การเปลี่ยน ผ่าน สู่องค์กรดิจิทัล คือ

Digital Transformation คือ การเปลี่ยนแปลงแนวความคิดและนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจในยุคดิจิทัล ตั้งแต่การวางรากฐาน เป้าหมาย ไปจนถึงการดำเนินธุรกิจและส่งต่อคุณค่าให้แก่ผู้บริโภค ไม่เพียงแต่ภาคการปฏิบัติการที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้น แต่สิ่งนี้รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมที่องค์กรและบุคลากรทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้บริหารไปจนถึงพนักงานตำแหน่งล่างสุดจะต้องมีส่วนร่วมในการปรับตัวไปสู่ยุค 4.0 นี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้องค์กรสามารถแข่งขันในยุคนี้ได้

มุ่งหน้าสู่การทำ Digital Transformation

1. เปลี่ยนแปลง Customer Experience ของผู้บริโภค
เมื่อทุกอย่างถูกขับเคลื่อนด้วยคำว่า “ดิจิทัล” การเข้าถึงผู้บริโภค เริ่มจากการพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์ผู้บริโภค นอกเหนือจากการแบ่งกลุ่มลูกค้าตาม พื้นที่ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ มาให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการซื้อสินค้า ความต้องการ ความสนใจ เทรนด์ โปรโมชั่น และราคา เพื่อกำหนดกลยุทธ์การสร้างความพึงพอใจและแรงจูงใจในการซื้อสินค้าตามความชอบของแต่ละคน รวมถึงการนำเอาอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ มาใช้เพื่อมาอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค ปัจจุบันจะสังเกตุได้ชัดเจนมากว่า แบรนด์ต่างๆ จะมีช่องทางการออนไลน์ใหม่ ๆ เช่น Facebook, Line, Twitter, Instagram, Application, และอีกมากมาย เพื่อการเข้าถึงบริการที่รวดเร็ว

2. เปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินธุรกิจ
แม้ว่าการสร้างประสบการณ์ที่พึงพอใจแก่ผู้บริโภคในยุคดิจิทัลจะเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ สร้างความสัมพันธ์กับพนักงาน และสร้างระบบบริหารผลการปฏิบัติงาน ช่วยให้บริษัทได้รับผลประโยชน์มากมาย บุคลากรสามารถมุ่งเน้นการทำงานด้านการสร้างกลยุทธ์ ผ่านนวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ มากกว่าปฏิบัติการและทำงานซ้ำ ๆ เดิม ๆ รวมถึงการสร้างเครือข่ายการทำงาน และให้บุคลากรจากหลากหลายแผนกได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะนั่งอยู่ตรงไหนในออฟฟิศ หรือทำงานจากที่ใดบนโลกก็ตาม มากไปกว่านั้นการวัดผลการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการผลิตก็ดีจะช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจข้อมูลเชิงลึกของผลิตภัณฑ์ ผู้บริโภค และความต้องการแบบลึกซึ้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ระบบการทำงานมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น

3. ต้องเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล
เปลี่ยนวิธีการทำงานในแต่ละภาคส่วนและกำหนดแบบแผนการทำงานภายในองค์กร รวมถึงการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้ก้าวไปสู่ยุคดิจิทัล และไม่ใช่เปลี่ยนแต่วิธีที่นำเทคโนโลยีมาใช้งาน แต่เป็นการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินธุรกิจ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ต้องอาศัยทั้งความเป็นผู้นำ วิสัยทัศน์ และเป้าหมายว่าคุณต้องการจะนำพาธุรกิจให้เป็นไปในทิศทางใดต่อไป

บทเรียนการเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรดิจิทัล จะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล รวมทั้งการศึกษาการแนวทางการเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องความคิด การพัฒนาคน การพัฒนาการทำงานร่วมกัน การสร้างวัฒนธรรมดิจิทัลและการบริหารจัดการเทคโนโลยีเพื่อการขับเคลื่อนไปสู่รัฐบาลดิจิทัล
สำหรับหลาย ๆ คน ดิจิทัลคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของเขาอาจจะเป็นของขวัญชิ้นพิเศษจากผู้ให้กำเนิด แต่ไม่ใช่กับ นาย John Vincent Atanasoff นักฟิสิกส์และนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันที่ไม่ได้ของขวัญจากพ่อหรือแม่ของเขา กลับกันเขาได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดดิจิทัลคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก ซึ่งอุบัติขึ้นในช่วงยุค 1930 และนั่นนับเป็นก้าวแรกที่สำคัญของวงการดิจิทัล วงการอินเตอร์เน็ต และวงการเทคโนโลยีของมนุษยชาติจนถึงปัจจุบัน

ดิจิทัลเป็นการแทนความหมายของข้อมูลต่าง ๆ ในรูปแบบของตัวเลข โดยข้อมูลเชิงตัวเลขที่นิยมกันมาถึงปัจจุบันก็คือตัวเลขฐานสอง คือมีแค่ 2 ตัวระหว่าง 1 และ 0 แต่เมื่อนำมาร้อยเรียงกันก็สามารถตีความเป็นข้อมูลต่าง ๆ ให้มนุษย์เข้าใจได้  การเปลี่ยนแปลงของ 1 และ 0 นี้เป็นค่าที่ไม่ต่อเนื่องจึงสามารถนำมาประยุกต์สร้างเป็นดิจิทัลคอมพิวเตอร์ได้ในที่สุด 

Digital Transformation คือ กระบวนการในการนำเทคโนโลยีมาสร้างสิ่งใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งเก่าจากการดำเนินธุรกิจให้เหมาะสมกับธุรกิจในยุคดิจิทัลที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยครอบคลุมทั้ง 3 มิติ คือ มิติทางกระบวนการธุรกิจขององค์กร มิติทางวัฒนธรรมองค์กร และมิติด้านประสบการณ์ของลูกค้า

ข้อดีที่หลายคนอาจจะตอบได้รวดเร็วของการทำ Digital Transformation ก็คือทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์หรือข้อดีหลัก เพราะการทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมีมากมายหลายวิธี แต่ข้อดีจริง ๆ ของการทำ Digital Transformation คือความยั่งยืนที่ก่อตัวขึ้นมาจากข้อดีหลายข้อดังนี้ 

1. สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า (Enhance Customer Experience)

หากหัวใจของการค้าขายคือความต้องการของผู้บริโภค หัวใจของดิจิทัลในวงการธุรกิจคงหนีไม่พ้น “คุณค่าแห่งประสบการณ์ของลูกค้า” หลายบริษัทในปัจจุบันก็เน้นไปที่เรื่องนี้มากขึ้น เพราะยิ่งสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับลูกค้าได้มากเท่าไร ความผูกพันระหว่างองค์กร (หรือแบรนด์) กับ ลูกค้าก็ยิ่งมีมากขึ้น นำไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต 

ตัวอย่างผลจาก Digital Transformation เช่น บริษัทที่สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าในยุคดิจิทัลได้ชัดเจนอย่าง NETFLIX ที่ทำให้สมาร์ทโฟนเครื่องเดียวของลูกค้าหลาย ๆ คน สร้างกำไรมหาศาลให้กับบริษัท NETFLIX ได้ถึงปีละ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ลูกค้าไม่ต้องนั่งรถออกไปเช่าหรือซื้อดีวีดีเหมือนแต่ก่อน

การเปลี่ยน ผ่าน สู่องค์กรดิจิทัล คือ
การเปลี่ยน ผ่าน สู่องค์กรดิจิทัล คือ

2. สะสมฐานข้อมูลเชิงลึกได้มากขึ้น 

การเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับองค์กรและลูกค้าในทุกมิติบนระบบดิจิทัลทำให้สามารถหยิบยกมาใช้ง่ายขึ้น โดยใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นตัวตั้งในการทำความเข้าใจลูกค้าให้มากขึ้น ตัดสินใจด้วยข้อมูลที่มากพอ และกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจรวมไปถึงมองเห็นโอกาสในการทำกำไรต่อเงินลงทุนที่ลงไปได้ด้วย นับเป็นอีกกุญแจดอกสำคัญของ “Digital Transformation” เลยก็ว่าได้

