ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แก้ไขล่าสุด 2564 doc

Home ทริบเทคนิค/บทความ รวมประมวลกฎหมายฉบับแก้ไขอับเดตล่าสุด 2563 สำหรับทนายความ

  • ทริบเทคนิค/บทความ
รวมประมวลกฎหมายฉบับแก้ไขอับเดตล่าสุด 2563 สำหรับทนายความ

January 7, 2020

57187

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แก้ไขล่าสุด 2564 doc

  • Facebook iconFacebook
  • Twitter iconTwitter
  • LINE iconLine

รวมประมวลกฎหมายฉบับแก้ไขอับเดตล่าสุด 2563 สำหรับทนายความ

1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์      คลิกเพื่อดาวน์โหลด  

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แก้ไขล่าสุด 2564 doc
             
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แก้ไขล่าสุด 2564 doc

2.ประมวลกฎหมายอาญา                  คลิกเพื่อดาวน์โหลด  

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แก้ไขล่าสุด 2564 doc
             
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แก้ไขล่าสุด 2564 doc

3.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง   คลิกเพื่อดาวน์โหลด  

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แก้ไขล่าสุด 2564 doc
             
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แก้ไขล่าสุด 2564 doc

4.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา   คลิกเพื่อดาวน์โหลด  

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แก้ไขล่าสุด 2564 doc
             
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แก้ไขล่าสุด 2564 doc

ขอบคุณสำหรับการติดตามฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยครับ

ทีมงานทนายกฤษดา

โทร 089-142-7773 ไลน์ไอดี@lawyers.in.th

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แก้ไขล่าสุด 2564 doc

 

 

Facebook Comments

  • Facebook iconFacebook
  • Twitter iconTwitter
  • LINE iconLine

ทนายความกฤษดา ดวงชอุ่ม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา update34-2562
-
ปรับปรุงถึง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 34) พ.ศ. 2562
-
	ภาค 1
	ข้อความเบื้องต้น
	ลักษณะ 1
	หลักทั่วไป
-
	มาตรา 1  ในประมวลกฎหมายนี้  ถ้าคำใดมีคำอธิบายไว้แล้วให้ถือตามความหมาย
ดั่งได้อธิบายไว้ เว้นแต่ข้อความในตัวบทจะขัดกับคำอธิบายนั้น
	มาตรา 2  ในประมวลกฎหมายนี้
	(1)  "ศาล"  หมายความถึง  ศาลยุติธรรมหรือผู้พิพากษา ซึ่งมีอำนาจทำการอันเกี่ยวกับ
คดีอาญา
	(2)  "ผู้ต้องหา"  หมายความถึง  บุคคลผู้ถูกหาว่าได้กระทำความผิด  แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อ
ศาล
	(3)  "จำเลย"  หมายความถึง  บุคคลซึ่งถูกฟ้องยังศาลแล้วโดยข้อหาว่าได้กระทำความผิด
	(4)  "ผู้เสียหาย"  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการกระทำผิดฐาน
ใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 4 ,5 และ 6
	(5)  "พนักงานอัยการ"  หมายความถึง  เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล
ทั้งนี้ จะเป็นข้าราชการในกรมอัยการหรือเจ้าพนักงานอื่นผู้มีอำนาจเช่นนั้นก็ได้
	(6)  "พนักงานสอบสวน"  หมายความถึง  เจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่
ทำการสอบสวน
	(7)  "คำร้องทุกข์"  หมายความถึง การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติ
แห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิด  หรือไม่ก็ตาม
ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย   และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้
ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ
	(8)  "คำกล่าวโทษ"  หมายความถึง  การที่บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อ
เจ้าหน้าที่ว่ามีบุคคลรู้ตัวหรือไม่ก็ดี  ได้กระทำความผิดอย่างหนึ่งขึ้น
	(9) "หมายอาญา"  หมายความถึง  หนังสือบงการซึ่งออกตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายนี้  สั่งให้เจ้าหน้าที่ทำการจับ  ขัง  จำคุก  หรือปล่อยผู้ต้องหา  จำเลยหรือนักโทษ หรือให้
ทำการค้น รวมทั้งสำเนาหมายจับหรือหมายค้น อันได้รับรองว่าถูกต้อง และคำบอกกล่าวทางโทรเลข
ว่าได้ออกหมายจับหรือหมายค้นแล้ว ตลอดจนสำเนาหมายจับหรือหมายค้นที่ได้ส่งทางโทรสาร
สื่ออีเลคโทรนิคส์ หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่น ทั้งนี้ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 77”
	“แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	(10)  "การสืบสวน"  หมายความถึง  การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานซึ่งพนักงานฝ่าย
ปกครองหรือตำรวจได้ปฏิบัติไปตามอำนาจและหน้าที่  เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน
และเพื่อที่จะทราบรายละเอียดแห่งความผิด
	(11)  "การสอบสวน"  หมายความถึง  การรวบรวมพยานหลักฐาน  และการดำเนินการ
ทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิด
ที่กล่าวหา เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริง  หรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ
	(12)  "การไต่สวนมูลฟ้อง"  หมายความถึง  กระบวนไต่สวนของศาลเพื่อวินิจฉัยถึงมูลคดี
ซึ่งจำเลยต้องหา
	(13)  "ที่รโหฐาน"  หมายความถึง  ที่ต่างๆ ซึ่งมิใช่ที่สาธารณสถานดั่งบัญญัติไว้ใน
กฎหมายลักษณะอาญา
	(14)  "โจทก์"  หมายความถึง  พนักงานอัยการ หรือผู้เสียหายซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล
หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน
	(15)  "คู่ความ"  หมายความถึง  โจทก์ฝ่ายหนึ่งและจำเลยอีกฝ่ายหนึ่ง
	(16)  "พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ"  หมายความถึง  เจ้าพนักงานซึ่งกฎหมาย
ให้มีอำนาจและหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน   ให้รวมทั้งพัศดี  เจ้าพนักงานกรม
สรรพสามิต  กรมศุลกากร  กรมเจ้าท่า  พนักงานตรวจคนเข้าเมืองและเจ้าพนักงานอื่นๆ ในเมื่อทำ
การอันเกี่ยวกับการจับกุม ปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายซึ่งตนมีหน้าที่ต้องจับกุมหรือปราบปราม
	(17)  "พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่"  หมายความถึง  เจ้าพนักงาน
ดังต่อไปนี้
	(ก)  ปลัดกระทรวงมหาดไทย
	(ข)  รองปลัดกระทรวงมหาดไทย
	(ค)  ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย
	(ฆ)  ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย
	(ง)  อธิบดีกรมการปกครอง
	(จ)  รองอธิบดีกรมการปกครอง
	(ฉ)  ผู้อำนวยการกองการสอบสวนและนิติการกรมการปกครอง
	(ช)  หัวหน้าฝ่ายและหัวหน้างานในกองการสอบสวนและนิติการ
กรมการปกครอง
	(ซ)  ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง
	(ฌ)  ผู้ว่าราชการจังหวัด
	(ญ)  รองผู้ว่าราชการจังหวัด
	(ฎ)  ปลัดจังหวัด
	(ฏ)  นายอำเภอ
	(ฐ)  ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ
	(ฑ)  อธิบดีกรมตำรวจ
	(ฒ)  รองอธิบดีกรมตำรวจ
	(ณ)  ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ
	(ด)  ผู้บัญชาการตำรวจ
	(ต)  รองผู้บัญชาการตำรวจ
	(ถ)  ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจ
	(ท)  ผู้บังคับการตำรวจ
	(ธ)  รองผู้บังคับการตำรวจ
	(น)  หัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัด
	(บ)  รองหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัด
	(ป)  ผู้กำกับการตำรวจ
	(ผ)  ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเขต
	(ฝ)  รองผู้กำกับการตำรวจ
	(พ)  รองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเขต
	(ฟ)  สารวัตรใหญ่ตำรวจ
	(ภ)  สารวัตรตำรวจ
	(ม)  ผู้บังคับกองตำรวจ
	(ย)  หัวหน้าสถานีตำรวจ ซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตำรวจตรี  หรือเทียบเท่า
นายร้อยตำรวจตรีขึ้นไป
	(ร)  หัวหน้ากิ่งสถานีตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตำรวจตรี  หรือเทียบเท่า
นายร้อยตำรวจตรีขึ้นไป
	ทั้งนี้  หมายความรวมถึงผู้รักษาการแทนเจ้าพนักงานดังกล่าวแล้ว  แต่ผู้รักษาการแทน
เจ้าพนักงานใน (ม) (ย) และ (ร)  ต้องมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตำรวจตรีหรือเทียบเท่านายร้อยตำรวจ
ตรีขึ้นไปด้วย
	(18)  "สิ่งของ"  หมายความถึง  สังหาริมทรัพย์ใดซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีอาญา
ได้ ให้รวมทั้งจดหมายโทรเลขและเอกสารอย่างอื่นๆ
	(19)  "ถ้อยคำสำนวน"  หมายความถึง  หนังสือใดที่ศาลจดเป็นหลักฐานแห่งรายละเอียด
ทั้งหลายในการดำเนินคดีอาญาในศาลนั้น
	(20)  "บันทึก"  หมายความถึง  หนังสือใดที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจดไว้เป็น
หลักฐานในการสอบสวนความผิดอาญา รวมทั้งบันทึกคำร้องทุกข์และคำกล่าวโทษด้วย
	(21)  "ควบคุม"  หมายถึงการ  คุมหรือกักขังผู้ถูกจับโดยพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
ในระหว่างสืบสวนและสอบสวน
	(22)  "ขัง"  หมายความถึง  การกักขังจำเลยหรือผู้ต้องหาโดยศาล
	**(17) แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2535	
	มาตรา 3 บุคคลดั่งระบุไว้ใน มาตรา 4 ,5 และ 6  มีอำนาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ
	(1)  ร้องทุกข์
	(2)  เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ
	(3)  เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
	(4)  ถอนฟ้องคดีอาญาหรือคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
	(5)  ยอมความในคดีความผิดต่อส่วนตัว
	มาตรา 4  ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นหญิงมีสามี หญิงนั้นมีสิทธิฟ้องคดีได้เอง  โดยมิต้องได้รับอนุญาตของสามีก่อน
	ภายใต้บังคับแห่ง มาตรา 5 (2)  สามีมีสิทธิฟ้องคดีอาญาแทนภริยาได้ต่อเมื่อได้รับ
อนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา
	มาตรา 5 บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้
	(1)  ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือ
ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล
	(2)  ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหาย
ถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้
	(3) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆ ของนิติบุคคล เฉพาะความผิดซึ่งกระทำลงแก่นิติบุคคลนั้น
	มาตรา 6 ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ไม่มีผู้แทนโดย ชอบธรรมหรือเป็นผู้วิกลจริตหรือ
คนไร้ความสามารถ ไม่มีผู้อนุบาล หรือซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาลไม่สามารถจะทำการ
ตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด รวมทั้งมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์ หรือคนไร้ความสามารถนั้น ๆ 
ญาติของผู้นั้นหรือผู้มีประโยชน์ เกี่ยวข้องอาจร้องต่อศาลขอให้ตั้งเขาเป็นผู้แทนเฉพาะคดีได้
	เมื่อได้ไต่สวนแล้วให้ศาลตั้งผู้ร้องหรือบุคคลอื่น ซึ่งยินยอมตาม ที่เห็นสมควรเป็นผู้แทน
เฉพาะคดี เมื่อไม่มีบุคคลใดเป็นผู้แทนให้ ศาลตั้งพนักงานฝ่ายปกครองเป็นผู้แทน
	ห้ามมิให้เรียกค่าธรรมเนียมในเรื่องขอตั้งเป็นผู้แทนเฉพาะคดี 
	มาตรา 7 ในการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาคดีที่ นิติบุคคลเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย 
ให้ออกหมายเรียกผู้จัดการหรือ ผู้แทนอื่น ๆ ของนิติบุคคลนั้น ให้ไปยังพนักงานสอบสวนหรือศาล แล้วแต่กรณี
	ถ้าผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก จะออกหมายจับผู้นั้นมาก็ได้ 
แต่ห้ามมิให้ใช้บทบัญญัติว่าด้วยปล่อย ชั่วคราว ขังหรือจำคุกแก่ผู้จัดการหรือผู้แทนนิติบุคคล ในคดีที่ นิติบุคคลนั้นเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย 
	"มาตรา 7/1 ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาซึ่งถูกควบคุมหรือขังมีสิทธิแจ้งหรือขอให้เจ้าพนักงานแจ้ง
ให้ญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาไว้วางใจทราบถึงการถูกจับกุมและสถานที่ที่ถูกควบคุมในโอกาสแรก
และให้ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหามีสิทธิดังต่อไปนี้ด้วย
	(1) พบและปรึกษาผู้ซึ่งจะเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว
	(2) ให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ในชั้นสอบสวน
	(3) ได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติได้ตามสมควร
	(4) ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเกิดการเจ็บป่วย
	ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งรับมอบตัวผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหามีหน้าที่แจ้งให้ผู้
ถูกจับหรือผู้ต้องหานั้นทราบในโอกาสแรกถึงสิทธิตามวรรคหนึ่ง”
	"มาตรา 7/1 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 8 นับแต่เวลาที่ยื่นฟ้องแล้ว จำเลยมีสิทธิดังต่อไปนี้
	(1) ได้รับการพิจารณาคดีด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่องและเป็นธรรม
	(2) แต่งทนายความแก้ต่างในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณาในศาลชั้นต้นตลอดจนชั้น
ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา
	(3) ปรึกษาทนายความหรือผู้ซึ่งจะเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว
	(4) ตรวจดูสิ่งที่ยื่นเป็นพยานหลักฐาน และคัดสำเนาหรือถ่ายรูปสิ่งนั้นๆ
	(5) ตรวจดูสำนวนการไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาของศาล และคัดสำเนาหรือขอรับสำเนา
ที่รับรองว่าถูกต้องโดยเสียค่าธรรมเนียม เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมนั้น
	(6) ตรวจหรือคัดสำเนาคำให้การของตนในชั้นสอบสวนหรือประกอบคำให้การของตน
	ถ้าจำเลยมีทนายความ ทนายความนั้นย่อมมีสิทธิเช่นเดียวกับจำเลยดังกล่าวมาแล้วด้วย
	เมื่อพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว ให้ผู้เสียหายมีสิทธิตามวรรคหนึ่ง (6) เช่น
เดียวกับจำเลยด้วย”
	“แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 9 บันทึกต้องระบุสถานที่ วันเดือนปีที่ทำ นาม และตำแหน่งของเจ้าพนักงานผู้ทำ
	เมื่อเจ้าพนักงานทำบันทึกโดยรับคำสั่งจากศาลหรือโดยคำสั่งหรือคำขอของเจ้าพนักงาน
อื่น  ให้เจ้าพนักงานนั้นกล่าวไว้ด้วยว่าได้รับคำสั่งหรือคำขอเช่นนั้น และแสดงด้วยว่าได้ทำไปอย่างใด
	ให้เจ้าพนักงานผู้ทำบันทึกลงลายมือชื่อของตนในบันทึกนั้น
	มาตรา 10 ถ้อยคำสำนวนต้องระบุชื่อศาล สถานที่ และวันเดือนปีที่จด ถ้าศาลจดถ้อยคำ
สำนวนตามคำสั่งหรือประเด็นของศาลอื่น ให้กล่าวเช่นนั้น และแสดงด้วยว่าได้ทำไปอย่างใด
	ผู้พิพากษาที่จดถ้อยคำสำนวนต้องลงลายมือชื่อของตนในถ้อยคำสำนวนนั้น
	มาตรา 11 บันทึกหรือถ้อยคำสำนวนนั้น ให้เจ้าพนักงานหรือศาลอ่านให้ผู้ให้ถ้อยคำฟัง 
ถ้ามีข้อความแก้ไข ทักท้วง หรือเพิ่มเติม  ให้แก้ให้ถูกต้องหรือ มิฉะนั้นก็ให้บันทึกไว้ และให้ผู้ให้ถ้อยคำ
ลงลายมือชื่อรับรองว่าถูกต้องแล้ว
	ถ้าบุคคลที่ต้องลงลายมือชื่อในบันทึกหรือถ้อยคำสำนวนไม่สามารถหรือไม่ยอมลง
ให้บันทึกหรือรายงานเหตุนั้นไว้
	มาตรา 12 เอกสารซึ่งศาลหรือเจ้าพนักงานเป็นผู้ทำ คำร้องทุกข์ คำกล่าวโทษ คำให้การจำเลย 
หรือคำร้องซึ่งยื่นต่อเจ้าพนักงานหรือศาลจักต้องเขียนด้วยน้ำหมึกหรือพิมพ์ดีดหรือพิมพ์  ถ้ามีผิดที่ใด
ห้ามมิให้ลบออก  ให้เพียงแต่ขีดฆ่าคำผิดนั้นแล้วเขียนใหม่  ผู้พิพากษา  เจ้าพนักงานหรือบุคคล
ผู้แก้ไขเช่นนั้น ต้องลงนามย่อรับรองไว้ที่ข้างกระดาษ
	ถ้อยคำตกเติมในเอกสารดั่งบรรยายในมาตรานี้ต้องลงนามย่อของผู้พิพากษา
เจ้าพนักงานหรือบุคคลผู้ซึ่งตกเติมนั้นกำกับไว้
	"มาตรา 12 ทวิ ในการร้องทุกข์ การสอบสวน การไต่สวนมูลฟ้อง และการพิจารณา ถ้า
บทบัญญัติใดกำหนดให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เข้าร่วมด้วยแล้ว นักจิตวิทยาหรือ
นักสังคมสงเคราะห์ดังกล่าวจะต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
	ให้นักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ตามวรรคหนึ่งได้รับค่าตอบแทนตามระเบียบที่
กระทรวงยุติธรรมกำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
	"แก้ไขโดย มาตรา 3 แห่งพรบ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2542"
	 มาตรา 13 การสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณา ให้ใช้ภาษาไทย แต่ถ้ามีความจำเป็น
ต้องแปลภาษาไทยท้องถิ่นหรือภาษาถิ่นหรือภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยหรือต้องแปลภาษาไทย
เป็นภาษาไทยท้องถิ่นหรือภาษาถิ่นหรือภาษาต่างประเทศให้ใช้ล่ามแปล
	ในกรณีที่ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลย หรือพยานไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาไทย
หรือสามารถพูดหรือเข้าใจเฉพาะภาษาไทยท้องถิ่นหรือภาษาถิ่น และไม่มีล่าม ให้พนักงานสอบสวน
พนักงานอัยการหรือศาลจัดหาล่ามให้โดยมิชักช้า
	ในกรณีที่ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลย หรือพยานไม่สามารถพูดหรือได้ยิน หรือสื่อความหมายได้
และไม่มีล่ามภาษามือ ให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล จัดหาล่ามภาษามือให้หรือ
จัดให้ถาม ตอบ หรือสื่อความหมายโดยวิธีอื่นที่เห็นสมควร
	เมื่อมีล่ามแปลคำให้การ คำพยานหรืออื่น ๆ ล่ามต้องแปลให้ถูกต้อง ล่ามต้องสาบานหรือ
ปฏิญาณตนว่าจะทำหน้าที่โดยสุจริตใจ จะไม่เพิ่มเติมหรือตัดทอนสิ่งที่แปลให้ล่ามลงลายมือชื่อในคำแปลนั้น
	ให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาลสั่งจ่ายค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และ
ค่าเช่าที่พักแก่ล่ามที่จัดหาให้ตามมาตรานี้ ตามระเบียบที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด หรือสำนักงานศาลยุติธรรม แล้วแต่กรณี กำหนดโดยได้รับ
ความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
*แก้ไขมาตรา 13 และยกเลิกมาตรา 13 ทวิ โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2551
	มาตรา 14 ในระหว่างทำการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา ถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหา
หรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริต และไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ให้พนักงานสอบสวนหรือศาลแล้วแต่กรณี สั่งให้
พนักงานแพทย์ตรวจผู้นั้น เสร็จแล้วให้เรียกพนักงานแพทย์ผู้นั้นมาให้ถ้อยคำ หรือให้การว่าตรวจได้
ผลประการใด
	ในกรณีที่พนักงานสอบสวน  หรือศาลเห็นว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่
สามารถต่อสู้คดีได้  ให้งดการสอบสวนไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาไว้จนกว่าผู้นั้นหายวิกลจริตหรือ
สามารถจะต่อสู้คดีได้  และให้มีอำนาจส่งตัวผู้นั้นไปยังโรงพยาบาลโรคจิตหรือมอบให้แก่ผู้อนุบาล
ข้าหลวงประจำจังหวัดหรือผู้อื่นที่เต็มใจรับไปดูแลรักษาก็ได้ตามแต่จะเห็นสมควร
	กรณีที่ศาลงดการไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาดั่งบัญญัติไว้ในวรรคก่อน  ศาลจะสั่ง
จำหน่ายคดีเสียชั่วคราวก็ได้
	มาตรา 15  วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้ โดยเฉพาะ  ให้นำบทบัญญัติ
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้

