ลิ้นหัวใจทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนเลือดให้เป็นไปตามทิศทางที่ถูกต้อง โดยไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับผิดทาง เมื่อมีการบีบและคลายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ หากเกิดความผิดปกติ มีการเสื่อมสภาพ ชำรุดเสียหาย หรือเกิดโรคลิ้นหัวใจรั่ว ก็จะส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจต้องทำงานเพิ่มมากขึ้น จนเกิดภาวะต่างๆ ทั้ง หัวใจโต เลือดคั่งในหัวใจ เลือดคั่งในปอด ตามมาได้ บางรายก็อาจเสียชีวิตได้เนื่องจากการทำงานของหัวใจล้มเหลว Show โรคลิ้นหัวใจรั่วโรคลิ้นหัวใจรั่ว (Heart Valve Regurgitation) คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่ทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท มีรูรั่วหรือขาดเป็นสาเหตุให้เลือดไหลย้อนกลับ หัวใจจึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดให้เพียงพอ คนที่เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วจะใช้ชีวิตประจำวันต่างๆ ได้ไม่เต็มที่ เพราะจะทำให้เหนื่อยง่าย บางรายก็อาจเสียชีวิตได้เนื่องจากการทำงานของหัวใจล้มเหลว สาเหตุของโรคลิ้นหัวใจรั่วโรคลิ้นหัวใจรั่ว ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุจากความผิดปกติของเนื้อเยื่อลิ้นหัวใจมาแต่กำเนิด ส่งผลให้ลิ้นหัวใจเสื่อมไวกว่าคนทั่วไป โดยอาจไม่มีอาการใดๆ ในวัยเด็ก หรือตั้งแต่มารดาตั้งครรภ์ แต่จะเริ่มเหนื่อยง่าย ใจสั่น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น รวมไปถึงสาเหตุอื่นๆ ได้แก่
สัญญาณอาการโรคลิ้นหัวใจรั่วโรคลิ้นหัวใจรั่วถือเป็นภัยเงียบที่น่ากลัว เพราะโรคนี้มักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก แต่จะเริ่มแสดงอาการเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นแต่ก็ไม่รุนแรง และจะแสดงอาการรุนแรงเมื่ออายุประมาณ 40 - 50 ปี จนทำให้ผู้ป่วยเหนื่อยและอ่อนเพลียมากขึ้น เกือบๆ จะทุกการเคลื่อนไหว โดยอาการที่พบบ่อยในโรคลิ้นหัวใจรั่ว ได้แก่
การวินิจฉัยโรคลิ้นหัวใจรั่วการตรวจวินิจฉัยโรคลิ้นหัวใจรั่วสามารถทำได้โดยตรวจการทำงานของหัวใจได้ ผ่านด้วยการฟังเสียงหัวใจ และการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) ซึ่งเป็นการตรวจด้วยอุปกรณ์คลื่นเสียงความถี่สูง โดยอุปกรณ์จะส่งคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปและจำลองภาพของหัวใจ วิธีนี้จะช่วยให้แพทย์เห็นความผิดปกติของลิ้นหัวใจได้ ว่ารั่วแบบไหน และประเมินความรุนแรงของตัวโรคว่ารั่วมาก หรือรั่วน้อยและมีข้อบ่งชี้ในการรักษาต่อไปอย่างไร การรักษาโรคลิ้นหัวใจรั่วผู้ป่วยที่มีอาการลิ้นหัวใจรั่วไม่รุนแรง ชำรุดเพียงเล็กน้อย หรือปานกลาง แพทย์จะแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวและเฝ้าระวังติดตามอาการ และจะรักษาด้วยการให้ยาขับปัสสาวะเพื่อช่วยเสริมการทำงานของหัวใจให้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก มีลิ้นหัวใจรั่วมาก จนกระทั่งกล้ามเนื้อที่พยุงการปิด-เปิด ลิ้นหัวใจเกิดการหย่อนยาน ปูด หรือหนา แพทย์จะพิจารณาใช้วิธีรักษาด้วยการผ่าตัด ดังนี้ ลิ้นหัวใจรั่วอาจแบ่งตามตำแหน่งของลิ้นที่มีการรั่ว ได้แก่
อาการลิ้นหัวใจรั่ว โดยส่วนใหญ่แล้วหากรอยรั่วเกิดขึ้นไม่มากนักก็จะไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เห็น แต่หากเริ่มรุนแรงขึ้น ก็อาจมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ โดยส่วนใหญ่แล้วลิ้นหัวใจรั่วแสดงอาการให้เห็นดังนี้
ทั้งนี้ อาการลิ้นหัวใจรั่วแต่ชนิดก็ยังมีอาการอื่น ๆ ที่แตกต่างกัน เนื่องจากลิ้นหัวใจแต่ละส่วนทำหน้าที่แตกต่างกัน ดังนี้
นอกจากนี้ยังอาจพบอาการชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ วิงเวียนศีรษะ ไอ มีปัญหาในการนอนหลับเนื่องจากหายใจไม่สะดวกและปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะในเวลากลางคืน หากอาการรุนแรงมาก ๆ จะทำให้หัวใจห้องล่างทำงานไม่เต็มที่ และเสี่ยงกับภาวะหัวใจวายได้อีกด้วย โดยอาการที่เป็นสัญญาณเตือนของหัวใจวายได้แก่ รู้สึกเหนื่อยผิดปกติ หายใจสั้น และของเหลวคั่งอยู่ที่บริเวณเนื้อเยื่อในร่างกายจนทำให้ร่างกายบวม สาเหตุของลิ้นหัวใจรั่ว โรคลิ้นหัวใจรั่วมีสาเหตุหลัก ๆ มาจากความผิดปกติของหัวใจที่อาจเกิดจากโรคหรือความบกพร่องตั้งแต่กำเนิด ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
