ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

สำหรับมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (NTU) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ โดยที่ติดอยู่ในอันดับที่ 76 ของโลกในการจุดอันดับ QS World University ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้มีการเรียกเก็บเงินนักศึกษาปริญญาตรีเพียง TW $ 100,920-124,200 หรือประมาณ 108,000 – 133,000 บาทต่อปี เท่านั้น

2. ประเทศอินเดีย

ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

โดยที่นักศึกษาต่างชาติต้องจ่ายค่าเล่าเรียนต่อปีไม่เกิน US $ 7,300 ต่อปี หรือประมาณ 232,000 บาทต่อปี ถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยเอกชนและหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษามักจะมีราคาแพงกว่า แต่อินเดียก็ยังเป็นประเทศยอดฮิตที่มีนักศึกษาต่างชาติเดินทางเข้าไปศึกษาต่อกันอย่างมากมายในทุกปี

3. ประเทศเยอรมนี

ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

สำหรับเยอรมนี ถือได้ว่าเป็นประเทศที่อยู่ในความสนใจของเหล่านักศึกษาต่างชาติที่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว เพราะว่ามหาวิทยาลัยรัฐส่วนใหญ่จะไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียนตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป โดยที่จะไม่คำนึงถึงสัญชาติเลยว่าเราเป็นนักศึกษาจากประเทศใด

แต่ทั้งนี้ก็ยังมีมหาวิทยาลัยบางแห่งที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษาอยู่บ้าง โดยจะเก็บอยู่ที่ประมาณ €150-250 หรือประมาณ 5,700-9,500 บาท และด้วยค่าใช้จ่ายในการศึกษาค่อนข้างต่ำ บวกกับความมั่นคงทางระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังรวมถึงเรื่องระบบการศึกษาที่ดีเยี่ยมอีกด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เยอรมันจะเป็นประเทศยอดนิยมสำหรับนักศึกษาต่างชาติ อีกทั้งยังมีมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 40 แห่งที่ถูกจัดอันดับให้อยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกหลายปีติดต่อกันด้วย จากการจัดอันดับโดย QS World University

ถึงแม้เยอรมันจะเป็นประเทศที่มีค่าเล่าเรียนค่อนข้างต่ำ แต่สำหรับคนที่ต้องการไปศึกษาต่อที่นี่ก็ต้องเตรียมเงินสำหรับค่าครองชีพเอาไว้ให้ดีกันด้วย หากต้องการวิซ่านักเรียนเยอรมัน เราก็ต้องมีรายได้ประมาณ 8,700 ยูโรต่อปี หรือประมาณ 340,000 บาทต่อปี และถ้าหากต้องการที่จะใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายก็ต้องมีเงินอยู่ที่ 9,600 ยูโร หรือประมาณ 370,000 บาท

ส่วนจุดหมายปลายทางของเหล่านักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่แล้ว ต้องการเข้าศึกษามหาวิทยาลัยในเมืองมิวนิกและเบอร์ลิน โดยที่ทั้งสองเมืองนี้ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองน่ายู่อีกด้วย

4. ประเทศฝรั่งเศส

ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

ถึงแม้ว่าฝรั่งเศสจะเป็นประเทศที่มีคนรู้จักน้อยเกี่ยวกับทางด้านการศึกษา แต่ทว่าฝรั่งเศสได้เปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างชาติสามารถเข้ามาเรียนฟรีได้ (ทั้งนี้ก็มีบางมหาวิทยาลัยยังได้เก็บเงินค่าธรรมอยู่ แต่ทั้งนี้ก็ไม่จ่ายแพงมากนัก)

โดยที่ มหาวิทยาลัยรัฐในประเทศฝรั่งเศสมีค่าใช้จ่ายเพียงแค่ 184 ยูโรต่อปี หรือประมาณ 7,000 บาทต่อ ในระดับปริญญาตรี และมีค่าครองชีพอยู่ที่ประมาณ 9,600 ยูโรต่อปี หรือประมาณ 370,000 บาท แต่ถ้าเราเลือกที่จะพักอยู่ในเมืองปารีสจะต้องมีการเตรียมค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นมาหน่อย

