การเขียนถ้อยคำสำนวนเชิญชวน เป็นการเขียนเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้อ่านสนใจและเกิความรู้สึกอยากทำตาม จึงต้องเลือกใช้ถ้อยคำให้สื่อความหมายตามที่ต้องการ โดยคำนึงถึงจังหวะ และความนุ่มนวลในน้ำเสียงของคำด้วย มีความจริงใจ เต็มใจ ไม่ใช่การบังคับ คำเชิญชวนมีหลายประเภท เช่น ประกาศ แผ่นพับ แผ่นปลิว ป้ายโฆษณา การบอกกล่าวด้วยวาจาทางเครื่องขยายเสียง วิทยุ โทรทัศน์หลักการเขียนคำเชิญชวน1.มีจุดประสงค์ชัดเจนและสร้างความตระหนักให้ผู้อ่านรับรู้ว่า หากปฏิบัติตามคำเชิญชวน จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ย่อมได้รับการยกย่อง2.ใช้ภาษาง่ายๆไม่ต้องแปล มีความเป็นกลาง มีความหมายเร้าใจ ทั้งการเสนอแนะ ขอร้อง วิงวอน ไม่ควรใช้ถ้อยคำเชิงข่มขู่บังคับ3.มีสัมผัสคล้องจอง มีความเหมาะสมด้านความหมายและเหมาะสมกับสถานการณ์ทั้งบุคคลและสังคมตัวอย่างการเขียนคำเชิญชวน– วันนี้คุณคือผู้อ่าน พรุ่งนี้คุณคือผู้นำ ( เสนอแนะ )– ทิ้งขยะไม่เลือกที่หมดราศีไปทั้งเมือง (เสนอแนะ )– เสร็จกิจปิดไฟ ช่วยไทยประหยัดน้ำมัน ( ขอร้อง )– เห็นอะไรผิดสังเกต รีบแจ้งเหตุให้ยามรู้ ( ขอร้อง )– สะอาดกายเจริญวัย สะอาดใจเจริญสุข (เสนอแนะ )– เอาใจใส่กับครอบครัวสักนิดลูกจะไม่ติดยา ( วิงวอน )– อากาศเป็นพิษ ชีวิตจะสั้น ต้นไม้เท่านั้น ทั้งกันทั้งแก้ ( เสนอแนะ )– ยาบ้าอันตาย ผู้เสพถึงตาย ผู้ขายติดคุก ( ขอร้อง )– สัตว์ป่าทุกชนิด รักชีวิตเหมือนท่าน เมตตาช่วยป้องกัน ไม่ให้สูญพันธุ์หมดไป ( วิงวอน )– แวะห้องสมุดสักประเดี๋ยว เหมือนได้เที่ยวทั่วจักรวาล ( วิงวอน )– ล้อมรักให้ครอบครัวเหมือนล้อมรั้วป้องกันยาเสพติด( เสนอแนะ )– ปลอดไฟป่า พงพนางดงาม สัตว์สวยป่างาม น้ำตกใส ( เสนอแนะ )– เผาป่าอย่างยั้งคิด ผิดกฎหมาย ทำลายธรรมชาติ (วิงวอน )– ป่าสวย น้ำใส ไร้ควันไฟป่า ถ้าชาวประชาหยุดทำลาย (วิงวอน )– ไฟป่าพาพินาศ รักชาติอย่าเผาทำลาย (วิงวอน )
****************************
ในแต่ละวันเราทุกคนย่อมได้รับสารจากแหล่งต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร วิทยุ และโทรทัศน์ หรือประกาศเชิญชวน สารเหล่านี้มีจดมุ่งหมายต่างๆกัน บ้างก็มั่งให้ความรู้หรือข้อเท็จจริงบ้างก็มุ่งให้ความบันเทิง บ้างก็มุ่งเปลี่ยนความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และการกระทำของผู้รับสารในสังคมประชาธิปไตยบุคลย่อมสามารถแสดงทรรศนะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ถ้าทรรศนะนั้นแสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยเฉพาะ การเขียนแสดงทรรศนะเชิญชวน เพื่อประโยชน์ทางสร้างสรรค์และด้วยเจตนาดีต่อสังคม คำ ทรรศนะ หมายถึง ความเห็น การเห็น เครื่องรู้เห็น อาจเขียนว่า ทัศนะ ก็ได้ ความหมายของทรรศนะก็คือ ความคิดเห็นอันประกอบด้วยเหตุผลนั่นเอง คำ เชิญชวน หมายถึง การแสดงวามปรารถนาให้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ อาจเป็นการบอกกล่าว กันด้วยวาจาก็ได้ หลักการเขียนแสดงทรรศนะเชิญชวน การเขียนแสดงทรรศนะเชิญชวน เป็นการเขียนจุดประสงค์ที่จูงใจ โน้มน้าวใจให้ผู้รับสารยอมรับในสิ่งที่ผู้เขียนเสนอ การเขียนประเภทนี้จะต้องแสดงให้ผู้รับสารประจักษ์ชัดว่า เรื่องที่กำลังเชิญชวนนั้นมีเหตุผลหนักแน่น และมีคุณค่าทางสังคม การเขียนแสดงทรรศนะเชิญชวน มีหลักสำคัญดังนี้ คุณสมบัติของผู้เขียน การกำหนดจุดจุดมุ่งหมายและการวางโครงเรื่อง การใช้ภาษาที่เชิญชวน การลงมือเขียนตามหลักการเขียนที่ดี การตรวจสอบและปรับปรุง คุณสมบัติของผู้เขียน การเขียนแสดงทรรศนะเชิญชวน ผู้เขียนต้องมีคุณสมบัติดังนี้ ๑ . ใฝ่ศึกษาหาความรู้ การเขียนต้องอาศัยหลักวิชาและศิลปะ ผู้เขียนจึงต้องหมั่นศึกษาหลักการเขียนที่ดีรู้จักสังเกตวิธีเขียนของนักเขียนที่มีชื่อเสียง อ่านบทความประเภทเชิญชวน หรือ ประกาศเชิญชวนของผู้อื่นเพื่อช่วยให้เกิดความมั่นใจ ๒. เป็นนักคิดสร้างสรรค์ ความคิดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดงานเขียน ความคิดของผู้เขียนจะเฉียบคมลึกซึ้ง เปรียบเสมือนคลังเก็บวัตถุดิบสำหรับนักเขียน ๓. มีมารยาท มารยาทในการเขียนมีความสำคัญอย่างยิ่ง การเขียนแสดงทรรศนะเชิญชวนเป็นการเขียนให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตาม เพื่อขจัดอารมณ์ที่บกพร่อง การกำหนดจุดมุ่งหมายและการวางโครงเรื่อง การเขียนแสดงทรรศนะเชิญชวนโดยทั่วๆ ไปเป็นการแนะนำให้ช่วยกันกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ การเขียนแสดงทรรศนะเชิญชวน มีลักษณะดังนี้ ๑. การบอกจุดมุ่งหมายไว้อย่างชัดเจน ๒. ชี้ให้เห็นประโยชน์ที่จะได้รับแก่ส่วนรวม ๓. กลวิธีในการเขียน ๔. การปิดเครื่อง การใช้ภาษาที่เชิญชวน การเขียนเชิญชวน เป็นการเขียนเพื่อโน้มน้าวใจให้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องหลักเลี่ยงการใช้ถ้อยคำในลักษณะเป็นการข่มขู่ คุกคาม หรือการบีบบังคับ ควรใช้ถ้อยคำเป็นเชิงเสนอแนะ ตัวอย่าง การใช้ภาษาเชิญชวน
น้ำเสียงของภาษาที่ใช้ในการเชิญชวนนั้น ผู้เขียนต้องการความรู้สึกให้ผู้อ่านเกิดความคล้อย ตาม ไม่ควรกล่าวเด็ดขาดตายตัว หรือกล่าวตรงไปตรงมา ไม่ใช้น้ำเสียงที่เป็นคำสั่งหรือแสดงอำนาจโดยไม่คำนึงถึงว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจผู้รับสาร อนึ่ง ข้อความที่ใช้โน้มน้าวใจนั้นไม่จำเป็นจะต้องยืดยาวเสมอไป อาจเป็นถ้อยคำสั้นๆเพียงไม่กี่คำผูกแต่งขึ้นเป็นประโยคอย่างกระชับชัดเจน การเขียนคำขวัญต้องมีจุดมุ่งหมายที่เด่นชัด คำขวัญแต่ละบทแม้จะมีความแตกต่างกันใน เนื้อหาและรายละเอียด แต่ก็มีลักษณะร่วมกันบางประการดังนี้ ๑. แสดงความคิดในเรื่องเรื่องหนึ่งอย่างเด่นชัด ๒.ใช้ถ้อยคำสั้นๆ กะทัดรัด มีความหมายลึกซึ้ง ๓. มีคำสัมผัสคล้องจองกัน ช่วยให้จำง่าย ตัวอย่าง ขวัญที่สามารถพบเห็นได้ในที่สาธารณะทั่วๆไป นักเรียนคิดว่ามันน่าจะเปลี่ยนข้อความ อ่านวันละนิด จิตแจ่มใส………………………………………………...................................... หนังสือคือประทีปส่องทาง ให้ความสว่างสร้างปัญญา…………………………….................... ช่วยชีวิตท่านได้ หากใช้หมวกกันน็อก......................................................................................... น้ำมันแพงนัก ช่วยกันพร้อมพลั่ง