นอกจากนี้ หากมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย ก็ยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดลิ้นหัวใจผิดปกติ อันเป็นสาเหตุของโรคนี้ได้ ซึ่งได้แก่
การวินิจฉัยลิ้นหัวใจรั่ว ผู้ป่วยสามารถสังเกตได้จากอาการความผิดปกติที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อาการหายใจสั้น ปวดหน้าอก รู้สึกเหนื่อยผิดปกติ และมีอาการบวมที่เท้าและข้อเท้า หากมีอาการเหล่านี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย ปัจจุบันมีวิธีการตรวจวินิจฉัยหลากหลายวิธี ได้แก่
ผลลัพธ์ที่ได้จากการตรวจวินิจฉัยข้างต้นจะช่วยให้แพทย์ระบุความรุนแรงของโรค ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาในขั้นต่อไปได้ การรักษาลิ้นหัวใจรั่ว แพทย์จะเลือกวิธีการรักษาโรคลิ้นหัวใจรั่วจากความรุนแรงของโรค โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อควบคุมไม่ให้อาการรุนแรงมากขึ้น และฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ ซึ่งในระหว่างการรักษา ผู้ป่วยควรจะดูแลตัวเองให้มากขึ้นดังนี้
ขณะที่การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ที่แพทย์มักใช้ในการควบคุมและรักษาอาการของโรคลิ้นหัวใจมีดังนี้ การใช้ยา หากอาการไม่รุนแรงมากนัก แพทย์จะสั่งจ่ายยาเพื่อช่วยส่งเสริมการทำงานของหัวใจให้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยาที่ใช้ในการรักษาส่วนใหญ่ ได้แก่
นอกจากนี้ผู้ป่วยก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะด้วยเพื่อป้องกันอาการลิ้นหัวใจอักเสบ ซึ่งแพทย์จะสั่งให้ผู้ป่วยก่อนทำทันตกรรม ซึ่งก่อนจะเข้ารับการรักษา เพื่อความปลอดภัย ผู้ป่วยจะต้องแจ้งทันตแพทย์ว่าป่วยด้วยโรคลิ้นหัวใจรั่ว การผ่าตัด หากอาการของผู้ป่วยรุนแรง แพทย์จะต้องใช้การผ่าตัดเพื่อรักษาอาการ เพราะเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
หลังจากผ่าตัดแล้ว แพทย์จะยังคงติดตามอาการอย่างใกล้ชิดจนกว่าหัวใจจะกลับมาทำงานเป็นปกติโดยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมด้วยการใช้สายสวน (Transcatheter Aortic Valve Implantation: TAVI) เป็นการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมโดยการสวนท่อเข้าไปในหลอดเลือดเอออร์ต้าเพื่อใส่ลิ้นหัวใจเทียม วิธีนี้จะใช้กับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการผ่าตัดสูง และมีอาการเกี่ยวกับลิ้นหัวใจที่รุนแรง แต่ก็มีผลข้างเคียงคือ อาจทำให้หลอดเลือดเกิดความเสียหายเนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษา การสวนหัวใจด้วยสายสวน (Cardiac Catheterization) เป็นการรักษาปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ โดยการสอดสายสวนเข้าไปที่หลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือและขาหนีบ เพื่อขยายหลอดเลือด และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น ภาวะแทรกซ้อนของลิ้นหัวใจรั่ว หากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ล่าช้า หรือการรักษาไม่ต่อเนื่อง จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงต่าง ๆ ได้ เช่น
การป้องกันลิ้นหัวใจรั่ว เช่นเดียวกับโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ ลิ้นหัวใจรั่วสามารถป้องกันได้ด้วยการลดความเสี่ยงโรคหัวใจ โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และควบคุมความเสี่ยงที่เกิดจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และภาวะคอเลสเตอรอลสูง เป็นต้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด หรือมีความผิดปกติของหัวใจโดยกำเนิด ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแพทย์จะได้ทำการรักษาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ หากมีสัญญาณของลิ้นหัวใจรั่ว อีกทั้งยังควรระมัดระวังความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติหรือสร้างความเสียหายที่ลิ้นหัวใจได้ เช่น
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด และหากเข้ารับการทำทันตกรรมควรแจ้งทันตแพทย์ถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหัวใจด้วยก่อนรักษา เพราะผู้ป่วยบางรายอาจจะต้องได้รับยาปฏิชีวนะหลังจากการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ |