บางทางเลือกอาจดูคุ้มค่า เช่น โดยรวม ๆ แล้วเราจะเสียดอกเบี้ยน้อยกว่า แต่ค่างวดในแต่ละเดือนอาจทำให้เราเหลือเงินไม่พอใช้จนต้องกู้เงินมาใช้จ่ายอีก
Show เมื่อรายรับที่ได้ไม่พอจ่ายหนี้ หลายคนอาจใช้วิธี “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” แต่ใครจะรู้...ถึงแม้จะเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน (เช่น หนี้บัตรเครดิต) การ “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ก็อาจจะทำให้เจ้าหนี้ฟ้องยึดบ้าน หรือยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ของเรา รวมถึงเสียประวัติเครดิตไม่มีใครปล่อยกู้ และเสียหายถึงหน้าที่การงานของเราได้ การขอปรับโครงสร้างหนี้จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้เราไม่ผิดนัดชำระ และรักษาทรัพย์สินของเราไว้ได้ แต่เราต้องรู้ก่อนว่าการปรับโครงสร้างหนี้แต่ละแบบคืออะไร เหมาะกับสถานการณ์แบบไหน และผลที่ตามมาเป็นยังไง แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะปรับหรือไม่ หรือเลือกแบบไหน การปรับโครงสร้างหนี้ เป็นการเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายหนี้เพื่อให้เรายังสามารถจ่ายหนี้ได้โดยไม่ผิดนัดชำระ ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้อาจทำให้ลูกหนี้ถูกคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระและมีประวัติค้างจ่ายในข้อมูลเครดิตบูโร เช่น ลดค่างวดโดยการขยายเวลาจ่ายหนี้ หรือเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายหนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ย ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างหนี้แต่ละวิธีมีผลแตกต่างกันต่อประวัติในเครดิตบูโร จึงขอให้สอบถามสถาบันการเงินในประเด็นนี้ด้วยก่อนตัดสินใจการปรับโครงสร้างหนี้แต่ละแบบเหมาะกับสถานการณ์ทางการเงินที่แตกต่างกัน ถ้าอยากรู้ว่าเราเหมาะกับการปรับโครงสร้างหนี้แบบไหน ต้องถามตัวเองก่อนว่า...เรายังจ่ายหนี้ไหวแค่ไหนโดยมี 2 เรื่องที่ต้องคำนึงถึง คือ จำนวนเงินและระยะเวลา
หากคิดดูแล้วว่าเราจ่ายไม่ไหวตามที่สถาบันการเงินเสนอมา ควรขอให้สถาบันการเงินพิจารณาวิธีจ่ายคืนในแบบอื่น เช่น หากสถาบันการเงินให้จ่ายทั้งหมดครั้งเดียว (กรณี 3) แต่เราคิดแล้วว่าเราไม่น่าจะหาเงินก้อนมาจ่ายได้ในเวลาที่สถาบันการเงินแจ้งมา อาจขอจ่ายเป็นแบบเฉลี่ยผ่อนชำระตามงวดที่เหลือ (กรณี 2) แทน 2.3) ขยายเวลาชำระหนี้ เหมาะสำหรับคนที่รายรับลดลงในระยะยาว เช่น เปลี่ยนงานใหม่ที่รายรับน้อยกว่าเดิม ทำให้ไม่สามารถจ่ายหนี้ในจำนวนเท่าเดิมได้ "การขยายเวลาชำระหนี้" เป็นการเพิ่มระยะเวลาในการจ่ายหนี้ วิธีนี้จะทำให้เราเป็นหนี้นานขึ้น แต่จำนวนผ่อนต่อเดือนจะลดลง ซึ่งเราสามารถขอขยายเวลาชำระหนี้ได้เป็นปี เช่น บางรายขอเพิ่มได้ 5 ปี (ขึ้นอยู่กับยอดหนี้ ประเภทหนี้ รวมถึงฐานะการเงินของลูกหนี้) ข้อควรคิด การขยายเวลาชำระหนี้เป็นการขยายเวลายืมเงิน ยิ่งยืมเงินนาน เรายิ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ดังนั้น หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรขยายเวลานานเกินไป เพราะการผ่อนน้อย ๆ แต่ผ่อนนาน ๆ จะทำให้เราต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้นหรือทำให้เราชะล่าใจเอาเงินไปซื้อในสิ่งที่ไม่จำเป็น ให้ขอขยายเท่าที่เราจ่ายไหวและใช้เวลาน้อยจะดีกว่า
