อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การดูแลตนเอง โดยเฉพาะผู้หญิงควรได้รับการตรวจสุขภาพโรคเฉพาะด้านนรีเวชวิทยาอย่างน้อยปีละครั้ง พร้อมทั้งคอยหมั่นสังเกตรอบประจำเดือนของตัวเองว่ามาสม่ำเสมอหรือไม่ และที่สำคัญคือ ภาวะการปวดประจำเดือน ถ้ามีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาต่อไป คุณผู้หญิงหลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าอาการใกล้ที่จะมีประจำเดือน หรือว่ากำลังจะตั้งครรภ์ เพราะอาการคล้ายกัน จนบางครั้งรู้สึกสับสน บทความนี้มาไขข้อข้องใจสำหรับคำถามนี้ให้กับคุณสาว ๆ กันค่ะ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิง มักจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้อง อ่อนเพลีย เจ็บเต้านม หรือมีอารมณ์อ่อนไหวผิดปกติ ซึ่งอาการของคนท้องระยะแรก และอาการของผู้หญิงก่อนมีประจำเดือน ก็อาจเกิดอาการขึ้นได้ในลักษณะเดียวกัน แม้จะมีอาการบางอย่างคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีอาการหลายอย่างที่แตกต่างกันจนสามารถแยกได้ ซึ่งหากสังเกตให้ดีก็จะสามารถแยกแยะอาการของทั้ง 2 ภาวะนี้ได้ง่ายขึ้น อาการก่อนมีประจำเดือน เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีอาการอย่างไร? อาการก่อนมีประจำเดือน หรืออาจเรียกสั้น ๆ ว่า PMS (Premenstrual Syndrome) เป็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดจากภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ที่นำไปสู่การมีประจำเดือนตามกลไลของร่างกายในเพศหญิง ซึ่งระดับของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง อาจทำให้เกิดอาการผิดปกติ ในช่วงก่อนหรือระหว่างประจำเดือนมา เช่น
แต่อาการเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับทุกคน ผู้หญิงบางคนอาจไม่มีอาการ หรือบางคนอาจจะเกิดขึ้นบางอาการเท่านั้น ซึ่งอาการเหล่านี้ส่วนใหญ่จะหายได้เองเมื่อประจำเดือนเริ่มมา หรือประจำเดือนหมด อาการของคนท้องเป็นอย่างไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร? อาการของคนท้องจะเกิดขึ้นเมื่อไข่สุก แล้วมาเจอกับสเปิร์มของคุณผู้ชาย เกิดการผสมกันและเกิดการฝังตัวที่มดลูก ก็จะทำให้ฮอร์โมนและสารต่าง ๆ หลั่งออกมาเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะมีลูก ทำให้คุณแม่เกิดอาการต่าง ๆ ซึ่งอาจจะคล้ายคลึงกับอาการก่อนมีประจำเดือน อาการของคนท้องระยะแรก
นอกจากนี้อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ได้แก่
อาการปวดท้อง ความแตกต่างระหว่างคนท้องกับอาการก่อนมีประจำเดือน คือตำแหน่งที่เกิดอาการปวด
สำหรับผู้ที่มีประวัติแท้งบุตร อาจเป็นสัญญาณอันตรายได้ ดังนั้นหากพบอาการดังกล่าว ร่วมกับอาการมีเลือด หรือของเหลวออกจากช่องคลอด ก็ควรไปพบแพทย์โดยทันที อาการอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนส่งผลต่อสมองและอารมณ์
อาการอยากอาหาร
อาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
อาการมีเลือดออกจากอวัยวะเพศ นอกจากนี้ทั้ง 2 ภาวะอาจพบเลือดออกบริเวณอวัยวะเพศได้เช่นกัน
ดังนั้นเพื่อไม่ให้สับสนระหว่างเลือดประจำเดือน กับเลือดล้างหน้าเด็ก การจดบันทึกเกี่ยวกับวันตกไข่ อย่างจำนวนวันที่ประจำเดือนมา หรือปริมาณของประจำเดือน หรืออาการอื่น ๆ ก็จะสามารถช่วยแยกอาการของ 2 ภาวะนี้ได้ |