Share:
Hyperparathyroidism หรือ ฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูง เป็นภาวะที่ต่อมพาราไทรอยด์ที่อยู่บริเวณคอผลิตฮอร์โมนพาราไทรอยด์ออกมามากกว่าปกติ ซึ่งผู้ป่วยมักไม่มีอาการใด ๆ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย สับสน เป็นต้น ซึ่งภาวะนี้มักส่งผลให้ผู้ป่วยมีระดับแคลเซียมในเลือดสูงและสูญเสียแคลเซียมในกระดูก หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดอาการป่วยอื่น ๆ ที่ร้ายแรงตามมาได้ ผู้ป่วย
Hyperparathyroidism บางคนอาจไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้น หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น เมื่อยล้า อ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิ กระหายน้ำและปัสสาวะบ่อย ความอยากอาหารลดลง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องผูก หรือมีภาวะซึมเศร้า เป็นต้น แต่ในกรณีที่รุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้มีอาการ ดังนี้
สาเหตุของฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงต่อมพาราไทรอยด์มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนพาราไทรอยด์ออกมาเพื่อรักษาสมดุลของแคลเซียมในร่างกาย เมื่อมีระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนพาราไทรอยด์ออกมามากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มการปล่อยแคลเซียมออกด้วยการสลายกระดูกและเพิ่มปริมาณการดูดซึมแคลเซียมที่ไตและลำไส้ จึงส่งผลให้มีระดับแคลเซียมในเลือดสูงขึ้น แต่หากมีระดับแคลเซียมในเลือดต่ำกว่าปกติ ร่างกายก็จะลดการหลั่งฮอร์โมนพาราไทรอยด์ลง เมื่อปริมาณแคลเซียมอยู่ในระดับสมดุลแล้ว ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ก็จะกลับมามีระดับปกติ อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งฮอร์โมนพาราไทรอยด์ก็ถูกปล่อยออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูงผิดปกติ และส่งผลให้ระดับฟอสเฟตในเลือดต่ำได้ โดย Hyperparathyroidism แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ตามสาเหตุที่แตกต่างกัน ดังนี้
การวินิจฉัยฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงโดยปกติแพทย์จะวินิจฉัยภาวะ Hyperparathyroidism ได้จากการตรวจเลือด โดยจะตรวจหาปริมาณฮอร์โมนพาราไทรอยด์ ระดับแคลเซียม และระดับฟอสเฟต หากพบว่ามีแคลเซียมสูง แพทย์อาจส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้ทราบว่าเกิดจากภาวะนี้จริงหรือไม่ ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การตรวจความหนาแน่นของกระดูก การตรวจปัสสาวะ การตรวจภาพถ่าย การรักษาฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา หากไม่มีอาการรุนแรง มีปริมาณแคลเซียมสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย ไตยังทำงานเป็นปกติ ไม่เกิดก้อนนิ่วในไต และความหนาแน่นของกระดูกยังอยู่ในระดับปกติ แต่แพทย์อาจนัดตรวจติดตามอาการเพื่อวัดปริมาณแคลเซียมในเลือดและตรวจความหนาแน่นของกระดูกเป็นระยะ ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย เพื่อป้องกันอาการแย่ลงกว่าเดิม เช่น ดื่มน้ำให้มาก ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ หมั่นหาข้อมูลปริมาณแคลเซียมและวิตามินดีในอาหารที่ควรรับประทาน เป็นต้น ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ การใช้ยา ยาที่ใช้ในการรักษา Hyperparathyroidism มีดังนี้
การผ่าตัด มักใช้กันมากในผู้ป่วยประเภทปฐมภูมิ โดยแพทย์จะผ่าตัดนำต่อมเนื้องอกออกไป หากเกิดความผิดปกติกับต่อมพาราไทรอยด์ทั้ง 4 ต่อม แพทย์อาจนำออกไปเพียง 3 ต่อม และบางครั้งอาจตัดต่อมที่ 4 ออกไปบางส่วนด้วย หากแผลผ่าตัดที่คอมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยอาจกลับไปพักฟื้นที่บ้านหลังการผ่าตัดได้ทันที แต่การผ่าตัดอาจมีความเสี่ยงทำให้เส้นประสาทในการควบคุมสายเสียงถูกทำลาย และทำให้มีระดับแคลเซียมต่ำในระยะยาวได้ แต่ก็เกิดขึ้นได้น้อยมาก ทั้งนี้ หากผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับการรักษาเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงภาวะขาดแคลเซียมของทารกในครรภ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กได้ ภาวะแทรกซ้อนของฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงจากการมีระดับแคลเซียมในเลือดสูงแต่มีระดับแคลเซียมในกระดูกต่ำ อาจทำให้ผู้ป่วยภาวะนี้เกิดโรคกระดูกพรุน ซึ่งส่งผลให้กระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย ทั้งยังอาจส่งผลให้มีระดับแคลเซียมในปัสสาวะเพิ่มมากขึ้นและก่อตัวเป็นก้อนนิ่วภายในไต ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดที่ทางเดินปัสสาวะได้ นอกจากนี้ ภาวะ Hyperparathyroidism ยังอาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ อย่างภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงในทารกแรกเกิด การเกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือตับอ่อนอักเสบ และหากมีระดับแคลเซียมที่สูงเกินไปก็อาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลัน จนทำให้หมดสติ เข้าสู่ภาวะโคม่า และมีความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แต่ก็พบได้น้อยมาก การป้องกันฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงภาวะ Hyperparathyroidism เป็นการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่อาจลดความเสี่ยงได้ด้วยการทำตามคำแนะนำต่อไปนี้
|