5. ประเทศนอร์เวย์

ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

การศึกษาในมหาวิทยาลัยไม่มีการเสียค่าเล่าเรียน ไม่ว่าเราจะเป็นนักศึกษาของประเทศนอร์เวย์ หรือนักศึกษาต่างชาติก็ตาม โดยที่จะไม่คำนึงถึงระดับการศึกษาไม่ว่าจะเข้าศึกษาต่อในระดับไหนก็เรียนฟรี แต่ทั้งนี้นักศึกษาต่างชาติที่ต้องการมาเรียนต่อที่นอร์เวย์จะต้องมีหลักฐานการแสดงความสามารถทางด้านภาษานอร์เวย์ด้วย จึงจะสามารถเข้าเรียนต่อที่ประเทศนี้ได้

6. ประเทศไอซ์แลนด์

ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

ไม่มีค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยรัฐทั้ง 4 แห่งของประเทศ แต่จะมีค่าธรรมเนียมในการลงทะเบียนเรียนประมาณ 400 ยูโรต่อปี หรือประมาณ 15,000 บาทต่อปี

7. ประเทศอาร์เจนติน่า

ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่ต้องการไปเรียนต่อที่อาร์เจนติน่า ก็ต้องมีการจ่ายค่าลงทะเบียนเรียนทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐและสถาบันการศึกษาเอกชน แต่ทั้งนี้ก็มีค่าใช้ไม่แพงมากนัก ขึ้นอยู่กับคณะ/สาขาวิชาที่เราได้เลือกเรียน

8. ประเทศเดนมาร์ก สวีเดน และฟินแลนด์

ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการขยายสิทธิ์เรียนฟรีในระดับอุดมศึกษาแก่นักศึกษาต่างชาติใน EU/EEA และสวิสเซอร์แลนด์ โดยที่นักศึกษาต่างชาติจะต้องมีการเสียค่าเล่าเรียนทั้งในระดับปริญญาตรี และปริญญาโท

หากน้อง ๆ ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Inbox มาได้โดย คลิกที่นี่ แต่ถ้าต้องการอ่านบทความเพิ่มเติม คลิกที่นี่

พร้อมไหมที่จะ go to สู่ความสำเร็จในโลกใบใหม่?!?… มาเตรียมความพร้อมไปกับแผนการศึกษาในฝัน และสิ่งที่จะต้องทำ ก่อนการเดินทางไปเรียนต่อยังต่างประเทศในแบบที่ตั้งเป้า กับหัวข้อ “เปิดโผ 10 อันดับ ประเทศน่าเรียน ที่จะบอกทุกขั้นตอนให้ได้รู้ พร้อมทุนการศึกษาฟรี!!! ที่รวบรวมไว้ ตั้งแต่ระดับมัธยม จนปริญญาตรี โท เอก แบบไม่ควรพลาด

ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

เริ่มต้นกันที่อันดับของประเทศสุดฮิตติดท็อปชาร์ตสูงสุดตลอดกาล 10 อันดับแรก และทุนเรียนฟรีในประเทศต่าง ๆ ที่หลายคนให้ความสนใจ และตั้งเป้าไว้ว่าจะไปศึกษาต่อกันเลย…

สหราชอาณาจักร (United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland : อังกฤษ)

ประเทศมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ มีมหาวิทยาลัยให้เลือกเรียนหลากหลาย ด้านทุนเรียนฟรีก็มี Chevening  ที่เป็นทุนสำหรับการเรียนต่อปริญญาโท เป็นเวลา 1 ปี ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Foreign and Commonwealth Office (FCO) และองค์กรที่ร่วมมืออื่น ๆ และครอบคลุมค่าเรียน ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่ากินอยู่ ไว้ทั้งหมด หรือทุน Gates Cambridge Scholarship ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สำหรับปริญญาโท และเอก ที่รับเฉพาะผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองของตนเอง แถมยังเป็นทุนแบบเต็มจำนวนอีกต่างหาก