	ลักษณะ 2
	อำนาจพนักงานสอบสวนและศาล
	หมวด 1
	หลักทั่วไป

	มาตรา 16 อำนาจศาล อำนาจผู้พิพากษา อำนาจพนักงานอัยการและอำนาจพนักงานฝ่ายปกครอง
หรือตำรวจ ในการที่จะปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ต้องเป็นไปตามกฎหมาย
และข้อบังคับทั้งหลายอันว่าด้วยการจัดตั้งศาลยุติธรรมและระบุอำนาจและหน้าที่ของผู้พิพากษา
หรือซึ่งว่าด้วยอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจนั้นๆ
	หมวด 2
	อำนาจสืบสวนและสอบสวน
	มาตรา 17 พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจมีอำนาจทำการสืบสวนคดีอาญาได้
	มาตรา 18 ในจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี  พนักงานฝ่ายปกครอง
หรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่  ปลัดอำเภอ  และข้าราชการตำรวจ  ซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตำรวจตรีหรือเทียบเท่า
นายร้อยตำรวจตรีขึ้นไป  มีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิด  หรืออ้าง  หรือเชื่อว่าได้เกิด
ภายในเขตอำนาจของตน หรือผู้ต้องหามีที่อยู่หรือถูกจับภายในเขตอำนาจของตนได้
	สำหรับในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี   ให้ข้าราชการตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้น
นายร้อยตำรวจตรีหรือเทียบเท่านายร้อยตำรวจตรีขึ้นไป มีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิด
หรืออ้าง  หรือเชื่อว่าได้เกิดภายในเขตอำนาจของตน  หรือผู้ต้องหามีที่อยู่หรือถูกจับภายในเขต
อำนาจของตนได้
	ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติใน มาตรา 19 มาตรา 20 และ มาตรา 21  ความผิดอาญา
ได้เกิดในเขตอำนาจพนักงานสอบสวนคนใด   โดยปกติให้เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนผู้นั้น
เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนความผิดนั้นๆ เพื่อดำเนินคดี เว้นแต่เมื่อมีเหตุจำเป็นหรือเพื่อความ
สะดวก จึงให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ผู้ต้องหามีที่อยู่หรือถูกจับเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ
สอบสวน
	ในเขตท้องที่ใดมีพนักงานสอบสวนหลายคน การดำเนินการสอบสวนให้อยู่ในความรับผิด
ชอบของพนักงานสอบสวนผู้เป็นหัวหน้าในท้องที่นั้น  หรือผู้รักษาการแทน
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 25496
	มาตรา 19 ในกรณีดั่งต่อไปนี้
	(1)  เป็นการไม่แน่ว่าการกระทำผิดอาญาได้กระทำในท้องที่ใด ในระหว่างหลายท้องที่
	(2)  เมื่อความผิดส่วนหนึ่งกระทำในท้องที่หนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งในอีกท้องที่หนึ่ง
	(3)  เมื่อความผิดนั้นเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในท้องที่ต่างๆ เกินกว่า
ท้องที่หนึ่งขึ้นไป
	(4)  เมื่อเป็นความผิดซึ่งมีหลายกรรม กระทำลงในท้องที่ต่างๆ กัน
	(5)  เมื่อความผิดเกิดขึ้นขณะผู้ต้องหากำลังเดินทาง
	(6)  เมื่อความผิดเกิดขึ้นขณะผู้เสียหายกำลังเดินทาง
	พนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอำนาจสอบสวนได้
	ในกรณีข้างต้นพนักงานสอบสวนต่อไปนี้ เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวน
	(ก)  ถ้าจับผู้ต้องหาได้แล้ว คือ พนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่จับได้อยู่ในเขตอำนาจ
	 (ข)  ถ้าจับผู้ต้องหายังไม่ได้ คือ พนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่พบการกระทำผิดก่อนอยู่ใน
เขตอำนาจ
	มาตรา 20 ถ้าความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทยได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย
ให้อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบหรือจะมอบหมายหน้าที่นั้น
ให้พนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนคนใดเป็นผู้รับผิดชอบทำการสอบสวนแทนก็ได้
	ในกรณีที่อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนมอบหมายให้พนักงานสอบสวนคนใดเป็นผู้รับผิดชอบ
ทำการสอบสวน อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนจะมอบหมายให้พนักงานอัยการคนใดทำการสอบสวน
ร่วมกับพนักงานสอบสวนก็ได้
	ให้พนักงานอัยการที่ได้รับมอบหมายให้เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบหรือให้ทำการ
สอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวนมีอำนาจและหน้าที่ในการสอบสวนเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน
บรรดาอำนาจและหน้าที่ประการอื่นที่กฎหมายบัญญัติไว้ให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ
	ในกรณีที่พนักงานอัยการทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวน ให้พนักงานสอบสวน
ปฏิบัติตามคำสั่งและคำแนะนำของพนักงานอัยการในเรื่องที่เกี่ยวกับการรวบรวมพยานหลักฐาน
	ในกรณีจำเป็น พนักงานสอบสวนต่อไปนี้มีอำนาจสอบสวนในระหว่างรอคำสั่งจาก
อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทน
	(1) พนักงานสอบสวนซึ่งผู้ต้องหาถูกจับในเขตอำนาจ
	(2) พนักงานสอบสวนซึ่งรัฐบาลประเทศอื่นหรือบุคคลที่ได้รับความเสียหายได้ร้องฟ้อง
ให้ทำโทษผู้ต้องหา
	เมื่อพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวนแล้วแต่กรณี เห็นว่า
การสอบสวนเสร็จแล้ว ให้ทำความเห็นตามมาตรา 140 มาตรา 141 หรือมาตรา 142 ส่งพร้อมสำนวน
ไปยังอัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทน
	*แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 29)
พ.ศ. 2551
	มาตรา 21 ในกรณีที่ไม่แน่ว่าพนักงานสอบสวนคนใดในจังหวัดเดียวกัน ควรเป็นพนักงาน
สอบสวนผู้รับผิดชอบ ให้ข้าหลวงประจำจังหวัดนั้นมีอำนาจชี้ขาด แต่ในจังหวัดพระนครและธนบุรี ให้ผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนซึ่งมีตำแหน่งตั้งแต่รองอธิบดีกรมตำรวจขึ้นไปเป็นผู้ชี้ขาด
	ในกรณีที่ไม่แน่ว่าพนักงานสอบสวนคนใดในระหว่างหลายจังหวัดควรเป็นพนักงานสอบ
สวนผู้รับผิดชอบ ให้อธิบดีกรมอัยการหรือผู้ทำการแทนเป็นผู้ชี้ขาด
	การรอคำชี้ขาด ไม่เป็นเหตุให้งดการสอบสวน
	มาตรา 21/1 สำหรับการสอบสวนซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ
ในกรณีที่ไม่แน่ว่าพนักงานสอบสวนคนใดในจังหวัดเดียวกันหรือในกองบัญชาการเดียวกัน
ควรเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ให้ผู้บัญชาการซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนนั้น
เป็นผู้ชี้ขาด	
	การรอคำชี้ขาด ไม่เป็นเหตุให้งดการสอบสวน
*แก้ไขเพิ่มเติม โดย ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 115/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557

	หมวด 3
	อำนาจศาล

	มาตรา 22 เมื่อความผิดเกิดขึ้น  อ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลใด  
ให้ชำระที่ศาลนั้น แต่ถ้า
	(1)  เมื่อจำเลยมีที่อยู่หรือถูกจับในท้องที่หนึ่ง หรือเมื่อเจ้าพนักงานทำการสอบสวนใน
ท้องที่หนึ่งนอกเขตของศาลดั่งกล่าวแล้วจะชำระที่ศาลซึ่งท้องที่นั้นๆ อยู่ในเขตอำนาจก็ได้
	(2)  เมื่อความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย ให้ชำระคดีนั้นที่ศาลอาญา  ถ้าการสอบ
สวนได้กระทำลงในท้องที่หนึ่งซึ่งอยู่ในเขตของศาลใด  ให้ชำระที่ศาลนั้นได้ด้วย
	มาตรา 23 เมื่อศาลแต่สองศาลขึ้นไปต่างมีอำนาจชำระคดี  ถ้าได้ยื่นฟ้องคดีนั้นต่อศาลหนึ่ง
ซึ่งตามฟ้องความผิดมิได้เกิดในเขต โจทก์หรือจำเลยจะ ร้องขอให้โอนคดีไปชำระที่ศาลอื่นซึ่งความผิดได้
เกิดในเขตก็ได้
	ถ้าโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลซึ่งความผิดเกิดในเขตแต่ต่อมาความปรากฏแก่โจทก์ว่า
การพิจารณาคดีจะสะดวกยิ่งขึ้น ถ้าให้อีกศาลหนึ่งซึ่งมีอำนาจชำระคดีได้พิจารณาคดีนั้น
โจทก์จะยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาขอโอนคดีไปยังอีกศาลหนึ่งก็ได้
แม้ว่าจำเลยจะคัดค้านก็ตามเมื่อศาลเห็นสมควร จะโอนคดีไปหรือยกคำร้องเสียก็ได้
	มาตรา 24 เมื่อความผิดหลายเรื่องเกี่ยวพันกันโดยเหตุหนึ่งเหตุใดเป็นต้นว่า
	(1)  ปรากฏว่าความผิดหลายฐาน ได้กระทำลงโดยผู้กระทำผิดคนเดียวกันหรือผู้กระทำ
ผิดหลายคนเกี่ยวพันกันในการกระทำความผิดฐานหนึ่งหรือหลายฐานจะเป็นตัวการผู้สมรู้ หรือ
รับของโจรก็ตาม
	(2)  ปรากฏว่าความผิดหลายฐาน  ได้กระทำลงโดยมีเจตนาอย่างเดียวกัน หรือโดย
ผู้กระทำผิดทั้งหลายได้คบคิดกันมาแต่ก่อนแล้ว
	(3)  ปรากฏว่าความผิดฐานหนึ่งเกิดขึ้น โดยมีเจตนาช่วยผู้กระทำผิดอื่น ให้พ้นจากรับโทษ
ในความผิดอย่างอื่นซึ่งเขาได้กระทำไว้
	ดังนี้จะฟ้องคดีทุกเรื่อง หรือฟ้องผู้กระทำความผิดทั้งหมดต่อศาลซึ่งมีอำนาจชำระในฐาน
ความผิดซึ่งมีอัตราโทษสูงกว่าไว้ก็ได้
	ถ้าความผิดอันเกี่ยวพันกันมีอัตราโทษอย่างสูงเสมอกันศาลซึ่งมีอำนาจชำระ ก็คือศาลซึ่ง
รับฟ้องเรื่องหนึ่งเรื่องใดในความผิดเกี่ยวพันกันนั้นไว้ก่อน
	มาตรา 25 ศาลซึ่งรับฟ้องคดีเกี่ยวพันกันไว้จะพิจารณาพิพากษารวมกันไปก็ได้
	ถ้าศาลซึ่งรับฟ้องคดีเกี่ยวพันกันไว้ เห็นว่าเป็นการสมควรที่ความผิดฐานหนึ่ง  ควรได้ชำระ
ในศาลซึ่งตามปกติมีอำนาจจะชำระ  ถ้าหากว่าคดีนั้นไม่เกี่ยวกับคดีเกี่ยวพันกัน  เมื่อศาลเดิมได้
ตกลงกับอีกศาลหนึ่งแล้ว  จะสั่งให้ไปฟ้องยังศาลอื่นนั้นก็ได้
	มาตรา 26 หากว่าตามลักษณะของความผิด ฐานะของจําเลย จํานวนจําเลย ความรู้สึก
ของประชาชนส่วนมากแห่งท้องถิ่นนั้น หรือเหตุผลอย่างอื่น อาจมีการขัดขวางต่อการไต่สวนมูลฟ้อง
หรือพิจารณาหรือน่ากลัวว่าจะเกิดความไม่สงบหรือเหตุร้ายอย่างอื่ นขึ้น หรืออาจเกิดผลกระทบต่อ
ประโยชน์ที่สําคัญอื่นของรัฐ เมื่อโจทก์หรือจําเลยร้องขอหรือศาลที่คดีนั้นอยู่ระหว่างพิจารณาทํา
ความเห็นเสนอต่อประธานศาลฎีกาขอให้โอนคดีไปศาลอื่น ถ้าประธานศาลฎีกาเห็นควรอนุญาต 
ก็ให้สั่งโอนคดีไปยังศาลดังที่ประธานศาลฎีการะบุไว้
	คําสั่งของประธานศาลฎีกาให้เป็นที่สุด
*แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 31) 
พ.ศ. 2559
	มาตรา 27 ผู้พิพากษาในศาลใดซึ่งชำระคดีอาญา จะถูกตั้งรังเกียจตาม บทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งบัญญัติไว้ในเรื่องนั้นก็ได้

	ลักษณะ 3
	การฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
	หมวด 1
	การฟ้องคดีอาญา

	มาตรา 28 บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล
	(1)  พนักงานอัยการ
	(2)  ผู้เสียหาย
	มาตรา 29 เมื่อผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้วตายลง  ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา
จะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปก็ได้
	ถ้าผู้เสียหายที่ตายนั้นเป็นผู้เยาว์ ผู้วิกลจริตหรือผู้ไร้ความสามารถ ซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรม
ผู้อนุบาล หรือผู้แทนเฉพาะคดีได้ยื่นฟ้องแทนไว้แล้ว  ผู้ฟ้องแทนนั้นจะว่าคดีต่อไปก็ได้
	มาตรา 30 คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้า
ร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้
	มาตรา 31 คดีอาญาที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวซึ่งผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้ว พนักงานอัยการจะ
ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดก่อนคดีเสร็จเด็ดขาดก็ได้
	มาตรา 32  เมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน  ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่า
ผู้เสียหายจะกระทำให้คดีของอัยการเสียหายโดยกระทำหรือละเว้นกระทำการใดๆ ในกระบวนพิจารณา
พนักงานอัยการมีอำนาจร้องต่อศาลให้สั่งผู้เสียหายกระทำหรือละเว้นกระทำการนั้นๆ ได้
	มาตรา 33  คดีอาญาเรื่องเดียวกันซึ่งทั้งพนักงานอัยการและผู้เสียหายต่างได้ยื่นฟ้องใน
ศาลชั้นต้นศาลเดียวกันหรือต่างศาลกัน  ศาลนั้นๆ มีอำนาจสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน เมื่อศาล
เห็นชอบโดยพลการหรือโดยโจทก์ยื่นคำร้องในระยะใดก่อนมีคำพิพากษา
	แต่ทว่าจะมีคำสั่งเช่นนั้นไม่ได้  นอกจากจะได้รับความยินยอมของศาลอื่นนั้นก่อน
	มาตรา 34  คำสั่งไม่ฟ้องคดี หาตัดสิทธิผู้เสียหายฟ้องคดีโดยตนเองไม่
	มาตรา 35  คำร้องขอถอนฟ้องคดีอาญาจะยื่นเวลาใดก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ได้ 
ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตหรือมิอนุญาตให้ถอนก็ได้ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรประการใด ถ้าคำร้องนั้น
ได้ยื่นในภายหลังเมื่อจำเลยให้การแก้คดีแล้ว ให้ถามจำเลยว่าจะคัดค้านหรือไม่ แล้วให้ศาลจดคำแถลง
ของจำเลยไว้ ในกรณีที่จำเลยคัดค้านการถอนฟ้อง ให้ศาลยกคำร้องขอถอนฟ้องนั้นเสีย
	คดีความผิดต่อส่วนตัวนั้น จะถอนฟ้องหรือยอมความในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ แต่ถ้า
จำเลยคัดค้าน ให้ศาลยกคำร้องขอถอนฟ้องนั้นเสีย
	มาตรา 36  คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้ว  จะนำมาฟ้องอีกหาได้ไม่  เว้นแต่จะเข้าอยู่ใน
ข้อยกเว้นต่อไปนี้
	(1)  ถ้าพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีอาญา ซึ่งไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวไว้แล้วได้ถอนฟ้อง
คดีนั้นไป  การถอนนี้ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่
	(2)  ถ้าพนักงานอัยการถอนคดีซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวไปโดยมิได้รับความยินยอมเป็น
หนังสือจากผู้เสียหาย  การถอนนั้นไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่
	(3)  ถ้าผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องคดีอาญาไว้แล้วได้ถอนฟ้องคดีนั้นเสีย  การถอนนี้ไม่ตัดสิทธิ
พนักงานอัยการที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่ เว้นแต่คดีซึ่งเป็นความ ผิดต่อส่วนตัว
	มาตรา 37  คดีอาญาเลิกกันได้  ดังต่อไปนี้
	(1)  ในคดีมีโทษปรับสถานเดียว  เมื่อผู้กระทำผิดยินยอมเสียค่าปรับในอัตราอย่างสูง
สำหรับความผิดนั้นแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนศาลพิจารณา
	(2)  ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษ  หรือความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ
หรือคดีอื่นที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือความผิดต่อกฎหมายเกี่ยวกับ
ภาษีอากร  ซึ่งมีโทษปรับอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  เมื่อผู้ต้องหาชำระค่าปรับตามที่พนักงาน
สอบสวนได้เปรียบเทียบแล้ว
	(3)  ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษ  หรือความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ
หรือคดีที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทซึ่งเกิดในกรุงเทพมหานคร เมื่อผู้ต้องหา
ชำระค่าปรับตามที่นายตำรวจประจำท้องที่ตั้งแต่ตำแหน่งสารวัตรขึ้นไปหรือนายตำรวจชั้นสัญญา
บัตรผู้ทำการในตำแหน่งนั้นๆ ได้เปรียบเทียบแล้ว
	(4)  ในคดีซึ่งเปรียบเทียบได้ตามกฎหมายอื่น เมื่อผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามคำเปรียบ
เทียบของพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2529
	มาตรา 38  ความตามอนุมาตรา (2) (3) และ (4) แห่งมาตราก่อน   ถ้าเจ้าพนักงานดั่งกล่าว
ในมาตรานั้นเห็นว่าผู้ต้องหาไม่ควรได้รับโทษถึงจำคุก  ให้มีอำนาจเปรียบเทียบดั่งนี้
	(1)  ให้กำหนดค่าปรับซึ่งผู้ต้องหาจะพึงชำระ ถ้าผู้ต้องหาและผู้เสียหายยินยอมตามนั้น
เมื่อผู้ต้องหาได้ชำระเงินค่าปรับตามจำนวนที่เจ้าหน้าที่กำหนดให้ภายในเวลาอันสมควร แต่ไม่เกิน
สิบห้าวันแล้ว  คดีนั้นเป็นอันเสร็จเด็ดขาด
	ถ้าผู้ต้องหาไม่ยินยอมตามที่เปรียบเทียบหรือเมื่อยินยอมแล้วไม่ชำระเงินค่าปรับภายใน
เวลากำหนดในวรรคก่อน ให้ดำเนินคดีต่อไป
	(2)  ในคดีมีค่าทดแทน ถ้าผู้เสียหายและผู้ต้องหายินยอมให้เปรียบเทียบ  ให้เจ้าหน้าที่
กะจำนวนตามที่เห็นควรหรือตามที่คู่ความตกลงกัน
	มาตรา 39  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป  ดั่งต่อไปนี้
	(1)  โดยความตายของผู้กระทำผิด
	(2)  ในคดีความผิดต่อส่วนตัว  เมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดย
ถูกต้องตามกฎหมาย
	(3)  เมื่อคดีเลิกกันตาม มาตรา 37
	(4)  เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง
	(5)  เมื่อมีกฎหมายออกใช้ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิดเช่นนั้น
	(6)  เมื่อคดีขาดอายุความ
	(7)  เมื่อมีกฎหมายยกเว้นโทษ

