ความสัมพันธ์กับต่างประเทศสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จุดมุ่งหมายในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สรุปได้ดังนี้ 1. เพื่อรักษาเอกราชให้พ้นจากภัยการคุกคามของพม่า ความสัมพันธ์กับล้านนา สัมพันธไมตรีอันดีที่ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีอย่างต่อเนื่องกับล้านนา ทำให้รัชกาลที่ 5 สามารถผนวกล้านนาเข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยได้ง่ายขึ้น ความสัมพันธ์กับพม่า สงครามครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างไทยกับพม่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือ สงครามเก้าทัพ ในปี 2328 สมัย
ผลจากการที่ไทยดำเนินความสัมพันธ์กับพม่าอย่างแข็งกร้าว ไม่ยอมจำนนต่อการรุกรานอย่างหนักจากพม่า นอกจากจะสามารถปกป้องราชอาณาจักรไว้ได้แล้ว ยังช่วยทำให้ผู้คนเกิดความมั่นใจว่าไทยสามารถจะรับมือกับการคุกคามจากพม่าได้ และพม่าจะไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรอีกต่อไป ความสัมพันธ์กับมอญ
ผลจากความสัมพันธ์กับหัวเมืองมอญ นอกจากไทยจะได้กำลังผู้คนและความจงรักภักดีจากชาวมอญแล้ว ไทยยังได้หัวหน้ามอญไว้ใช้ในราชการและได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมบางประการจากชาวมอญมาด้วย ความสัมพันธ์กับเขมร
ความสัมพันธ์กับล้านช้าง
(ลาว)
เหตุการณ์ครั้งนี้จึงทำให้เกิดวีรสตรีคนสำคัญคือ คุณหญิงโม ซึ่งภายหลังได้รับพระราชทานนามว่า ท้าวสุรนารี คือ เมื่อกองทัพของเจ้าอนุวงศ์มาถึงนครราชสีมา ก็ได้กวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินเพื่อจะนำกลับไปเวียงจันทน์ ขณะนั้นเจ้าเมืองนครราชสีมาไปราชการที่อื่น แต่ชาวเมืองก็ได้คุณหญิงโมเป็น ผู้นำชาวเมืองรวบรวมกำลังผู้คนต่อสู้กับทหารลาวจนแตกพ่ายไป ขณะเดียวกันทางกรุงเทพฯ ก็จัดส่งกองทัพขึ้นมาปราบ ช่วยปลดปล่อยหัวเมืองภาคอีสานที่ถูกทหารเจ้าอนุวงศ์ยึดไว้และตามไปโจมตีจน ถึงดินแดนลาว สามารถเข้ายึดเมืองเวียงจันทน์ไว้ได้ สำหรับเจ้าอนุวงศ์ซึ่งหลบหนีไปอยู่กับญวน ภายหลังในปี 2370 ได้หวนย้อนนำกำลังมาโจมตีทหารไทยที่อยู่รักษาเมืองเวียงจันทน์แต่พ่ายแพ้และถูกจับกุมตัวได้ การก่อกบฏของเจ้าอนุวงศ์ในปี 2369 ทำให้ทางกรุงเทพฯ ดำเนินการปรับปรุงความสัมพันธ์กับล้านช้างใหม่ โดยเข้าไปกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ความสัมพันธ์กับญวน (เวียดนาม)
ปัญหาการแย่งชิงอำนาจในการครอบครองเขมร ทำให้ไทยต้องทำศึกสงครามกับญวนต่อมาอีกหลายปี โดยไม่มีฝ่ายใดได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด ภายหลังเมื่อญวนเกิดข้อพิพาทกับฝรั่งเศส จึงได้เปิดการเจรจากับไทย สามารถยุติสงครามระหว่างกันได้ในปี 2388 หลังจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญวนก็ยุติลงอย่างเป็นทางการ เพราะญวนได้ตกไปเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมลายู
นับจากนี้ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมลายูจึงราบรื่นขึ้น โดยไทยพยายามให้เจ้าเมืองที่ฝักใฝ่อยู่กับไทยไปเป็นผู้ปกครองเพื่อจะได้ป้องกันมิให้เกิดข้อขัดแย้งเกิดขึ้น ความสัมพันธ์กับจีน
ความสัมพันธ์กับโปรตุเกส
ความสัมพันธ์กับโปรตุเกสนับจากนี้ไปจนตลอดรัชกาลที่ 3 ก็ยังคงเป็นความสัมพันธ์ทางการฑูตและการติดต่อค้าขาย ซึ่งก็มีปริมาณการค้าไม่มากนัก ความสัมพันธ์กับอังกฤษ ในปี 2364 มาควิส เฮสติงส์ ผู้สำเร็จราชการอังกฤษที่อินเดีย ได้แต่งตั้ง จอห์น ครอว์เฟิร์ด เป็นฑูตเดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี และเจรจาเรื่องการค้ากับไทยแต่ประสบความล้มเหลว เพราะมีปัญหาหลายประการที่เจรจาตกลงกันไม่ได้ เช่น อังกฤษตั้งเงื่อนไขการขายอาวุธปีนกับไทยไว้มาก ไทยยอมผ่อนปรนลดอัตราการจัดเก็บภาษีขาเข้าขาออก แต่ขอให้อังกฤษค้ำประกันจำนวนเรือสินค้าที่จะเข้ามาค้าขาย แต่อังกฤษไม่ยอมรับรอง และปัญหาเรื่องเมืองไทรบุรี ซึ่งไทยถือว่าเป็นเรื่องกิจการภายในราชอาณาจักรจึงไม่ยอมนำหัวข้อนี้มาเจรจา