3. เพิ่มความคล่องตัวขององค์กร

ขณะที่ตลาดและความต้องการลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง องค์กรต่าง ๆ ก็พยายามไล่ตามเช่นกัน จนมีคำกล่าวว่า “ตลาดคือนิรันดร์ มีแต่จะเปลี่ยนแปลงไปและมีสิ่งที่องค์กรต่าง ๆ ต้องทำมากขึ้น” แม้กระทั่งองค์กรระดับต้น ๆ ของโลกก็ยังต้องปรับตัว และเพราะ “Digital Transformation” นี้เอง ทำให้องค์กรคล่องตัวมากพอที่จะปรับให้แข่งขันกับคู่แข่งได้มากขึ้น สร้างเครื่องมือใหม่ ๆ  ติดตามเทรนด์ต่าง ๆ ได้ทันท่วงที 

ในวงการธุรกิจ ความคล่องตัวเป็นลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาองค์กรไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับกระบวนการทางดิจิทัล เมื่อปรับองค์กรให้สอดคล้องไปกับระบบดิจิทัลแล้ว การขับเคลื่อนองค์กรในมิติต่าง ๆ จึงรวดเร็วและสะดวกขึ้น “ความคล่องตัว” แบบนี้เองที่เรียกกันว่า “Agility” เป็นแนวคิดที่เรียกได้ว่ามาควบคู่กันกับ Digital Transformation เลยทีเดียว

ตัวอย่างที่หลาย ๆ คนเห็นกันชัดเจนในยุคนี้ก็คือการทำงานจากที่บ้านได้ เมื่อ Covid-19 แพร่ระบาดในช่วงแรก องค์กรที่ Digital Transformation ไปเรียบร้อยแล้วก็ทำเพียงแค่ออกคำสั่งให้ทำงานจากที่บ้านได้ พนักงานก็เริ่มงานได้ทันที ต่างกับบางองค์กรที่ต้องติดตั้งระบบใหม่ทั้งหมดโดยใช้เวลาอีกหลายเดือน

แนวคิดสู่การทำ Digital Transformation 

หากจะเริ่มต้นทำกระบวนการนี้ มีมากมายหลายตำราแต่หลัก ๆ จะประกอบไปด้วยใจความใหญ่ ๆ ของแนวทาง 4 แนวทางดังนี้เป็นจุดเริ่มต้น คือ

1. ระบุจุดประสงค์ให้ชัดเจน 

ก่อนที่แต่ละองค์กรจะลงรายละเอียดได้ จำเป็นต้องกำหนดจุดประสงค์ให้แน่ชัดก่อน อย่างเช่นถ้าเป็นธุรกิจด้านไอที ส่วนใหญ่ก็จะใช้จุดประสงค์เกี่ยวกับการเพิ่มคุณค่าของประสบการณ์ด้านดิจิทัลให้แก่ลูกค้า แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น การเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลนี้จะรวมไปถึงการคิดใหม่และออกแบบใหม่ของภาพรวมในธุรกิจทั้งหมดด้วย กุญแจสำคัญในการเปลี่ยนผ่านมักครอบคลุมจุดประสงค์ต่าง ๆ ดังนี้ 

  1. เพิ่มคุณค่าของประสบการณ์ทางดิจิทัลให้กับลูกค้า เพื่อเชื่อมโยงไปถึงความภักดีต่อแบรนด์ (Brand loyalty) รายได้ และประสิทธิภาพของธุรกิจในภาพรวม 
  2. เพื่อลดต้นทุน ลดขั้นตอนหรือกระบวนการที่ไม่จำเป็น 
  3. เพื่อเพิ่มความคล่องตัวขององค์กร จากการปรับโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรสู่ระบบดิจิทัล 
  4. เพื่อค้นหาสิ่งสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ นั่นคือ “ความต้องการเบื้องลึก” ของลูกค้าจากการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ และนำไปใช้ในการตัดสินใจเพื่อสร้างกลยุทธ์การแข่งขันในตลาดต่อไป

