ปรมาจารย์ ลัทธิ มาร nc แปล 139

ปลดล็อกเรียบร้อย

ขอให้สนุกกับการอ่านการ์ตูนบน วีคอมมิคส์

ปรมาจารย์ ลัทธิ มาร nc แปล 139

ปรมาจารย์ ลัทธิ มาร nc แปล 139

อ๊ะ ! เคยซื้อแล้วไง

ระบบกำลังนำท่านกลับไปหน้าอ่านการ์ตูนภายใน 5 วินาที

ปรมาจารย์ ลัทธิ มาร nc แปล 139

อุ๊ต่ะ! เรื่องนี้ไม่มีอีกแล้ว

ปรมาจารย์ ลัทธิ มาร nc แปล 139

สนุกขนาดนี้ ให้อ่านฟรีเฉย !

ระบบกำลังนำท่านกลับไปหน้าอ่านการ์ตูนภายใน 5 วินาที

ปรมาจารย์ ลัทธิ มาร nc แปล 139

เหรียญน้อยไปนิดด..เติมก่อนมั้ย?

ปรมาจารย์ ลัทธิ มาร nc แปล 139

ปรมาจารย์ ลัทธิ มาร nc แปล 139

สถานะ: ยังไม่จบ อัพเดททุกวันศุกร์

คำอธิบาย:

เมื่อวิญญาณของอดีตปรมาจารย์ลัทธิมาร "เว่ยอู๋เซี่ยน" ถูกอัญเชิญเข้าสู่ร่างของคุณชายสกุลโม่นามว่า "โม่เสวียนอวี่" เพื่อตามชำระเรื่องราวที่ค้างคา ทำให้เขาได้พบกับ "หลานวั่งจี" อีกครั้ง บุรุษทั้งสองร่วมต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นับไม่ถ้วน เรื่องราวครั้งนี้จะจบลงเช่นไร ติดตามได้ที่นี่ที่เดียว! #การ์ตูนวาย

คำอธิบาย:

เมื่อวิญญาณของอดีตปรมาจารย์ลัทธิมาร "เว่ยอู๋เซี่ยน" ถูกอัญเชิญเข้าสู่ร่างของคุณชายสกุลโม่นามว่า "โม่เสวียนอวี่" เพื่อตามชำระเรื่องราวที่ค้างคา ทำให้เขาได้พบกับ "หลานวั่งจี" อีกครั้ง บุรุษทั้งสองร่วมต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นับไม่ถ้วน เรื่องราวครั้งนี้จะจบลงเช่นไร ติดตามได้ที่นี่ที่เดียว! #การ์ตูนวาย

การ์ตูนที่แนะนำสำหรับคุณ

ข้อมูลจะถูกนำออกทำให้ไม่สามารถอ่านได้อีกน่าเสียดายมากเลย

แน่ใจแล้วหรือที่ต้องการลบข้อมูลออก
หากยืนยันแล้วจะไม่สามารถกู้คืนมาได้อีกนะ!

"...ท่านน้าจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ" จินหลิงพูดพลางทอดถอนใจ หลังจากที่พูดคุยการแลกเปลี่ยนศิษย์กันเสร็จ ผลก็ออกมาเป็นดังที่เว่ยอู๋เซี่ยนคาดคิดไว้ไม่มีผิด 

ทุกอย่างควรเป็นไปได้ดี แต่หากกลับมีเรื่องหนึ่งที่พวกเขายังคิดไม่ตก เรื่องนั้นเห็นทีจะเป็นเรื่องของเจียงเฉิงกับหลานซีเฉิน ที่บัดนี้ถูกเรียกให้เข้าพบหลานฉี่เหรินเพื่อที่จะพูดคุยเรื่องอะไรบางอย่างเป็นการส่วนตัว ซึ่งนับตั้งแต่ที่พวกเขาร่วมพูดคุยกันก็นับว่าพวกเขาเข้าไปกันได้หลายชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทีท่าที่จะออกมาเลยสักนิด จึงทำให้จินหลิงที่กำลังเฝ้ารออยู่นั้นเป็นกังวลอย่างยิ่ง  

...ก็ได้แต่ทอดถอนหายใจออกมาเท่านั้นล่ะนะ... 

"ไม่เป็นไร จะต้องไม่เป็นอะไรแน่" หลานลู่เหลียนพูดปลอบ "ข้าเชื่อว่าแบบนั้น" 

"ลู่เหลียน... ข้าถามจริงเถิด เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างหรือไม่" เว่ยอู๋เซี่ยนกล่าวพลางมองสบไปที่เด็กน้อยตรงหน้าคล้ายกับจะสงสัย "ก่อนหน้านั้นข้าคิดว่า เจ้านั้นอาจจะเป็นแค่เด็กที่ฉลาด รู้ดีจนเกินตัว แต่หากพอเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับก่อนหน้าขึ้นแล้ว... ข้ากลับไม่แน่ใจว่า ที่แท้จริงแล้วเจ้าแค่ฉลาดหรือเคยเห็นมันมาจากที่ใดมาก่อนเป็นแน่" 

"ข้า..." 

"กฎของสกุลหลานมิพูดปด" เว่ยอู๋เซี่ยนกล่าวดักทางเขา "หากคิดจะพูดก็ขอให้พูดกันตามตรงไม่ปิดบัง" 

"เรื่องนั้น..." 

"...." 

เห็นได้ชัดว่าเขามีอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถบอกแก่ใครๆได้ หลานลู่เหลียนขบเม้มริมฝีปากของตนเองไว้แน่นคล้ายกับอยากจะพูดและไม่อยากที่จะพูดอะไรออกมา ท่าทีนั้นมีความลังเลอย่างเห็นได้ชัด นั้นทำให้เว่ยอู๋เซี่ยนถึงกับทอดถอนใจออกมาอย่างจนใจที่จำต้องเป็นฝ่ายใจอ่อนให้แก่คนตรงหน้าเฉกเช่นทุกที 

"เฮ้อ... ไม่เป็นไร เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ตัวข้าเองก็มิได้อยากที่จะฝืนใจเจ้าเท่าไหร่นักหรอก หากเจ้าไม่คิดจะบอกก็ไม่จำเป็นต้องบอก แต่ว่าข้าอยากจะขอให้เจ้าตอบคำถามข้ามาเพียงแค่คำถามเดียวเท่านั้น... เพียงแค่คำถามเดียวแล้วข้าจะไม่ยุ่งย่ามกับเจ้าเรื่องนี้อีกเลย" 

...ก็เพราะถึงอย่างไรอีกไม่กี่วันต่อจากนี้เขาก็จะต้องออกเดินไปแล้วนีี่... เว่ยอู๋เซี่ยนคิด 

หลานลู่เหลียนพยักหน้าตอบรับเพียงเล็กน้อย "...." 

"เอาล่ะ... สิ่งที่เจ้าเห็นหรือได้ยินมาในเรื่องที่เกี่ยวกับพวกเขาทั้งสองนั้นเป็นสิ่งที่ร้ายแรงหรือไม่ หากข้าถามคำถามนี้แก่เจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าพอจะตอบคำถามนี้ของข้าขึ้นมาได้บ้างหรือไม่?" 

หลานลู่เหลียนขบคิดได้สักพักก่อนที่จะพยักหน้าแล้วพูดออกมา "ได้" 

"ดี เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร" 

"ข้าคิดว่ามิร้ายแรง" หลานลู่เหลียนตอบ "พวกเขาเป็นดังท่านพ่อท่านแม่ ดังนั้นจึงไม่ร้ายแรง" 

"เป็นดังเว่ยอู๋เซี่ยน!!!?" จินหลิงได้ยินเช่นนั้นถึงกับมองเขากับหลานวั่งจีสลับกันไปมา ก่อนที่จะมองเข้าไปข้างในเรือนที่พวกเขาเข้าไปคุยกันแล้วกุมขมับตนเอง บ่นพึมพำออกมาราวกับคนปลงตก "ไม่จริงน่า... เป็นไปไม่ได้..." 

"หลานจ้าน..." 