ถึงแม้การเจรจา ครั้งนี้ไม่สำเร็จ แต่ก็มีเรือสินค้าอังกฤษเข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยมากขึ้น ซึ่งไทยก็เปิดให้มีการค้าขายอย่างสะดวกตามระเบียบกฏเกณฑ์ที่ทางการไทยกำหนด ไว้ ต่อมาในปี 2368 สมัยรัชกาลที่ 3 ลอร์ด แอมเฮิร์ส ผู้สำเร็จราชการอังกฤษที่อินเดียคนใหม่ ได้ส่งร้อยเอกเฮนรี่ เบอร์นี่ เดินทางเข้ามาเจรจากับราชสำนักไทย ใช้เวลาเจรจาถึง 5 เดือน ในที่สุดไทยกับอังกฤษก็สามารถทำสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ (เรียกสั้นๆ ว่าสนธิสัญญาเบอร์นี่) ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2369 ขึ้นมาได้ ซึ่งมีสาระสำคัญบางประเด็น เช่น ไทยจะจัดเฏ็บภาษีในอัตราที่แน่นอนตามความกว้างของปากเรือ ห้ามอังกฤษนำฝิ่นเข้ามาค้าขาย การค้าข้าวจะซื้อขายกันได้แต่จากพระคลังสินค้าเท่านั้น คนในบังคับอังกฤษเมื่อเข้ามาในราชอาณาจักรต้องปฏิบัติตามกฏหมายไทย อังกฤษยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเมืองไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู สัญญาเบอร์นี่ อังกฤษได้รับประโยชน์จากการค้า ส่วนไทยได้รับความเสมอภาคและการมีอำนาจเหนือหัวเมืองมลายูบางเมือง อย่างไรก็ดี บรรดาพ่อค้าอังกฤษต่างก็ไม่พอใจสัญญาฉบับนี้ เพราะเห็นว่า เฮนรี เบอร์นี อ่อนข้อให้กับราชสำนักไทยมากเกินไป ดังนั้นในปี 2393 ตอนปลายสมัยรัชกาลที่ 3 อังกฤษจึงส่งเซอร์ เจมส์ บรูค เดินทางเข้ามาขอแก้ไขสัญญาเบอร์นี่กับไทย ซึ่งอังกฤษต้องการให้ไทยยกเลิกระบบการผูกขาดการค้าโดยพระคลังสินค้า ขอให้ไทยลดภาษีปากเรือจากวาละ 1,700 บาท เหลือ 500 บาท และห้ามเก็บค่าธรรมเนียมอื่นใดอีก ขอให้กงสุลอังกฤษเข้ามาร่วมพิพากษาคดีความที่เกิดกับคนในบังคับอังกฤษ รวมทั้งขอสิทธิพิเศษอีกหลายข้อ ซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์กับอังกฤษทั้งสิ้น ขณะที่ไทยเห็นว่าข้อตกลงในสัญญาเบอร์นี่ มีความเหมาะสม อังกฤษได้รับผลประโยชน์มากอยู่แล้ว ถ้าไทยยอมแก้ไขสัญญาให้สิทธิพิเศษแก่อังกฤษมากไป จะทำให้ชาติอื่นๆ ถือเป็นแบบอย่าง ทำตามอังกฤษบ้าง ดังนั้น การเจรจาจึงไม่ประสบผลสำเร็จ เมื่อเซอร์ เจมส์ บรูค กลับไปถึงสิงคโปร์ ได้เสนอให้รัฐบาลอังกฤษใช้กำลังทหารบีบบังคับไทยให้ยอมแก้ไขสัญญา แต่รัฐบาลอังกฤษไม่เห็นชอบ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษจึงเป็นไปตามสนธิสัญญาเบอร์นีที่ จัดทำขึ้นในปี 2369 ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา
ผลการเจรจาครั้งนี้ไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะไทยยอมรับเงื่อนไขได้เพียงบางข้อ และไม่เต็มใจที่จะแก้ไขสัญญาทั้งหมด เพราะจะทำให้ชาติอื่นขอทำตามอย่างบ้าง ขณะเดียวกันไทยก็วิตกต่อการแพร่ขยายอิทธิพลของชาติตะวันตก เกรงว่าการแก้ไขสัญญาจะทำให้ชาติตะวันตกเข้ามามีบทบาทในดินแดนไทยมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยสมัยปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างปี 2495-2501 ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติ ระหว่างปี 2499-2500 จุดมุ่งหมายสำคัญในสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในช่วงนี้ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย
ไทยต้องประสบปัญหาหนัก จากลัทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศส เพราะในขณะที่ชาติตะวันตกอื่นๆ ดำเนินความสัมพันธ์กับไทยในลักษณะเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ตอบแทนทางการค้ามากที่สุด แต่อังกฤษและฝรั่งเศสกลับมุ่งหวังที่จะให้ได้ดินแดนของไทยด้วย ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในช่วงระยะเวลาดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายดังนี้
ลักษณะการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย 1. ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2394-2411) ความสัมพันธ์กับอังกฤษ หลัง จากที่เซอร์ เจมส์ บรูค ประสบความล้มเหลวในการเจรจาของแก้ไขสัญญาเบอร์นีกับไทยในปลายรัชกาลที่ 3 เมื่อถึงต้นรัชกาลที่ 4 อังกฤษก็ได้แต่งตั้ง เซอร์ จอห์น เบาริง เป็นผู้แทนเข้ามาเจรจาการค้ากับไทยอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 9 เมษายน 2398 และเพียงชั่วระยะเวลาอันสั้น ไทยกับอังกฤษก็บรรลุข้อตกลง สามารถลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ต่อกันได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2398 ซึ่งเรียกสนธิสัญญาฉบับนี้ว่า “สัญญาเบาริง” อันเป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของไทยอย่างกว้างขวาง สาระสำคัญของสนธิสัญญาเบาริง มีดังนี้
ผลของสนธิสัญญาเบาริง มีทั้งข้อดีและเสียดังต่อไปนี้ * ข้อดีทำให้ไทยสามารถรักษาเอกราชของชาติไว้ได้ ทำให้เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง มีการติดต่อค้าขายอย่างกว้างขวาง ข้าวกลายเป็นสินค้าออกสำคัญ ทำให้พื้นที่ทำนาขยายตัว รวมท้งได้รับวิทยาการสมัยใหม่ อันเป็นผลมาจากการเดินทางเข้ามาของชาวตะวันตกจำนวนมาก ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส สมัยรัชกาลที่ 4 ไทยมีความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส เนื่องจากฝรั่งเศสแผ่อิทธิพลเข้ามาในเขมร ซึ่งทำให้ไทยต้องยอมรอมชอมผ่อนปรนกับฝรั่งเศส เพื่อป้องกันมิให้ปัญหาเขมรลุกลามให้ฝรั่งเศสใช้เป็นข้ออ้างเข้ามาโจมตีดิน แดนไทย หลังจากที่ฝรั่งเศสประสบความสำเร็จในการยึดแคว้นโคชินไชนา ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของญวน ในปี 2405 แล้ว
ฝรั่งเศสก็มุ่งเป้าหมายขยายอิทธิพลเข้าไปในเขมร ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้อำนาจของไทย เหตุผลที่ฝรั่งเศสต้องการจะครอบครองเชมร ก็เพื่อใช้เขมรซึ่งมีแม่น้ำโขงไหลผ่าน เป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าสู่มณฑลยูนนานของจีน ซึ่งฝรั่งเศสเห็นว่าน่าจะเป็นตลาดการค้าที่สำคัญของตน รวมทั้งจะใช้เขมรเป็นฐานที่มั่นขยายอิทธิพลสู่ลาว และเป็นแหล่งผลิตเสบียงอาหารเพื่อป้อนกองทัพฝรั่งเศสในแถบอินโดจีน ทางฝรั่งเศสได้ส่งฑูตไปเจรจาเกลี้ยกล่อมให้พระนโรดมองค์บริรักษ์ กษัตริย์เขมรยอมลงนามในสัญญายินยอมให้เขมรเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศสได้ สำเร็จ
ในเดือนสิงหาคม 2406 เมื่อไทยทราบเรื่องจึงยื่นคำประท้วงไปยังกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส แต่ไม่ได้ผล ไทยจึงจัดทำสัญญาลับกับเขมร เมื่อเดือนธันวาคม 2406 เพื่อให้เขมรยืนยันว่ายังเป็นประเทศราชของไทยอยู่ตามกฏหมาย ซึ่งสัญญาลับฉบับนี้กงสุลอังกฤษประจำประเทศไทยให้การสนับสนุน เพราะเกรงว่า ถ้าฝรั่งเศสได้ครอบครองเขมรแล้ว ก็คงจะขยายอิทธิพลเข้าสู่ไทยต่อไป อันจะทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษในหัวเมืองมลายู มอญ และพม่าได้รับความเสียหาย เมื่อฝรั่งเศสทราบเรื่องสัญญาลับ จึงขอให้ไทยยกเลิกสัญญา
และยอมรับอำนาจของฝรั่งเศสว่ามีเหนือเขมร แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ฝรั่งเศส จึงส่งเรือรบ “มิตราย” เข้ามาจอดข่มขู่ไทยกลางแม่น้ำเจ้าพระยา รัชกาลที่ 4 ทรงหวั่นเกรงว่าเหตุการณ์จะบานปลาย และกลายเป็นข้ออ้างให้ฝรั่งเศสใช้เป็นเหตุเข้ามาโจมตีดินแดนของไทย รวมทั้งยังทรงคาดหวังว่า การผูกสัมพันธไมตรกับฝรั่งเศสไว้จะช่วยถ่วงดุลอำนาจกับอังกฤษได้ ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงยอมเจรจาทำสัญยากับฝรั่งเศสในเดือนเมษายน ปี 2408 ซึ่งมีสาระสำคัญว่า “ไทยยอมยกเลิกสัญญาลับที่ทำกับเขมรและยอมรับว่าเขมรอยู่ภายใต้การปกครองของ ฝรั่งเศส
ทั้งนี้ฝรั่งเศสยินยอมให้เขมรส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายกษัตริย์ไทย รวมทั้งยอมรับว่าไทยมีอำนาจอธิปไตยเหนือเมืองพระตะบอก นครวัด และดินแดนลาว” ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เหตุการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 นับเป็นวิกฤตการณ์ช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เนื่องจากไทยถูกชาติมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะจากอังกฤษและฝรั่งเศสคุกคามอย่างหนัก 1. ปัญหาความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส
นอกจากนี้ในสัญญายังระบุให้ประเทศไทยรื้อป้อมค่ายบริเวณปลอดทหารภายในเวลา 1 เดือน ระหว่างนั้นฝรั่งเศสจะยึดจันทบุรีไว้เพื่อเป็นประกันว่าไทยจะปฏิบัติตามสนธิสัญญาอย่างเคร่งครัด ประเทศไทยจำต้องยอมทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว เพราะเป็นประเทศเล็กและเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ต่อมาในปี 2438 ไทยได้เปิดเจรจากับฝรั่งเศสเกี่ยวกับสัญญาเสียเปรียบดังกล่าว การเจรจาครั้งนั้นกินเวลานานมาก มีการเจรจาทั้งที่กรุงเทพและที่ปารีส แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จนกระทั่งปี 2447 ได้มีการเจรจาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสที่กรุงปารีส และในที่สุด ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาร่วมกันเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2447 โดยมีสาระสำคัญคือ
อย่างไรก็ตาม สนธิสัญญาดังกล่าวก็ยังไม่อาจแก้ปัญหาความยุ่งยากระหว่างไทยกับฝรั่งเศสให้คลี่คลายลงได้ ในที่สุดได้มีการเจรจาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเพื่อยุติปัญหาขัดแย้งระหว่างกันอีกในปี 2450 การเจรจาในครั้งนี้ไทยยอมยกดินแดนเขมรส่วนใน ซึ่งได้แก่ เสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับด่านซ้าย ตราดและเกาะต่างๆ ที่อยู่ใต้แหลมสิงห์ลงไปถึงเกาะกูด และแลกกับอำนาจทางการศาลของไทยเหนือคนในบังคับฝรั่งเศส ซึ่งในที่สุดก็เจรจายุติลงได้ในเดือนธันวาคม 2450 สนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส พ.ศ.2450 จัดว่าเป็นสนธิสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ยิ่งกว่าสนธิสัญญาฉบับใดที่ไทยเคยทำกับฝรั่งเศสในข่วง 14 ปี หลังวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 (พ.ศ.2436) 2. ปัญหาความสัมพันธ์กับอังกฤษ ต่อมาเมื่ออังกฤษเสนอให้รัฐบาลไทย ทำสัญญาคุ้มครองดินแดนทางใต้ของไทย เพราะอังกฤษเกรงว่าจะมีชาติอื่นเข้าไปมีบทบาทแทนตน อันจะทำให้กระทบกระเทือนผลประโยชน์ของอังกฤษในมลายูและบริเวณทางใต้ของไทย ไทยจึงถือโอกาสเปิดการเจรจากับอังกฤษจนสามารถลงนามในสนธิสัญญาในวันที่ 15 มกราคม 2440 สนธิสัญญาระหว่างไทยกับอังกฤษใน พ.ศ.2440 มีสาระสำคัญพอสรุปได้ดังนี้ รัฐบาลไทยจะไม่ยินยอมให้ชาติหนึ่งชาติหนึ่งเข้ามาเช่าซื้อ หรือถือกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนไทยบริเวณตั้งแต่ตำบลบางสะพานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไป โดยปราศจากความเห็นชอบของรัฐบาลอังกฤษ และฝ่ายรัฐบาลอังกฤษตกลงจะให้ความคุ้มครองแก่ไทยในกรณีที่ถูกรุกรานจากชาติอื่น ข้อตกลงระหว่างไทยกับอังกฤษฉบับ นี้เป็นเหตุให้อังกฤษได้เข้ามามีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจในดินแดนไทย ตั้งแต่ตอนใต้ตำบลบางสะพานลงไปจนสุดเขตแดน กล่าวคือ รัฐบาลไทยต้องขอความเห็นชอบจากอังกฤษในการให้สัมปทานการทำเหมืองแร่แก่ชาว ต่างชาติในบริเวณดังกล่าว ทำให้การทำงานล่าช้า และอังกฤษมักจะขัดขวางการลงทุนของชาติอื่นๆ รัฐบาลไทยจึงต้องพยายามหาทางเจรจายกเลิกสัญญาฉบับนี้กับอังกฤษให้ได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษในขณะนั้นมิได้มีเพียงสนธิสัญญา ระหว่างไทยกับอังกฤษใน พ.ศ. 2440 เท่านั้น แต่ยังมีปัญหาเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของคนในบังคับอังกฤษ ปัญหาการแทรกแซงของอังกฤษในหัวเมืองมลายูของไทย และปัญหาการสร้างทางรถไฟสายใต้ของไทยอีกด้วยทำให้ไทยต้องเปิดการเจรจากับ อังกฤษเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ใน พ.ศ. 2452 ไทยได้เสนอยกหัวเมืองมลายู อันได้แก่ ไทรบุรี กลันตันและตรังกานู ให้กับอังกฤษ ซึ่งเป็นดินแดนที่มิได้มีประโยชน์ต่อไทยแต่อย่างใด ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการทหาร จากการที่ไทยมีนโยบายในการเจรจากับอังกฤษด้วยข้อเสนอดังกล่าว ทำให้ไทยกับอังกฤษสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้จนกระทั่งมีการลงนามในสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2452 สรุปสาระสำคัญมีดังนี้