2. เรียนรู้และรู้จักเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ 

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะลงสนามรบโดยใช้อาวุธไม่เป็น เช่นเดียวกันการทำ “Digital Transformation” เองก็จำเป็นต้องรู้จักเทคโนโลยีสำคัญต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ เช่น ซอฟแวร์ต่าง ๆ ที่สามารถทำงานแทนคนได้เกือบทั้งหมดแต่เราไม่เคยรู้จัก Internet of Things ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งในองค์กรหรือสินค้าที่สร้างคุณค่าให้ลูกค้าได้ รวมไปถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นคือ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพราะไม่ว่าการทำ Digital Transformation จะได้ประโยชน์เท่าใด ลดต้นทุน สร้างความพอใจให้ลูกค้าได้เท่าใด ก็พังลงในพริบตาด้วยอันตรายจากภัยทางไซเบอร์

3. วางตำแหน่งขององค์กรให้เป็นผู้เชี่ยวชาญวัฎจักรของการบริการแบบดิจิทัล

อนาคตข้างหน้าสำหรับองค์กรแล้วไม่ใช่แค่คำว่า “อะไร” แต่เป็นคำว่า “อย่างไร” เพราะไม่ว่าสินค้าจะมีความซับซ้อนอย่างไร มันก็คือสินค้า แต่องค์กรที่ดีในโลกแห่งดิจิทัลไม่เพียงเน้นที่ตัวสินค้า Digital Transformation ยังเน้นย้ำไปถึงว่าออกแบบสินค้าอย่างไร พัฒนามันอย่างไร จัดการมันอย่างไร และจะปฏิวัติสิ่งนี้อย่างไร เพื่อทำให้องค์กรอยู่ในสนามรบการค้าแห่งโลกดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน มิเช่นนั้นเราจะเป็นเพียงองค์กรที่นำเทคโนโลยีมาใช้เท่านั้น วันหนึ่งที่ทุกองค์กรตามเรามาทันก็เสมือนเราล้าหลังไปเสียแล้ว

4. มองไกลไปถึงแพลตฟอร์มแห่งอนาคต

เมื่อพูดถึงแพลต์ฟอร์มใหม่ ๆ ที่ทุกองค์กรกำลังทำ “Digital Transformation” มีสิ่งที่เราต้องยอมรับว่า วงการดิจิทัลนั้นมีสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาอยู่เสมอ และดิจิทัลที่ล้าสมัยหรือไม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าก็อัตรธานไป ตัวที่ยังคงอยู่ก็ถูกรวมเข้ากับแพลตฟอร์มใหม่ ๆ  แพลตฟอร์มที่ว่านี้มีทั้งสองมิติคือทั้งหลังบ้าน และหน้าบ้าน 

หลังบ้านคือแพลตฟอร์มที่เป็นดังเครื่องมือต่าง ๆ ขององค์กร หน้าบ้านก็คือแพลตฟอร์มที่สามารถสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้าได้และยังสามารถสร้างผลกำไรให้บริษัทได้ด้วย การจับมือก้าวไปด้วยกันอย่างคล่องตัวของทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านนี้เองจะทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลเป็นไปอย่างราบรื่นในระยะยาว

ตัวอย่างบริษัท 

นับถึงวันนี้มีหลายบริษัทที่นำพาองค์กรอยู่บนกระบวนการนี้ได้อย่างน่าพอใจ หนึ่งในตัวอย่างที่หยิบยกมาพูดถึงในวันนี้คือ บริษัท Nike ที่มีสโลแกนเป็นที่รู้จักกันดีว่า “Just Do It” วันนี้ Nike เปลี่ยนแปลงองค์กรไปกับ Digital Transformation ได้จนถูกเรียกกันในวงการดิจิทัลว่า Nike “Just Did It” จากบริษัทผลิตเครื่องสวมใส่ประเภทรองเท้า เสื้อผ้า นำพาตัวเองสู่การทำ “Digital Transformation” ได้อย่างดีจนหลายคนยังสงสัยตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงว่าจะนำดิจิทัลมาขับเคลื่อนองค์กรที่ทำธุรกิจด้านเครื่องสวมใส่ได้อย่างไร