สหรัฐอเมริกา (United States of America : อเมริกา)

ประเทศที่เต็มไปด้วยอิสระและความหลากหลายของผู้คน อีกทั้งยังมีมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก และโอกาสในการทำงานต่อได้ทันที ทุนเรียนฟรีเต็มจำนวน (ในปีแรก) ที่ครอบคลุมทั้งค่าเรียน ค่าหนังสืออุปกรณ์ ค่ากินอยู่ ค่าเดินทาง รวมไปถึงประกันสุขภาพ อย่างทุน Fulbright Scholarship สำหรับศึกษาต่อระดับปริญญาโท หรือเอก 

ออสเตรเลีย (Australia : เครือรัฐออสเตรเลีย)

ประเทศที่คนไทยให้ความสนใจ เพราะค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก เปิดโอกาสในการทำงานระหว่างเรียน และใช้คะแนน IELTS ที่สูงเกินไป โดยมีทุนเรียนฟรีอย่างสำหรับนักศึกษาต่างชาติ อย่าง Endeavour Scholarship ที่แบ่งทุนออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ทุนปริญญาโท (ไม่เกิน 2 ปี), ปริญญาเอก (4 ปี) หรือ Endeavour Postgraduate Scholarship), ทุนเพื่อการวิจัย (Endeavour Research Fellowship สำหรับการวิจัยระยะสั้น ในปริญญาโทหรือปริญญาเอก), ทุนอาชีวศึกษา และฝึกอบรม (Endeavour Vocational Education and Training Scholarship เพื่อศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรอนุปริญญา อนุปริญญาชั้นสูงหรืออนุปริญญา) และทุน Endeavour Executive Fellowship (สำหรับการศึกษาดูงานเพื่อการพัฒนาบุคลากร) แต่ต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และจบปริญญาตรีมาแล้ว

สิงคโปร์ (Republic of Singapore : สาธารณรัฐสิงคโปร์)

ประเทศที่มีมาตรฐานทางการศึกษาสูง แต่มีการผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตกไว้อย่างลงตัว เติบโตเร็วทั้งอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ที่สำคัญคือเดินทางสะดวก และค่าใช้จ่ายไม่สูงจนเกินไป และที่นี่ยังมีทุนให้เปล่า เรียนฟรีสำหรับระดับชั้นมัธยม อย่าง ASEAN Scholarship for Thailand สำหรับนักเรียนไทยโดยเฉพาะ โดยแบ่งเป็น 2 ระดับชั้น ระยะเวลา 2–4 ปี คือ ระดับมัธยมศึกษาปีที่3 (4 ปี) และระดับเตรียมอุดมศึกษา (2 ปี)

นิวซีแลนด์ (New Zealand)

ประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีธรรมชาติที่สวยงาม ผู้คนเป็นมิตร ซึ่งผู้ที่เรียนจะได้รับประสบการณ์ทางการศึกษาและความผ่อนคลายที่ดีเยี่ยมไปพร้อมกัน รวมทั้งมีทุนเรียนฟรี ทั้งแบบที่สนับสนุนโดยรัฐบาล และสนับสนุนโดยมหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถเลือกมหาวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีได้หลากหลายแห่งตามความชอบได้เลย

ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

เกาหลีใต้ (Republic of Korea : สาธารณรัฐเกาหลี) 