"อืม" หลานวั่งจีพยักหน้ารับคำอย่างรู้ใจ  

ทีแรกเว่ยอู๋เซี่ยนคิดว่าจะหยุดอยู่เพียงแค่นั้น แต่พอได้ยินประโยคที่ว่า เป็นดังท่านพ่อท่านแม่ของตน แล้ว นั้นทำให้เขาถึงกับขบคิดไปจนถึงเรื่องต่างนานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หลานซีเฉินใส่ใจเจียงเฉิงมากจนผิดสังเกตุ หรือการที่เขาพำนักอาศัยอยู่ที่อวิ๋นเมิ่งแทนที่จะออกเดินทางท่องยุทธภพเหมือนกับที่บอกนั้นก็เช่นกัน และหากจำไม่ผิดเขาเองก็เคยเป็นคู่ดูตัวที่เจียงเฉิงเคยปิดบังพวกเขาเอาไว้ในวันนั้นอีกด้วย 

...บังเอิญงั้นหรือ? ไม่ ข้าว่าไม่ใช่... เว่ยอู๋เซี่ยนคิด  

หากเป็นเรื่องบังเอิญไซร้ ไฉนจึงเกิดเรื่องบังเอิญเช่นนี้ซ้ำกันอีกหลายครั้งหลายครากัน ถึงแม้ว่าภายในใจของเขาจะมีคำถามผุดขึ้นมาในหัวมากมายก็ตาม แต่นั้นก็เป็นอันถูกปัดตกไปเมื่อเห็นสองคนตรงหน้าเดินตรงมาด้วยท่าทีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นั้นจึงทำให้เขาหันกลับไปมองอย่างช่วยไม่ได้ 

อีกคนแลดูมีสีหน้าที่อิดโรยและฉุนเฉียว บอกไม่ได้เลยว่ากำลังโกรธใครมาหรือเป็นอะไรกันแน่ 

ส่วนอีกคนกลับแย้มยิ้มเบิกบานจนผิดสังเกตุ อารมณ์ของทั้งสองนั้นช่างแตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหว 

ดูจากท่าทีของเจียงเฉิงแล้วพวกเขาคงจะถูกโกรธมาไม่น้อยเลยก็เป็นได้ ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น แต่ทำไมหลานซีเฉินถึงกับทำสีหน้าราวกับเบิกบานใจอย่างนี้เล่า ทั้งๆที่เป็นรอยยิ้มที่เขาเคยส่งยิ้มมาให้ดังทุกทีแท้ๆ แต่ทำไมหนนี้เขากลับมองว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ดูจริงใจและบริสุทธิ์ใจมากอย่างบอกไม่ถูก  

ยิ่งมองเขาทั้งคู่มากเท่าใด เว่ยอู๋เซี่ยนก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นเท่านั้น ต่างกับจินหลิิงที่ตอนนี้ดูมีสีหน้าบึ้งตึงราวกับยักษ์มารเป็นอย่างมาก ดูจากท่าทีเมื่อครู่นี้แล้ว ก็ดูท่าว่าเขาจะรู้อะไรมามิใช่น้อยทีเดียว 

"เพราะเจ้าแท้ๆ! ต่อแต่นี้ไปอย่าได้คิดมาเหยียบย่างกายเข้าที่อวิ๋นเมิ่งอีกเลย!!!" เจียงเฉิงตวาดใส่อย่างเหลืออด 

"ประมุขเจียง ข้ามิได้ทำกระไรเลยนะ สิ่งที่ข้าทำก็เพียงแค่ชี้แจงเหตุผลแก่ท่านอาเพียงเท่านั้น" หลานซีเฉินตอบก่อนที่จะเดินไปยืนอยู่เคียงข้างเขาแต่กลับถูกผลักไสไล่ส่งเสียอย่างนั้น 

"หากเจ้าบอกว่านั้นเป็นการชี้แจงแล้วล่ะก็... เช่นนั้นเจ้าพูดถึงเรื่องนั้นทำไมกัน!!" 

...เรื่องนั้นที่ว่านั้นเป็นเรื่องไหนกันแน่... เว่ยอู๋เซี่ยนขบคิดคล้ายกับสงสัยพลางเหลือบหางตาลอบมองเด็กน้อยตรงหน้าอีกคนที่ดูมีท่าทีเฉยเมย แต่หากติ่งหูนั้นกลับค่อยๆแดงระเรื่อส่อพิรุธอย่างเห็นได้ชัด 

"ประมุขเจียง ท่านก็รู้มิใช่หรือว่า ถึงแม้ท่านอาจะโกรธพวกเรามากสักเพียงไรก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่มีเหตุผลมากพอที่จะไม่เมินเฉยต่อคำเรียกร้องของหลานชายที่อยากจะไปแลกเปลี่ยนศิษย์อย่างที่ได้คุยกันมิใช่หรือ" 

