การอ่านเพื่อพัฒนาตนเอง{[[' ']]} Show บทที่ 27 การอ่านเพื่อพัฒนาตนเอง จุดมุ่งหมายการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ 1. การอ่านเพื่อพัฒนาตนเองด้านความรู้ ซึ่งอาจแสวงหาความรู้เรื่องต่าง ๆ ตามความสนใจของแต่ละบุคคล ถ้าอ่านหนังสือมากก็จะมี ความรู้กว้างมากขึ้น และทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ที่รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นประจำวัน องค์ประกอบของข่าวในหนังสือพิมพ์ 1. การพาดหัวข่าวจะปรากฎเด่นชัด สะดุดตาและเป็นกลุ่มคำสั้น ๆ กะทัดรัดและดูน่าสนใจ 2. ตัวข่าวประกอบด้วยวรรคนำ ซึ่งเป็นจุดสำคัญของข่าวที่เขียนขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจ ส่วนเนื้อ ข่าว คือ รายละเอียดทั้งหมดของข่าว ได้แก่ ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เนื่องจากข่าวจากหนังสือพิมพ์อาจไม่ใช่รายงานที่เป็นข้อเท็จริงเสมอไป จึงควรจะใช้ดุลพินิจและ วิจารณญาณให้ดีในการตัดสิน และควรเปรียบเทียบข่าวจากสื่อทางด้านอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น วิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น 2. การพัฒนาตนเองในด้านอารมณ์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง ความรู้สึกจากความหยาบกระด้าง ไม่พึงพอใจให้เป็นไป ในทางที่ดีประณีตสุขุม และน่าพึงพอใจ เช่น ถ้าต้องการผ่อนคลายความเครียดควรอ่านหนังสือที่ทำให้เกิด ความสนุกสนานเพลิดเพลิน เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย บทกวีต่าง ๆ นิทาน กลอน เป็นต้น เพราะอ่านแล้วจะทำ ให้เกิดความเบิกบานใจ 3. การพัฒนาการอ่านในด้านคุณภาพ เป็นการอ่านเรื่องที่ทำให้เกิดวิจารณญาณหรือสติปัญญา เพื่อผู้อ่านประพฤติในทางที่ดีงาม เพื่อให้ มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข งานเขียนที่ให้คุณธรรมควรแก่การอ่าน เช่น หนังสือธรรมะ ศิลปะ คตินิยม สุภาษิตต่าง ๆ เป็นต้น คำถาม 1 จุดมุ่งหมายการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2 องค์ประกอบของข่าวในหนังสือพิมพ์มีอะไรบ้าง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แต่ละคนมี ทักษะการอ่าน ไม่เท่ากัน บางคนเริ่มอ่านที่สารบัญก่อน บางคนมุ่งไปที่เนื้อหาเลย ซึ่งแต่ละเทคนิคที่ใช้จะส่งผลกับความจำแตกต่างกันด้วย การอ่านหนังสือของแต่ละคนมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกัน บางคนอ่านเพื่อเรียนหนังสือ อ่านเพื่อสอบ อ่านเพื่อพัฒนาตนเอง หรืออ่านเพื่อความเพลิดเพลิน ซึ่งหากเป็นการอ่านเพื่อต้องการจดจำเนื้อหาได้เยอะๆ การจัดระเบียบความคิดในการอ่านนั้นสำคัญมาก บางครั้งเรื่องเล็กๆ ที่เรามองข้ามไปอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เราจำแม่นขึ้นเลยก็ได้ มาดูกันว่าเราสามารถพัฒนา ทักษะการอ่าน ด้วยวิธีไหนได้บ้างการอ่านก่อนการอ่าน“การอ่านก่อนการอ่าน” เป็นการเตรียมตัวก่อนอ่านเนื้อหา จุดประสงค์ของขั้นตอนนี้คือการทำความเข้าใจเนื้อหาและค้นหาประเด็นสำคัญ โดยต้องอ่านทั้งหมด 3 ส่วน ได้แก่ 1.สารบัญ เพื่อจดจำส่วนประกอบสำคัญทั้งหมด 2.เนื้อหา เพื่อจับประเด็นหลักๆ ในเนื้อหานั้น 3.ที่ว่าง จัดระเบียบความคิดของตัวเองตรงหน้ากระดาษที่ว่างอยู่ จดจำส่วนประกอบของสารบัญสารบัญเป็นกรอบขนาดใหญ่ของเนื้อหา และยังเป็นเค้าโครงของหนังสือทั้งหมดด้วย ถ้าอยากจำเนื้อหาได้ ก็ต้องจำตั้งแต่สารบัญ ยิ่งถ้าเข้าใจหลักการสร้างสารบัญก็จะทำให้เราจำได้แม่นยิ่งขึ้น วิธีจำสารบัญคือ ลองสร้างเนื้อหาในสารบัญเป็นเรื่องราวดู เมื่อสารบัญเป็นเหมือนกรอบของหนังสือ ถ้าเชื่อมโยงหัวข้อใหญ่ๆ ตั้งแต่บทที่หนึ่งถึงบทสุดท้ายเข้าหากันได้ ก็สร้างเรื่องราวของหนังสือได้ไม่ยาก ถ้าเชื่อมโยงหัวข้อต่างๆ เข้าด้วยกันจนเป็นเรื่องราว สมองก็จะจำได้ดีและนานกว่าการจำหัวข้อต่างๆ แยกกันด้วย
