคนพูดว่า การมาถึงของ Metaverse คือยุคที่ 3 ของอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า เว็บ 3.0

ยุคสมัยของอินเทอร์เน็ตนั้นเริ่มต้นมาจาก เว็บ 1.0 ที่เกิดขึ้นเมื่อ ทิม เบิร์นเนอร์ส-ลี นักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษ ที่ได้คิดค้น “เวิลด์ ไวด์ เว็บ” ขึ้นมาเป็นครั้งแรก โดยในยุคสมัยที่ 1 นั้น เว็บไซต์ถูกสร้างด้วย HTML ทำได้เพียงนำเสนอข้อมูลแบบคงที่เพื่อให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อ่านเพียงเท่านั้น แต่พอเข้าสู่ยุคที่ 2 ของอินเทอร์เน็ต หรือว่า เว็บ 2.0 มีการเกิดขึ้นของเว็บบล็อก และโซเชียลมีเดีย ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถโต้ตอบ เขียนเรื่องราว รวมถึงแก้ไขเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ได้ และยุคสมัยที่ 3 ของอินเทอร์เน็ต หรือ เว็บ 3.0 ที่เรากำลังพูดถึงนั้น โลกอินเทอร์เน็ตจะไร้ศูนย์กลาง ทุกคนมีสิทธิ์ในการเลือก ออกแบบ และพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างอิสระมากขึ้น โดยหลายคนคิดว่า เว็บ 3.0 นั้นกำลังเกิดขึ้นจากการมาของเทคโนโลยี “Blockchain” และ “Metaverse” ควบคู่กัน

การ เดิน และ พยุง ตัว ใน Metaverse
โลกของ Metaverse ทำให้ผู้คนสามารถพบปะกับคนอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น และได้รู้สึกใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยผู้คนในโลกเสมือนนี้อาจจะมาในรูปแบบคล้ายกับลักษณะของคนนั้นจริง ๆ หรืออาจเป็นอวตาร์ที่ผู้ใช้งานสามารถออกแบบได้อย่างอิสระ
ที่มา Meta

VR และ AR

เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีสร้างโลกเสมือน หลายคนคงคุ้นเคยกับเทคโนโลยี VR (Virtual Reality) และ AR (Augmented Reality) ซึ่ง

ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยี VR และ AR ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงโลกเสมือนได้จริง ภาพที่คนคุ้นตาเมื่อพูดถึง VR คงนึกถึงแว่นตาอันใหญ่ ที่สวมครอบใบหน้าของเรา เพื่อให้เรามองโลกเสมือนได้ชัดเจนเหมือนกับว่าเราเข้าไปอยู่ในที่แห่งนั้น ส่วนถ้าพูดถึง AR อาจจะคุ้นตากับการเปิดแอปพลิเคชันในมือถือ แล้วสามารถเห็นภาพสามมิติขึ้นมาบนกล้องมือถือ ทำให้เราเห็นของจริง และของเสมือน อยู่ในจอเดียวกัน แล้วสรุปว่า VR กับ AR นั้นแตกต่างกันอย่างไร?

VR หรือ Virtual Reality หมายถึง โลกเสมือนที่เป็นโลกอีกใบหนึ่งเลย แยกจากโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ คุณสามารถเห็นโลกเสมือนได้ผ่านอุปกรณ์แว่น VR และสัมผัสกับโลกใบนั้นได้ผ่านอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ อีกหลายชนิด โดยในปัจจุบันจะเน้นการมองเห็นโลกอีกใบมากกว่าจะได้จับต้องมันจริง ๆ เพราะอุปกรณ์ที่ช่วยในการสัมผัสยังคงมีราคาแพง และมีข้อจำกัดต่าง ๆ อยู่ แต่บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมีความพยายามในการพัฒนาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ช่วยให้สัมผัสโลกเสมือนได้สมจริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งเทคโนโลยี VR ในทุกวันนี้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่จะทำให้คุณมองเห็นแบบจำลองได้ตั้งแต่โครงการยังสร้างไม่เสร็จ รวมถึงในอุตสาหกรรมความบันเทิงอย่างภาพยนตร์ และเกม