	หมวด 2
	การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา

	มาตรา 40  การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจะฟ้องต่อศาลซึ่งพิจารณาคดีอาญา
หรือต่อศาลที่มีอำนาจชำระคดีแพ่งก็ได้  การพิจารณาคดีแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
	มาตรา 41  ถ้าการพิจารณาคดีแพ่งจักทำให้การพิจารณาคดีอาญาเนิ่นช้า  หรือติดขัด  
ศาลมีอำนาจสั่งให้แยกคดีแพ่งออกจากคดีอาญาและพิจารณาต่างหากโดยศาลที่มีอำนาจชำระ
	มาตรา 42  ในการพิจารณาคดีแพ่ง  ถ้าพยานหลักฐานที่นำสืบแล้วในคดีอาญายัง
ไม่เพียงพอ ศาลจะเรียกพยานหลักฐานมาสืบเพิ่มเติมอีกก็ได้
	ในกรณีเช่นนั้น  ศาลจะพิพากษาคดีอาญาไปทีเดียว  ส่วนคดีแพ่งจะพิพากษาในภายหลัง
ก็ได้
	มาตรา 43  คดีลักทรัพย์ วิ่งราว ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ โจรสลัด กรรโชก ฉ้อโกง ยักยอก
หรือรับของโจรถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่เขาสูญเสียไปเนื่องจากการ
กระทำผิดคืนเมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายด้วย
	มาตรา 44  การเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนตามมาตราก่อน พนักงานอัยการจะขอ
รวมไปกับคดีอาญาหรือจะยื่นคำร้องในระยะใดระหว่างที่คดีอาญากำลังพิจารณาอยู่ในศาลชั้นต้น
ก็ได้
	คำพิพากษาในส่วนเรียกทรัพย์สินหรือราคา ให้รวมเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำพิพากษา
ในคดีอาญา
	“มาตรา 44/1 ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์  ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียก
เอาค่าสินไหมค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือได้
รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกายชื่อเสียง หรือได้รับความเสียหายทางทรัพย์สิน
อันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย ผู้เสียหายยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดี
อาญาขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้
	การยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่ง ผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องก่อนเริ่มสืบพยาน ใน
กรณีที่ไม่มีการสืบพยานให้ยื่นคำร้องก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดี และให้ถือว่าคำร้อง
ดังกล่าวเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและ
ผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งนั้น ทั้งนี้ คำร้องดังกล่าวต้องแสดงราย
ละเอียดตามสมควรเกี่ยวกับความเสียหายและจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่เรียกร้อง
หากศาลเห็นว่าคำร้องนั้นยังขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้ผู้ร้องแก้ไข
คำร้องให้ชัดเจนก็ได้
	คำร้องตามวรรคหนึ่งจะมีคำขอประการอื่นที่มิใช่คำขอบังคับให้จำเลย
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยในคดีอาญามิได้
และต้องไม่ขัดหรือแย้งกับคำฟ้องในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ และในกรณี
ที่พนักงานอัยการได้ดำเนินตามความในมาตรา 43 แล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่ง
เพื่อเรียกสินทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินอีกมิได้
	"มาตรา 44/2 เมื่อได้รับคำร้องตามมาตรา 44/1 ให้ศาลแจ้งให้จำเลยทราบ หาก
จำเลยให้การประการใดหรือไม่ประสงค์จะให้การให้ศาลบันทึกไว้ ถ้าจำเลยประสงค์จะทำ
คำให้การเป็นหนังสือให้ศาลกำหนดระยะเวลายื่นคำให้การตามที่เห็นสมควร และเมื่อ
พนักงานอัยการสืบพยานเสร็จ ศาลจะอนุญาตให้ผู้เสียหายนำพยานเข้าสืบถึงค่าสินไหม
ทดแทนได้เท่าที่จำเป็น หรือศาลจะพิจารณาพิพากษาคดีอาญาไปก่อนแล้วพิจารณาพิพากษา
คดีส่วนแพ่งภายหลังก็ได้
	ถ้าความปรากฏต่อศาลว่าผู้ยื่นคำร้องตามมาตรา 44/1 เป็นคนยากจนไม่สามารถจัดหา
ทนายความได้เอง ให้ศาลมีอำนาจตั้งทนายความให้แก่ผู้นั้น โดยทนายความที่ได้รับแต่งตั้งมี
สิทธิได้รับเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนด"
	"มาตรา 44/1, 44/2  เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2548"
	มาตรา 45  คดีเรื่องใดถึงแม้ว่าได้ฟ้องในทางอาญาแล้ว ก็ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะฟ้อง
ในทางแพ่งอีก
	มาตรา 46  ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำ
พิพากษาคดีส่วนอาญา
	มาตรา 47  คำพิพากษาส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วย
ความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำ
ความผิดหรือไม่
	ราคาทรัพย์สินที่สั่งให้จำเลยใช้แก่ผู้เสียหาย ให้ศาลกำหนดตามราคาอันแท้จริง ส่วน
จำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนอย่างอื่นที่ผู้เสียหายจะได้รับนั้น ให้ศาลกำหนดให้ตามความเสียหาย
แต่ต้องไม่เกินคำขอ
	"แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2548"
	มาตรา 48  เมื่อศาลพิพากษาให้คืนทรัพย์สิน แต่ยังไม่ปรากฏตัวเจ้าของ เมื่อใดปรากฏตัว
เจ้าของแล้วให้เจ้าหน้าที่ซึ่งรักษาของคืนของนั้นให้แก่เจ้าของไป
	ในกรณีที่ปรากฏตัวเจ้าของ ให้ศาลพิพากษาสั่งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งรักษาของ คืนของนั้นให้แก่
เจ้าของไป
	เมื่อมีการโต้แย้งกัน ให้บุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของอันแท้จริงในทรัพย์สินนั้นฟ้องเรียกร้อง
ยังศาลที่มีอำนาจชำระ
	มาตรา 49  แม้จะไม่มีฟ้องคดีส่วนแพ่งก็ตาม   เมื่อพิพากษาคดีส่วนอาญา  ศาลจะสั่งให้คืน
ทรัพย์สินของกลางแก่เจ้าของก็ได้
	มาตรา 50  ในกรณีที่ศาลสั่งให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน หรือค่าสินไหมทดแทน
แก่ผู้เสียหายตามมาตรา 43 มาตรา 44 หรือมาตรา 44/1 ให้ถือว่าผู้เสียหายนั้นเป็นเจ้าหนี้ตาม
คำพิพากษา
	"แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2548"
	มาตรา 51  ถ้าไม่มีผู้ใดฟ้องทางอาญา สิทธิของผู้เสียหายที่จะฟ้องทางแพ่งเนื่องจาก
ความผิดนั้นย่อมระงับสิ้นไปตามกำหนดเวลาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาอาญาเรื่องอายุความ
ฟ้องคดีอาญา แม้ถึงว่าผู้เยาว์ และผู้วิกลจริตในมาตรา 193/20 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จะเป็นผู้ฟ้องหรือได้ฟ้องต่างหากจากคดีอาญาก็ตาม
	ถ้าคดีอาญาใดได้ฟ้องต่อศาลและได้ตัวผู้กระทำผิดมาศาลด้วยแล้ว แต่คดียังไม่เด็ดขาด
อายุความซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิที่จะฟ้องคดีแพ่งย่อมสะดุดหยุดลงตามมาตรา 95 แห่งแห่งประมวล
กฎหมายอาญา
	ถ้าโจทก์ได้ฟ้องคดีอาญาและศาลพิพากษาลงโทษจำเลยจนคดีเด็ดขาดแล้วก่อนที่ได้
ฟ้องคดีแพ่ง สิทธิของผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีแพ่งย่อมมีกำหนดอายุความในมาตรา 193/32 แห่ง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
	ถ้าโจทก์ฟ้องคดีอาญาและศาลพิพากษายกฟ้องปล่อยจำเลยจนคดีเด็ดขาดแล้วก่อนที่ได้
ยื่นฟ้องคดีแพ่ง สิทธิของผู้เสียหายจะฟ้องคดีแพ่งย่อมมีอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์
	"แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2548"
	มาตรา 52  การที่จะให้บุคคลใดมาที่พนักงานสอบสวนหรือมาที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือ
ตำรวจชั้นผู้ใหญ่หรือมาศาลเนื่องในการสอบสวน การไต่สวนมูลฟ้อง  การพิจารณาคดี หรือการอย่างอื่น
ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  จักต้องมีหมายเรียกของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานฝ่าย
ปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่หรือของศาล แล้วแต่กรณี
	แต่ในกรณีที่พนักงานสอบสวน หรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ไปทำการ
สอบสวนด้วยตนเอง ย่อมมีอำนาจที่จะเรียกผู้ต้องหาหรือพยานมาได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียก
	มาตรา 53  หมายเรียกต้องทำเป็นหนังสือ และมีข้อความดั่งต่อไปนี้
	(1)  สถานที่ออกหมาย
	(2)  วันเดือนปีที่ออกหมาย
	(3)  ชื่อและตำบลที่อยู่ของบุคคลที่ออกหมายเรียกให้มา
	(4)  เหตุที่ต้องเรียกผู้นั้นมา
	(5)  สถานที่ วันเดือนปีและเวลาที่จะให้ผู้นั้นไปถึง
	(6)  ลายมือชื่อและประทับตราของศาล หรือลายมือชื่อ และตำแหน่งเจ้าพนักงานผู้ออก
หมาย
	มาตรา 54  ในการกำหนดวันและเวลาที่จะให้มาตามหมายเรียกนั้น ให้พึงระลึกถึงระยะทาง
ใกล้ไกลเพื่อให้ผู้ถูกเรียกมีโอกาสมาถึงตามวันเวลากำหนดในหมาย
	มาตรา 55  การส่งหมายเรียกแก่ผู้ต้องหา   จะส่งให้แก่บุคคลผู้อื่นซึ่งมิใช่  สามีภริยา  ญาติหรือ
ผู้ปกครองของผู้รับหมายรับแทนนั้นไม่ได้
	"มาตรา 55/1 ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ถ้าศาลมีคำสั่งให้ออกหมายเรียกพยานโจทก์
โดยมิได้กำหนดวิธีการส่งไว้ ให้พนักงานอัยการมีหน้าที่ดำเนินการให้หัวหน้าพนักงานสอบสวนแห่ง
ท้องที่เป็นผู้จัดส่งหมายเรียกแก่พยานและติดตามพยานโจทก์มาศาลตามกำหนดนัดแล้วแจ้งผลการส่ง
หมายเรียกไปยังศาลและพนักงานอัยการโดยเร็ว หากปรากฏว่าพยานโจทก์มีเหตุขัดข้องไม่อาจมา
ศาลได้ หรือเกรงว่าจะเป็นการยากที่จะนำพยานนั้นมาสืบตามที่ศาลนัดไว้ ก็ให้พนักงานอัยการ
ขอให้ศาลสืบพยานนั้นไว้ล่วงหน้าตามมาตรา 173/2 วรรคสอง
	เจ้าพนักงานผู้ส่งหมายเรียกมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรม
กำหนด โดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
	**มาตรา 55/1 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 56  เมื่อบุคคลที่รับหมายเรียกอยู่ต่างท้องที่กับท้องที่ซึ่งออกหมาย เป็นหมายศาลก็ให้
ส่งไปศาล เป็นหมายพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจที่มีอำนาจออกหมายเรียกซึ่งผู้ถูกเรียกอยู่ในท้องที่
เมื่อศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้รับหมายเช่นนั้นแล้วก็ให้สลักหลังหมายแล้วจัดการ
ส่งแก่ผู้รับต่อไป
	มาตรา 57  ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในมาตรา 78 มาตรา 79 และมาตรา 80 และ
มาตรา 92 และมาตรา 94 แห่งประมวลกฎหมายนี้ จะจับ ขัง จำคุก หรือค้นในที่รโหฐานหาตัว
คนหรือสิ่งของ ต้องมีคำสั่งหรือหมายของศาลสำหรับการนั้น
	บุคคลซึ่งต้องขังหรือจำคุกตามหมายศาล จะปล่อยไปได้ก็เมื่อมีหมายปล่อยของศาล
	“แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 58  ศาลมีอำนาจออกคำสั่งหรือหมายอาญาได้ภายในเขตอำนาจตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 59  ศาลจะออกคำสั่งหรือหมายจับ หมายค้น หรือหมายขัง ตามที่ศาลเห็นสมควร
หรือโดยมีผู้ร้องขอก็ได้
	ในกรณีที่ผู้ร้องขอเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ต้องเป็นพนักงานฝ่ายปกครอง
ตั้งแต่ระดับสามหรือตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ร้อยตำรวจตรีหรือเทียบเท่าขึ้นไป
	ในกรณีจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งมีเหตุอันควรโดยผู้ร้องขอไม่อาจไปพบศาลได้ ผู้ร้องขออาจร้อง
ขอต่อศาลทางโทรศัพท์ โทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่นที่
เหมาะสมเพื่อขอให้ศาลออกหมายจับหรือหมายค้นก็ได้ ในกรณีเช่นนี้เมื่อศาลสอบถามจนปรากฏ
ว่ามีเหตุที่จะออกหมายจับหรือหมายค้นได้ตามมาตรา 59/1 และมีคำสั่งให้ออกหมายนั้นแล้ว ให้
จัดส่งสำเนาหมายเช่นว่านี้ไปยังผู้ร้องขอโดยทางโทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อเทคโนโลยี
สารสนเทศประเภทอื่น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
	เมื่อได้มีการออกหมายตามวรรคสามแล้ว ให้ศาลดำเนินการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขอหมาย
มาพบศาลเพื่อสาบานตัวโดยไม่ชักช้า โดยจดบันทึกถ้อยคำของบุคคลดังกล่าวและลงลายมือชื่อของศาล
ผู้ออกหมายไว้ หรือจะใช้เครื่องบันทึกเสียงก็ได้ โดยจัดให้มีการถอดเสียงเป็นหนังสือ และลงลายมือชื่อ
ของศาลผู้ออกหมาย บันทึกที่มีการลงลายมือชื่อรับรองดังกล่าวแล้ว ให้เก็บไว้ในสารบบของศาล หาก
ความปรากฏต่อศาลในภายหลังว่าได้มีการออกหมายไปโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ศาลอาจ
มีคำสั่งให้เพิกถอนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงหมายเช่นว่านั้นได้ ทั้งนี้ ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ร้องขอจัดการ
แก้ไขเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องตามที่เห็นสมควรก็ได้
	"มาตรา 59/1 ก่อนออกหมาย จะต้องปรากฏพยานหลักฐานตามสมควรที่ทำให้ศาลเชื่อได้
ว่ามีเหตุที่จะออกหมายตามมาตรา 66 มาตรา 69 หรือมาตรา 71
	คำสั่งศาลให้ออกหมายหรือยกคำร้อง จะต้องระบุเหตุผลของคำสั่งนั้นด้วย
	หลักเกณฑ์ในการยื่นคำร้องขอ การพิจารณา รวมทั้งการออกคำสั่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉบับที่ 22
พ.ศ. 2547”
	มาตรา 60  หมายจับ หมายค้น หมายขัง หมายจำคุก หรือหมายปล่อย ต้องทำเป็นหนังสือ
และมีข้อความดังต่อไปนี้
	(1) สถานที่ที่ออกหมาย
	(2) วันเดือนปีที่ออกหมาย
	(3) เหตุที่ต้องออกหมาย
	(4) (ก) ในกรณีออกหมายจับ ต้องระบุชื่อหรือรูปพรรณของบุคคลที่จะถูกจับ
	(ข) ในกรณีออกหมายขัง หมายจำคุก หรือหมายปล่อย ต้องระบุชื่อบุคคลที่จะถูกขัง จำคุก หรือปล่อย
	(ค) ในกรณีออกหมายค้น ให้ระบุสถานที่ที่จะค้น และชื่อหรือรูปพรรณบุคคล หรือ
ลักษณะสิ่งของที่ต้องการค้น กำหนดวันเวลาที่จะทำการค้นและชื่อกับตำแหน่งของเจ้าพนักงานผู้จะ
ทำการค้นนั้น
	(5) (ก) ในกรณีออกหมายจับ หมายขัง หรือหมายค้น ให้ระบุความผิด หรือวิธีการเพื่อความ
ปลอดภัย
	 (ข) ในกรณีออกหมายจำคุก ให้ระบุความผิดและกำหนดโทษตามคำพิพากษา
	 (ค)  ในกรณีออกหมายขังหรือหมายจำคุก ให้ระบุสถานที่ที่จะให้ขังหรือจำคุก
	 (ง)  ในกรณีออกหมายปล่อย ให้ระบุเหตุที่จะปล่อย
	(6) ลายมือชื่อและตราประทับของศาล
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 61  ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 97 พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจมีอำนาจหน้าที่
จัดการให้เป็นไปตามหมายอาญา ซึ่งได้มอบหรือส่งมาให้จัดการภายในอำนาจของเขา
	หมายอาญาใดซึ่งศาลได้ออก จะมอบหรือส่งไปยังพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งอยู่
ภายในเขตอำนาจของศาลดั่งระบุในหมาย หรือแก่หัวหน้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจประจำ
จังหวัด อำเภอ กิ่งอำเภอ หรือตำบล ซึ่งจะให้จัดการให้เป็นไปตามหมายนั้นก็ได้
	ในกรณีหลัง เจ้าพนักงานผู้ได้รับหมาย ต้องรับผิดชอบในการจัดการตามหมายนั้น จะ
จัดการเองหรือสั่งให้เจ้าพนักงานรองลงไปจัดการให้ก็ได้ หรือจะมอบหรือส่งสำเนาหมายอนรับรอง
ว่าถูกต้องให้แก่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจคนอื่น ซึ่งมีหน้าที่จัดการตามหมายซึ่งตนได้รับนั้น
ก็ได้ ถ้าหมายนั้นได้มอบหรือส่งให้แก่เจ้าพนักงานตั้งแต่สองนายขึ้นไป เจ้าพนักงานจะจัดการตาม
หมายนั้นแยกกันหรือรวมกันก็ได้”
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 62  ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ซึ่งว่าด้วยการจับและค้น
เจ้าพนักงานผู้จัดการตามหมายนั้นต้องแจ้งข้อความในหมายให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทราบ  และถ้ามี
คำขอร้อง ให้ส่งหมายนั้นให้เขาตรวจดู
	การแจ้งข้อความในหมาย  การส่งหมายให้ตรวจดูและวัน เดือน ปี ที่จัดการเช่นนั้น
ให้บันทึกไว้ในหมายนั้น
	มาตรา 63  เมื่อเจ้าพนักงานได้จัดการตามหมายอาญาแล้ว ให้บันทึกรายละเอียดในการจัดการนั้น 
ถ้าจัดการตามหมายไม่ได้ ให้บันทึกพฤติการณ์ไว้ แล้วให้ส่งบันทึกไปยังศาลซึ่งออกหมายโดยเร็ว
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 64  ถ้าบุคคลที่มีชื่อในหมายอาญาถูกจับ หรือบุคคลหรือสิ่งของที่มีหมายให้ค้นได้ค้นพบแล้ว 
ถ้าสามารถจะทำได้  ก็ให้ส่งบุคคลหรือสิ่งของนั้นโดยด่วนไปยังศาลซึ่งออกหมายหรือเจ้าพนักงานตาม
ที่กำหนดไว้ในหมาย แล้วแต่กรณี เว้นแต่จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 65  ถ้าบุคคลที่ถูกจับตามหมายหลบหนีหรือมีผู้ช่วยให้หนีไปได้  เจ้าพนักงาน
ผู้จับมีอำนาจติดตามจับกุมผู้นั้นโดยไม่ต้องมีหมายอีก