...ก็แน่ล่ะสิ หากไม่ใช่เจ้าเด็กพวกนั้นแล้วล่ะก็ บางทีหัวของเขาอาจจะหลุดออกจากบ่าเอาตอนนี้เลยก็เป็นได้... เจียงเฉิงคิด พลางหันไปจ้องคนตรงหน้าเขม็งแล้วพูดต่อ 

"ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่มันก็มีสิ่งที่ควรพูดและไม่ควรพูด เจ๋ออู๋จวิน เจ้าเองก็เป็นคนของสำนักสกุลหลาน เรื่องแค่นี้ไหนเลยเจ้าจะไม่รู้อยู่แก่ใจ แล้วทำไมถึงได้พูดเรื่องไม่สมควรเช่นนั้นออกไปกัน!!!" 

"ไหนเลยจะเป็นเรื่องไม่สมควร" หลานซีเฉินกล่าว "หากเป็นเรื่องไม่สมควรนั้นก็เป็นเพราะข้า---" 

"เจียงเฉิง!!" เว่ยอู๋เซี่ยนเค่นตะโกนพลางเดินตรงไปหาพวกเขาทั้งสอง 

"ชิส์! เว่ยอู๋เซี่ยน ยังอยู่อีกหรือเนี่ย... หืม?" ทั้งๆที่จะตั้งใจจะเดินหนีไป แต่สุดท้ายข้อมือของเขาก็ถูกคนตรงหน้าเกาะกุมเอาไว้ พลางจ้องมองสบใบหน้าของเขาราวกับจะร้องขอ 

"ประมุขเจียง..." 

"ปล่อยมือข้าออกเสียก่อนที่ข้าจะตัดมือของเจ้า" เจียงเฉิงกล่าวพลางจ้องเขาเขม็ง "เรื่องต่อจากนี้มีอะไรค่อยไปคุยต่อที่อวิ๋นเมิ่ง ก่อนจะถึงตอนนั้นเจ้าเองก็ต้องปิดปากให้สนิทอย่างให้ผู้ใดล่วงรู้เรื่องพรรค์นั้นออกมาอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นข้าจะตัดลิ้นของเจ้าเอามาเป็นอาหารสุนัขแถวอวิ๋นเซินเสียให้เข็ด!" 

"ที่อวิ๋นเซินไม่มีสุนัขแล้ว" หลานซีเฉินตอบพลางแย้มยิ้ม  

"หึ! จะไม่มีได้อย่างไร ที่ไหนๆก็ต้องมีสุนัขกันเสียทั้งนั้นแหละ" 

"ประมุขเจียง ท่านรู้อะไรหรือไม่ นับตั้งแต่คุณชายเว่ยตบแต่งเข้ามาที่นี่ วั่งจีก็ได้ขออนุญาตกับท่านอาเพิ่มกฎในอวิ๋นเซินปู้จือชู่อยู่หลายข้อ หากข้าจำไม่ผิด หนึ่งในนั้นเห็นทีจะเป็นการห้ามสุนัขเข้ามาที่อวิ๋นเซินปู้จือชู่เสียกระมั้ง" 

...ยังตามใจกันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง... เจียงเฉิงคิดพลางเดาะลิ้นใส่อย่างอารมณ์เสีย 

"เช่นนั้นเจ้าจะจับข้าไปอีกจนถึงเมื่อไหร่กัน" เจียงเฉิงกล่าวพลางจ้องเขม็งไม่วางตา "อยากตายหรือไร" 

ยิ้ม "ขออภัย เช่นนั้นข้าจะปล่อยท่านแล้วปิดปากให้สนิท" 

"ดี" เจียงเฉิงกล่าวสั้นๆพลางสะบัดชายผ้าคลุมเดินตรงไปหาพวกเขาตามเสียงเรียก 

...มิเป็นไรเวลายังมีอีกเยอะ เอาไว้ค่อยคุยหนหน้าก็ยังมิสายจนเกินไป... หลานซีเฉินคิด พลางเก็บมือของตนเองเข้าเสื้อคลุม แล้วเดินตรงไปหาพวกเขาด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข 

"เป็นอย่างไรบ้าง ท่านอาจารย์ว่าอย่างไรบ้าง มิใช่ว่าเขาเปลี่ยนใจไม่ใช่พวกอาเหลียนออกไปแล้วหรอกหรือ?" 

