คู่มือ Excel 2013 ฉบับสมบูรณ์ PDF ฟรี

6 ซ่ึงไดผ้ ลลพั ธ์เทา่ กบั 7 32 เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Excel 2013 รูปแบบของฟังกช์ นั ใน Excel ทุกฟังกช์ นั จะมีรูปแบบรูปแบบพ้ืนฐานที่เหมือน ๆ กนั ดงั น้ี จากรูปมีส่วนประกอบหลกั ๆ 6 ส่วน ไดแ้ ก่ A เคร่ืองหมายเท่ากบั (=) เมื่อใส่เคร่ืองหมายเท่ากับเพื่อบอก Excel ว่า น่ีเป็ นการคานวณไม่ใช่ขอ้ ความหรือตวั เลขปกติทว่ั ไป B ช่ือฟังกช์ นั (Function) เป็นช่ือฟังกช์ นั ที่ Excel เตรียมไวใ้ หใ้ ชง้ าน C เคร่ืองหมายวงเล็บเปิ ด เพื่อแสดงขอบเขตของขอ้ มูลท่ีใชป้ ระกอบการทางานกบั ฟังกช์ นั D ตวั รับค่า (Argument) หมายถึง ขอ้ มูล (หรือตาแหน่งท่ีเก็บขอ้ มูล) ที่ใชป้ ระกอบการทางานของฟังก์ชนั เช่น ฟังก์ชนั AVERAGE จะมีตวั รับค่า (Argument) เป็ นช่ือเซลล์เร่ิมตน้ และชื่อเซลล์ปิ ดทา้ ยของการหาค่าเฉลี่ย เป็นตน้ ซ่ึงแตล่ ะฟังกช์ นั จะมีตวั รับค่า (Argument) ที่ตา่ งกนั และความหมายท่ีตา่ งกนั E เครื่องหมายจุลภาค ( , : คอมมา่ ) ใชส้ าหรับแยกตวั รับค่า (Argument) แต่ละตวั ออกจากกนั F เคร่ืองหมายวงเล็บปิ ด เพอื่ แสดงจะสิ้นสุดของขอ้ มลู ที่ใชง้ านกบั ฟังกช์ นั น้นั ๆตวั อยา่ งฟังกช์ นั =SUM(A1:A7,D1:D7) เป็นฟังกช์ นั สาหรับหาผลรวมของตวั เลขท่ีอยใู่ นเซลล์ A1 ถึง A7 และ D1 ถึง D7 =COUNT(C8:C8) เป็นฟังกช์ นั สาหรับนบั จานวนช่องเซลลร์ ะหวา่ งเซลล์ C8 ถึง F8 โดยนบั เฉพาะเซลลท์ ่ีมีขอ้ มลู ดา้ นตวั เลขอยู่การกาหนดตวั รับคา่ ตวั รับค่า (Argument) เป็ นส่วนที่รับขอ้ มูลที่จาเป็ นตอ้ งนาไปใช้ในฟังก์ชนั น้นั เพ่ือให้เกิดค่าหรือผลลพั ธ์ใหม่ข้ึน ตวั รับค่าเหล่าน้ีจะตอ้ งอยภู่ ายในเคร่ืองหมายวงเลบ็ เสมอ และอาจมีชนิดที่แตกต่างกนั ไดถ้ ึง6 ชนิดข้ึนอยกู่ บั ชนิดของขอ้ มลู ที่ตอ้ งการจะรับเขา้ มาซ่ึงมีดงั น้ี 33 เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Excel 2013 - ตวั เลข (Number) เป็นตวั รับค่าที่ขอ้ มลู เป็นตวั เลขที่จะนาไปทาการคานวณซ่ึงอาจเป็นจานวนเตม็ หรือทศนิยมกไ็ ด้ - ขอ้ ความ (Text) เป็นตวั รับค่าท่ีจะรับขอ้ ความท่ีอยเู่ คร่ืองหมายคาพดู (\" \") - ค่าตรรกะ (Logical values) เป็นตวั รับคา่ ที่จะรับค่าจริง (TRUE) หรือ เทจ็ (FALSE) - คา่ ความผดิ พลาด (Error values) เป็นตวั รับคา่ ที่รับค่าความผดิ พลาด เช่น #DIV/0! , #N/A เป็นตน้ - การอา้ งอิงเซลล์ (References) เป็นตวั รับค่าที่รับตาแหน่งเซลล์ ซ่ึงอาจเป็นการอา้ งอิงแบบ A1 เช่น $A$6, A6, $A6, A$6 หรือแบบR1C1 เช่น R[6]C[-1] เป็นตน้ - ขอ้ มลู ชุด (Arrays) เป็นตวั รับคา่ ที่จะรับขอ้ มลู ชุด เช่น {12,3,4} เป็นตน้ตวั อยา่ งเช่น ฟังกช์ น้ SUM ซ่ึงมีรูปแบบ คือ =SUM(ตวั เลข1,ตวั เลข2,....) เม่ือเราเรียกใช้ เราก็จะตอ้ งกาหนดค่าให้กบั ตวั รับค่าเป็ นแบบตวั เลขเพื่อนาไปคานวณหาผลรวม เช่น =SUM(1,2,3,4) หรืออาจระบุด้วยตาแหน่งเซลล์ท่ีเก็บค่าตวั เลขเหล่าน้นัเช่น =SUM(B1:B4) กไ็ ด้ 34 เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Excel 2013 ฟังกช์ นั ของ Excelฟังกช์ นั ของ Excel จะถูกแยกตามประเภทของการใชง้ าน ดงั น้ีประเภทของการใชง้ าน ฟังก์ชัน1. ฟังก์ชันทางการเงนิ (Financial function) เช่น DISC, DURATION, FV, IRR, NPV, PMT, SYD, YIELD2. ฟังก์ชันในการอ้างองิ และค้นหาข้อมูล (Lookup เช่น ADDRESS, CHOOSE, COLUMN,& Reference function) HLOOKUP, INDEX, VLOOKUP, ROW3. ฟังก์ชันเกย่ี วกบั ข้อความ (Text function) เช่น ASC, BAHTTEXT, CHAR, LEFT, LEN, MID, RIGHT, TRIM, UPPER, VALUE4. ฟังก์ชันทางคณติ ศาสตร์ (Math & Trig เช่น ABC, COS, EXP, LOG, RAND, ROUND,function) SIN, SQRT, SUM, SUMIF5. ฟังก์ชันทางฐานข้อมูล (Database function) เช่น DAVERAGE, DMAC, DMIN, DCOUNT, DSUM, DVAR, DPRODUCT6. ฟังก์ชันทางตรรกศาสตร์ (Logical function) เช่น AND, FALSE, IF, IFERROR, NOT, OR, TRUE7. ฟังก์ชันทางวิศวกรรม (Engineering function) เช่น BIN2DEC, COMPLEX, CONVERT, DELTA, IMABS, IMEXP, COT2BIN8. ฟังก์ชันทางวนั - เวลา (Date & Time function) เช่น DATE, NOW, DATEVALUE, DAY MONTH, YEAR, TIE, HOUR, MINUTE9. ฟังก์ชันทางสิถิติ (Statistical function) เช่น AVERVGE, COUNT, DEVSQ, GROWTH, MAX, MEDIAN, MIN, VAR,10.ฟังก์ชันแสดรายละเอยี ด (Information เช่น CELL, ERROR TYPE, ISNUMBER, NA,function) TYPE 35 เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Excel 2013การเรียกใชฟ้ ังกช์ นั่ ฟังกช์ นั Sum หรือ AutoSum Sum หรือ AutoSum เป็นฟังกช์ นั สาหรับหาผลรวมของขอ้ มูลในเซลลห์ รือเขตขอ้ มลูรูปแบบคาสั่งความหมายคือ บวกจานวนท้งั หมดในช่วงของเซลล์ตัวอย่าง=SUM(2,3) บวกค่า 2 และ 3=SUM(A1,A3) บวกค่าข้อมูลในเซลล์ A1 และ A3=SUM(A1:A10) บวกค่าช่วงข้อมูล A1 ถงึ A10การป้ อนสูตร SUM มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. คลิกท่ีเซลลท์ ี่จะใส่ผลลพั ธ์ เช่น F2 2. คลิกแทบ็ สูตร (Formulas) 3. คลิกผลรวมอตั โนมตั ิ (AutoSum) (คลิกที่ลูกศรช้ีลง) 4. เลือกฟังกช์ นั ผลรวม (SUM) 5. จะไดเ้ ส้นประวงิ่ รอบ ๆ เซลลท์ ่ีอยทู่ างขวาของสูตร =SUM(C2:E2) 6. กดแป้ น Enter จะไดผ้ ลลพั ธ์ คือ การรวมขอ้ มลู ในเซลล์ C2, D2, E2 2 3 4 1 36 เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Excel 2013 5 6ฟังกช์ นั Average Average (คา่ เฉล่ีย) เป็นฟังกช์ นั สาหรับหาค่าเฉลี่ยของขอ้ มูลในเขตขอ้ ความท่ีกาหนด รูปแบบคาสั่งความหมายคือ คานวณคา่ เฉล่ียเลขคณิตของขอ้ มลู