	ส่วนที่ 2
	หมายจับ

	มาตรา 66 เหตุที่จะออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้
	(1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญา ซึ่งมีอัตราโทษ
อย่างสูงตั้งแต่สามปี หรือ
	(2)  เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญา และมีเหตุอันควรเชื่อ
ว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น
	 (3) เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งไม่ได้ถูกควบคุมหรือขังอยู่ไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัด
ถ้าบุคคลนั้นไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัด โดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควร
ให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นจะหลบหนี
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 67  จะออกหมายจับบุคคลที่ยังไม่รู้จักชื่อก็ได้  แต่ต้องบอกรูปพรรณของผู้นั้นให้ละเอียดเท่าที่จะทำได้
	มาตรา 68  หมายจับคงใช้ได้อยู่จนกว่าจะจับได้ เว้นแต่ความผิดอาญาตามหมายนั้นขาดอายุความ
หรือศาลผู้ออกหมายนั้นได้ถอนหมายคืน
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”

	ส่วนที่ 3
	หมายค้น

	มาตรา 69  เหตุที่จะออกหมายค้นได้มีดั่งต่อไปนี้
	(1)  เพื่อพบและยึดสิ่งของซึ่งจะเป็นพยานหลักฐานประกอบการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง
หรือพิจารณา
	(2)  เพื่อพบและยึดสิ่งของซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยผิดกฎหมาย หรือมีเหตุอัน
ควรสงสัยว่าได้ใช้หรือตั้งใจจะใช้ในการกระทำความผิด
	(3)  เพื่อพบและช่วยบุคคลซึ่งได้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
	(4)  เพื่อพบบุคคลซึ่งมีหมายให้จับ
	(5)  เพื่อพบและยึดสิ่งของตามคำพิพากษาหรือตามคำสั่งศาล ในกรณีที่จะพบหรือจะยึด
โดยวิธีอื่นไม่ได้แล้ว
	มาตรา 70  หมายค้นซึ่งออกเพื่อพบและจับบุคคลนั้นห้ามมิให้ออก เว้นแต่จะมีหมายจับบุคคลนั้นด้วย
และเจ้าพนักงานซึ่งจะจัดการตามหมายค้นนั้นต้องมีทั้งหมายค้นและหมายจับ

	ส่วนที่ 4
	หมายขัง  หมายจำคุก  หมายปล่อย

	มาตรา 71  เมื่อได้ตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยมาแล้ว ในระยะใดระหว่าง สอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือ
พิจารณา ศาลจะออกหมายขังผู้ต้องหาหรือจำเลยไว้ตามมาตรา 87 หรือ มาตรา 88 ก็ได้  และให้นำบทบัญญัติในมาตรา 66 มาใช้โดยอนุโลม
	หมายขังคงใช้ได้อยู่จนกว่าศาลจะได้เพิกถอน โดยออกหมายปล่อย  หรือออกหมายจำคุก
แทนถ้าความปรากฏแก่ศาลว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้น มีอายุไม่ถึงสิบแปดปีหรือเป็นหญิงมีครรภ์
หรือเพิ่งคลอดบุตรมาไม่ถึงสามเดือน หรือเจ็บป่วย ซึ่งถ้าต้องขังจะถึงอันตรายแก่ชีวิต ศาลจะไม่ออก
หมายขังหรือจะออกหมายปล่อยผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งถูกขังอยู่นั้นก็ได้ แต่ทั้งนี้ไม่ห้ามศาลที่จะมีคำสั่ง
ให้ผู้นั้นอยู่ในความดูแลของเจ้าพนักงานหรือบุคคลที่ยินยอมรับผู้นั้นไว้ หรือกำหนดวิธีการอย่างหนึ่ง
อย่างใด เพื่อป้องกันการหลบหนีหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ถ้าศาลมีคำสั่งเช่นว่านี้ในระหว่าง
สอบสวนให้ใช้ได้ไม่เกินหกเดือนนับแต่วันมีคำสั่ง แต่ถ้ามีคำสั่งในระหว่างไต่สวนมูลฟ้องหรือ
ระหว่างพิจารณา ให้ใช้ได้จนกว่าจะเสร็จ
	การพิจารณา หากภายหลังที่ศาลมีคำสั่ง ผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นไม่ปฏิบัติตามวิธีการที่
กำหนดหรือพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือพิจารณาออกหมาย
ขังได้ตามที่เห็นสมควร
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 72  หมายปล่อยผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งต้องขังอยู่ตามหมายศาล ให้ออกในกรณีต่อไปนี้
	(1)  เมื่อศาลสั่งปล่อยชั่วคราว
	(2)  เมื่อพนักงานอัยการ หรือพนักงานสอบสวนขอให้ศาลปล่อยโดยเห็นว่าไม่จำเป็นต้อง
ขังไว้ระหว่างสอบสวน
	(3)  เมื่อพนักงานอัยการร้องต่อศาลว่าได้ยุติการสอบสวนแล้ว  โดยคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา
	(4)  เมื่อพนักงานอัยการไม่ฟ้องผู้ต้องหาในเวลาที่ศาลกำหนด
	(5) เมื่อศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูลและสั่งให้ยกฟ้อง เว้นแต่เมื่อโจทก์ร้องขอ
และศาลเห็นสมควรให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์ฎีกา
	(6)  เมื่อโจทก์ถอนฟ้องหรือมีการยอมความในคดีความผิดต่อส่วนตัว  หรือเมื่อศาล
พิจารณาแล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ยกฟ้อง  เว้นแต่ศาลเห็นสมควรให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์ฎีกา
	(7)  เมื่อศาลพิพากษาให้ลงโทษจำเลยอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่โทษประหารชีวิต จำคุกหรือให้อยู่
ภายในเขตที่อันมีกำหนด  ถ้าโทษอย่างอื่นนั้นเป็นโทษปรับ  เมื่อจำเลยได้เสียค่าปรับแล้ว  หรือศาล
ให้ปล่อยชั่วคราวโดยมีกำหนดวันเพื่อให้จำเลยหาเงินค่าปรับมาชำระต่อศาล
	มาตรา 73  คดีใดอยู่ระหว่างอุทธรณ์ฎีกา  ถ้าจำเลยต้องควบคุมหรือขังมาแล้วเท่ากับหรือ
เกินกว่ากำหนดจำคุก หรือกำหนดจำคุกแทนตามคำพิพากษา ให้ศาลออกหมายปล่อยจำเลย เว้นแต่จะเห็น
สมควรเป็นอย่างอื่นในกรณีที่โจทก์อุทธรณ์ฎีกาในทำนองขอให้เพิ่มโทษ
	มาตรา 74  ภายใต้บังคับแห่ง มาตรา 73 และ 185 วรรค 2  เมื่อผู้ใดต้องคำพิพากษาให้จำคุกหรือ
ประหารชีวิตหรือจะต้องจำคุกแทนค่าปรับให้ศาลออกหมายจำคุกผู้นั้นไว้
	มาตรา 75  เมื่อผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุกถูกจำครบกำหนดแล้ว  หรือได้รับพระราชทานอภัยโทษ
ให้ปล่อย หรือมีคำวินิจฉัยให้ปล่อยตัวไปโดยมีเงื่อนไข หรือมีกฎหมายยกเว้นโทษหรือโทษจำคุก
นั้นหมดไปโดยเหตุอื่น  ให้ศาลออกหมายปล่อยผู้นั้นไป
	มาตรา 76  หมายขัง หมายจำคุก หรือหมายปล่อย ต้องจัดการตามนั้นโดยพลัน