...ที่แท้ก็เป็นห่วงเรื่องของบุตรตนเองนี่เอง... เจียงเฉิงคิดพลางเดาะลิ้นใส่อย่างหงุดหงิดใจ 

"เออ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลอะไรนักหรอกน่า หากเป็นเรื่องนั้นเขารับปากข้ามาแล้ว เหลือเวลาอีกตั้งหลายวัน จนกว่าจะถึงเวลานั้น พวกเจ้าเองก็รีบเตรียมตัว รีบออกเดินทาง แล้วอย่าชักช้าก็แล้วกัน"  

เจียงเฉิงตอบด้วยท่าทางขอไปทีก่อนที่จะหันกลับมามองสบเด็กพวกนั้น "ใครจะไปก็ตัดสินใจเอาเอง แต่จงจำเอาไว้ว่า หนนี้ถ้าไปแล้วไม่ใช่ไปเที่ยวเล่นดังทุกที จะมาร้องงอแงตัวสั่นงันงกขอกลับบ้านอีก เห็นทีคงจะไม่ได้" 

"หมายความว่าอย่างไร?" หลานเซียวฉินเอ่ยถาม "มิใช่ไปกลับดังทุกทีหรอกหรือ?" 

"มิได้ไปกลับอย่างทุกที" หลานวั่งจีตอบ "ไปเรียนรู้ อยู่อาศัย จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องกลับ" 

"เช่นนั้นใช้เวลากี่วันกัน? หนึ่งวัน สองวัน หรือหนึ่งสัปดาห์?" 

"ปีหนึ่ง" เจียงเฉิงตอบ

"หา?"

"ข้าบอกว่า ปี-หนึ่ง" เจียงเฉิงเน้นย้ำคำนั้นทำให้เด็กน้อยพลันชะงักทันที "เป็นอะไร ตกใจมากงั้นหรือ?"

"ปะ เปล่า..." หลานเซียวฉินตอบ

...ก็เห็นได้ชัดอยู่ว่าตกใจ ไฉนยังจะแสร้งทำเป็นปิดบังอยู่อีกกัน... เจียงเฉิงคิดพลางถอนหายใจแล้วพอหันกลับไปเจอหน้าของคนที่ไม่อยากนึกถึงตอนนี้ อารมณ์ที่หงุดหงิดที่เริ่มจะคลายหายไปบ้างแล้วมันก็กลับมาปะทุเข้าอีกครั้ง 

"เช่นนั้นท่านพ่อกับพี่เว่ยจะไปกับพวกเราหรือไม่" หลานเซียวฉินเอ่ยถามพลันกระตุกชายเสื้อคลุมของเว่ยอู๋เซี่ยนกับหลานวั่งจีเอาไว้แล้วกำแน่นแล้วชำเลืองตามอง "จะไป... กับพวกเราด้วยไหม?" 

"เสียใจด้วย หนนี้เขาไปกับพวกเจ้าด้วยไม่ได้หรอก" เจียงเฉิงตอบกลับแทนอย่างเย็นชา "หากเจ้าไป ก็เท่ากับว่าเจ้าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของสกุลเจียง จนกว่าจะครบปี เจ้าจะไม่สามารถกลับได้ หากข้าไม่อนุญาตให้กลับ" 

"ท่านน้า!" 

"หึ!" 

"...งั้นหรือ" 

มันก็เหมือนกับอาการโมโหแล้วพลานใส่เด็กที่ไม่รู้ความ หลานเซียวฉินที่ได้ยินประโยคนั้นก็พลันชะงักแน่นิ่งไปชั่วครู่อีกครา เขาคิดไม่ถึงว่าการแลกเปลี่ยนศิษย์นั้นจะหมายถึง การออกไปจากบ้านเกิดของตนเป็นเวลานานนับเกือบปี หรือบางทีอาจจะมากกว่านั้นก็เป็นแรก ทีแรกเขาก็นึกว่าไปแล้วกลับดังเช่นทุกทีจนเหมือนกับเป็นเพียงแค่เรื่องสนุกเพียงแค่นั้น ดังนั้นเขาจึงรบเร้าและร้องขอจะไปกับพี่ใหญ่ของตนด้วย 

...แต่เห็นทีครานี้เขาคงจะต้องลองหันกลับมาขบคิดดูใหม่อีกทีเสียแล้วกระมั้ง... 