ประเทศน้องใหม่ติดโผมาแรงสูงสุด เพราะเกาหลีมีความน่าสนใจพร้อมพรั่งในทุกด้าน ทั้งการศึกษาและชีวิตความเป็นอยู่ แม้จะมีความกดดันในการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง แต่ก็มีทุนเรียนฟรีให้เลือก เช่น ทุน GKS (Global Korea Scholarship) ที่รัฐบาลเมอบให้นักศึกษาต่างชาติ ทั้งระดับปริญญาตรี และโท เป็นทุนให้เปล่าแบบไม่จำกัดสาขาวิชาที่เรียนด้วย แต่การจะไปที่นี่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเรียนรู้ภาษาเกาหลีเบื้องต้นก่อนเดินทางไปเรียนด้วย

ญี่ปุ่น (Japan)

ประเทศที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะตัว แต่ในเรื่องของอาหารการกิน และความเป็นอยู่ คนไทยเองอาจจะค่อนข้างคุ้นเคย มีสิ่งอำนวยความสะดวก และการคมนาคมที่ยอดเยี่ยม มีสิ่งแวดล้อมที่ดีติดอันดับต้นๆ ของโลก ผู้ที่มีโอกาสศึกษาต่อที่นี่มีโอกาสที่จะได้เข้าทำงานค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีทุนรัฐบาลให้เรียนฟรีที่มีชื่อว่า MEXT (Monbukagakusho Scholarship) ที่มีให้เลือกแบบครอบคลุมถึง 7 ประเภท แต่ผู้ที่จะได้รับทุนนี้ ต้องมีอายุไม่เกิน 25 ปีเท่านั้น

จีน (Republic of China : สาธารณรัฐประชาชนจีน)

ประเทศที่มีคนใช้ภาษาเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีคอร์สเรียนที่น่าสนใจหลากหลาย ค่าเรียนถูก และมีทุนการศึกษาฟรีมอบให้กับนักศึกษาเป็นจำนวนมาก นั่นก็คือ ทุนรัฐบาล อย่าง CSC (China Scholarship Council) ที่ให้กับนักศึกษาต่างชาติตั้งแต่ระดับปริญญาตรี โท เอก รวมถึงทุนเรียนภาษา 1 ปี และทุนวิจัย โดยแบ่งออกเป็น ทุนแบบเต็มจำนวน ซึ่งจะยกเว้นค่าธรรมเนียม ค่าเล่าเรียน ค่าอุปกรณ์การศึกษา รวมถึงค่าที่พัก กับทุนการศึกษาที่ให้บางส่วน และยกเว้นค่าใช้จ่ายบางอย่าง

เยอรมนี (Germany :  สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี)

ประเทศที่มีอิสรภาพทางการศึกษา มีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่และน่าสนใจ มีตัวช่วยทางการเงินเพื่อการศึกษา ให้โอกาสและมอบประสบการณ์ในการทำงานจริงระหว่างเรียน แถมยังค่าเรียนต่ำกว่าประเทศใกล้เคียง ที่มีทุนเรียนฟรีอย่าง DAAD (DAAD Helmut-Schmidt-Programme Masters Scholarships) สำหรับระดับปริญญาโท และเอก รวมถึงทุนวิจัยระยะสั้นและยาวที่สถาบันในประเทศเยอรมนี ซึ่งมีการสนับสนุนทั้งค่าเล่าเรียน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ บางส่วน รวมทั้งยังสามารถพาครอบครัวมาอยู่ด้วยได้

แคนาดา (Canada)

ประเทศที่มีการเรียนการสอนเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก คุณภาพสูงเทียบเท่ากับสหรัฐอเมริกา มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่น่าสนใจ ทำงานพาร์ตไทน์ได้ทั้งนอกและในมหาวิทยาลัย ทำให้ผู้เรียนสามารถมีโอกาสประสบสำเร็จในการประกอบอาชีพ มีทุนการศึกษา อย่าง International Undergraduate Scholarships หลายหลักสูตร ให้นักศึกษาต่างชาติได้เลือก ทั้งแบบเต็มจำนวน และออกให้บางส่วน แบบที่ค่าใช้จ่ายไม่ได้สูงมากเกินไป

ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

ส่วนน้อง ๆ ระดับชั้นมัธยมก็ไม่ต้องน้อยใจไป เพราะยังมีทุน EF (EF Foundation for Foreign Study) ที่จะช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าทางด้านการศึกษาให้กับนักเรียนที่มีความทุ่มเท และมีคุณสมบัติโดดเด่น เพื่อไปแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม เป็นเวลา 1 ปี โดยสามาถเลือกเดินทางได้ 3 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ที่จะช่วยให้น้อง ๆ ได้รับประสบการณ์ครบถ้วน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ใครที่คิดว่า 1 ปีนานเกินไป จะเลือกทุน EF ระยะสั้น เพื่อเรียนภาษาในโรงเรียน EF International Language Campuses อย่างเดียวก็ได้ ทั้งใน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น แคนาดา นิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และเยอรมัน เป็นต้น 

เมื่อเลือกที่เรียนได้แล้ว… ทีนี้จะต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ก่อนออกเดินทางล่ะ??

ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

ควรเลือกว่าจะเรียนอะไร ~ จริง ๆ แล้วขั้นตอนนี้แทบจะต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ๆ ของการวางแผนเรียนต่อต่างประเทศเลยนะ เพราะจะช่วยให้เราเลือกที่เรียนที่เหมาะสม และตรงกับสิ่งที่เราจะเรียนมากที่สุด ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะต้องไปเช็คลิสต์ดูอีกที ว่าประเทศที่เราอยากไปนั้นมีมหาวิทยาลัยที่มีสาขา หรือคณะที่เราต้องการเรียนอยู่หรือเปล่า

ควรเช็คให้ดีว่าขอทุนเรียนได้ไหม ~ เชื่อไหมว่าถ้าเราศึกษาขั้นตอนนี้ให้ถ่องแท้ การเรียนต่อต่างประเทศใของเราในครั้งนี้ อาจไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย เพราะในบางประเทศมีทุนเรียนฟรีแบบเต็มจำนวน ที่จะช่วยเซฟให้กับเราโดยไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ เลยด้วยซ้ำ

ควรรู้ว่าจะต้องสมัครเรียนเมื่อไหร่ ~ ส่วนใหญ่แล้วในต่างประเทศ จะเปิดรับสมัครใน 3 ช่วงนี้คือ ฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วง และฤดูหนาว โดยจะเปิดรับทางออนไลน์ ประมาณ 4-5 เดือนก่อนเปิดเทอมจริง คือสมัครตั้งแต่ช่วงกันยายน และเดินทางช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม เพื่อเตรียมความพร้อม หาที่พัก หรืออาจจะต้องเรียนปรับพื้นฐานทางด้านภาษาก่อน

ควรคำนวณค่าใช้จ่ายให้ดี ~ ซึ่งจุดนี้เราจะต้องตั้งธงงบประมาณไว้ก่อน แล้วจึงค่อยๆ ไล่เจาะลึกลงไปในรายละเอียดว่า ค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าประกัน และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จะตกอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ อยู่ในงบที่เราตั้งธงไว้แต่แรกหรือไม่

ควรพักที่ไหนและใช้ชีวิตอย่างไร ~ เช็คทำเลที่ตั้งและความปลอดภัยให้ดี บางที่อาจจะมีหอพักของมหาวิทยาลัยให้ แต่ถ้าต้องพักข้างนอก ก็ต้องดูรายละเอียดการจองหรือการชำระเงินล่วงหน้า ควรหาข้อมูลและเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ แหล่ง ว่าอยู่ไกลจากที่เรียนไหม และสามารถทำอาหารได้หรือไม่ เพราะถ้าอยู่ใกล้และสามารถทำอาหารได้ ก็จะได้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกสเต็ปหนึ่งนั่นเอง