	ลักษณะ 5
	จับ  ขัง  จำคุก  ค้น  ปล่อยชั่วคราว
	หมวด 1
	จับ  ขัง  จำคุก

	มาตรา 77  หมายจับใช้ได้ทั่วราชอาณาจักร
	  การจัดการตามหมายจับนั้นจะจัดการตามหลักฐานหรือเอกสารอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ก็ได้
	(1) สำเนาหมายอันรับรองว่าถูกต้องแล้ว
	(2) โทรเลขแจ้งว่าได้ออกหมายแล้ว
	(3) สำเนาหมายที่ส่งทางโทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่น
	ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
	การจัดการตาม (2) และ (3) ให้ส่งหมายหรือสำเนาอันรับรองแล้วไปยังเจ้าหน้าที่ผู้จัดการ
ตามหมายโดยพลัน
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 78  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาล
นั้นไม่ได้ เว้นแต่
	(1)  เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดั่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 80
	(2)  เมื่อพบบุคคลโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่า ผู้นั้นน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตราย
แก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมีเครื่องมือ  อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการ
กระทำความผิด
	(3)  เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้น ตามมาตรา 66 (2) แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่
ไม่อาจรอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้ อันควรสงสัยว่าผู้นั้นได้กระทำความผิดมาแล้วและจะหลบหนี
	(4) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราว
ตามมาตรา 117
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 79  ราษฎรจะจับผู้อื่นไม่ได้เว้นแต่จะเข้าอยู่ในเกณฑ์แห่ง มาตรา 82 หรือเมื่อผู้นั้น
กระทำความผิดซึ่งหน้า และความผิดนั้นได้ระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายนี้ด้วย
	มาตรา 80  ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น  ได้แก่ ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำ หรือพบ
ในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้วสดๆ
	อย่างไรก็ดีความผิดอาญาดั่งระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายนี้  ให้ถือว่าความผิดนั้น
เป็นความผิดซึ่งหน้าในกรณีดั่งนี้
	(1)  เมื่อบุคคลหนึ่งถูกไล่จับดั่งผู้กระทำโดยมีเสียงร้องเอะอะ
	(2)  เมื่อพบบุคคลหนึ่งแทบจะทันทีทันใดหลังจากการกระทำผิด ในถิ่นแถวใกล้เคียงกับที่
เกิดเหตุนั้นและมีสิ่งของที่ได้มาจากการกระทำผิด หรือมีเครื่องมืออาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นอัน
สันนิษฐานได้ว่าได้ใช้ในการกระทำผิด  หรือมีร่องรอยพิรุธเห็นประจักษ์ที่เสื้อผ้าหรือเนื้อตัวของผู้นั้น
	มาตรา 81  ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน  เว้นแต่จะได้ทำตาม
บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน
	"มาตรา 81/1 ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในพระบรมมหาราชวัง พระราชวัง
วังของพระรัชทายาทหรือของพระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป พระราชนิเวศน์ พระตำหนัก
หรือในที่ซึ่งพระมหากษัตริย์  พระราชินี พระรัชทายาท พระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป  หรือ
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ประทับหรือพำนัก เว้นแต่
	(1) นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย อนุญาตให้จับ และให้แจ้ง
เลขาธิการพระราชวัง หรือสมุหราชองครักษ์รับทราบแล้ว
	(2) เจ้าพนักงานผู้ถวายหรือให้ความปลอดภัยแก่พระมหากษัตริย์  พระราชินี พระรัชทายาท
พระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป  หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นผู้จับตามกฎหมาย
ว่าด้วยราชองค์รักษ์ หรือตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบเกี่ยวกับการให้ความปลอดภัย
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 82  เจ้าพนักงานผู้จัดการตามหมายจับ  จะขอความช่วยเหลือจากบุคคลใกล้เคียงเพื่อ
จัดการตามหมายนั้นก็ได้ แต่จะบังคับให้ผู้ใดช่วยโดยอาจเกิดอันตรายแก่เขานั้นไม่ได้
	มาตรา 83  ในการจับนั้น เจ้าพนักงานหรือราษฎรซึ่งทำการจับต้องแจ้งแก่ผู้ที่จะถูกจับ
นั้นว่าเขาต้องถูกจับ แล้วสั่งให้ผู้ถูกจับไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับ
พร้อมด้วยผู้จับ เว้นแต่สามารถนำไปที่ทำการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบได้ในขณะนั้น
ให้นำไปที่ทำการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบดังกล่าว แต่ถ้าจำเป็นก็ให้จับตัวไป
	ในกรณีที่เจ้าพนักงานเป็นผู้จับ ต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับทราบ หากมีหมายจับให้
แสดงต่อผู้ถูกจับ พร้อมทั้งแจ้งด้วยว่า ผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือให้การก็ได้ และถ้อยคำของ
ผู้ถูกจับนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ และผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะพบและปรึกษา
ทนายความ หรือผู้ซึ่งจะเป็นทนายความ ถ้าผู้ถูกจับประสงค์จะแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจ
ทราบถึงการจับกุมที่สามารถดำเนินการได้โดยสะดวกและไม่เป็นการขัดขวางการจับหรือการ
ควบคุมผู้ถูกจับดำเนินการได้ตามสมควรแก่กรณี ในการนี้ให้เจ้าพนักงานผู้จับนั้นบันทึกการจับ
ดังกล่าวไว้ด้วย
	ถ้าบุคคลซึ่งจะถูกจับขัดขวางหรือจะขัดขวางการจับ หรือหลบหนี หรือพยายามจะหลบหนี
ผู้ทำการจับมีอำนาจใช้วิธีหรือความป้องกันทั้งหลายเท่าที่เหมาะแก่พฤติการณ์แห่งเรื่องในการจับนั้น
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 84  เจ้าพนักงานหรือราษฎรผู้ทำการจับต้องเอาตัวผู้ถูกจับไปยังที่ทำการของพนักงาน
สอบสวนตามมาตรา 83 โดยทันที และเมื่อถึงที่นั้นแล้ว ให้ส่งตัวผู้ถูกจับแก่พนักงานฝ่ายปกครอง หรือ
ตำรวจของที่ทำการของพนักงานสอบสวนดังกล่าว เพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
	(1) ในกรณีที่เจ้าพนักงานเป็นผู้จับ ให้เจ้าพนักงานผู้จับนั้นแจ้งข้อกล่าวหา และรายละเอียด
เกี่ยวกับเหตุแห่งการจับให้ผู้ถูกจับทราบ ถ้ามีหมายจับให้แจ้งให้ผู้ถูกจับทราบและอ่านให้ฟังและมอบ
สำเนาบันทึกการจับกุมแก่ผู้ถูกจับนั้น
	(2) ในกรณีที่ราษฎรเป็นผู้จับ ให้พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจซึ่งรับมอบตัวบันทึกชื่อ
อาชีพ ที่อยู่ของผู้จับ อีกทั้งข้อความและพฤติการณ์แห่งการจับนั้นไว้ แล้วให้ผู้จับลงลายมือชื่อกำกับไว้
เป็นสำคัญ เพื่อดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาและรายละเอียดแห่งการจับให้ผู้ถูกจับทราบ และแจ้งให้ผู้ถูก
จับทราบด้วยว่า ผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือให้การก็ได้ และถ้อยคำของผู้ถูกจับอาจใช้เป็น
พยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
	เมื่อได้ดำเนินการตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ ซึ่งมีผู้นำ
ผู้ถูกจับมาส่งแจ้งให้ผู้ถูกจับทราบถึงสิทธิที่กำหนดไว้ในมาตรา 7/1 รวมทั้งจัดให้ผู้ถูกจับสามารถ
ติดต่อกับญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับไว้วางใจเพื่อแจ้งให้ทราบถึงการจับกุมและสถานที่ที่ถูกควบคุมได้
ในโอกาสแรก
	เมื่อผู้ถูกจับมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนตามวรรคหนึ่ง หรือถ้ากรณีผู้ถูกจับ
ร้องขอให้พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจเป็นผู้แจ้ง ก็ให้จัดการตามคำร้องขอนั้นโดยเร็ว และ
ให้พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจบันทึกไว้ ในการนี้มิให้เรียกค่าใช้จ่ายใด ๆ จากผู้ถูกจับ
	ในกรณีที่จำเป็น เจ้าพนักงานหรือราษฎรซึ่งทำการจับจะจัดการพยาบาลผู้ถูกจับเสียก่อน
นำตัวไปส่งตามมาตรานี้ก็ได้
	ถ้อยคำใด ๆ ที่ผู้ถูกจับให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับ หรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ
ในชั้นจับกุมหรือรับมอบตัวผู้ถูกจับ ถ้าถ้อยคำนั้นเป็นคำรับสารภาพของผู้ถูกจับว่าตนได้กระทำ
ความผิด ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน แต่ถ้าเป็นถ้อยคำอื่น จะรับฟังเป็นพยานหลักฐาน
ในการพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับได้ต่อเมื่อได้มีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือตามมาตรา 83
วรรคสอง แก่ผู้ถูกจับ แล้วแต่กรณี	
	"มาตรา 84/1 พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งมีผู้นำผู้ถูกจับมาส่งนั้น จะปล่อยให้
ผู้ถูกจับชั่วคราว  หรือควบคุมผู้ถูกจับไว้ก็ได้ แต่ถ้าเป็นการจับกุมโดยมีหมายของศาลให้รีบดำเนินการ
ตามมาตรา 64 และในกรณีที่ต้องส่งผู้ถูกจับไปยังศาล แต่ไม่อาจส่งไปได้ในขณะนั้น เนื่องจาก
เป็นเวลาที่ศาลปิดหรือใกล้จะปิดทำการ ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่รับตัวผู้ถูกจับไว้
มีอำนาจปล่อยผู้ถูกจับชั่วคราวหรือควบคุมผู้ถูกจับไว้ได้จนกว่าจะถึงเวลาศาลเปิดทำการ
	**มาตรา 84/1 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 85  เจ้าพนักงานผู้จับหรือรับตัวผู้ถูกจับไว้ มีอำนาจค้นตัวผู้ต้องหา และยึดสิ่งของ
ต่างๆ ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้   การค้นนั้นจักต้องทำโดยสุภาพ ถ้าค้นผู้หญิงให้หญิงอื่นเป็นผู้ค้น
	สิ่งของใดที่ยึดไว้ เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วก็ให้คืนแก่
ผู้ต้องหาหรือแก่ผู้อื่น ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของนั้น เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น
	"มาตรา 85/1 ในระหว่างสอบสวน สิ่งของที่เจ้าพนักงานได้ยึดไว้ซึ่งมิใช่ทรัพย์สิน
ที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ถ้ายังไม่ได้นำสืบหรือแสดงเป็นพยานหลักฐาน
ในการพิจารณาคดี เจ้าของหรือผู้ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของที่เจ้าพนักงานยึดไว้ อาจยื่นคำร้องต่อ
พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี เพื่อขอรับสิ่งของนั้นไปดูแลรักษาหรือ
ใช้ประโยชน์โดยไม่มีประกัน หรือมีประกัน หรือมีประกันและหลักประกันก็ได้
	การสั่งคืนสิ่งของตามวรรคหนึ่งจะต้องไม่กระทบถึงการใช้สิ่งของนั้นเป็นพยานหลักฐานเพื่อ
พิสูจน์ข้อเท็จจริงในภายหลัง ทั้งนี้ ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งโดยมิชักช้า โดยอาจเรียก
ประกันจากผู้ยื่นคำร้องหรือกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดให้บุคคลนั้นปฏิบัติ และหากไม่ปฏิบัติตาม
เงื่อนไขหรือบุคคลดังกล่าวไม่ยอมคืนสิ่งของนั้นเมื่อมีคำสั่งให้คืน ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงาน
อัยการ แล้วแต่กรณี มีอำนาจยึดสิ่งของนั้นกลับคืนและบังคับตามสัญญาประกันเช่นว่านั้นได้ วิธีการ
ยื่นคำร้อง เงื่อนไขและการอนุญาตให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
	ในกรณีที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่อนุญาต ผู้ยื่นคำร้องมีสิทธิยื่น
คำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวได้ภายในสามสิบวันนับแต่
วันที่ได้รับแจ้งการไม่อนุญาตและให้ศาลพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับ
อุทธรณ์ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาต ศาลอาจเรียกประกันหรือกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดได้
ตามที่เห็นสมควร คำสั่งของศาลให้เป็นที่สุด”
	*มาตรา 85/1 เพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2550
	มาตรา 86  ห้ามมิให้ใช้วิธีควบคุมผู้ถูกจับเกินกว่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันมิให้เขาหนีเท่านั้น
	มาตรา 87  ห้ามมิให้ควบคุมผู้ถูกจับไว้เกินกว่าจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดี
	ในกรณีซึ่งเป็นความผิดลหุโทษ จะควบคุมผู้ถูกจับไว้ได้เท่าเวลาที่จะถามคำให้การ และ
ที่จะรู้ตัวว่าเป็นใครและที่อยู่ของเขาอยู่ที่ไหนเท่านั้น
	ในกรณีที่ผู้ถูกจับไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราว และมีเหตุจำเป็นเพื่อทำการสอบสวน
หรือการฟ้องคดี ให้นำตัวผู้ถูกจับไปศาลภายในสี่สิบแปดชั่วโมง นับแต่เวลาที่ผู้ถูกจับมาถึงที่
ทำการของพนักงานสอบสวน ตามมาตรา 83 เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งอัน
มิอาจก้าวล่วงเสียได้ โดยให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลขอ
หมายจับผู้ต้องหานั้นไว้
	ให้ศาลสอบถามผู้ต้องหาว่า จะมีข้อคัดค้านประการใดหรือไม่ และศาลอาจเรียก
พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมาชี้แจงเหตุจำเป็น หรืออาจเรียกพยานหลักฐานมาเพื่อ
ประกอบการพิจารณาก็ได้
	ในกรณีในกรณีความผิดอาญาที่ได้กระทำลงมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินหกเดือน
หรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  ศาลมีอำนาจสั่งขังได้ครั้งเดียวมีกำหนดไม่เกินเจ็ดวัน
	ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่าหกเดือนแต่ไม่ถึงสิบปี  หรือ
ปรับเกินกว่าห้าร้อยบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติดๆ กันได้  แต่ครั้งหนึ่ง
ต้องไม่เกินสิบสองวัน และรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินสี่สิบแปดวัน
	ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป  จะมีโทษปรับด้วย
หรือไม่ก็ตาม ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติดๆ กันได้  แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกินสิบสองวัน และ
รวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินแปดสิบสี่วัน
	ในกรณีที่ตามวรรคหก เมื่อศาลสั่งขังครบสี่สิบแปดวันแล้ว  หากพนักงานอัยการ
หรือพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอขังต่อไปโดยอ้างเหตุจำเป็น  ศาลจะสั่งขังต่อ
ไปได้ก็ต่อเมื่อพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอขังต่อไปอีก
โดยอ้างเหตุจำเป็นศาลจะสั่งขังต่อไปได้ก็ต่อเมื่อพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวน
ได้แสดงถึงเหตุจำเป็น และนำพยานหลักฐานมาให้ศาลไต่สวนจนเป็นที่พอใจแก่ศาล
	ในการไต่สวนตามวรรคสามและวรรคเจ็ด ผู้ต้องหามีสิทธิแต่งทนายความเพื่อ
แถลงข้อคัดค้านและซักถามพยาน ถ้าผู้ต้องหาไม่มีทนายความเนื่องจากยังไม่ได้ปฏิบัติตาม
มาตรา 134/1 และผู้ต้องหาร้องขอให้ศาลตั้งทนายความให้ โดยทนายความนั้นมีสิทธิได้
รับเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 134/1 วรรคสาม โดยอนุโลม
	ถ้าพนักงานสอบสวน  ต้องไปทำการสอบสวน ในท้องที่อื่นนอกเขตของศาลซึ่งได้สั่งขัง
ผู้ต้องหาไว้ พนักงานสอบสวนจะยื่นคำร้องขอให้โอนการขังไปยังศาลในท้องที่ที่จะต้องไปทำการ
สอบสวนนั้นก็ได้ เมื่อศาลที่สั่งขังไว้เห็นเป็นการสมควรก็ให้สั่งโอนไป
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	“มาตรา 87/1 เมื่อพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนร้องขอและผู้ต้องหามิได้คัดค้าน
หากศาลเห็นสมควร ศาลอาจอนุญาตให้นำผู้ต้องหาหรือพยานหลักฐานไปยังสถานที่ทำการของ
ทางราชการ หรือสถานที่แห่งอื่นที่ศาลเห็นสมควรซึ่งสามารถสอบถามผู้ต้องหาหรือทำการไต่สวน
โดยจัดให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงในลักษณะการประชุมทางจอภาพได้ การดำเนินการดังกล่าว
ให้เป็นไปตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาและ
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ ทั้งนี้ ให้ระบุวิธีการสอบถามและไต่สวน รวมทั้ง
สักขีพยานในการนั้นด้วย
	การไต่สวนตามวรรคหนึ่งให้ถือเสมือนว่าเป็นการไต่สวนในห้องพิจารณาของศาล”
	*มาตรา 87/1 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 28 พ.ศ. 2551”
	มาตรา 88   คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ เมื่อศาลประทับฟ้องและได้ตัวจำเลยมาศาลแล้ว หรือคดีที่
พนักงานอัยการเป็นโจทก์เมื่อได้ยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ศาลจะสั่งขังจำเลยไว้หรือปล่อยชั่วคราวก็ได้
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 89  หมายขังหรือหมายจำคุกต้องจัดการให้เป็นไปตามนั้นในเขตของศาลซึ่งออกหมาย
เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น"
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 25)
พ.ศ. 2550
	“มาตรา 89/1 ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นระหว่างการสอบสวนหรือพิจารณา  เมื่อพนักงานสอบสวน
พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำ หรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายขังร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็น
สมควร ศาลจะมีคำสั่งให้ขังผู้ต้องหาหรือจำเลยไว้ในสถานที่อื่นตามที่บุคคลดังกล่าวร้องขอ  หรือตามที่ศาลเห็น
สมควรนอกจากเรือนจำก็ได้ โดยให้อยู่ในความควบคุมของผู้ร้องขอ หรือเจ้าพนักงานตามที่ศาลกำหนด ในการนี้
ศาลจะกำหนดระยะเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรก็ได้
	ในการพิจารณาเพื่อมีคำสั่งตามวรรคหนึ่ง ศาลจะดำเนินการไต่สวนหรือให้ผู้เสียหายหรือเจ้าพนักงาน
ที่เกี่ยวข้องตามหมายขังคัดค้านก่อนมีคำสั่งก็ได้
	สถานที่อื่นตามวรรคหนึ่งต้องมิใช่สถานีตำรวจ หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน
โดยมีลักษณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุมและมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนี
หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
	เมื่อศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว หากภายหลังผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือมาตรการ
ตามวรรคสามหรือพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือให้ดำเนินการตามหมายขังได้
	"มาตรา 89/2 ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น เมื่อพนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำ หรือเจ้าพนักงานผู้มี
หน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะมีคำสั่งให้จำคุกผู้ซึ่งต้องจำคุกตามคำพิพากษา
ถึงที่สุดที่ได้รับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของกำหนดโทษตามที่ระบุไว้ในหมายศาลที่ออกตามคำ
พิพากษานั้น หรือไม่น้อยกว่าสิบปี ในกรณีต้องโทษจำคุกเกินสามสิบปีขึ้นไปหรือจำคุกตลอดชีวิต โดยวิธีการอย่าง
หนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ก็ได้
	(1) ให้จำคุกไว้ในสถานที่อื่นตามที่บุคคลดังกล่าวร้องขอหรือตามที่ศาลเห็นสมควรนอกจากเรือนจำ
หรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุก ทั้งนี้ ลักษณะของสถานที่ดังกล่าวให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุมและมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
	(2) ให้จำคุกไว้เรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุกหรือสถานที่อื่นตาม (1) เฉพาะวันที่กำหนด
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
	(3) ให้จำคุกโดยวิธีการอื่นที่สามารถจำกัดการเดินทางและอาณาเขตของผู้นั้นได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ที่กำหนดในกฎกระทรวง
	ในการพิจารณาของศาลตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลคำนึงถึงฐานความผิด ความประพฤติ สวัสดิภาพของผู้ซึ่งต้อง
จำคุก ตลอดจนสวัสดิภาพและความปลอดภัยของผู้เสียหายและสังคมด้วย ทั้งนี้ ให้ศาลดำเนินการไต่สวนหรือสอบถาม
ผู้เสียหาย เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องตามหมายจำคุก พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในท้องที่นั้น หรือผู้ซึ่งศาลเห็นว่ามี
ส่วนเกี่ยวข้อง
	คำสั่งของศาลตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลกำหนดให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายนั้นเป็นผู้มีหน้าที่
และความรับผิดชอบในการดำเนินการตามคำสั่ง และให้นำความในมาตรา 89/1 วรรคสี่มาใช้บังคับโดยอนุโลม
	**มาตรา 89/1, 89/2 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 20)  พ.ศ. 2550
	มาตรา 90  เมื่อมีการอ้างว่าบุคคลใดต้องถูกคุมขังในคดีอาญา หรือในกรณีอื่นใดโดยมิชอบด้วย
กฎหมาย บุคคลเหล่านี้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลท้องที่ที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญาขอให้ปล่อย คือ
	(1)  ผู้ถูกคุมขังเอง
	(2)  พนักงานอัยการ
	(3)  พนักงานสอบสวน
	(4)  ผู้บัญชาการเรือนจำหรือพัศดี
	(5)  สามี ภริยา หรือญาติของผู้นั้น หรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกคุมขัง
	เมื่อได้รับคำร้องดั่งนั้น ให้ศาลดำเนินการไต่สวนฝ่ายเดียวโดยด่วน ถ้าศาลเห็นว่าคำร้องนั้น
มีมูล ศาลมีอำนาจสั่งผู้คุมขังให้นำตัวผู้ถูกคุมขังมาศาลโดยพลัน และถ้าผู้ถูกคุมขังแสดงให้เป็นที่
พอใจศาลไม่ได้ว่าการคุมขังเป็นการชอบด้วยกฎหมาย ให้ศาลสั่งปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังไปทันที
	**แก้ไขพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”

	หมวด 2
	ค้น

	มาตรา 91  ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 81/1 มาบังคับในเรื่องค้นโดยอนุโลม
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547
	มาตรา 92  ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งของศาล  เว้นแต่พนักงานฝ่าย
ปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้น และในกรณีต่อไปนี้
	(1)  เมื่อมีเสียงร้องให้ช่วยมาจากข้างในที่รโหฐาน หรือมีเสียงหรือพฤติการณ์อื่นใด
อันแสดงได้ว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นในที่รโหฐานนั้น
	(2)  เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้ากำลังกระทำลงในที่รโหฐาน
	(3)  เมื่อบุคคลที่ได้กระทำความผิดซึ่งหน้า ขณะที่ถูกไล่จับหนีเข้าไป หรือมีเหตุอันแน่น
แฟ้นควรสงสัยว่าได้เข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในที่รโหฐานนั้น
	 (4) เมื่อมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยการ
กระทำความผิดหรือได้ใช้หรือมีไว้เพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด หรืออาจเป็นพยานหลักฐาน
พิสูจน์การกระทำความผิดได้ซ่อนหรืออยู่ในนั้น ประกอบทั้งต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจาก
การเนิ่นช้า กว่าจะเอาหมายค้นมาได้ สิ่งของนั้นจะถูกโยกย้ายหรือทำลายเสียก่อน
	(5)  เมื่อที่รโหฐานนั้นผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และการจับนั้นมีหมายจับหรือจับตาม
มาตรา 78
	การใช้อำนาจตาม (4) ให้พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ส่งมอบสำเนา
บันทึกการตรวจค้นและบัญชีทรัพย์ที่ได้จากการตรวจค้น รวมทั้งจัดทำบันทึกแสดงเหตุผลที่ทำให้
สามารถเข้าค้นได้ เป็นหนังสือให้ไว้แก่ผู้ครอบครองสถานที่ที่ถูกตรวจค้น แต่ถ้าไม่มีผู้ครอบครอง
อยู่ ณ ที่นั้น ให้ส่งมอบหนังสือดังกล่าวแก่บุคคลเช่นว่านั้นในทันทีที่กระทำได้ และรีบรายงาน
เหตุผลและผลการตรวจค้นเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 93  ห้ามมิให้ทำการค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถาน  เว้นแต่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
เป็นผู้ค้นในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทำ
ความผิด หรือซึ่งได้มาโดยการกระทำความผิดหรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด
	มาตรา 94  ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่ทำการค้นในที่รโหฐานสั่งเจ้าของหรือคนอยู่ในนั้น
หรือผู้รักษาสถานที่ซึ่งจะค้นให้ยอมให้เข้าไปโดยมิหวงห้าม อีกทั้งให้ความสะดวกตามสมควรทุก
ประการในอันที่จะจัดการตามหมาย  ทั้งนี้ให้พนักงานผู้นั้นแสดงหมาย หรือถ้าค้นได้โดยไม่ต้องมี
หมาย  ก็ให้แสดงนามและตำแหน่ง
	ถ้าบุคคลดั่งกล่าวในวรรคต้นมิยอมให้เข้าไป เจ้าพนักงานมีอำนาจใช้ กำลังเพื่อเข้าไปใน
กรณีจำเป็นจะเปิดหรือทำลายประตูบ้าน  ประตูเรือน  หน้าต่าง รั้วหรือสิ่งกีดขวางอย่างอื่นทำนอง
เดียวกันนั้นก็ได้
	มาตรา 95  กรณีค้นหาสิ่งของที่หาย ถ้าพอทำได้   จะให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองสิ่งของนั้น
หรือผู้แทนของเขาไปกับเจ้าพนักงานในการค้นนั้นด้วยก็ได้
	มาตรา 96  การค้นในที่รโหฐานต้องกระทำระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก  มีข้อยกเว้น
ดังนี้
	(1)  เมื่อลงมือค้นแต่ในเวลากลางวัน ถ้ายังไม่เสร็จจะค้นต่อไปในเวลากลางคืนก็ได้
	(2)  ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง หรือซึ่งมีกฎหมายอื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ  จะทำการค้น
ในเวลากลางคืนก็ได้
	(3)  การค้นเพื่อจับผู้ดุร้ายหรือผู้ร้ายสำคัญจะทำในเวลากลางคืนก็ได้  แต่ต้องมีอนุญาต
พิเศษจากศาล ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
	มาตรา 97  ในกรณีที่ค้นโดยมีหมาย เจ้าพนักงานผู้มีชื่อในหมายค้นหรือผู้รักษาการแทน 
ซึ่งต้องเป็นพนักงานฝ่ายปกครองตั้งแต่ระดับสามหรือตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นร้อยตำรวจตรีขึ้นไปเท่านั้น
มีอำนาจเป็นหัวหน้าไปจัดการให้เป็นไปตามหมายนั้น
	**มาตรา 96 และ 97 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 98  การค้นที่รโหฐานนั้น จะค้นได้แต่เฉพาะเพื่อหาตัวคน หรือสิ่งของที่ต้องการค้น
เท่านั้น แต่มีข้อยกเว้นดั่งนี้
	(1)  ในกรณีที่ค้นหาสิ่งของโดยไม่จำกัดสิ่ง เจ้าพนักงานผู้ค้นมีอำนาจยึดสิ่งของใดๆ ซึ่ง
น่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อเป็นประโยชน์หรือยันผู้ต้องหา หรือจำเลย
	(2)  เจ้าพนักงานซึ่งทำการค้นมีอำนาจจับบุคคลหรือสิ่งของอื่นในที่ค้นนั้นได้ เมื่อมีหมาย
อีกต่างหาก หรือในกรณีความผิดซึ่งหน้า
	มาตรา 99  ในการค้นนั้น เจ้าพนักงานต้องพยายามมิให้มีการเสียหายและกระจัดกระจาย
เท่าที่จะทำได้
	มาตรา 100  ถ้ามีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลซึ่งอยู่ในที่ซึ่งค้นหรือจะถูกค้น จะขัดขวางถึงกับ
ทำให้การค้นไร้ผล  เจ้าพนักงานผู้ค้นมีอำนาจเอาตัวผู้นั้นควบคุมไว้ หรือให้อยู่ในความดูแลของเจ้าพนักงาน
ในขณะที่ทำการค้นเท่าที่จำเป็น เพื่อมิให้การขัดขวางถึงกับทำให้การค้นนั้นไร้ผล  ถ้ามีเหตุอันควร
สงสัยว่าบุคคลนั้นได้เอาสิ่งของที่ต้องการพบซุกซ่อนในร่างกาย เจ้าพนักงานผู้ค้นมีอำนาจค้นตัว
ผู้นั้นได้ดั่งบัญญัติไว้ตาม มาตรา 85
	มาตรา 101  สิ่งของซึ่งยึดได้ในการค้น ให้ห่อหรือบรรจุหีบห่อตีตราไว้ หรือให้ทำเครื่องหมาย
ไว้เป็นสำคัญ
	มาตรา 102  การค้นในที่รโหฐานนั้น  ก่อนลงมือค้นให้เจ้าพนักงานผู้ค้น แสดงความบริสุทธิ์
เสียก่อนและเท่าที่สามารถจะทำได้ให้ค้นต่อหน้าผู้ครอบครองสถานที่หรือบุคคลในครอบครัวของผู้นั้น 
หรือถ้าหาบุคคลเช่นกล่าวนั้นไม่ได้ ก็ให้ค้นต่อหน้าบุคคลอื่นอย่างน้อยสองคนซึ่งเจ้าพนักงานได้ขอร้อง
มาเป็นพยาน
	การค้นที่อยู่หรือสำนักงานของผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งถูกควบคุมหรือขังอยู่ ให้ทำต่อหน้าผู้
นั้น ถ้าผู้นั้นไม่สามารถหรือไม่ติดใจมากำกับจะตั้งผู้แทน หรือให้พยานมากำกับก็ได้ ถ้าผู้แทนหรือ
พยานไม่มี ให้ค้นต่อหน้าบุคคลในครอบครัว หรือต่อหน้าพยานดั่งกล่าวในวรรคก่อน
	สิ่งของใดที่ยึดได้ต้องให้ผู้ครอบครองสถานที่ บุคคลในครอบครัว ผู้ต้องหา จำเลย ผู้แทน
หรือพยานดูเพื่อให้รับรองว่าถูกต้อง  ถ้าบุคคลเช่นกล่าวนั้น รับรองหรือไม่ยอมรับรองก็ให้บันทึกไว้
	มาตรา 103  ให้เจ้าพนักงานผู้ค้นบันทึกรายละเอียดแห่งการค้น   และสิ่งของที่ค้นได้นั้นต้อง
มีบัญชีรายละเอียดไว้
	บันทึกการค้นและบัญชีสิ่งของนั้นให้อ่านให้ผู้ครอบครองสถานที่  บุคคลในครอบครัว
ผู้ต้องหา  จำเลย  ผู้แทนหรือพยานฟังแล้วแต่กรณี  แล้วให้ผู้นั้นลงลายมือชื่อรับรองไว้
	มาตรา 104  เจ้าพนักงานที่ค้นโดยมีหมาย ต้องรีบส่งบันทึกและบัญชีดั่งกล่าวในมาตราก่อน
พร้อมด้วยสิ่งของที่ยึดมาถ้าพอจะส่งได้  ไปยังผู้ออกหมาย หรือเจ้าพนักงานอื่นตามที่กำหนดไว้ในหมาย
	ในกรณีที่ค้นโดยไม่มีหมายโดยเจ้าพนักงานอื่นซึ่งไม่ใช่พนักงานสอบสวน ให้ส่งบันทึก
บัญชีและสิ่งของไปยังพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ใดซึ่งต้องการสิ่งเหล่านั้น
	มาตรา 105  จดหมาย ไปรษณียบัตร โทรเลข สิ่งพิมพ์หรือเอกสารอื่น ซึ่งส่งทางไปรษณีย์และ
โทรเลขจากหรือถึงผู้ต้องหาหรือจำเลยและยังมิได้ส่ง ถ้าเจ้าหน้าที่ต้องการเพื่อประโยชน์แห่งการสอบสวน
ไต่สวนมูลฟ้อง  พิจารณา หรือการกระทำอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายนี้  ให้ขอคำสั่งจากศาล ถึง
เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์โทรเลขให้ส่งเอกสารนั้นมา
	ถ้าอธิบดีกรมตำรวจหรือข้าหลวงประจำจังหวัดเห็นว่าเอกสารนั้นต้องการใช้เพื่อการดั่ง
กล่าวแล้ว  ระหว่างที่ขอคำสั่งต่อศาลมีอำนาจขอให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไปรษณีย์โทรเลขเก็บเอกสารนั้น
ไว้ก่อน
	บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ไม่ใช้ถึงเอกสารโต้ตอบระหว่างผู้ต้องหาหรือจำเลยกับทนายความ
ของผู้นั้น