การเปลี่ยน ผ่าน สู่องค์กรดิจิทัล คือ
การเปลี่ยน ผ่าน สู่องค์กรดิจิทัล คือ

NIKE ไม่ใช่บริษัทด้านเทคโนโลยีแต่ก็ประสบความสำเร็จกับ Digital Transformation

Nike เองก็กลัวว่าวงการดิจิทัลและความต้องการของลูกค้าจะกลืนกินบริษัทให้หายไป จึงเริ่มต้นทำ Digital Transformation โดยเน้นไปที่การเก็บข้อมูลในระบบดิจิทัล จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ไปสู่การปรับปรุงกลยุทธ์และระบบอีคอมเมิร์ซ การทำการตลาดแบบดิจิทัล การปรับปรุงร้านค้าปลีก การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า รวมไปถึงพัฒนาประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับไปกับระบบออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ทำให้ Nike เปลี่ยนแปลงสินค้าของตัวเองได้ทันกับความต้องการของลูกค้าที่โยงไปถึงแฟชั่นและเทรนด์ต่าง ๆ  จนทำให้ราคาหุ้นของ Nike ทะยานจาก 52ดอลลาร์สหรัฐ ไปถึง88ดอลลาร์สหรัฐในเวลาเพียง 2 ปีหลังจาก Digital Transformation เกิดขึ้น (เพิ่มขึ้นประมาณ 70% ใน 2 ปี และปัจจุบันราคาประมาณ 137 ดอลลาร์สหรัฐ)

รายละเอียดปลีกย่อยของการทำกระบวนการในการนำเทคโนโลยีมาสร้างสิ่งใหม่  ยังมีอีกมากมายนัก แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดหลักที่ควรมีไว้ในใจก่อนที่จะลงมือปั้นองค์กรไปสู่ถนนสายดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ ถ้าคุณมีจุดประสงค์การทำ Digital Transformation ที่ชัดเจนแล้วลำดับต่อไปลองเลือกพิจารณาดูว่าเครื่องมือดิจิทัลไหนที่จะมาช่วยให้การบริหารองค์กรของคุณสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งทางทีม Teachme Biz ก็ได้มีการให้คำแนะนำไว้แล้วดังนี้ 

6 เทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ของวงการการบริหารทรัพยากรบุคคล (ภาคต้น)

6 เทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ของวงการการบริหารทรัพยากรบุคคล (ภาคจบ)

Teachme Biz เสนอ 5 เทคโนโลยี ช่วยสนับสนุน Logistics และ Supply chain

เตรียมตัวตอนนี้ก็ยังทัน! Tools ที่จำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับตัวเพื่อ Work From Home

หรือหากผู้อ่านท่านไหนต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานแบบครอบคลุมทั้งระบบ ที่จะสามารถเป็นก้าวแรกของการทำ Digital Transformation อย่างยั่งยืนได้นั้น TeachmeBiz เองก็มีเครื่องมือให้คุณทำสิ่งนั้นได้เช่นกัน ลองติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาการปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานจากพวกเราได้เลยครับ

การเปลี่ยน ผ่าน สู่องค์กรดิจิทัล คือ
การเปลี่ยน ผ่าน สู่องค์กรดิจิทัล คือ

การเปลี่ยน ผ่าน สู่องค์กรดิจิทัล คือ
การเปลี่ยน ผ่าน สู่องค์กรดิจิทัล คือ

Teachme Biz - Visual SOP Management Platform คือระบบจัดการคู่มือออนไลน์ที่จะเปลี่ยนการจัดการของทั้งคู่มือการทำงาน, Work Instruction, Workflow, หรือ SOP ที่แสนยุ่งยากให้ง่ายด้วยสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว เข้าใจง่ายด้วยภาพและวิดีโอแบบ step-by-step เก็บคู่มือการทำงานของทั้งองค์กรไว้บนออนไลน์ ง่ายแต่ปลอดภัยในการเข้าถึง เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างมาตรฐาน และเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กรคุณ