ควรทำงานด้วยเรียนด้วยดีไหม ~ ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนว่า วีซ่านักเรียนที่ไปนั้น เป็นวีซ่าที่สามารถทำงาน PART-TIME ได้ และทำได้กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เช่น ในสหราชอาณาจักร สามารถทำงานได้ ไม่เกิน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ระหว่างเปิดเทอม และ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในช่วงปิดเทอม ส่วนระดับมหาวิทยาลัยจะต้องเป็น  Full Time Student เป็นต้น

ควรต้องฝึกภาษาก่อนไหม ~ สำหรับประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เรื่องของภาษาอาจต้องมีการใช้คะแนนสอบวัดผลประกอบการสมัครเรียนด้วย เช่น คะแนน TOEFL หรือ IELTS โดยเฉพาะทางแถบยุโรป และอเมริกา แต่ถ้าเป็นทางฝั่งเอเชีย ในบางประเทศจะยังพออนุโลมให้ใช้คะแนน Toic ได้บ้าง ยิ่งถ้าเป็นนักเรียนทุน เรื่องภาษายิ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในบางประเทศอาจต้องเพิ่มทักษะพื้นฐานภาษาถิ่นเข้าไปด้วย เช่นใน จีน เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น รวมถึงคะแนน SAT สำหรับผู้ที่ต้องการไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา หรือสิงคโปร์ ควรมีไว้

ควรล็อคเป้าคะแนนสอบที่เท่าไหร่ ~ ถ้าหากเป็นTOEFL iBT ที่คะแนนเต็ม 120 คะแนน ส่วนมากคือต้องเกิน 70 คะแนนขึ้นไป แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังต้อง 100 คะแนนขึ้นเป็นต้น ส่วน IELTS คะแนนเต็มอยู่ที่ 9.0 ต้องได้ 5.5 คะแนนขึ้นไป แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดัง ก็จะต้องได้ 7.0 ขึ้นไป ส่วนผู้ที่ต้องการสมัครทุนก็ต้องได้ 6.0 ขึ้นไป เป็นต้น

ประเทศที่เรียนฟรีถึงปริญญาตรี

ควรเตรียมเอกสารสำคัญอะไรบ้างในการขอวีซ่าเพื่อเดินทาง…

~ เอกสารส่วนตัว : พาสปอร์ตเล่มจริงพร้อมสำเนา, รูปถ่าย, สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาสูติบัตร (กรณีผู้สมัครอายุต่ำกกว่า18 ปี), สำเนาทะเบียนบ้าน, หลักฐานหรือใบแสดงผลการศึกษา, หลักฐานการทำงาน (หากผู้สมัครทำงานแล้ว) และเอกสารการตรวจสุขภาพ สำหรับนักเรียนที่ลงทะเบียนเรียนระยะยาว 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งแต่ละสถานทูตในแต่ละประเทศ อาจมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันไป

~ เอกสารของผู้ปกครองหรือสปอนเซอร์ : สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, หลักฐานการทำงาน และหลักฐานการเงิน (Statement) รวมถึงที่มาของแหล่งรายได้สปอนเซอร์ โดยสปอนเซอร์ควรต้องเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้สมัครอย่าง พ่อ แม่ หรือคนในครอบครัว ที่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ได้ง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อให้ผลการพิจารณาเป็นไปโดยง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

~ เอกสารตอบรับการเข้าเรียน ใบตอบรับเข้าเรียน ใบเสร็จรับเงิน และ Health Insurance ของสถาบันศึกษาที่กำลังจะไปเรียนต่อ ซึ่งเอกสารนี้ถือเป็นเอกสารสำคัญ ที่ต้องมีตราประทับรับรองจากสถาบันฯ จึงจะสามารถขอวีซ่านักเรียนได้

และเมื่อเตรียมงบประมาณ ข้อมูลพื้นฐาน เอกสารทุกอย่างจนครบสมบูรณ์แล้ว ก็ถึงเวลาเตรียมตัว เตรียมใจ และออกเดินทางสู่ความสำเร็จกัน