	หมวด 3
	ปล่อยตัวชั่วคราว

	มาตรา 106  คำร้องขอให้ปล่อยผู้ต้องหาหรือจำเลยชั่วคราวโดยไม่ต้องมีประกันหรือมีประกัน หรือมี
ประกันและหลักประกัน ไม่ว่าผู้นั้นต้องควบคุม  หรือขังตามหมายศาลย่อมยื่นได้โดยผู้ต้องหา
จำเลยหรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ดังนี้
	(1)  เมื่อผู้ต้องหาถูกควบคุมอยู่ และยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาลให้ยื่นต่อพนักงานสอบสวนหรือ
พนักงานอัยการแล้วแต่กรณี
	(2)  เมื่อผู้ต้องหาต้องขังตามหมายศาล และยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล  ให้ยื่นต่อศาลนั้น
	(3)  เมื่อผู้ต้องหาถูกฟ้องแล้ว ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นที่ชำระคดีนั้น
	(4)  เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์แล้ว แม้ยังไม่มีการยื่นอุทธรณ์
หรือฎีกาหรือมีการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาแล้ว  แต่ยังไม่ได้ส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา
ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นที่ชำระคดีนั้น
	ในกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว ให้ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต มิฉะนั้นให้รีบ
ส่งคำร้องพร้อมสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาเพื่อสั่ง แล้วแต่กรณี
	(5)  เมื่อศาลส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้ว จะยื่นต่อศาลชั้นต้นที่ชำระคดี
นั้น หรือจะยื่นต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณีก็ได้
	ในกรณีที่ยื่นต่อศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องไปยังศาลอุทธรณ์  หรือศาลฎีกาเพื่อ
สั่ง  แล้วแต่กรณี
	**(4) แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2525
	มาตรา 107  เมื่อได้รับคำร้องให้ปล่อยชั่วคราว  ให้เจ้าพนักงาน หรือศาลรีบสั่งอย่างรวดเร็วและ
ผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยอาศัยหลักเกณฑ์ในตามที่
บัญญัติไว้ในมาตรา 108 มาตรา 108/1 มาตรา 109 มาตรา 110 มาตรา 111 มาตรา 112 มาตรา 113
และมาตรา 113/1
	คำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าว
โดยทันที
	มาตรา 108  ในการวินิจฉัยคำร้องให้ปล่อยชั่วคราว  ต้องพิจารณาข้อเหล่านี้ประกอบ
	(1)  ความหนักเบาแห่งข้อหา
	(2)  พยานหลักฐานที่นำปรากฏแล้วมีเพียงใด
	(3)  พฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดีเป็นอย่างไร
	(4)  เชื่อถือผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันได้เพียงใด
	(5)  ผู้ต้องหาหรือจำเลยน่าจะหลบหนีหรือไม่
	(6)  ภัยอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดจากการปล่อยชั่วคราว มีเพียงใดหรือไม่
	(7)  ในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องขังตามหมายศาล  ถ้ามีคำคัดค้านของพนักงาน
สอบสวน  พนักงานอัยการ โจทก์ หรือผู้เสียหาย แล้วแต่กรณี  ศาลพึงรับประกอบการวินิจฉัยได้
	เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจสั่งให้ปล่อยชั่วคราว
หรือศาลอาจรับฟังข้อเท็จจริง รายงานหรือความเห็นของเจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายกำหนดให้มี
อำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวกับการนั้น เพื่อประกอบการพิจารณาสั่งคำร้องด้วยก็ได้
	ในการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจสั่งให้ปล่อยชั่วคราวหรือศาลจะกำหนด
เงื่อนไขเกี่ยวกับที่อยู่หรือเงื่อนไขอื่นใดให้ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวปฏิบัติ หรือในกรณีที่ผู้นั้นยินยอมจะสั่ง
ให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดที่สามารถใช้ตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทางของผู้ถูกปล่อย
ชั่วคราวก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการหลบหนี หรือภัยอันตราย หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แต่ถ้า
ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวมีอายุไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์ แม้ผู้นั้นยินยอม จะสั่งให้ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวได้ต่อเมื่อ
ผู้นั้นมีพฤติการณ์ที่อาจเป็นภัยต่อบุคคลอื่นอย่างร้ายแรง หรือมีเหตุสมควรประการอื่น
*วรรคสามแห่งมาตรา 108 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 
(ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2558
	มาตรา 108/1 การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว จะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุ
หนึ่งดังต่อไปนี้
	(1) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี
	(2) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
	(3) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น
	(4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ
	(5) การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของ
เจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล
	คำสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราวต้องแสดงเหตุผล และต้องแจ้งเหตุดังกล่าวให้ผู้ต้องหาหรือ
จำเลยและผู้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว
	**มาตรา 107, 108 และ 108/1 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	“มาตรา 108/2 ในกรณีที่พยานสำคัญในคดีอาจได้รับภัยอันตรายอันเนื่องมาแต่การปล่อย
ชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย พยานนั้นอาจคัดค้านการปล่อยชั่วคราวนั้นได้ โดยยื่นคำร้องต่อพนักงาน
สอบสวนพนักงานอัยการ หรือศาล แล้วแต่กรณี
	ถ้ามีคำคัดค้านการปล่อยชั่วคราวตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ
หรือศาล แล้วแต่กรณี พิจารณาคำคัดค้านดังกล่าวทันที โดยให้มีอำนาจเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่าย
มาสอบถามเพื่อประกอบการพิจารณาและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร
	**มาตรา 108/2 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 28 พ.ศ. 2551”
	มาตรา 109 ในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องหาหรือถูกฟ้องในความผิดมีอัตราโทษจำคุก
อย่างสูงเกินสิบปี ถ้ามีคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างสอบสวนหรือระหว่างการพิจารณาของศาล
ชั้นต้นศาลจะต้องถามพนักงานสอบสวน  พนักงานอัยการ หรือโจทก์ว่าจะคัดค้านประการใดหรือไม่ 
ถ้าไม่อาจถามได้โดยมีเหตุอันควรศาลจะงดการถามเสียก็ได้   แต่ต้องบันทึกเหตุนั้นไว้
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2522
	มาตรา 110 ในคดีมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป ผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราวต้องมีประกัน
และจะมีหลักประกันด้วยหรือไม่ก็ได้
	ในคดีอย่างอื่นจะปล่อยชั่วคราวโดยไม่มีประกันเลย หรือมีประกันและหลักประกันด้วยก็ได้
	การเรียกประกันหรือหลักประกันตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองจะเรียกจนเกินควรแก่กรณีมิได้
และต้องคำนึงถึงเงื่อนไขและมาตรการป้องกันต่าง ๆ ที่ได้ใช้กับผู้ถูกปล่อยชั่วคราวประกอบด้วย ทั้งนี้
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง หรือข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
แล้วแต่กรณี
	*วรรคสามแห่งมาตรา 110 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2558
	**วรรคหนึ่งแห่งมาตรา 110 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับที่ 34) พ.ศ. 2562

	มาตรา 111  เมื่อจะปล่อยชั่วคราวโดยไม่มีประกันเลย  ก่อนที่จะปล่อยไปให้ผู้ต้องหาหรือ
จำเลยสาบานหรือปฏิญาณตนว่าจะมาตามนัดหรือหมายเรียก
	มาตรา 112  เมื่อจะปล่อยชั่วคราวโดยมีประกันหรือมีประกันและหลักประกัน ก่อนปล่อย
ไปให้ผู้ประกันหรือผู้เป็นหลักประกันลงลายมือชื่อในสัญญาประกันนั้น
	ในสัญญาประกันนอกจากข้อความอย่างอื่นอันพึงมี ต้องมีข้อความดั่งนี้ด้วย
	(1)  ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวหรือผู้ประกัน แล้วแต่กรณี  จะปฏิบัติตามนัด หรือหมายเรียกของ
เจ้าพนักงานหรือศาล ซึ่งให้ปล่อยชั่วคราว
	(2)  เมื่อผิดสัญญาจะใช้เงินจำนวนที่ระบุไว้
	ในสัญญาประกันจะกำหนดภาระหน้าที่หรือเงื่อนไขให้ผู้ถูกปล่อยชั่วคราว หรือผู้ประกัน
ต้องปฏิบัติเกินความจำเป็นแก่กรณีมิได้"
	**วรรคท้าย แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 113  เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการสั่งปล่อยชั่วคราว  ไม่ว่าจะมีประกัน
หรือมีประกันและหลักประกันหรือไม่การปล่อยชั่วคราวนั้น  ให้ใช้ได้ระหว่างการสอบสวนหรือจนกว่า
ผู้ต้องหาถูกศาลสั่งขังระหว่างสอบสวน  หรือจนถึงศาลประทับฟ้องแต่มิให้เกินสามเดือนนับแต่วัน
แรกที่มีการปล่อยชั่วคราว ไม่ว่าเป็นการปล่อยชั่วคราวโดยพนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการ
ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นทำให้ไม่อาจทำการสอบสวนได้เสร็จภายในกำหนดสามเดือนจะยืดเวลา
การปล่อยชั่วคราวให้เกินสามเดือนก็ได้แต่มิให้เกินหกเดือน
	เมื่อการปล่อยชั่วคราวสิ้นสุดลงตามวรรคหนึ่งแล้ว ถ้ายังมีความจำเป็นที่จะต้องควบคุม
ผู้ต้องหาไว้ต่อไป  ให้ส่งผู้ต้องหามาศาล และให้นำบทบัญญัติ มาตรา 87 วรรคสี่ ถึง วรรคเก้า
มาใช้บังคับ
	"มาตรา 113/1 ในกรณีที่มีการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน โดยมีการวางเงินสด
หรือหลักทรัพย์อื่นเป็นประกัน ไม่ว่าต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ และยังไม่ได้รับคืน
หากผู้ต้องหาหรือจำเลยประสงค์จะขอปล่อยชั่วคราวต่อไป ผู้ต้องหาหรือจำเลยหรือผู้มีประโยชน์เกี่ยว
ข้องอาจยื่นคำร้องต่อพนักงานอัยการหรือศาล แล้วแต่กรณี โดยขอให้ถือเอาทรัพย์สินดังกล่าวเป็นหลัก
ประกันต่อไปก็ได้เมื่อพนักงานอัยการหรือศาลเห็นสมควรแล้วอาจมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดย
ถือว่าเงินสดหรือหลักทรัพย์ดังกล่าวนั้นเป็นหลักประกันในชั้นพนักงานอัยการหรือศาล แล้วแต่กรณีก็ได้
ให้พนักงานอัยการหรือศาลนั้นแจ้งพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี ให้ส่งหลัก
ประกันเช่นว่านั้นต่อพนักงานอัยการหรือศาลภายในระยะเวลาที่พนักงานอัยการหรือศาลเห็นสมควร
	ในกรณีปล่อยชั่วคราว โดยมีบุคคลเป็นประกันหรือหลักประกันต่อพนักงานสอบสวนหรือ
พนักงานอัยการ หากบุคคลเช่นว่านั้นร้องขอ พนักงานอัยการหรือศาลอาจถือเอาบุคคลนั้นเป็นประกันหรือ
หลักประกันในการปล่อยชั่วคราวต่อไปก็ได้ กรณีเช่นว่านี้ พนักงานอัยการหรือศาลจะแจ้งให้พนักงาน
สอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี ส่งเอกสารเกี่ยวกับการประกันภายในระยะเวลาที่เห็นสมควร
	**มาตรา 113/1 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 114  เมื่อจะปล่อยชั่วคราวโดยให้มีประกันและหลักประกันด้วย  ก่อนปล่อยตัวไป ให้ผู้ร้องขอ
ประกันจัดหาหลักประกันมาดั่งต้องการ  หลักประกันมี 3 ชนิด คือ
	(1)  มีเงินสดมาวาง
	(2)  มีหลักทรัพย์อื่นมาวาง
	(3)  มีบุคคลมาเป็นหลักประกัน โดยแสดงหลักทรัพย์
	มาตรา 115  โดยความปรากฏต่อมา หรือเนื่องจากกลฉ้อฉลหรือผิดหลง ปรากฏว่าสัญญา
ประกันต่ำไปหรือหลักประกันไม่เพียงพอ หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ไม่เหมาะสม ให้เจ้าพนักงานหรือศาลมีอำนาจ
สั่งเปลี่ยนสัญญาประกันให้จำนวนเงินสูงขึ้น หรือเรียกหลักประกันเพิ่ม หรือให้ดีกว่าเดิม หรือเปลี่ยนแปลง
เงื่อนไขที่กำหนดไว้ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
	ภายหลังมีคำสั่งปล่อยชั่วคราวแล้ว หากพฤติการณ์แห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ให้เจ้าพนักงาน
หรือศาลมีอำนาจสั่งลดหลักประกันได้ตามที่เห็นสมควร
	ในกรณีที่ศาลปล่อยชั่วคราว และคดีขึ้นไปสู่ศาลสูง ศาลสูงมีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวน
เงินตามสัญญาประกันหรือเงื่อนไขที่ศาลล่างกำหนดไว้ได้ตามที่เห็นสมควร
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 116  การขอถอนสัญญาประกันหรือขอถอนหลักประกัน ย่อมทำได้เมื่อผู้ทำสัญญามอบตัว
ผู้ต้องหาหรือจำเลยคืนต่อเจ้าพนักงานหรือศาล
	มาตรา 117  เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยหนีหรือจะหลบหนี ให้พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ
ที่พบการกระทำดังกล่าวมีอำนาจจับผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นได้ แต่ในกรณีที่บุคคลซึ่งทำสัญญาประกันหรือ
เป็นหลักประกันเป็นผู้พบเห็นการกระทำดังกล่าว อาจขอให้พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจที่ใกล้ที่สุดจับ
ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้ ถ้าไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานได้ทันท่วงที  ก็ให้มีอำนาจจับผู้ต้องหา
หรือจำเลยได้เอง แล้วส่งไปยังพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจที่ใกล้ที่สุด  และให้เจ้าพนักงานนั้น
รีบจัดส่งผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นไปยังเจ้าพนักงานหรือศาล โดยคิดค่าพาหนะจากบุคคลซึ่งทำสัญญาประกันหรือ
เป็นหลักประกันนั้น"
	ในกรณีที่มีคำสั่งให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดตามมาตรา 108 วรรคสาม
กับผู้ต้องหาหรือจำเลยใด ถ้าปรากฏว่าอุปกรณ์ดังกล่าวถูกทำลายหรือทำให้ใช้การไม่ได้ไม่ว่าโดยวิธีใด
ให้สันนิษฐานว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นหนีหรือจะหลบหนี
	ถ้าผู้ต้องหาหรือจำเลยตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองเป็นบุคคลที่ศาลสั่งปล่อยชั่วคราว ศาลอาจ
มีคาสั่งตั้งเจ้าพนักงานศาลดาเนินการแจ้งให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจับผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้น
หรือถ้ามีเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานได้ทันท่วงที ก็ให้มีอำนาจจับผู้ต้องหา
หรือจำเลยได้ และเมื่อจับได้แล้ว ให้นาผู้ถูกจับไปยังศาลโดยเร็ว
	*วรรคสองแห่งมาตรา 117 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 30 พ.ศ. 2558
	*วรรคสามแห่งมาตรา 117 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 34 พ.ศ. 2562

	มาตรา 118  เมื่อคดีถึงที่สุด หรือความรับผิดตามสัญญาประกันหมดไปตาม มาตรา 116  หรือโดยเหตุ
อื่น ให้คืนหลักประกันแก่ผู้ที่ควรรับไป
	มาตรา 119 ในกรณีผิดสัญญาประกันต่อศาล ศาลมีอำนาจสั่งบังคับตามสัญญาประกัน
หรือตามที่ศาลเห็นสมควรโดยมิต้องฟ้อง ทั้งนี้ ศาลอาจสั่งงดการบังคับตามสัญญาประกันหรือลดจำนวนเงิน
ที่ต้องใช้ตามสัญญาประกันก็ได้ โดยคำนึงถึงความพยายามของผู้ประกันในการติดตามตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย
ที่หลบหนี รวมทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อยเพียงใดประกอบด้วย และเมื่อศาลสั่งประการใดแล้ว
ฝ่ายผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันหรือพนักงานอัยการมีอำนาจอุทธรณ์ได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์
ให้เป็นที่สุด
	เงินสดหรือหลักทรัพย์อื่นที่นำมาวางต่อศาลเพื่อเป็นหลักประกันตามมาตรา 114 ไม่อยู่ในข่ายที่
จะถูกยึดหรืออายัดเพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้อื่นจนกว่าความรับผิดตามสัญญาประกันจะระงับสิ้นไป
เว้นแต่ศาลเห็นว่าหนี้ของเจ้าหนี้นั้นมิได้เกิดจากการฉ้อฉลและมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าว
	ในกรณีที่จำเป็นต้องมีการบังคับคดีเพราะผิดสัญญาประกันตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอำนาจ
ออกหมายบังคับคดีหรือคำสั่งอื่นใดเพื่อบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของบุคคลซึ่งต้องรับผิดตามสัญญาประกันได้
เสมือนว่าเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยให้เจ้าพนักงานศาลที่ได้รับแต่งตั้งและพนักงานอัยการเป็นผู้มี
อำนาจหน้าที่ในการบังคับตามสัญญาประกัน และให้เจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี มีอำนาจหน้าที่ยึด
หรืออายัดทรัพย์สินของผู้ประกันและขายทอดตลาดตามที่ได้รับแจ้งจากศาล หรือพนักงานอัยการ และถ้า
จะต้องขายทรัพย์สินที่วางเป็นหลักประกันไว้ต่อศาล เมื่อศาลส่งทรัพย์สินหรือหนังสือสำคัญสำหรับ
ทรัพย์สินนั้นไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ให้ถือว่าได้มีการยึดทรัพย์สินดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้
มิให้หน่วยงานของรัฐเรียกค่าฤชาธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายจากผู้ดำเนินการบังคับคดี
	การบังคับคดีตามมาตรานี้ ให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม
เว้นแต่ประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะออกข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ข้อบังคับนั้นเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
*มาตรา 119 แก้ไขทั้งมาตราโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 
(ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2558
	"มาตรา 119 ทวิ ในกรณีที่ศาลสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว  ผู้ร้องขอมีสิทธิยื่นคำร้อง
อุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ดังต่อไปนี้
	(1)  คำสั่งของศาลชั้นต้น ให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์
	(2)  คำสั่งของศาลอุทธรณ์ ให้อุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา
	ให้ศาลชั้นต้นที่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งรีบส่งคำร้องดังกล่าว   พร้อมด้วยสำนวนความหรือ
สำเนาสำนวนความเท่าที่จำเป็นไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณี  เพื่อพิจารณาและมี
คำสั่งโดยเร็ว
	คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวยืนตามศาลชั้นต้นให้เป็นที่สุด
แต่ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิที่จะยื่นคำร้องให้ปล่อยชั่วคราวใหม่
	**วรรคสอง เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547
	**มาตรา 119 ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2527