ประหยัดเชื่อเพลิง……………………………......................... ยาเสพติดเป็นพิษแก่ตน กลายเป็นคนสิ้นคิด ชีวิตอับปาง…………………………...................... ลูกสาวก็ได้ ลูกชายก็ดี อย่ามีเกินสอง……………………………………….................................. อยากให้ปอดคนไทย สะอาดสดใสไร้ควันบุหรี่............................................................................... ฝนตกทั่วฟ้า เพราะป่าช่วยไว้ ไร้สิ้นทุกข์ภัย เมืองไทยร่มเย็น......................................................... ..................................................................................................................................................... การลงมือเขียนตามหลักการเขียนที่ดี การเขียนแสดงทรรศนะเชิญชวน มิได้หมายถึงการเขียนตามจุดมุ่งหมายและการวางโครงเรื่องเท่านั้น จะต้องมีลักษณะ ๔ ประการด้วย คือ ต้องมีเอกภาพ สัมพันธภาพ สารัตถภาพ และน่าสนใจ ๑. มีเอกภาพ เนื้อเรื่องจะต้องมีเนื้อหาอันเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่กล่าวนอกเรื่องการเขียนแสดงทรรศนะเชิญชวนจะมีเอกภาพหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการวางโครงเรื่อง ๒. มีสัมพันธภาพ เนื้อหาจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตลอดทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของเนื้อหาที่เกิดจากการจัดลำดับความคิดและการวางโครงเรื่องที่ดี ๓. มีสารัตถภาพ การเจียนแสดงทรรศนะเชิญชวนแต่ละเรื่องต้องมีสาระที่สมบูรณ์ย่อหน้าทุกย่อหน้าจะต้องมีประโยคใจความสำคัญ ๔. เขียนให้น่าสนใจ การเขียนแสดงทรรศนะเชิญชวนให้น่าสนใจ ควรเลือกเรื่องที่ผู้คนกำลังสนใจ เรื่องที่กำลังเป็นข่าว การตรวจสอบและปรับปรุง การตรวจสอบเป็นขั้นตอนการเขียนขั้นสุดท้ายที่จำเป็น ผู้เขียนไม่ควรละเว้นขั้นตอนเด็ดขาด เพราะจะได้ตรวจทานว่าเรื่องนั้นมีเนื้อหาครบถ้วนและภาษาสมบูรณ์หรือไม่ ตัวอย่าง การเขียนแสดงทรรศนะเชิญชวน เรื่องที่ ๑
เรื่องที่ ๒
กิจกรรม ๒ เขียนได้...เชิญชวนเป็น พิจารณาคำเชิญชวนต่อไปนี้ ตามหลักการเขียนเชิญและความน่าเชื่อถือ ฉลอง “สมเด็จพระเทพฯ”๔๘พรรษาเชิญ อุทิศ “ดวงตา” ๔๘,000คู่ ดวงตา เป็นอวัยวะสำคัญ ผู้ที่มีอยู่แล้วย่อมหวงแหน ส่วนผู้ที่เคยมีแล้วสูญเสียนับเป็นความทุกข์ทรมานทางจิตใจที่ต้องใช้เวลาในการเยียวยา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการก่อเกิดศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ซึ่งรับผิดชอบการรับบริจาคดวงตาเพื่อนำไปให้ผู้กระจกตาพิการ แต่ในจำนวนนี้การเก็บส่งดวงตาของผู้บริจาคให้จักษุแพทย์ใช้ผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้ผู้ป่วย สามารถทำได้เพียง ๔,๒๓๔ ดวงเท่านั้น และปัจจุบันมีผู้ที่รอคอยแสงสว่างอยู่กว่า 3,000 คน ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการจัดหาและบริการดวงตา สภากาชาดไทย เล่าถึงปัญหาของการจอรับบริจาคดวงตาว่า มีสิ่งเกี่ยวข้องหลายอย่าง นับตั้งแต่วามเชื่อ ขั้นตอนการจัดเก็บหลังผู้บริจาคเสียชีวิต “มีคนอีกจำนวนมากที่มีความเชื่อว่า