กรณีที่คนในบังคับอังกฤษเป็นจำเลย กงสุลอาจพิจารณาขอถอนคดีได้ ส่วนคนในบังคับที่จดทะเบียนหลังวันเซ็นสัญญาจะอยู่ในอำนาจศาลไทย คนในบังคับเหล่านี้จะเปลี่ยนไปใช้ศาลไทยทั้งหมดอย่างเต็มที่เมื่อประเทศไทย มีประมวลกฎหมายลักษณะอาญา และกฎหมายแพ่งพาณิชย์ กฎหมายลักษณะวิธีพิจารณาคดี และกฎหมายลักษณะพระธรรมนูญจัดตั้งศาลแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการทำสนธิสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตแดนและสนธิสัญญาเรื่องอำนาจศาลแยกเป็นพิเศษอีกด้วย รวมทั้งภาคผนวกว่า ต้องการยกเลิกสนธิสัญญาระหว่างไทยกับอังกฤษ ปี 2440 และว่าด้วยการสร้างทางรถไฟสายใต้ ซึ่งรัฐบาลอังกฤษจะให้เงินกู้ในการก่อสร้าง ภายใตเงื่อนไขที่ว่าอังกฤษจะต้องเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ 6 การเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 การเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ของประเทศไทยในครั้งนั้น มิได้เร่งรีบตัดสินใจแต่ประการใด เพราะสงครามโลกเริ่มต้นในปี 2457 แต่ไทยเริ่มเข้าสู่สงครามใน พ.ศ.2460 กล่าวได้ว่าได้มีการพิจารณาไตร่ตรองข้อดีข้อเสียต่างๆ จนมั่นใจว่าจะเกิดผลดีต่อประเทศไทยแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจ กลางในวันที่ 22 กรกฏาคม 2460 หลังจากที่ได้ประกาศวางตัวเป็นกลางมาโดยตลอด สาเหตุที่ไทยประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางในสงครามโลกครั้งที่
1
ภายหลังการประกาศเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรแล้ว รัฐบาลไทยได้จัดส่งกองทหารอาสาไปร่วมรบกับสัมพันธมิตรตามคำขอร้องของฝรั่งเศส กองทหารอาสาสมัครดังกล่าว ประกอบด้วยกองปืนทหารบกจำนวน 400 คนเศษ และกองทหารรถยนต์อีกประมาณ 850 คน รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,250 คน กองทหารอาสาทั้งหมดอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพันเอกพระเฉลิมอากาศ (สุณี สุวรรณประทีป) ออกเดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศฝรั่งเศสในวันที่ 20 มิถุนายน 2461 ผลจากการที่ไทยเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเฉพาะเยอรมนี และออสเตรีย-ฮังการีนั้นเป็นประเทศคู่สงครามกับไทย จึงเป็นผลให้ไทยได้รับประโยชน์ตามความในสนธิสัญญาหลายประการ ส่วนบัลกาเรียเนื่องจากมิได้เป็นประเทศคู่สงครามกับไทยและมิได้มีสนธิสัญญา ทางพระราชไมตรีต่อกันจึงย่อมไม่มีผลเกิดขึ้นแต่อย่างใด นอกจากไทยจะได้รับประโยชน์จาก ประเทศคู่สงครามแล้วในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ไทยได้รับการยกย่องว่ามีฐานะและสิทธิเท่าเทียมกับนานาประเทศ เพราะภายหลังเมื่อประเทศต่างๆได้พร้อมใจกันสถาปนาองค์การสันนิบาตชาติขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อรักษาสันติภาพของโลกนั้น ปรากฏว่าไทยเป็นประเทศหนึ่งทีได้รับเกียรติให้เข้าร่วมในฐานะสมาชิกผู้ริ เริ่มก่อตั้งองค์การนี้ และมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมเช่นเดียวกับบรรดาประเทศ สมาชิกทั้งหลาย ส่วนจุดมุ่งหมายสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งพระทัยไว้คือการขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคกับนานาประเทศ ซึ่งต่อมาในภายหลังได้บรรลุผลสำเร็จสมดังพระราชประสงค์ทุกประการ การแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคกับนานาประเทศ
ในการแก้ไขสนธิสัญญาเสมอภาคกับนานาประเทศในครั้งนั้น ส่วนใหญ่คงยินยอมทำสนธิสัญญากับไทยตามแบบอย่างสหรัฐอเมริกา และถึงแม้ว่าประเทศไทยจะถูกผูกมัดด้วยข้อเรียกร้องบางประการ แต่ข้อผูกมัดเหล่านี้ก็มีกำหนดเวลาสิ้นสุด ดังนั้น ต่อมาในปี 2481 รัฐบาลไทยจึงสามารถแก้ไขสนธิสัญญาใหม่กับนานาประเทศ จนเป็นผลให้ไทยได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การที่ไทยได้รับการยกเลิกสนธิสัญญาเสียเปรียบจากนานาประเทศในครั้งนี้ ถ้าพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว จะเห็นว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ไทยได้เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร การที่ฝ่ายสัมพันธมิตรประสบชัยชนะ ไทยจึงได้รับความเห็นใจจากฝ่ายสัมพันธมิตร โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาได้ยอมแก้ไขสนธิสัญญาเสียเปรียบกับไทย ทำให้ประเทศอื่นๆ ยอมแก้ไขสนธิสัญญาซึ่งไทยเสียเปรียบตามไปด้วย ดังนั้น ถ้ากล่าวโดยสรุปแล้วการดำเนินนโยบายต่างประเทศในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ มงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับต่างประเทศหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยภายใต้รัฐบาลพลตรีหลวงพิบูลสงคราม (ต่อมาเป็น จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้ตอบไปว่า ไทยพร้อมจะยอมรับรับรองกติกาสัญญาไม่รุกรานกัน เพียงแต่ฝรั่งเศสจะยอมรับข้อเสนอของฝ่ายไทย 3 ข้อ คือ
ต่อมาประเทศญี่ปุ่นได้ยื่นมือเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทที่เกิดขึ้น และได้จัดให้มีการประชุมร่วมกันที่กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2484 ผลของการเจรจาปรากฏว่าฝรั่งเศสยอมยกดินแดนบริเวณเมืองศรีโสภณ มงคลบุรี และพระตะบองให้แก่ประเทศไทย ส่วนประเทศไทยจะจ่ายเงินเป็นค่าเสียหายในการทำสงครามให้กับฝรั่งเศสจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน ญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกในประเทศไทยตอนเช้ามืดของวันที่ 7 ธันวาคม 2484 รัฐบาลไทยประกาศยุติการสู้รบเพื่อรักษาชีวิตของคนไทย และตกลงกับประเทศญี่ปุ่นว่า ไทยยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเดินผ่านประเทศไทยไปเท่านั้น โดยที่อำนาจอธิปไตยของประเทศไทยยังคงดำรงอยู่ ต่อมานายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการที่ประเทศไทยต้องถูกบังคับให้ร่วมมือกับญี่ปุ่น ได้จัดตั้งขบวนการเสรีไทยอย่างลับๆ เพื่อต่อสู้ให้ประเทศไทยและคนไทยได้สิทธิและเสรีภาพกลับคืนมา เหมือนเหตุการณ์ก่อนวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ภายหลังเมื่อนายปรีดี พนมยงค์ พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และได้เข้าดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อการดำเนินงาน เกี่ยวกับขบวนการเสรีไทยยิ่งขึ้น ในวันที่ 21 ธันวาคม 2484 ประเทศไทยได้ตกลงทำสัญญาสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับญี่ปุ่น เพื่อป้องกันประเทศไทยและในที่สุดได้เปลี่ยนนโยบายเป็นประเทศคู่สงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษในวันที่ 25 มกราคม 2484 ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลไทย ทำให้คนไทยในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษไม่เห็นด้วย เพราะเกรงว่าประเทศไทยจะต้องประสบกับความเสียหาย ในประเทศสหรัฐอเมริกา ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัคราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ประการจัดตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น และประกาศไม่ยอมรับนโยบายของรัฐบาลไทยในขณะนั้น โดยกล่าวว่า เป็นความเห็นของบุคคลเพียงกลุ่มเดียว ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศต่างไม่เห็นด้วย ในอังกฤษก็ได้มีการจัดตั้งขบวนการเสรีไทยเช่นเดียวกัน จากบทบาทของขบวนการเสรีไทยทั้งในและนอกประเทศ ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการถูกยึดครองจากฝ่ายพันธมิตร ภายหลังที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 14 สิงหาคม 2488 ทั้งนี้เพราะฝ่ายสัมพันธมิตรมีความเห็นใจขบวนการขบวนการเสรีไทยที่ต่อต้านญี่ปุ่น โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาได้มีส่วนช่วยเหลือประเทศไทยเป็นอย่างมาก ทำให้อังกฤษและประเทศในฝ่ายสัมพันธมิตรอื่นๆ ไม่กล้าทำอะไรรุนแรงกับประเทศไทย 2. ประเทศไทยกับนโยบายผูกมิตรกับโลกตะวันตกเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยก็มีความวิตกกังวลต่อการ ขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์เช่นเดียวกัน จึงหวังพึ่งสหรัฐอเมริกาในการป้องกันการรุกรานของคอมมิวนิสต์ จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาแน่นแฟ้นขึ้นตามลำดับ ในปี 2493 สหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือแก่ไทยด้วยการทำสัญญาความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือทางทหาร และความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและทางเทคนิค ซึ่งสหรัฐอเมริกาเชื่อว่า การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจนั้น จะสามารถสกัดกั้นการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ได้ ความช่วยเหลือที่สหรัฐอเมริกาให้กับประเทศไทยในระยะแรกๆ ได้เน้นทางด้านเศรษฐกิจและวิชาการ ซึ่งไทยได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริการะหว่างปี .2493-2500 คิดเป็นมูลค่า 50,735,930 เหรียญสหรัฐ สำหรับความช่วยเหลือทางด้านวิชาการ สหรัฐอเมริกาได้ให้ทุนคนไทยไปศึกษาและดูงานในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ส่วนความช่วยเหลือทางด้านการทหาร สหรัฐอเมริกาให้ความช่วยเหลือกองทัพไทย โดยพัฒนาประสิทธิภาพของกำลังพลและกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งข้อตกลงช่วยเหลือป้องกันประเทศไทยทางด้านการทหาร ถ้าถูกรุกรานจากภายนอก ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกผู้ ร่วมก่อตั้งองค์การป้องกันร่วมกันแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (ส.ป.อ.) ในปี 2497 โดยมีสมาชิกรวม 8 ประเทศคือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ ปากีสถาน และประเทศไทย ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการต่อต้านและป้องกันการคุกคามของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค เอเซียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่มีต่อสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยหันไปเปิดความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในพ.ศ.2515 ประเทศไทยก็เปลี่ยนนโยบายตามสหรัฐอเมริกา ด้วยการเปิดความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนในพ.ศ.2518 เช่นกัน ประเทศไทยก็ได้มีนโยบายที่จะรวมกลุ่มประเทศในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เข้าด้วยกัน เพื่อรวมมือทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม โดยไม่มุ่งทางการทหาร ภายหลังจากที่องค์การ ส ป อ ได้ยกเลิกไปแล้ว (ซึ่งต่อมาองค์การนี้เป็นที่รู้จักกันดีในนาม สหประชาชาติในกลุ่มอาเซียน ) ความร่วมมือของสหประชาชาติในกลุ่มอาเซียนทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ได้ทำให้ประเทศไทยมีอำนาจต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศสูงขึ้น 3. ประเทศไทยกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เมื่อประเทศไทยและสมาชิกในกลุ่มอาเซียนได้สนับสนุนการแสวงหาสันติภาพในเวียดนามและประเทศไทยก็มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงให้การสนับสนุนบทบาทของประเทศไทยและกลุ่มอาเซียนเป็นอย่างดี จนกระทั่งมีผลให้องค์การสหประชาชาติเข้ามามีบทบาทในการสร้างสันติภาพในกัมพูชาอย่างจริงจังต่อไป ในสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี (พ.