จับประเด็นหลักของเนื้อหาสิ่งสำคัญที่สุดคือการจับประเด็นหลักของเนื้อหา ซึ่งสามารถทำได้ 2 ขั้นตอนดังนี้ 1.วิธีจับประเด็นหลัก เมื่อเรารู้แล้วว่าสารบัญเกิดจากการนำคำถามมาตั้งเป็นหัวข้อ ทีนี้ก็จะหาประเด็นหลักได้ง่าย แค่คิดกลับไปว่าหัวข้อในสารบัญสร้างขึ้นจากคำถามอะไร เพราะประเด็นหลักของเนื้อหาก็คือคำถาม และคำตอบของแต่ละคำถามก็คือเนื้อหาหลักที่ผู้เขียนต้องการส่งต่อนั่นเอง เวลาดูสารบัญจะต้องหาคำถามหลักที่ซ่อนอยู่ในหัวข้อ ถ้าเจอคำถามหลักในสารบัญแล้ว ก็ถึงเวลาต้องอ่านเนื้อหาเพื่อหาคำตอบ โดยอ่านเหมือนกับว่าเรากำลังหาข้อมูลอยู่ 2.อ่านเนื้อหาเหมือนกำลังค้นหาข้อมูล ลองเปิดโปรแกรมค้นหาดูว่าสิ่งที่คุณค้นหาล่าสุดคืออะไร บางคนอาจจะชอบเสื้อผ้า เทรนด์แฟชั่นเกาหลี หนังสือแนวสืบสวนสอบสวนน่าอ่าน ฯลฯ สิ่งที่ค้นหาจะสะท้อนให้เห็นความปรารถนาของคุณ เราค้นหาก็เพราะเราอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เมื่อค้นหาก็จะเจอข้อมูลต่างๆ ซึ่งคลายความสงสัยได้ และเราก็จะจดจำสิ่งที่สงสัยนั้นได้อีกนาน หนังสือก็เช่นกัน ถ้าอ่านด้วยความสงสัยก็จะจดจำได้นาน กลับกัน ถ้าอ่านหนังสือโดยไม่สงสัยอะไรเลย ไม่ว่าเนื้อหาจะดีแค่ไหนก็จำได้ไม่นาน ดังนั้นแทนที่จะเริ่มอ่านเนื้อหาเลย ควรดูสารบัญแล้วหาสิ่งที่สงสัยก่อน ระหว่างนั้นก็ตั้งคำถามไปด้วย แล้วคุณจะได้อรรถรสในการอ่านหนังสือเหมือนกับกำลังคุยกับนักเขียนเลย จัดระเบียบความคิดตรงหน้ากระดาษว่างบางคนบอกว่าต้องรักษาให้หน้าหนังสือสะอาดอยู่เสมอ เวลาหยิบมาอ่านอีกครั้งจะได้นึกไอเดียใหม่ๆ ออก วิธีนี้ไม่ผิดนัก แต่อยากให้ลองทำวิธีตรงกันข้ามนั่นคือ เขียนบันทึกลงบนหน้ากระดาษว่าง คนเราจะมีรูปแบบการจดบันทึกเป็นของตัวเอง เช่น การขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญ แล้วบันทึกว่าทำไมถึงขีดเส้นใต้ไว้ ถ้าเป็นข้อความตลกก็เขียน “5555” กำกับไว้ก็ได้ ถ้าเห็นด้วยกับข้อความไหนให้เขียนว่า “เห็นด้วย” ถ้าข้อความไหนไม่เข้าใจก็เขียนว่า “ไม่เข้าใจ / งง” จะเขียนบันทึกไว้เป็นตัวหนังสือหรือจะวาดรูปด้วยก็ได้ เวลาจดบันทึกอะไรสักอย่างไว้ ให้เขียนวันที่กำกับเอาไว้ด้วย เมื่อเรากลับมาอ่านหลังจากเวลาผ่านไป 1 ปี 2 ปี หรือนานกว่านั้น ก็จะรู้ว่าตอนนั้นเราคิดอะไรอยู่ และปัจจุบันเราเติบโตหรือพัฒนาขึ้นมากแค่ไหน ไม่แน่นี่ยังอาจกลายเป็นไอเดียสุดสร้างสรรค์ภายหลังก็ได้ ข้อมูลจากหนังสือ ทุกอย่างในชีวิตเริ่มจากความคิดที่เป็นระเบียบ วางขายแล้วที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ สั่งซื้อออนไลน์ คลิก บทความอื่นๆ เทคนิคการอ่านหนังสือให้จำแม่น เรียนเก่ง สอบผ่าน วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนจาก โคโนะ เก็นโตะ ราชาสมองเพชร 3 เทคนิคการจัดระเบียบความคิด เพื่อชีวิตที่เป็นระบบ เทคนิคเรียนให้สนุกจาก โคโนะ เก็นโตะ ราชาสมองเพชร 8 วิธีเรียนรู้ได้รวดเร็ว และมีความจำเป็นเลิศ |