การ เดิน และ พยุง ตัว ใน Metaverse
เทคโนโลยี VR (Virtual Reality) เป็นเทคโนโลยีโลกเสมือนอีกใบหนึ่ง ที่ต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่างในการควบคุม การใช้งานจึงยังไ่แพร่หลายในวงกว้าง ด้วยข้อจำกัดความสามารถของอุปกรณ์ และราคาที่ยังจับต้องได้ยาก
ที่มา Telefónica Deutschland

ส่วน AR หรือ Augmented Reality หมายถึง ข้อมูลเพิ่มเติมที่ซ้อนทับกับโลกแห่งความจริงของเรา เรียกได้ว่าเป็นการผสานระหว่างโลกเสมือนและโลกแห่งความจริงเข้าด้วยกัน โดยเทคโนโลยีชนิดนี้ต้องใช้อุปกรณ์ที่มีกล้องและหน้าจอ เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต ในการที่จะเห็นภาพของโลกแห่งความเป็นจริงตรงหน้า ที่มีภาพเสมือนที่ถูกสร้างขึ้นมา ปรากฎบนหน้าจอเดียวกัน ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น เกมโปเกม่อนโก (Pokémon GO) ที่เราสามารถเปิดกล้องให้เห็นสถานที่จริงได้ ในขณะที่มีโปเกม่อนปรากฎขึ้นบนหน้าจอด้วย หรือการเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ บนโลกแห่งความจริง เราจะสามารถเดินทางไปบนโลกของเกมนี้ได้ในเวลาเดียวกัน ปัจจุบัน นอกจากการพัฒนาในวงการเกมแล้ว ยังมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AR อีกหลายอย่าง เช่น พิพิธภัณฑ์ผลิตสื่อความรู้ 3 มิติที่ช่วยให้ชิ้นงานจัดแสดงน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้น ธุรกิจแสดงโมเดลสินค้า 3 มิติเพื่อช่วยลูกค้าประกอบการตัดสินใจ รวมถึงฟิลเตอร์บนกล้องในแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ ก็ถือเป็นเทคโนโลยี AR เช่นเดียวกัน

การ เดิน และ พยุง ตัว ใน Metaverse
เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ผสานโลกเสมือนเข้ากับโลกแห่งความจริง ด้วยการซ้อนทับภาพ หรือข้อมูลต่าง ๆ บนหน้าจอที่แสดงภาพจากกล้องโทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายอุตสาหกรรม
ที่มา 405 Magazine

นอกจากนี้ยังมี MR หรือ Mixed Reality ซึ่งหมายถึง การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี VR และ AR แต่ใกล้เคียงกับ AR มากกว่า นั่นคือคุณยังสามารถมองเห็นโลกแห่งความเป็นจริงได้อยู่ ผ่านแว่นตาอัจฉริยะที่มีกระจกใส แต่ก็สามารถเข้าไปสัมผัสและปรับแต่งข้อมูลที่เป็นส่วนขยายเพิ่มเติมจากความเป็นจริงได้ เช่น การจัดวางโมเดลสินค้า 3 มิติ หรือการเล่นโซเชียลมีเดียผ่านแว่นตาอัจฉริยะ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องถือโทรศัพท์หรือแท็บเล็ตให้เทอะทะเลย การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหลายอย่างเข้าด้วยกัน จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้โลกของ Metaverse เข้าใกล้ความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

การ เดิน และ พยุง ตัว ใน Metaverse
เทคโนโลยี MR (Mixed Reality) เป็นการผสมระหว่างเทคโนโลยี VR และ AR เข้าด้วยกัน นั่นคือเทคโนโลยีนี้ทำให้เห็นส่วนขยายเพิ่มเติมได้เหมือนกับ AR แต่จะเห็นมันผ่านแว่นและสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับส่วนขยายเหล่านี้ได้เหมือนกับ VR นั่นทำให้เทคโนโลยี MR สร้างโลกเสมือนที่ซ้อนทับกับโลกแห่งความจริงได้ดีกว่าเฉพาะ VR หรือ AR อย่างเดียว
ที่มา Microsoft HoloLens