"เช่นนั้นพี่ใหญ่เองก็ล่วงรู้อยู่ก่อนหน้าแล้วงั้นหรือ?" หลานเซียวฉินถาม แต่หลานลู่เหลียนทำเพียงพยักหน้าตอบกลับมาเท่านั้น นั้นทำให้เขาหันกลับไปถามน้องหญิงของเขาแทน "แล้วน้องเล็กล่ะ เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่?" 

"ไม่ ข้าไม่ไป" หลานชิงชิงตอบด้วยวาจาชัดถ้อยชัดคำ 

"ทำไมล่ะ!?" หลานเซียวฉินเริ่มโวยวายนั้นทำให้หลานชิงชิงเริ่มจิ๊ปากใส่ 

"หึ! ก็ไม่ทำไมทั้งนั้นแหละ ข้าก็เพียงแค่ไม่อยากไปเท่านั้น"  

หลานชิงชิงตอบพลางอธิบาย "แต่เดิมศิษย์สตรีของสกุลหลานก็ถูกห้ามออกจากสำนักและพบหน้าผู้อื่นโดยลำพังอยู่แล้ว จะทำการใดต้องไตร่ถามท่านอาจารย์ปู่ให้ดีเสียก่อน การที่เขายินยอมให้พวกเราได้ออกไปเรียนรู้ที่ต่างสำนักนี่ก็นับว่าใจดีมากพอแล้ว ดังนั้นข้าคงทำอะไรเอาแต่ใจตนเองอย่างพี่รองมิได้หรอก" 

...ใจดีมากพองั้นหรือ คนที่คิดได้เช่นนั้นเห็นทีคงจะมีแค่บุตรีของเขาเพียงคนเดียวงั้นสินะ... เว่ยอู๋เซี่ยนคิด 

"เช่นนั้นเจ้าไม่อยากไปกับพวกเราด้วยหรือ? หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะไม่เหงาหรอกหรือ?" หลานเซียวฉินเอ่ยถาม 

"ก็แค่ปีเดียว เดี๋ยวพวกท่านก็กลับมาแล้ว มิได้จากไปไหนไกลเสียหน่อย" หลานชิงชิงตอบ "นี่คงไม่ใช่ว่าพี่รองเหงาที่ไม่มีข้า ไม่มีท่านพ่อกับท่านแม่ เวินหนิงเกอเกอ และทุกคนอยู่ด้วยกันกับท่านหรอกนะ" 

"ขะ ข้ามิได้เหงาเสียหน่อย!" หลานเซียวฉินตะคอกใส่พลันหน้าแดงราวกับลูกแอปเปิ้ล "ข้าก็เพียงแต่นึกสงสัยว่า หากข้าออกไปแล้วเจ้าจะเหงาหรือไม่ต่างหาก! ทั้งการที่ข้าได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกอวิ๋นเซินนั้นก็เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนามานานแล้วด้วย เหตุใดข้าจำต้องเหงากันเล่า!!" 

"ไม่ได้เที่ยวเล่นแต่เป็นการฝึกตนต่างหากล่ะ" เจียงเฉิงบ่นอุบอิบ 

"ท่านน้า!!!" 

"หึ..." 

"หึหึ"  

หลานซีเฉินถึงกับยิ้มขำเมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นของเขา ก่อนที่จะกระแอมดังๆสักทีสองทีเพราะรู้ตัวว่าถูกคนตรงหน้านั้นยืนจ้องเขม็งใส่ไม่วางตา และหากเขาไม่ทำตามที่เขาร้องขอไว้แล้วล่ะก็ 

...ดีไม่ดีหนนี้คงอาจจะถูกบอกปัดมิยอมพบหน้าหรือคุยด้วยอีกก็เป็นได้... 

"อะไรเล่า! กับแค่เรื่องแค่นี้มิเห็นจะต้องตะคอกใส่กันเลยไม่ใช่หรือไงกัน!" หลานชิงชิงที่นิ่งเฉยมานานถึงกับตะคอกใส่กลับบ้างเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านั้นตะคอกใส่ตนเองอย่างฉุนเฉียว "หากเหงาก็บอกว่าเหงามันก็แค่นี้เอง เช่นนั้นแล้วท่านจะมาตะคอกใส่ข้าทำไมกัน!!" 

หลานเซียวฉินจ้องหน้าเขม็ง "ก็เพราะเจ้ามันไม่รู้ความอย่างไรล่ะ!!" 