ในช่วงเซลล์ตัวอย่าง=AVERAGE(5, 10, 15) หาค่าเฉลยี่ ของ 5, 10 และ 15=AVERAGE(A1:A10) หาค่าเฉลยี่ ระหว่างช่วงข้อมูล A1 ถึง A10 37 เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Excel 2013การหาคา่ เฉล่ีย โดยใชฟ้ ังกช์ นั ค่าเฉลี่ย (AVERAGE) มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. คลิกที่เซลลท์ ่ีจะใส่ผลลพั ธ์ เช่น C5 2. คลิกแทบ็ สูตร (Formulas) 3. คลิกผลรวมอตั โนมตั ิ (AutoSum) (คลิกท่ีลูกศรช้ีลง) 4. เลือกฟังกช์ นั คา่ เฉล่ีย (AVERAGE) 5. จะไดเ้ ส้นประวง่ิ รอบ ๆ เซลลท์ ่ีอยทู่ างขวาของสูตร =AVERAGE(C2:C4) 6. กดแป้ น Enter จะไดผ้ ลลพั ธ์ คือ การค่าเฉล่ียของขอ้ มูลในเซลล์ C2, C3 และ C4 23 4 1 5 6 38 เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Excel 2013ฟังกช์ นั MAX คา่ มากท่ีสุด (Maximum) เป็นฟังกช์ นั ที่ใชแ้ สดงค่ามากที่สุดในช่วงขอ้ มลู ที่เลือก รูปแบบคาสัง่ความหมายคือ การหาคา่ มากที่สุดจากชุดของค่าท่ีระบุตวั อย่าง=MAX(12, 10, 8) หาค่ามากทส่ี ุดของข้อมูล 12, 10 และ 8=MAX(A1:A10) หาค่ามากทสี่ ุดในช่องเซลล์ A1 ถึง A10การหาค่ามากที่สุด โดยใชฟ้ ังกช์ นั คา่ มากที่สุด (MAX) มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. คลิกท่ีเซลลท์ ่ีจะใส่ผลลพั ธ์ เช่น C6 2. คลิกแทบ็ สูตร (Formulas) 3. คลิกผลรวมอตั โนมตั ิ (AutoSum) (คลิกท่ีลูกศรช้ีลง) 4. เลือกฟังกช์ นั คา่ มากท่ีสุด (MAX) 5. จะไดเ้ ส้นประวง่ิ รอบ ๆ เซลลท์ ี่อยทู่ างขวาของสูตร =MAX(C2:C4) 6. กดแป้ น Enter จะไดผ้ ลลพั ธ์ คือ การหาค่ามากท่ีสุดของขอ้ มูลช่องเซลล์ C2, C3 และ C4 2 30 4 4 1 39 เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Excel 2013 5 6ฟังกช์ นั MIN คา่ มากที่สุด (Minimun) เป็นฟังกช์ นั ที่ใชแ้ สดงคา่ นอ้ ยท่ีสุดในช่วงขอ้ มูลท่ีระบุ รูปแบบคาสัง่ความหมายคือ หาค่าตวั เลขที่มีนอ้ ยที่สุดของคา่ ท่ีระบุตัวอย่าง=MIN(12, 10, 8) หาค่าน้อยท่ีสุดของข้อมูล 12, 10 และ 8=MIN(A1:A10) หาค่าน้อยท่ีสุดในช่องเซลล์ A1 ถงึ A10 40 เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Excel 2013การหาคา่ มากท่ีสุด โดยใชฟ้ ังกช์ นั คา่ นอ้ ยท่ีสุด (MIN) มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. คลิกท่ีเซลลท์ ี่จะใส่ผลลพั ธ์ เช่น C7 2. คลิกแทบ็ สูตร (Formulas) 3. คลิกผลรวมอตั โนมตั ิ (AutoSum) (คลิกที่ลูกศรช้ีลง) 4. เลือกฟังกช์ นั คา่ นอ้ ยที่สุด (MIN) 5. จะไดเ้ ส้นประวงิ่ รอบ ๆ เซลลท์ ่ีอยทู่ างขวาของสูตร =MIN(C2:C4) 6. กดแป้ น Enter จะไดผ้ ลลพั ธ์ คือ การหาค่านอ้ ยที่สุดของขอ้ มูลช่องเซลล์ C2, C3 และ C4 2 3 4 1 5 41 เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Excel 2013 6ฟังกช์ นั COUNT นบั จานวน (Count) เป็นฟังกช์ นั สาหรับนบั จานวนเซลลท์ ี่ระบุวา่ มีขอ้ มูลอยกู่ ่ีเซลล์ รูปแบบคาสงั่ ความหมายคือ การนบั จานวนช่องเซลลท์ ี่มีตวั เลขบรรจุอยู่ วา่ มีก่ีเซลล์ ตัวอย่าง =COUNT(A1:B10) นับจานวนช่องเซลล์ทมี่ ตี ัวเลขอยู่ในเซลล์ A1 ถงึ B10 =COUNT(C10:B30) นับจานวนช่องเซลล์ทม่ี ีตัวเลขอยู่ในเซลล์ C10 ถึง B30การนบั จานวนตวั เลขเซลล์ โดยใชฟ้ ังกช์ นั จานวน (COUNT) มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. คลิกที่เซลลท์ ่ีจะใส่ผลลพั ธ์ 2. คลิกแทบ็ สูตร (Formulas) 3. คลิกผลรวมอตั โนมตั ิ (AutoSum) (คลิกที่ลูกศรช้ีลง) 4. เลือกฟังกช์ นั นบั ตวั เลข (Count Numbers) 5. จะไดเ้ ส้นประวงิ่ รอบ ๆ เซลลท์ ่ีอยทู่ างขวาของสูตร =COUNT(C2:F6) 6. กดแป้ น Enter จะไดผ้ ลลพั ธ์ คือ การนบั ตวั เลขที่อยใู่ นช่องเซลล์ C2 ถึง F6 42 เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Excel 2013 23 4 1 5 6 43 เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Excel 2013ฟังกช์ นั BAHTTEXT BAHTTEXT เป็นฟังกช์ นั ท่ีใชส้ าหรับแปลงค่าเงินบาทจากตวั เลขใหเ้ ป็นตวั อกั ษร รูปแบบคาส่ัง ความหมายคือ การแปลงตวั เลขจานวนเงินท่ีอยใู่ นเซลล์ที่ระบุใหเ้ ป็นตวั อกั ษร : Number คือ ตวั เลขหรือเซลลม์ ีขอ้ มูลตวั เลขที่ตอ้ งการแปลงเป็นตวั อกั ษรตัวอย่าง=BAHTTEXT(A5) การแปลงตวั เลขจานวนเงินท่อี ย่ใู นเซลล์ A5 ให้เป็ นตัวอกั ษร=BAHTTEXT(100) การแปลงตวั เลขจานวนเงิน 100 ให้เป็ นตวั อกั ษร จะได้ หน่ึงร้อยบาทถ้วนการแปลงตวั เลขจานวนเงินใหเ้ ป็นตวั อกั ษร โดยในชฟ้ ังกช์ นั BAHTTEXT มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. คลิกท่ีเซลลท์ ่ีจะใส่ผลลพั ธ์ 2. คลิกแทบ็ สูตร (Formulas) 3. คลิกคาสัง่ ขอ้ ความ (Text) (คลิกที่ลูกศรช้ีลง) 4. เลือกฟังกช์ นั BAHTTEXT จะปรากฏหนา้ ตา่ ง Function Arguments 5. คลิกท่ีเซลลข์ อ้ มลู ตวั เลขจานวนเงินท่ีตอ้ งการแปลงคา่ ซ่ึงช่ือเซลลท์ ี่เลือกจะปรากฏที่ช่อง Number ในหนา้ ตา่ ง Function Arguments (ดงั รูป) 6. กดป่ ุมตอ้ งลง จะไดผ้ ลลพั ธ์ ตวั อกั ษรที่แปลงคา่ จากตวั เลขจานวนเงินท่ีกาหนดฟังกช์ นั IF IF เป็ นฟังก์ชนั สาหรับทดสอบเงื่อนไขของค่าและสูตร ถา้ เง่ือนไขเป็ นจริงให้ปฏิบตั ิอยา่ งไรและถา้เงื่อนไขเป็นเทจ็ ใหป้ ฏิบตั ิอยา่ งไร รูปแบบคาสง่ัความหมาย เป็ นค่าเหมอื นนิพจน์ทหี่ าค่าเป็ น True หรือ FalseLogical_test ค่าทไ่ี ด้รับการตัดสินว่าเป็ น TRUE หรือ FALSEValue_if_true ค่าทถี่ ูกส่งกลบั ถ้า Logical_test เป็ น TRUEValue_if_false ค่าทถ่ี ูกส่งกลบั ถ้า Logical_test เป็ น FALSEตวั อยา่ ง =if(A1 = 100, 4, 3) หมายถึง ถา้ A1 เท่ากบั 100 ให้แสดงเลข 4 แต่ถา้ A1 ไม่เท่ากบั 100ใหแ้ สดงค่า 3 44