พอเรารู้แล้วว่าแบบไหนที่เราจ่ายไหว ให้รีบทำหนังสือขอปรับโครงสร้างหนี้เป็นลายลักษณ์อักษรไปถึงสถาบันการเงิน ไม่ควรรอจนอาการหนักหรือจ่ายไม่ไหว เพราะการค้างชำระจะทำให้ทางเลือกในการช่วยเหลือจากสถาบันการเงินน้อยลงไปอีก เมื่อทำหนังสือขอปรับโครงสร้างหนี้ส่งไปแล้ว สถาบันการเงินก็อาจพิจารณาตามแบบที่เราขอหรืออาจเสนอเงื่อนไขอื่นมาให้ หากเราจ่ายไม่ไหวตามเงื่อนไขของสถาบันการเงิน ให้เจรจากับสถาบันการเงินอีกครั้ง ไม่ควรลงนามในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ที่เราจ่ายไม่ไหว เพราะอาจต้องเจอปัญหาจ่ายหนี้ไม่ได้อีกและการปรับโครงสร้างหนี้อีกครั้งอาจทำได้ยากขึ้น ในกรณีที่เจรจากับสถาบันการเงินแล้วยังไม่ได้ข้อสรุปที่เราทำได้ สามารถติดต่อ "ทางด่วนแก้หนี้" ซึ่งเป็นช่องทางเสริมของธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีขึ้นสำหรับประชาชนในการแจ้งขอความช่วยเหลือในการผ่อนชำระหนี้ได้ที่ https://www.1213.or.th/App/DebtCase หรือขอคำแนะนำได้ที่โทร. 1213 ในวันทำการจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30 – 16.30 น. หากการปรับโครงสร้างหนี้เป็นการเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายหนี้เพื่อให้เราสามารถจ่ายหนี้ได้โดยไม่ผิดนัดชำระ การปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะกับเราก็คือ เงื่อนไขการจ่ายหนี้ใหม่ที่ทำให้เราจ่ายหนี้ได้เต็มจำนวนและตรงเวลาตามที่ตกลงกันทุกงวดต่อจากนี้ไป พูดง่าย ๆ ก็คือ การปรับโครงสร้างหนี้แบบที่เราจ่ายไหวไปตลอดจนครบสัญญานั่นเอง หมายเหตุ: การปรับโครงสร้างหนี้อาจส่งผลต่อการขอกู้ใหม่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ เพราะการปรับโครงสร้างหนี้สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่น้อยลง ดังนั้น เมื่อปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ควรชำระให้ได้ตามกำหนดเพื่อไม่ให้เกิดประวัติค้างชำระในข้อมูลเครดิตบูโรและเป็นการสร้างประวัติที่แสดงถึงวินัยทางการเงินที่ดีอีกด้วย ไม่จ่ายค่าบ้านกี่เดือนโดนยึด ธอสค้างเกิน 90 วัน สถานะบัญชีของเราจะกลายเป็นหนี้เสีย หรือ NPL ระหว่างนี้ก็มีการบวกดอกเบี้ยผิดนัดเพิ่มขึ้นตามจำนวนวันที่เราผิดนัดชำระ จนเกิดตัวเลขที่ต้องจ่ายแบบน่าตกใจ แล้วยังมีการส่งข้อมูลไปยังเครดิตบูโรให้เรามีประวัติการเป็นหนี้ไม่ดี และอาจถูกฟ้องบังคับจำนองหรือเอาบ้านไปขายทอดตลาดเพื่อนำเงินที่ได้มาชำระหนี้แทน
ค้างค่าบ้าน ธอส ได้กี่วันปัจจุบัน กรณีเดือนใดผู้กู้ชำระเงินงวดเกินกว่าที่ธนาคารกำหนด เงินส่วนที่เกินจะถูกนำไปตัดชำระเงินต้นทั้งจำนวน ไม่ถือเป็นชำระเงินงวดของเดือนถัดไป กรณีมีจำนวนวันค้างขำระ (DPD) ไม่เกิน 30 วัน ถือว่าสถานะบัญชีปกติ กรณีมีจำนวนวันค้างชำระ (DPD) ตั้งแต่ 31 วันขึ้นไป ธนาคารจะมีหนังสือแจ้งเตือนเพื่อให้ชำระหนี้
ประนอมหนี้ ธอส คืออะไรสำหรับลูกค้าที่มีสิทธิ์เข้ามาตรการ M 21 คือ ลูกค้าที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี และมีสถานะ NPL (ค้างชำระเงินงวดติดต่อกันมากกว่า 3 เดือน) หรือ ลูกค้าที่มีสถานะเป็น NPL และอยู่ระหว่างการใช้มาตรการช่วยเหลือของธนาคาร หรืออยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคาร (จะพ้นสิทธิตามมาตรการเดิมเมื่อเปลี่ยนมาใช้มาตรการ ...
ขาดส่งบ้านได้กี่เดือนถ้าไม่ค้างชำระไม่เกิน 30 วัน สถานะบัญชีอาจจะยังเป็นปกติ ถ้าค้างชำระเกิน 30 วัน หนังสือเตือนจะเริ่มมา ซึ่งบางธนาคารจะคิดค่าติดตามทวงหนี้ด้วย ถ้าค้างชำระเกิน 30 วัน แต่ยังไม่ถึง 90 วัน (ส่วนใหญ่จะยอมให้ลูกหนี้ขาดส่งได้ไม่เกิน 75 วัน) ดอกเบี้ยปกติจะถูกปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยผิดนัด
|