ศ.2531-2534) ได้ประกาศนโยบายที่จะเปลี่ยนแปลงสนามรบในอินโดจีนให้เป็นตลาดการค้าแทน ซึ่งเท่ากับว่าประเทศไทยมุ่งมั่นในการเปิดสัมพันธภาพทางการทูตและการค้า ตลอดจนความร่วมมือกับกลุ่มประเทศอินโดจีน (ประกอบด้วยลาว กัมพูชา เวียดนาม)อย่างใกล้ชิดต่อไป การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่จะมีความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับกลุ่มประเทศอินโดจีนอย่างใกล้ชิดของประเทศไทยนั้น มิได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศแถบตะวันตก เปลี่ยนแปลงไป สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศญี่ปุ่น ก็มีความสนิทสนมใกล้ชิดทั้งทางด้านเมืองและการค้า อันล้วนแต่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยโดยส่วนรวมทั้งสิ้น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ได้ดำเนินไปอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์และ เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองมาทุกยุคสมัย ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ.2325-2394) ประเทศไทยดำเนินนโยบายสร้างความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกอย่างระมัดระวัง ไม่ผลีผลามตกลงทำสัญญาที่เสียเปรียบกับประเทศตะวันตก เพราะสถานการณ์ขณะนั้นยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่จะเป็นอันตรายต่อประเทศไทย เพราะมหาอำนาจตะวันตกยังมีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านของไทยอยู่ ขณะเดียวกันกับประเทศเพื่อนบ้านไทยก็ดำเนินนโยบายแข็งกร้าว ไม่ยอมอ่อนข้อให้ โดยเฉพาะกับพม่าและเวียดนาม ส่วนลาวและเขมร ไทยก็ขยายอำนาจเข้าครอบงำจนอยู่ภายใต้อิทธิพลของไทย ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ.2325-2394) ประเทศไทยดำเนินนโยบายสร้างความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก เพราะสถานการณ์ขณะนั้นยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่จะเป็นอันตรายต่อประเทศไทย เพราะมหาอำนาจตะวันตกยังมีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านของไทยอยู่ ขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้านไทยก็ดำเนินนโยบายแข็งกร้าว ไม่ยอมอ่อนข้อให้ โดยเฉพาะกับพม่าและเวียดนาม ส่วนลาวและเขมร ไทยก็ขยายอำนาจเข้าครอบงำจนอยู่ภายใต้อิทธิพลของไทย ในสมัยปรับปรุงประเทศ (พ.ศ.2394-2475) รัชกาลที่ 5 ดำเนินนโยบายผ่อนปรนกับประเทศแถบตะวันตก เพื่อมิให้ประเทศไทยต้องสูญเสียเอกราชอธิปไตย ด้วยการยอมสูญเสียดินแดนลาว เขมร และมลายู ให้กับฝรั่งเศสและอังกฤษตามลำดับ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี โดยเป็นพันธมิตรกับอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเทศไทยได้มีโอกาสแก้ไขสนธิสัญญาเสียเปรียบที่ทำไว้กับประเทศแถบ ตะวันตกเมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 4 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยดำเนินนโยบายเข้ากับญี่ปุ่น โดยประกาศสงครามกับอังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา แต่ภายหลังประเทศญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงคราม ทำให้ประเทศไทยเกือบถูกฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครอง แต่เป็นเพราะขบวนการเสรีไทยซึ่งดำเนินการต่อต้านญี่ปุ่นร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากการตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปได้ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับประเทศแถบตะวันตก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด ประเทศไทยจึงดำเนินนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ตามสหรัฐอเมริกาอย่างแข็งกร้าว จนประเทศไทยตกเป็นเป้าหมายของการคุกคามและบ่อนทำลายของคอมมิวนิสต์ เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงนโยบายหันไปเป็นมิตร กับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และสถาปนาความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศอินโดจีน แสดงบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพในกัมพูชาร่วมกับกลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว ประเทศไทยก็ได้รับการยอมรับบทบาทในวงการระหว่างประเทศเป็นอย่างดี
|