หลานชิงชิงเองก็จ้องเขาตอบเช่นกัน "ว่าไงนะ!!!" 

ต่างกับหลานลู่เหลียนที่พยายามหยุดการทะเลาะนี่ด้วยตนเอง "ยะ หยุดก่อน..."  

เป็นอีกครั้งที่พวกเขาเริ่มทะเลาะกันดังทุกที และดูเหมือนว่าครั้งนี้จะดูรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ สองสามวันที่ผ่านมานี้ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมคุยกันเลยสักนิด จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่พวกเขาจะออกจากอวิ๋นเซินปู้จือชู่กัน พวกเขาทั้งสองก็ยังไม่มาให้เห็นหน้าคร่าตากันอยู่ดี 

หลานวั่งจีกล่าว "อีกหนึ่งวันก็จะออกเดินทางแล้ว"  

เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ยถาม "เช่นนั้นพวกเขาได้ออกมาพบเจอหน้ากันบ้างแล้วหรือยัง?"  

หลานวั่งจีส่ายหน้า "ยังไม่พบ" 

"งั้นหรือ... นี่มันหนักหนากว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก" เว่ยอู๋เซี่ยนคิดพลางทอดถอนหายใจ  

ดูก็รู้แล้วว่าเด็กแต่ละคนนั้นมีทิฐิเยอะสักเพียงไร อยากจะคืนดีกันแต่ก็ไม่กล้าเป็นฝ่ายที่ออกปากบอกออกไปก่อน ได้แต่แอบมองกันแบบนั้นไปมาราวกับเป็นการละเล่นซ่อนแอบก็ไม่ปาน แม้อีกใจหนึ่งจะนึกเอ็นดูพวกเขาทั้งสอง แต่อีกใจก็พลานกลัดกลุ้มจนปวดขมับไปหมด  

...นิสัยเช่นนั้นของพวกเขาดูแล้วช่างเหมือนกับใครบางคนแถวนี้ซะจริงๆ...  

"หลานจ้าน พรุ่งนี้ก็จะถึงวันที่ท่านอาของเจ้าจะปล่อยโคมลอยใช่หรือไม่?" 

"ใช่" หลานวั่งจีตอบ "เป็นเช่นนั้นในทุกๆปี" 

...เช่นนั้นจนกว่าจะถึงคืนวันพรุ่งนี้ หากพวกเขาทั้งสองไม่ยอมออกมาพบหน้ากันแต่โดยดีแล้วล่ะก็ กลัวว่ากว่าจะได้พบหน้ากันอีกครั้ง ถึงเวลานั้นก็คงจะสู้หน้ากันไม่ติดแหงๆ... เว่ยอู๋เซี่ยนคิด 

"ลอยโคมงั้นหรือ..." เว่ยอู๋เซี่ยนบ่นพึมพำพร้อมเค่นยิ้มบางๆที่มุมปาก "หลานจ้าน โคมลอยรูปกระต่ายที่พวกเราซื้อมาในวันนั้น พวกเขายังเก็บเอาไว้อยู่หรือไม่?" 

"ยังเก็บไว้อยู่" หลานวั่งจีตอบ "เจ้าคิดจะนำมันไปทำอะไรงั้นหรือ" 

"เป็น-ความ-ลับ ♥" 

"...." 

"ฮิๆ" 

"...งั้นหรือ"  

ใช่แล้ว หากไม่อยากพบหน้ากันไม่เป็นไร ถ้าเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าออกมาพบหน้ากันเอง อย่างน้อยๆความทรงจำสุดท้ายที่พวกเขาทั้งสามได้อยู่ด้วยกันนั้นข้าจะต้องไม่ยอมปล่อยให้มันต้องสูญเปล่าเป็นแน่ จะต้องสร้างความทรงจำดีดีให้แก่พวกเขาให้จงได้ 

...หนึ่งปีงั้นหรือ หากเทียบกับระยะเวลาที่ข้าจากหลานจ้านไปก็นับว่าไม่เท่าไหร่เองนี่... เว่ยอู๋เซี่ยนคิด ก่อนที่จะพลิกตัวของตนเองขึ้นมา ซุกไซ้แผ่นอกของคนตรงหน้า รอให้เขาลูบหัวแล้วเคลิ้มหลับไปดังทุกที 

[...ตอนหน้าเป็นตอนจบแล้วนะคะ...  

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดค่า ^3^)//♥]