การพัฒนา Metaverse โดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่

จากการที่บริษัทโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง Facebook, Inc. เลือกที่จะเปลี่ยนชื่อบริษัทไปเป็น Meta, Inc. เพื่อตอบรับกับสิ่งที่พวกเขากำลังตั้งใจจะพัฒนาอย่างแน่วแน่ นั่นก็คือเทคโนโลยีสร้างโลกเสมือนอย่าง Metaverse นั่นเอง ซึ่งแท้จริงแล้ว สิ่งที่มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ตั้งใจที่จะทำหลังการเปลี่ยนชื่อบริษัทเพื่อแสดงตัวตนของการเป็นผู้นำในการพัฒนา Metaverse ไม่ใช่การสร้างโลกใบใหม่ที่ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้ เขากลับต้องการที่จะเป็น Meta-first หรือคนแรกที่สร้างเทคโนโลยีนี้ขึ้นมาก่อน เพื่อเปิดพื้นที่ให้นักพัฒนาอื่น ๆ สามารถเข้ามาร่วมสร้างโลกใบใหม่ไปด้วยกันได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยพื้นฐานจำนวนผู้ใช้ของ Facebook ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกอยู่แล้ว การได้เป็นผู้พัฒนา Metaverse สำเร็จเป็นเจ้าแรก อาจทำให้คู่แข่งทางการตลาดของ Facebook ต่อกรได้ยากมากจริง ๆ

การ เดิน และ พยุง ตัว ใน Metaverse
การเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Facebook เป็น Meta คือก้าวสำคัญในการแสดงจุดยืนของ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ในการเป็นผู้นำการพัฒนาเทคโนโลยี Metaverse อย่างจริงจัง และเขายังมีความตั้งใจที่จะเป็น Meta-first คือเป็นผู้ให้บริการเจ้าแรกของระบบ Metaverse เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้พัฒนาต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ที่มา Meta

แต่บริษัท Meta ก็ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีเจ้าแรกที่ริเริ่มการพัฒนา Metaverse เพราะบริษัทเทคโนโลยีอีกหลายแห่ง ก็มีความพยายามจะสร้างเทคโนโลยีโลกเสมือนให้สมจริงมากยิ่งขึ้น เช่น Epic Games เจ้าของเกมชื่อดังอย่าง Fortnite เลือกที่จะจัดคอนเสิร์ตโดยศิลปินชื่ือดังมากมายภายในโลกของเกม ไม่ว่าจะเป็น ทราวิส สก็อตต์ ที่สร้างปรากฎการณ์ยอดผู้เข้าชมพร้อมกันมากถึง 12 ล้านคน และนับจำนวนผู้เข้าชมตลอดการแสดงได้มากถึง 27.7 ล้านคนแบบไม่ซ้ำ รวมถึงยังมีศิลปินอื่น ๆ อีกหลายคนร่วมแสดงคอนเสิร์ตภายในเกม ถือเป็นกรณีศึกษาสำหรับการจัดงานคอนเสิร์ตที่สามารถรองรับผู้เข้าชมได้มากขนาดนี้ในคราวเดียวกัน นอกจากนี้บริษัทอี-คอมเมิร์ซสัญชาติจีนอย่าง Alibaba ผสานการซื้อของออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน จากการสร้างห้างสรรพสินค้าตัวอย่างในโลกเสมือน ที่สามารถหยิบจับสินค้าได้ ลองใส่สินค้าได้ และยังดูข้อมูลต่าง ๆ ของสินค้าได้อย่างง่ายดาย ซึ่งยังอยู่ในขั้นการทดลอง ยังไม่เปิดให้ใช้บริการจริงในปัจจุบัน

การ เดิน และ พยุง ตัว ใน Metaverse
ทราวิส สก็อตต์ ศิลปินแร็ปชื่อดัง ที่ได้มีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองในเกม Fortnite และมียอดผู้ชมมาเข้าร่วมแบบไม่ซ้ำหน้ามากถึง 27.7 ล้านคน
ที่มา Fortnite

การช่วงชิงโอกาสในการสร้างโลก Metaverse ขึ้นมา เป็นการแข่งขันที่ดุเดือดมาก เพราะถ้าใครได้เป็นคนเปิดบริการโลกใบใหม่ขึ้นมาได้ก่อนเป็นคนแรก ก็สามารถเข้าถึงผู้ใช้บริการที่รออยู่เป็นจำนวนมากได้ก่อน และอาจจะทำให้ผู้ใช้บริการคุ้นชินกับโลกเสมือนของพวกเขามากกว่าโลกเสมือนของบริษัทอื่น ๆ ด้วย ซึ่งนับว่าเป็นผลดีกับผู้ใช้งานอย่างพวกเรา ที่ได้เห็นการแข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยีอันล้ำสมัย มีประโยชน์ และมอบโอกาสใหม่ ๆ ให้กับพวกเรา ทำให้เราได้ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น จากการแข่งขันทางการตลาดในครั้งนี้

