ลูกจ้างต้องรู้สิทธิตัวเองหากถูก "เลิกจ้าง" มีสิทธิได้ "เงินชดเชย-ค่าตกใจ-เงินช่วยเหลือประกันสังคม" เช็กด่วนที่นี่! กรณีที่พนักงานบริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด (JSL) ถูกเลิกจ้างแบบฟ้าผ่ามีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมานั้น กลายเป็นประเด็นร้อนทันทีเมื่อบริษัทเปิดเผยว่า จะจ่ายค่าชดเชยให้เพียง 16% ของค่าชดเชยที่พนักงานควรจะได้รับ กรณีนี้ ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน JSL เอง หรือพนักงานบริษัทอื่นๆ ทั่วประเทศไทย ต่างต้องรู้ว่า "เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายแรงงาน เข้าข่ายการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม" ซึ่งพนักงานลูกจ้างสามารถ "ยื่นฟ้องศาลแรงงาน เพื่อต่อสู้เรียกร้องค่าชดเชยที่เป็นธรรมได้" ถึงแม้ว่าในทางปฏิบัติจริง จะไม่มีลูกจ้างอยากสู้ในชั้นศาล เพราะเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานก็ตาม
ถ้าถูกเลิกจ้าง มีสิทธิได้รับชดเชยอะไรบ้าง?
- เมื่อถูกให้ออกจากงานโดยไม่สมัครใจและไม่มีความผิดใดๆ หรือในกรณีที่บริษัทปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน "บริษัทจะต้องจ่ายค่าชดเชย" ตามมาตรา 118 ของกฎหมายแรงงานตาม "อายุงาน" ของพนักงาน (นับตั้งแต่วันเข้าทำงานถึงวันที่ถูกเลิกจ้าง) โดยคำนวณจาก "เงินเดือน/ค่าจ้างงวดสุดท้าย" โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.1 อายุงานตั้งแต่ 120 วัน ไม่เกิน 1 ปี ได้รับค่าชดเชยเป็นค่าจ้างอัตราสุดท้าย ไม่น้อยกว่า 30 วัน
- ในกรณีที่เลิกจ้างกระทันหัน พนักงานยังมีสิทธิได้รับ "ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า" หรือ "ค่าตกใจ" อีก 1-2 เดือน - บริษัทจะต้องแจ้งเรื่องการเลิกจ้างล่วงหน้าภายใน 1 รอบเงินเดือน เช่น หากจ่ายเงินเดือนทุกวันที่ 30 แล้วแจ้งพนักงานเรื่องเลิกจ้างในวันที่ 30 ของเดือนว่า "พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานแล้ว" กรณีนี้จะต้องจ่ายค่าตกใจ 1 เดือน - แต่ถ้าบริษัทยังให้มาทำงานต่อในวันที่ 1 แล้วบอกเลิกจ้างวันนั้น ให้เก็บของออกจากบริษัทเลย จะต้องจ่ายค่าตกใจ 2 เดือน (เริ่มจ้างงานของเดือนใหม่ไปแล้วในวันที่ 1)
- พนักงานยังมีสิทธิได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม โดยจะได้รับเงินทดแทนการว่างงาน ปีละไม่เกิน 180 วัน ในอัตรา 50% ของค่าจ้างเฉลี่ยสูงสุด ไม่เกิน 15,000 บาท 2. ถูกเลิกจ้างแบบไหน ถึงไม่ได้ค่าชดเชย?
หลักกฎหมาย (มาตรา 5) กำหนดว่าค่าชดเชยเป็นเงินที่ต้องจ่ายเมื่อเลิกจ้าง ไม่ว่าจะเลิกจ้างชัดแจ้งหรือเลิกจ้างโดยปริยาย กล่าวคือมีพฤติการณ์ว่าไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อ และไม่จ่ายค่าจ้างให้ ก็มีปัญหากับนายจ้างหลายองค์กรเหมือนกันที่ไม่ได้มีการจัดทำแผนงบประมาณค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอาไว้ หรืออาจมีเงินแต่เมื่อเห็นยอดที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างแล้วจะตกใจที่ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยแก่ลูกจ้าง หรือในช่วงโควิดนายจ้างอาจประสบปัญหาทางการเงิน จึงเกิดไอเดียเรื่องการออกระเบียบขอผ่อนจ่ายค่าชดเชยเป็นงวด ๆ ขึ้นมา ตามกฎหมายค่าชดเชยจ่ายวันที่เลิกจ้างและไม่สามารถผ่อนค่าชดเชยเป็นงวด ๆ ได้ มิฉะนั้นนายจ้างจะต้องจ่ายดอกเบี้ยในส่วนที่ค้างจ่ายค่าชดเชย ร้อยละ 15 ต่อปี ตามมาตรา 9 แห่ง พรบ. คุ้มครองแรงงานฯ (ข้อหารือกองนิติการ ที่ รง 0505/1445 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2563) ลูกจ้างไม่ได้ตกลงด้วย นายจ้างจะคิดเอาเองว่าลูกจ้างยินยอมแล้วไม่ได้ ประเด็นนี้เคยมีคดีที่นายจ้างได้ทำหนังสือเลิกจ้าง เมื่อคำนวณแล้วลูกจ้างมีสิทธิได้ค่าชดเชย เป็นเงิน 2,428,550 บาท แต่ปรากฎว่าในหนังสือนั้นมีข้อความว่า จะจ่ายค่าชดเชยเป็นงวด ๆ ละ 54,500 บาท โดยแบ่งจ่ายเป็น 3 งวด ซึ่งเมื่อรวมแล้วไม่ครบ 2,428,550 บาทตามสิทธิที่ลูกจ้างจะได้รับ นายจ้างต่อสู้ต่อไปว่างวดที่เหลือลูกจ้างไม่ติดใจรับเงินค่าชดเชยแล้ว คือจะสู้ต่อว่านายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยส่วนที่เหลือ เพราะส่วนที่เหลือเป็นการตกลงยินยอมไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ศาลก็พิพากษาว่าแม้ในหนังสือเลิกจ้างจะมีข้อความว่าจ่าย 3 งวดก็จริง แต่ก็ไม่มีข้อความส่วนใดที่ตกลงว่าไม่ต้องจ่ายเงินส่วนที่เหลือ หรือข้อความที่ตกลงว่าไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยครบตามกฎหมาย นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยที่เหลือแก่ลูกจ้าง (คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ 1109/2561) |