ถ้าเราได้บริจาคอวัยวะส่วนใดในร่างกายไปแล้ว หากเกิดชาติหน้าจะไมมี่อวัยวะนั้นติดตัวมาด้วย ปัจจุบันมีการเปลี่ยนอวัยวะได้หลายๆอย่างได้แก่ หัวใจ ปอด ตับ ไต แต่อวัยวะที่เปลี่ยนกันมากที่สุดคงหนีไม่พ้นตา ในขณะเดียวกันการจัดหาดวงตายังอยู่ในสภาวะที่ขลาดแคลน” สาเหตุนั้นมาจาก “ผู้ที่บริจาคมันไม่สมดุลกับผู้ป่วย เรารณรงค์มาโดยตลอดเพื่อหาทางที่จะให้มีผู้บริจาคดวงตามากขึ้นแล้วแต่ปีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกา สภากาชาดไทย ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๔๘ พรรษา เราจึงจัดโครงการรณรงค์ให้มีผู้แสดงความจำนงบริจาคดวงตา ซึ่งตั้งเป้าไว้ที่ ๔๘,000 ราย” “สิทธิประโยชน์ของผู้บริจาคดวงตา ทางสภากาชาดจะมอบเกียรติบัตรยกย่องคุณความดีของผู้บริจาค ขอพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ตามความประสงค์ของทายาท” สำหรับ“ผู้รับ”การให้ลักษณะนี้มีค่านัก น.ส.พิมพ์พรรณ เดชจรัส คืออีกคนหนึ่งที่ได้รับการเปลี่ยนดวงตา เนื่องจากเป็นโรคกระจกตาโค้งผิดปกติ เล่าถึงความรู้สึกที่ได้กลับมามองเห็นอีกครั้งว่า “วันที่ศูนย์ดวงตาฯ แจ้งเปลี่ยนตา เป็นวันที่ตื่นเต้นมาก ซึ่งกว่าจะได้เปลี่ยนนั้นต้องรอถึง ๗ ปีและวันที่ฉันได้มองเห็น ฉันมีความรู้สึกเหมือนมีใครมาให้โลกใบใหม่ ชีวิตฉันสดใสมากขึ้น ฉันดีใจมากและขอขอบคุณผู้ที่ให้ชีวิตใหม่กับฉัน จะไม่ลืมเลยตลอดชีวิต ฝากถึงผู้มีดวงตาที่สดใส มามอบให้ศูนย์ดวงตาเถอะค่ะจะเป็นการทำบุญต่อคนที่มองไม่เห็น ให้ชีวิตที่มืดมิดของเขากลับมามองเห็นได้อีกครั้ง” ...ดวงตาเราคู่นี้แสนมีค่า เกินกว่าจะทิ้งไปให้สูญเปล่า เราไม่อยู่เราไม่ใช้นัยน์ตาเรา ให้คนเขาเก็บไว้ใช้เราได้บุญ ศรัทธาแห่งการ“ให้” สำหรับผู้ที่ยังเกรงหรือลังเลที่จะตัดสินใจบริจาคดวงตา ท่านสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ประทานพระวรธรรมคติไว้ว่า ...มีการบริจาคสำคัญอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างจะลังเลหวาดกลัวกันอยู่ คือ การบริจาคดวงตา หลายคนมีความเข้าใจว่าการบริจาคดวงตาจะทำให้เมื่อไปเกิดใหม่จะตาบอด เพราะดวงตาถูกนำออกจากร่างไปแล้วความคิดเช่นนี้น่าเห็นใจแต่ไมใช่เช่นนั้น การทำบุญด้วยการบริจาคดวงตา อันเป็นเครื่องให้ความสว่างอันเป็นที่รักที่ชอบใจของเจ้าของย่อมให้ผลตรงกับคุณประโยชน์ ให้ผลตรงกับค่าของสิ่งนั้น นั่นคือ ผู้บริจาคดวงตาย่อมได้มีสายตาที่ดี ที่สว่างไสว ไม่มืดมัว ไม่มืดบอดทั้งในภพชาติปัจจุบัน คือเมื่อตั้งใจบอกบริจาคแล้วขณะยังมีชีวิตอยู่ ภพชาติปัจจุบันก็จะมีดวงตาที่ใสสว่าง ไม่ปวดไม่เจ็บได้ ส่วนผู้ที่นับถือคริสต์ศาสนา พระคาร์ดินัล มีชัย กิจบุญชู ประธานสภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทยระบุในสาสน์โอกาสครบรอบ ๓๗ ปี ของศูนย์ว่า “ความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนและพร้อมพี่น้องเป็นหลักคำสอนที่สำคัญที่สุดของคริสต์ ศาสนา ซึ่งเรียกร้องให้บรรดาคริตศาสนิคชนพึงปฏิบัติในชีวิต ดังนี้ การบริจาคดวงตาของตน จึงถือว่าเป็นภารกิจแห่งความรักฉันพี่น้องและเป็นการเสียสละและกุศลที่สมควรได้รับ” |