อนาคตของ Metaverse

ตอนนี้เราอาจจะพูดได้ว่า เทคโนโลยี Metaverse กำลังจะเปลี่ยนโลก อนาคตเราไม่จำเป็นต้องเสียเวลานัดเพื่อนทั้งวัน เพื่อให้วันต่อมาเพื่อนตอบกลับว่าไม่ว่างไปไหนด้วย เพราะเราสามารถพบเพื่อนเมื่อไหร่ก็ได้ จากที่ไหนก็ได้ ผู้คนสามารถไปเที่ยวด้วยกัน ทานอาหารด้วยกัน หรือออกกำลังกายด้วยกัน โดยไม่ต้องออกจากบ้านของตัวเองเลย สิ่งที่ต้องทำคือ จัดเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าสู่โลก Metaverse

นอกจากชีวิตประจำวันจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตการทำงานก็จะเปลี่ยนไปด้วย ในยุคนี้ที่มีเชื้อโรคระบาด หลายคนต้องทำงานอยู่ที่บ้าน เห็นสภาพแวดล้อมเหมือนเดิมทุกวันจนน่าเบื่อ พอโรคระบาดดูมีทีท่าว่าจะดีขึ้น ก็ต้องออกเดินทางฝ่ารถติดเพื่อไปให้ถึงที่ทำงาน แต่ด้วยเทคโนโลยี Metaverse เราไม่ต้องผจญภัยไปกับการจราจรอันคับคั่งยามเช้า สามารถทำงานอยู่ที่บ้านได้เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือออกแบบสถานที่ทำงานเองได้ การเข้าห้องประชุมร่วมกับคนอื่นก็สามารถเข้าร่วมในบรรยากาศที่เหมือนห้องประชุมจริง ๆ พื้นที่การโฆษณาของสินค้าชนิดต่าง ๆ ก็มีมากขึ้น เกิดโอกาสใหม่ ๆ มากมายทางธุรกิจให้สามารถต่อยอดได้

การ เดิน และ พยุง ตัว ใน Metaverse
ต่อไป ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลกก็สามารถเข้าร่วมประชุมในบรรยากาศห้องประชุมได้ ผ่านเทคโนโลยี Metaverse
ที่มา Facebook Horizon Workrooms

ด้วยยุคที่เทคโนโลยีพัฒนามาไกล นอกเหนือจาก VR และ AR ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น เทคโนโลยี Blockchain ระบบบันทึกข้อมูลธุรกรรมในระบบอินเทอร์เน็ตที่มีความปลอดภัยสูง และมีความน่าเชื่อถืออย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งนิยมนำมาใช้ในเรื่องของการเงิน จากการสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลที่เรียกว่า “คริปโตเคอเรนซี” หรือ “สกุลเงินคริปโต” บนเทคโนโลยีชนิดนี้ หลายคนคาดการณ์ว่า ระบบเงินตราที่จะถูกนำมาใช้ซื้อขายสิ่งต่าง ๆ ใน Metaverse ก็คือสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างสกุลเงินคริปโตนี่เอง การเชื่อมต่อเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ดีขึ้นกว่าเดิม จึงเป็นสิ่งย้ำเตือนให้เราศึกษาเรียนรู้การใช้งานเทคโนโลยีอย่างหลากหลาย ไม่เช่นนั้นคุณจะตามกระแสนี้ไม่ทัน

หลายคนยังคงกังวลว่า การมาถึงของโลกเสมือนอย่าง Metaverse จะกระทบต่อชีวิตในโลกจริงที่เราอาศัยอยู่หรือไม่ เช่น ปัญหาด้านสุขภาพกาย หากผู้คนไม่ออกจากบ้านเป็นเวลานาน หรือปัญหาสุขภาพจิต หากผู้คนไม่ได้พบปะกับคนจริง ๆ อยู่ตรงหน้า และยังมีความกังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เราไม่รู้จักอีกมากมาย แต่ความจริงแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อยุคที่ผู้คนใช้ Metaverse กันในชีวิตประจำวันเกิดขึ้นจริง จะเกิดปัญหาอะไรตามมาบ้าง แต่ทุก ๆ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นล้วนสร้างโอกาสให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อแก้ปัญหา และสร้างสรรค์สิ่งที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นประโยชน์แก่ทุกคน