	ภาค 2
	สอบสวน
	ลักษณะ 1
	หลักทั่วไป

	มาตรา 120  ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาลโดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน
	มาตรา 121  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว
ห้ามมิให้ทำการสอบสวน  เว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ
	มาตรา 122  พนักงานสอบสวนจะไม่ทำการสอบสวนในกรณีต่อไปนี้ก็ได้
	(1)  เมื่อผู้เสียหายขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ยอมร้องทุกข์ตามระเบียบ
	(2)  เมื่อผู้เสียหายฟ้องคดีเสียเองโดยมิได้ร้องทุกข์ก่อน
	(3)  เมื่อมีหนังสือกล่าวโทษเป็นบัตรสนเท่ห์ หรือบุคคลที่กล่าวโทษด้วยปากไม่ยอมบอก
ว่าเขาคือใคร หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อในคำกล่าวโทษหรือบันทึกคำกล่าวโทษ
	มาตรา 123  ผู้เสียหายอาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้
	คำร้องทุกข์นั้นต้องปรากฏชื่อ และที่อยู่ของผู้ร้องทุกข์ลักษณะแห่งความผิด พฤติการณ์
ต่างๆ ที่ความผิดนั้นได้กระทำลงความเสียหายที่ได้รับ  และชื่อ  หรือรูปพรรณของผู้กระทำผิดเท่าที่
จะบอกได้
	คำร้องทุกข์นี้จะทำเป็นหนังสือหรือร้องด้วยปากก็ได้ ถ้าเป็นหนังสือต้องมี วัน  เดือน  ปี
และลายมือชื่อของผู้ร้องทุกข์   ถ้าร้องด้วยปากให้พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ ลงวัน  เดือน  ปี  และ
ลงลายมือชื่อผู้บันทึกกับผู้ร้องทุกข์ในบันทึกนั้น
	มาตรา 124  ผู้เสียหายจะร้องทุกข์ต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่รองหรือ
เหนือพนักงานสอบสวน และเป็นผู้ซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมายก็ได้
	เมื่อมีหนังสือร้องทุกข์ยื่นต่อเจ้าพนักงานเช่นกล่าวแล้วให้รีบจัดการส่งไปยังพนักงานสอบ
สวน และจะจดหมายเหตุอะไรไปบ้างเพื่อประโยชน์ของพนักงานสอบสวนก็ได้
	เมื่อมีคำร้องทุกข์ด้วยปาก ให้รีบจัดการให้ผู้เสียหายไปพบกับพนักงานสอบสวนเพื่อจด
บันทึกคำร้องทุกข์นั้นดั่งบัญญัติในมาตราก่อนในกรณีเร่งร้อน เจ้าพนักงานนั้นจะจดบันทึกเสียเอง
ก็ได้ แต่แล้วให้รีบส่งไปยังพนักงานสอบสวน และจะจดหมายเหตุอะไรไปบ้างเพื่อประโยชน์ของ
พนักงานสอบสวนก็ได้
	**วรรคสี่ ยกเลิกโดย พรบ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2550"
	"มาตรา 124/1 ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 133 ทวิ วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม
มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การจดบันทึกคำร้องทุกข์ในคดีที่ผู้เสียหายเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี 
เว้นแต่มีเหตุจำเป็น ไม่อาจหาหรือรอนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์บุคคลที่เด็กร้องขอและ
พนักงานอัยการได้และเด็กไม่ประสงค์จะให้มีหรือรอบุคคลดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ ให้ผู้รับคำร้องทุกข์ 
ตามมาตรา 123 หรือมาตรา 124 แล้วแต่กรณี บันทึกเหตุดังกล่าวไว้ในบันทึกคำร้องทุกข์ด้วย
	*มาตรา 124/1 เพิ่มเติมโดย พรบ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2550
	มาตรา 125  เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้กระทำการสืบสวน
หรือสอบสวนไปทั้งหมดหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดตามขอร้องให้ช่วยเหลือ  ให้ตกเป็นหน้าที่ของพนักงาน
นั้นจัดการให้มีคำร้องทุกข์ตามระเบียบตามบทบัญญัติแห่ง มาตรา 123  และ 124
	มาตรา 126  ผู้ร้องทุกข์จะแก้คำร้องทุกข์ระยะใด  หรือจะถอนคำร้อง ทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้
	ในคดีซึ่งมิใช่ความผิดต่อส่วนตัว การถอนคำร้องทุกข์เช่นนั้นย่อมไม่ตัดอำนาจพนักงาน
สอบสวนที่จะสอบสวน หรือพนักงานอัยการที่จะฟ้องคดีนั้น
	มาตรา 127  ให้นำบทบัญญัติใน มาตรา 123  ถึง 126  มาบังคับโดยอนุโลมในเรื่องคำกล่าวโทษ
	เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับคำกล่าวโทษจะไม่บันทึกคำกล่าวโทษ ในกรณีต่อไปนี้ก็ได้
	(1)  เมื่อผู้กล่าวโทษไม่ยอมแจ้งว่าเขาคือใคร
	(2)  เมื่อคำกล่าวโทษเป็นบัตรสนเท่ห์
	คำกล่าวโทษซึ่งบันทึกแล้ว แต่ผู้กล่าวโทษไม่ยอมลงลายมือชื่อ  เจ้าพนักงานผู้รับคำกล่าว
โทษจะไม่จัดการแก่คำกล่าวโทษนั้นก็ได้
	มาตรา 128  พนักงานสอบสวนมีอำนาจให้เจ้าพนักงานอื่นทำการแทน ดั่งต่อไปนี้
	(1)  การใดในการสอบสวนอยู่นอกเขตอำนาจของตน มีอำนาจส่งประเด็นไปให้พนักงาน
สอบสวนซึ่งมีอำนาจทำการนั้นจัดการได้
	(2)  การใดเป็นสิ่งเล็กน้อยในการสอบสวน ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของตน  ไม่ว่าทำเองหรือ
จัดการตามประเด็น มีอำนาจสั่งให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทำแทนได้  แต่ทั้งนี้เมื่อประมวลกฎหมายนี้
หรือกฎหมายอื่นมิได้เจาะจงให้ทำด้วยตนเอง
	มาตรา 129  ให้ทำการสอบสวนรวมทั้งการชันสูตรพลิกศพ  ในกรณีที่ความตายเป็นผล
แห่งการกระทำผิดอาญาดั่งที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้  อันว่าด้วยการชันสูตรพลิกศพ  ถ้า
การชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาล

	ลักษณะ 2
	การสอบสวน
	หมวด 1
	การสอบสวนสามัญ

	 มาตรา 130  ให้เริ่มการสอบสวนโดยมิชักช้า จะทำการในที่ใดเวลาใด แล้วแต่จะเห็นสมควร 
โดยผู้ต้องหาไม่จำต้องอยู่ด้วย
	มาตรา 131  ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อ
ประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา และเพื่อจะรู้ตัว
ผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	“มาตรา 131/1 ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
ตามมาตรา 131 ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจให้ทำการตรวจพิสูจน์บุคคล วัตถุ หรือเอกสารใด ๆ
โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้
	ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี หากการตรวจพิสูจน์ตามวรรคหนึ่ง
จำเป็นต้องตรวจเก็บตัวอย่างเลือด เนื้อเยื่อ ผิวหนัง เส้นผมหรือขน น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ
สารคัดหลั่ง สารพันธุกรรมหรือส่วนประกอบของร่างกายจากผู้ต้องหา ผู้เสียหายหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบมีอำนาจให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตรวจดังกล่าวได้ แต่ต้อง
กระทำเพียงเท่าที่จำเป็นและสมควรโดยใช้วิธีการที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดน้อยที่สุดเท่าที่จะกระทำได้
ทั้งจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรืออนามัยของบุคคลนั้น และผู้ต้องหา ผู้เสียหาย หรือบุคคล
ที่เกี่ยวข้องต้องให้ความยินยอม หากผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายไม่ยินยอมโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือผู้ต้องหา
หรือผู้เสียหายกระทำการป้องปัดขัดขวางมิให้บุคคลที่เกี่ยวข้องให้ความยินยอมโดยไม่มีเหตุอันสมควร
ให้สันนิษฐานไว้เบื้องต้นว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามผลการตรวจพิสูจน์ที่หากได้ตรวจพิสูจน์แล้ว
จะเป็นผลเสียต่อผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายนั้นแล้วแต่กรณี
	ค่าใช้จ่ายในการตรวจพิสูจน์ตามมาตรานี้ ให้สั่งจ่ายจากงบประมาณตามระเบียบที่สำนักงาน
ตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม หรือสำนักงานอัยการสูงสุด แล้วแต่กรณี
กำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง”
*มาตรา 131/1 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 28 พ.ศ. 2551
	มาตรา 132  เพื่อประโยชน์แห่งการรวบรวมหลักฐาน  ให้พนักงาน สอบสวนมีอำนาจดั่ง
ต่อไปนี้
	(1)  ตรวจตัวผู้เสียหายเมื่อผู้นั้นยินยอม หรือตรวจตัวผู้ต้องหา  หรือตรวจสิ่งของหรือที่ทาง
อันสามารถอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้  ให้รวมทั้งทำภาพถ่าย แผนที่หรือภาพวาด จำลองหรือ
พิมพ์ลายนิ้วมือ ลายมือหรือลายเท้า  กับให้บันทึกรายละเอียดทั้งหลายซึ่งน่าจะกระทำให้คดีแจ่ม
กระจ่างขึ้น
	ในการตรวจตัวผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาตามวรรคหนึ่ง หากผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาเป็นหญิง
ให้จัดให้เจ้าพนักงานซึ่งเป็นหญิงหรือหญิงอื่นเป็นผู้ตรวจ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ผู้เสียหาย
หรือผู้ต้องหาจะขอนำบุคคลใดมาอยู่ร่วมในการตรวจนั้นด้วยก็ได้
*วรรคสองของมาตรา 132 (1) เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา ฉบับที่ 28 พ.ศ. 2551
	(2)  ค้นเพื่อพบสิ่งของ ซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยการกระทำผิด หรือได้ใช้หรือ
สงสัยว่าได้ใช้ในการกระทำผิด  หรือซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ แต่ต้องปฏิบัติแห่งประมวล
กฎหมายนี้ว่าด้วยค้น
	(3)  หมายเรียกบุคคลซึ่งครอบครองสิ่งของ ซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ แต่บุคคลที่ถูก
หมายเรียกไม่จำต้องมาเอง  เมื่อจัดส่งสิ่งของมาตามหมายแล้ว ให้ถือเสมือนได้ปฏิบัติตามหมาย
	(4)  ยึดไว้ซึ่งสิ่งของที่ค้นพบหรือส่งมาดั่งกล่าวไว้ในอนุมาตรา (2) และ (3)
	มาตรา 133พนักงานสอบสวนมีอำนาจออกหมายเรียกผู้เสียหาย  หรือบุคคลใดซึ่งมีเหตุอันควร
เชื่อว่าถ้อยคำของเขาอาจเป็นประโยชน์แก่คดีให้มาตามเวลาและสถานที่ในหมายแล้วให้ถามปากคำ
บุคคลนั้นไว้
	การถามปากคำนั้น พนักงานสอบสวนจะให้ผู้ให้ถ้อยคำสาบานหรือปฏิญาณตัวเสียก่อนก็
ได้ และต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยพยานบุคคล
	ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนตักเตือนพูดให้ท้อใจหรือใช้กลอุบายอื่นเพื่อป้องกันมิให้บุคคล
ใดให้ถ้อยคำ ซึ่งอยากจะให้ด้วยความเต็มใจ
	ในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ การถามปากคำผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิง ให้พนักงานสอบสวน
ซึ่งเป็นหญิงเป็นผู้สอบสวน เว้นแต่ผู้เสียหายนั้นยินยอมหรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่น และให้บันทึกความ
ยินยอมหรือเหตุจำเป็นนั้นไว้ ทั้งนี้ ผู้เสียหายจะขอให้บุคคลใดอยู่ร่วมในการถามปากคำนั้นด้วยก็ได้
	ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดให้ผู้เสียหายหรือพยานยืนยันตัวผู้กระทำความผิดในชั้นจับกุม
หรือชี้ตัวผู้ต้องหาในคดีอาญา ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หรือพนักงานสอบสวนจัดให้มี
การยืนยันตัวผู้กระทำความผิดหรือชี้ตัวผู้ต้องหาในสถานที่ที่เหมาะสม และสามารถจะป้องกันมิให้
ผู้กระทำความผิดหรือผู้ต้องหาเห็นตัวผู้เสียหายหรือพยาน โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เสียหาย
หรือพยานเท่าที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งกรณี เว้นแต่ผู้เสียหายหรือพยานนั้นยินยอม และให้บันทึก
ความยินยอมนั้นไว้
	*วรรคสี่และวรรคห้าของมาตรา 133 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา ฉบับที่ 28 พ.ศ. 2551
	“มาตรา 133 ทวิ ในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายอันมิใช่ความผิด
ที่เกิดจากการชุลมุนต่อสู้ ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ ความผิดฐานกรรโชก ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์
ตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี
ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก ความผิดตาม
กฎหมายว่าด้วยสถานบริการ หรือคดีความผิดอื่นที่มีอัตราโทษจำคุก ซึ่งผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็ก
อายุไม่เกินสิบแปดปีร้องขอ การถามปากคำผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี
ให้พนักงานสอบสวนแยกกระทำเป็นส่วนสัดในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก และให้มีนักจิตวิทยา
หรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการร่วมอยู่ด้วยในการถามปากคำเด็กนั้น
และในกรณีที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เห็นว่าการถามปากคำเด็กคนใดหรือคำถามใด อาจจะ
มีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจเด็กอย่างรุนแรง ให้พนักงานสอบสวนถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคม
สงเคราะห์เป็นการเฉพาะตามประเด็นคำถามของพนักงานสอบสวน โดยมิให้เด็กได้ยินคำถามของ
พนักงานสอบสวนและห้ามมิให้ถามเด็กซ้ำซ้อนหลายครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร
	ให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องแจ้งให้นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์
บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการทราบ รวมทั้งแจ้งให้ผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กทราบถึง
สิทธิตามวรรคหนึ่งด้วย
	นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ หรือพนักงานอัยการที่เข้าร่วมในการถามปากคำอาจ
ถูกผู้เสียหายหรือพยานซึ่งเป็นเด็กตั้งรังเกียจได้ หากมีกรณีดังกล่าวให้เปลี่ยนตัวผู้นั้น
	ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 139 การถามปากคำเด็กตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนจัด
ให้มีการบังทึกภาพและเสียงการถามปากคำดังกล่าวซึ่งสามารถนำออกถ่ายทอดได้อย่างต่อเนื่อง
ไว้เป็นพยาน
	ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่งซึ่งมีเหตุอันควรไม่อาจรอนักจิตวิทยาหรือนักสังคม
สงเคราะห์บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการเข้าร่วมในการถามปากคำพร้อมกันได้ ให้
พนักงานสอบสวนถามปากคำเด็กโดยมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งตามวรรคหนึ่งอยู่ร่วมด้วยก็ได้ แต่ต้อง
บันทึกเหตุที่ไม่อาจรอบุคคลอื่นไว้ในสำนวนการสอบสวน และมิให้ถือว่าการถามปากคำผู้เสียหาย
หรือพยานซึ่งเป็นเด็กในกรณีดังกล่าวที่ได้กระทำไปแล้วไม่ชอบด้วยกฎหมาย
	"มาตรา 133 ทวิ วรรคหนึ่งและวรรคสองแก้ไขโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2550
	“มาตรา 133 ตรี ในกรณีที่พนักงานสอบสวนมีความจำเป็นต้องจัดให้ผู้เสียหายหรือพยาน
ที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีชี้ตัวบุคคลใด ให้พนักงานสอบสวนจัดให้มีการชี้ตัวบุคคลในสถานที่ที่
เหมาะสมสำหรับเด็กและสามารถป้องกันมิให้บุคคลซึ่งจะถูกชี้ตัวนั้นเห็นตัวเด็ก โดยให้มีนักจิตวิทยา
หรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการร่วมอยู่ด้วยในการชี้ตัวบุคคลนั้น
เว้นแต่มีเหตุจำเป็นไม่อาจหาหรือรอบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้และเด็กไม่ประสงค์จะให้มีหรือรอบุคคล
ดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ ให้พนักงานสอบสวนบันทึกเหตุดังกล่าวไว้ในสำนวนการสอบสวนด้วย
	ในกรณีการชี้ตัวผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี ให้พนักงานสอบสวนจัดให้มีการชี้ตัว
ในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็กและสามารถป้องกันมิให้ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กนั้นเห็นตัวบุคคลที่จะทำ
การชี้ตัว”
	**มาตรา 133 ตรี แก้ไขโดยแห่งพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2550
	มาตรา 134  เมื่อผู้ต้องหาถูกเรียก  หรือส่งตัวมา หรือเข้าหาพนักงานสอบสวนเอง หรือ
ปรากฏว่าผู้ใดซึ่งมาอยู่ต่อหน้าเจ้าพนักงานเป็นผู้ต้องหา ให้ถาม ชื่อตัว นามสกุล สัญชาติ บิดา มารดา อายุ
อาชีพที่อยู่ ที่เกิด และแจ้งข้อหาให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหา
ได้กระทำผิด แล้วจึงแจ้งข้อหาให้ทราบ
	การแจ้งข้อหาตามวรรคหนึ่ง จะต้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทำผิดตาม
ข้อหานั้น
	ผู้ต้องหามีสิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม
	พนักงานสอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาที่จะแก้ข้อหาและที่จะแสดงข้อเท็จจริงอันเป็น
ประโยชน์แก่ตนได้
	เมื่อได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ถ้าผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้ถูกจับและยังไม่ได้มีการออกหมายจับ
แต่พนักงานสอบสวนเห็นว่ามีเหตุที่จะออกหมายขังผู้นั้นได้ตามมาตรา 81 พนักงานสอบสวนมีอำนาจสั่งให้
ผู้ต้องหาไปศาลเพื่อขอออกหมายขังโดยทันที แต่ถ้าขณะนั้นเป็นเวลาที่ศาลปิดหรือใกล้จะปิดทำการ
ให้พนักงานสอบสวนสั่งให้ผู้ต้องหาไปศาลในโอกาสแรกที่ศาลเปิดทำการ กรณีเช่นว่านี้ให้นำมาตรา 87
มาใช้บังคับแก่การพิจารณาออกหมายขังโดยอนุโลม หากผู้ต้องหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานสอบสวน
ดังกล่าว ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจับผู้ต้องหานั้นได้ โดยถือว่าเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วนที่จะจับผู้ต้องหาได้
โดยไม่มีหมายจับ และมีอำนาจปล่อยชั่วคราวหรือควบคุมผู้ต้องหานั้นไว้"
	"มาตรา 134/1 ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกินสิบแปดปี
ในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความ
หรือไม่ ถ้าไม่มีให้รัฐหาทนายความให้
	ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความ
หรือไม่ ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ ให้รัฐหาทนายความให้
	การจัดหาทนายความตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้พนักงานสอบสวนปฏิบัติตาม
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง และให้ทนายความที่รัฐจัดหาให้ได้รับเงินรางวัล
และค่าใช้จ่ายตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรมกำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
	เมื่อได้จัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาตามวรรคหนึ่ง วรรคสองหรือวรรคสามแล้ว ในกรณี
จำเป็นเร่งด่วน หากทนายความไม่อาจมาพบผู้ต้องหาได้ โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้พนักงานสอบสวนทราบ
หรือแจ้งแต่ไม่มาพบผู้ต้องหาภายในเวลาอันสมควร ให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนผู้ต้องหาไปได้โดย
ไม่ต้องรอทนายความ แต่พนักงานสอบสวนต้องบันทึกเหตุนั้นไว้ในสำนวนการสอบสวนด้วย
- มาตรานี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา
นุเบกษา เป็นต้นไป
	“มาตรา 134/2 ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 133 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสอบสวน
ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี”
	"มาตรา 134/3 ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้
	"มาตรา 134/4 ในการถามคำให้การผู้ต้องหา ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบ
ก่อนว่า
	(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้น
อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
	(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้
	เมื่อผู้ต้องหาเต็มใจให้การอย่างใดก็ให้จดคำให้การไว้ ถ้าผู้ต้องหาไม่เต็มใจให้การเลยก็ให้
บันทึกไว้
	ถ้อยคำใดๆ ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือ
ก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา 134/1 มาตรา 134/2 และมาตรา 134/3จะรับฟังเป็นพยานหลักฐาน
ในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้"
	"มาตรา 134, 134/1, 134/2 ,134/3,134/4  เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	*มาตรา 134/2 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 26 พ.ศ. 2550”
	มาตรา 135 ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนทำหรือจัดให้ทำการใดๆ ซึ่งเป็นการล่อลวง หรือขู่เข็ญ 
หรือให้สัญญากับผู้ต้องหาเพื่อจูงใจ ให้เขาให้การอย่างใดๆ ในเรื่องที่ต้องหานั้น
	มาตรา 136  (ยกเลิก)
	"ยกเลิกมาตรา 136  โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547	
	มาตรา 137  พนักงานสอบสวนขณะทำการอยู่ในบ้านเรือนหรือในสถานที่อื่น ๆ มีอำนาจสั่ง
มิให้ผู้ใดออกไปจากที่นั้นๆ ชั่วเวลาเท่าที่จำเป็น
	มาตรา 138  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนเองหรือส่งประเด็นไปสอบสวนเพื่อทราบ
ความเป็นมาแห่งชีวิต และความประพฤติอันเป็นอาจิณของผู้ต้องหา แต่ต้องแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบข้อความ
ทุกข้อที่ได้มา
	มาตรา 139  ให้พนักงานสอบสวนบันทึกการสอบสวนตามหลักทั่วไปในประมวลกฎหมายนี้
อันว่าด้วยการสอบสวนและให้เอาบันทึกเอกสารอื่นซึ่งได้มา อีกทั้งบันทึกเอกสารทั้งหลาย ซึ่งเจ้าพนักงาน
อื่น ผู้สอบสวนคดีเดียวกันนั้นส่งมา รวมเข้าสำนวนไว้
	เอกสารที่ยื่นเป็นพยานให้รวมเข้าสำนวน ถ้าเป็นสิ่งของอย่างอื่นให้ทำบัญชีรายละเอียด
รวมเข้าสำนวนไว้
	เพื่อประโยชน์ในการติดตามพยานให้ไปตามกำหนดนัดของศาล ให้พนักงานสอบสวน
บันทึกรายชื่อของพยานบุคคลทั้งหมดพร้อมที่อยู่หรือสถานที่ติดต่อ หมายเลขโทรศัพท์หรือช่องทางอื่น
ที่ใช้ในการติดต่อพยานเหล่านั้นเก็บไว้ ณ ที่ทำการของพนักงานสอบสวน
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547"
	มาตรา 140  เมื่อพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวนเห็นว่า   การสอบสวนเสร็จแล้ว
ให้จัดการอย่างหนึ่งอย่างใดดั่งต่อไปนี้
	(1)  ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิด และความผิดนั้นมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูง
ไม่เกินสามปี  ให้พนักงานสอบสวนงดการสอบสวนและบันทึกเหตุที่งดนั้นไว้ แล้วให้ส่งบันทึกพร้อม
กับสำนวนไปยังพนักงานอัยการ
	ถ้าอัตราโทษอย่างสูงเกินกว่าสามปี  ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการ
พร้อมทั้งความเห็นที่ควรให้งดการสอบสวน
	ถ้าพนักงานอัยการสั่งให้งด  หรือให้ทำการสอบสวนต่อไป  ให้พนักงานสอบสวนปฏิบัติ
ตามนั้น
	(2)  ถ้ารู้ตัวผู้กระทำผิด  ให้ใช้บทบัญญัติในสี่มาตราต่อไปนี้
	มาตรา 141  ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิด แต่เรียกหรือจับตัวยังไม่ได้  เมื่อได้ความตามทาง
สอบสวนอย่างใด ให้ทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องส่งไปพร้อมกับสำนวนยังพนักงานอัยการ
	ถ้าพนักงานอัยการเห็นชอบด้วยว่าควรสั่งไม่ฟ้อง ให้ยุติการสอบสวนโดยสั่งไม่ฟ้อง และ
ให้แจ้งคำสั่งนี้ให้พนักงานสอบสวนทราบ
	ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าควรสอบสวนต่อไป ก็ให้สั่งพนักงานสอบสวนปฏิบัติเช่นนั้น
	ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าควรสั่งฟ้อง ก็ให้จัดการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ได้ตัวผู้ต้องหา
มา  ถ้าผู้ต้องหาอยู่ต่างประเทศให้พนักงานอัยการจัดการเพื่อขอให้ส่งตัวข้ามแดนมา
	มาตรา 142 ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิดและผู้นั้นถูกควบคุมหรือขังอยู่ หรือปล่อยชั่วคราว 
หรือเชื่อว่าคงได้ตัวมาเมื่อออกหมายเรียก ให้พนักงานสอบสวนทำความเห็นตามท้องสำนวนการสอบสวน
ว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องส่งไปยังพนักงานอัยการพร้อมด้วยสำนวน
	ในกรณีที่เสนอความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง  ให้ส่งแต่สำนวนพร้อมด้วยความเห็นไปยัง
พนักงานอัยการ  ส่วนตัวผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจปล่อย  หรือปล่อยชั่วคราว
ถ้าผู้ต้องหาถูกขังอยู่ให้ขอเองหรือขอให้พนักงานอัยการขอต่อศาลให้ปล่อย
	ในกรณีที่เสนอความเห็นควรสั่งฟ้อง ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนพร้อมกับผู้ต้องหา
ไปยังพนักงานอัยการ เว้นแต่ผู้ต้องหานั้นถูกขังอยู่แล้ว หรือผู้ต้องหาซึ่งถูกแจ้งข้อหาได้หลบหนีไป
*วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติม โดย ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 115/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557
	แต่ถ้าเป็นความผิดซึ่งพนักงานสอบสวนเปรียบเทียบได้และผู้กระทำความผิดได้ปฏิบัติ
ตามเปรียบเทียบนั้นแล้ว ให้บันทึกการเปรียบเทียบนั้นไว้  แล้วส่งไปให้พนักงานอัยการพร้อมด้วย
สำนวน	
	มาตรา 143  เมื่อได้รับความเห็นและสำนวนจากพนักงานสอบสวนดั่งกล่าวในมาตราก่อน 
ให้พนักงานอัยการปฏิบัติดั่งต่อไปนี้
	(1) ในกรณีที่มีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ให้ออกคำสั่งไม่ฟ้อง  แต่ถ้าไม่เห็นชอบด้วย ก็ให้สั่ง
ฟ้องและแจ้งให้พนักงานสอบสวนส่งผู้ต้องหามาเพื่อฟ้องต่อไป
	(2) ในกรณีมีความเห็นควรสั่งฟ้อง ให้ออกคำสั่งฟ้องและฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล ถ้าไม่เห็น
ชอบด้วย ก็ให้สั่งไม่ฟ้อง
	ในกรณีหนึ่งกรณีใดข้างต้น พนักงานอัยการมีอำนาจ
	(ก) สั่งตามที่เห็นควร ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม หรือส่ง
พยานคนใดมาให้ซักถามเพื่อสั่งต่อไป
	 (ข) วินิจฉัยว่าควรปล่อยผู้ต้องหา ปล่อยชั่วคราว ควบคุมไว้  หรือขอให้ศาลขัง
แล้วแต่กรณี และจัดการหรือสั่งการให้เป็นไปตามนั้น
	ในคดีฆาตกรรม ซึ่งผู้ตายถูกเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ฆ่าตาย หรือ
ตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่  อธิบดีกรม
อัยการหรือผู้รักษาการแทนเท่านั้นมี อำนาจออกคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2499
	มาตรา 144  ในกรณีที่พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง   ถ้าความผิดนั้นเป็น ความผิดซึ่งอาจ
เปรียบเทียบได้ ถ้าเห็นสมควรพนักงานอัยการมีอำนาจดั่งต่อไปนี้
	(1)  สั่งให้พนักงานสอบสวนพยานเปรียบเทียบคดีนั้นแทนการที่จะส่งผู้ต้องหาไปยัง
พนักงานอัยการ
	(2)  เมื่อผู้ต้องหาถูกส่งมายังพนักงานอัยการแล้ว สั่งให้ส่งผู้ต้องหาพร้อมด้วยสำนวนกลับ
ไปยังพนักงานสอบสวนให้พยายามเปรียบเทียบคดีนั้น   หรือถ้าเห็นสมควรจะสั่งให้พนักงานสอบ
สวนอื่นที่มีอำนาจจัดการเปรียบเทียบให้ก็ได้
	มาตรา 145  ในกรณีที่มีคำสั่งไม่ฟ้อง และคำสั่งนั้นไม่ใช่ของอธิบดีกรมอัยการ ถ้าในนครหลวง
กรุงเทพธนบุรี  ให้รีบส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมกับคำสั่งไปเสนออธิบดีกรมตำรวจ  รองอธิบดีกรมตำรวจ
หรือผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ถ้าในจังหวัดอื่นให้รีบส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมกับคำส่งไปเสนอ
ผู้ว่าราชการจังหวัด   แต่ทั้งนี้  มิได้ตัดอำนาจพนักงานอัยการที่จะจัดการอย่างใดแก่ผู้ต้องหา
ดังบัญญัติไว้ใน มาตรา 143
	ในกรณีที่อธิบดีกรมตำรวจ รองอธิบดีกรมตำรวจ หรือผู้ช่วยอธิบดีกรม ตำรวจในนครหลวง
กรุงเทพธนบุรี หรือผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดอื่นแย้งคำสั่งของพนักงานอัยการ   ให้ส่งสำนวน
พร้อมกับความเห็นที่แย้งกันไปยังอธิบดี กรมอัยการเพื่อชี้ขาด  แต่ถ้าคดีจะขาดอายุความ หรือมี
เหตุอย่างอื่นอันจำเป็นจะต้องรีบฟ้อง  ก็ให้ฟ้องคดีนั้นตามความเห็นของอธิบดีกรมตำรวจ
รองอธิบดีกรมตำรวจ  ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ  หรือผู้ว่าราชการจังหวัดไปก่อน
	บทบัญญัติในมาตรานี้ ให้นำมาบังคับในการที่พนักงานอัยการจะอุทธรณ์ ฎีกา หรือถอน
ฟ้อง ถอนอุทธรณ์และถอนฎีกาโดยอนุโลม
	มาตรา 145/1  สำหรับการสอบสวนซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ
ในกรณีที่มีคำสั่งไม่ฟ้องและคำสั่งนั้นไม่ใช่ของอัยการสูงสุด ถ้าในกรุงเทพมหานครให้รีบส่ง
สำนวนการสอบสวนพร้อมกับคำสั่งเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  
หรือผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถ้าในจังหวัดอื่นให้รีบส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมกับคำส่ง
เสนอผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ
แต่ทั้งนี้  มิได้ตัดอำนาจพนักงานอัยการที่จะจัดการอย่างใดแก่ผู้ต้องหาดังบัญญัติไว้ใน มาตรา 143
	ในกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  หรือผู้ช่วย
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในกรุงเทพมหานคร หรือผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการ ซึ่งเป็น
ผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในจังหวัดอื่นแย้งคำสั่งของพนักงานอัยการ   
ให้ส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นที่แย้งกันไปยังอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาด  แต่ถ้าคดีจะขาดอายุความ หรือ
มีเหตุอย่างอื่นอันจำเป็นจะต้องรีบฟ้อง  ก็ให้ฟ้องคดีนั้นตามความเห็นของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการ
ดังกล่าวแล้วแต่กรณีไปก่อน
	บทบัญญัติในมาตรานี้ ให้นำมาบังคับในการที่พนักงานอัยการจะอุทธรณ์ ฎีกา หรือถอน
ฟ้อง ถอนอุทธรณ์และถอนฎีกาโดยอนุโลม
*แก้ไขเพิ่มเติม โดย ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 115/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557
	มาตรา 146  ให้แจ้งคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีให้ผู้ต้องหาและผู้ร้องทุกข์ ทราบ  ถ้าผู้ต้องหาถูก
ควบคุมหรือขังอยู่  ให้จัดการปล่อยตัวไปหรือขอให้ศาลปล่อยแล้วแต่กรณี
	เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องแล้ว ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือผู้มีส่วนได้เสีย
มีสิทธิร้องขอต่อพนักงานอัยการเพื่อขอทราบสรุปพยานหลักฐานพร้อมความเห็นของพนักงานสอบสวน
และพนักงานอัยการในการสั่งคดี ทั้งนี้ ภายในกำหนดอายุความฟ้องร้อง
	**วรรคสอง เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2547”
	มาตรา 147  เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว  ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นใน
เรื่องเดียวกันนั้นอีก เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหา
นั้นได้

	หมวด 2
	การชันสูตรพลิกศพ

	มาตรา 148  เมื่อปรากฏแน่ชัดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลใดตาย โดยผิดธรรมชาติ 
หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ให้มีการชันสูตรพลิกศพ  เว้นแต่ตายโดย
การประหารชีวิตตามกฎหมาย
	การตายโดยผิดธรรมชาตินั้น  คือ
	(1)  ฆ่าตัวตาย
	(2)  ถูกผู้อื่นทำให้ตาย
	(3)  ถูกสัตว์ทำร้ายตาย
	(4)  ตายโดยอุบัติเหตุ
	(5)  ตายโดยยังมิปรากฏเหตุ
	มาตรา 149  ความตายผิดธรรมชาติเกิดมีขึ้น ณ ที่ใด  ให้เป็นหน้าที่ของ สามีภริยา ญาติ 
มิตรสหายหรือผู้ปกครองของผู้ตายที่รู้เรื่องการตายเช่นนั้นจัดการดั่งต่อไปนี้
	(1)  เก็บศพไว้ ณ ที่ซึ่งพบนั้นเองเพียงเท่าที่จะทำได้
	(2)  ไปแจ้งความแก่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจโดยเร็วที่สุด
	หน้าที่ดั่งกล่าวในวรรคต้นนั้นมีตลอดถึงผู้อื่น ซึ่งได้พบศพในที่ซึ่งไม่มีสามีภริยา ญาติ มิตร
สหายหรือผู้ปกครองของผู้ตายอยู่ในที่นั้นด้วย
	ผู้ใดละเลยไม่กระทำหน้าที่ดังบัญญัติไว้ในมาตรานี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
	**แก้ไขความในวรรคสาม โดยมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2542
	มาตรา 150  ในกรณีที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้น
อยู่กับแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ ซึ่งได้รับวุฒิบัตรหรือได้รับหนังสืออนุมัติจากแพทยสภา ทำการชันสูตร
พลิกศพโดยเร็ว ถ้าแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ดังกล่าวไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แพทย์ประจำ
โรงพยาบาลของรัฐปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ประจำโรงพยาบาลของรัฐไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้
แพทย์ประจำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ประจำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
ไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้แพทย์ประจำโรงพยาบาลของเอกชนหรือแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพ
เวชกรรมที่ขึ้นทะเบียนเป็นแพทย์อาสาสมัคร ตามระเบียบของกระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติหน้าที่
และในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวให้แพทย์ประจำโรงพยาบาลของเอกชนหรือแพทย์ผู้ประกอบ
วิชาชีพเวชกรรมผู้นั้น เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ให้พนักงานสอบสวนและ
แพทย์ดังกล่าวทำบันทึกรายละเอียดแห่งการชันสูตรพลิกศพทันที และให้แพทย์ดังกล่าวทำรายงาน
แนบท้ายบันทึกรายละเอียดแห่งการชันสูตรพลิกศพด้วยภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเรื่อง
ถ้ามีความจำเป็นให้ขยายระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสำนวนชันสูตรพลิกศพและในกรณีที่ความตายมิได้
เป็นผลแห่งการกระทำผิดอาญา ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนชันสูตรพลิกศพไปยังพนักงานอัยการ
เมื่อเสร็จสิ้นการชันสูตรพลิกศพโดยเร็ว และให้พนักงานอัยการดำเนินการต่อไปตามมาตรา 156
	ให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนแจ้งแก่ผู้มีหน้าที่ไปทำการชันสูตรพลิกศพทราบ และก่อน
การชันสูตรพลิกศพให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้แทนโดยชอบธรรม
ผู้อนุบาล หรือญาติของผู้ตายอย่างน้อยหนึ่งคนทราบเท่าที่จะทำได้
	ในกรณีที่มีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้า
ที่หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ให้พนักงาน
อัยการและพนักงานฝ่ายปกครองตำแหน่งตั้งแต่ระดับปลัดอำเภอ หรือเทียบเท่าขึ้นไปแห่ง
ท้องที่ที่ศพนั้นอยู่เป็นผู้ชันสูตรพลิกศพร่วมกับพนักงานสอบสวนและแพทย์ตามวรรคหนึ่ง และให้
นำบทบัญญัติในวรรคสองมาใช้บังคับ
	เมื่อได้มีการชันสูตรพลิกศพตามวรรคสามแล้ว ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้พนักงานอัยการ
เข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทำสำนวนชันสูตรพลิกศพให้เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
ถ้ามีความจำเป็นให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวันแต่ต้องบันทึก
เหตุผลและความจำเป็นในการขยายระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสำนวนชันสูตรพลิกศพ
	เมื่อได้รับสำนวนชันสูตรพลิกศพแล้ว ให้พนักงานอัยการทำคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นแห่งท้องที่
ที่ศพนั้นอยู่ เพื่อให้ศาลทำการไต่สวนและทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุ
และพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำร้ายเท่าที่จะทราบได้ ภายใน
สามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับสำนวน ถ้ามีความจำเป็น ให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง
ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้องบันทึกเหตุผลและความจำเป็นในการขยายระยะเวลาทุกครั้งไว้ใน
สำนวนชันสูตรพลิกศพ
	ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า ให้พนักงานสอบสวน
ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานอัยการ
	ในการไต่สวนตามวรรคห้า ให้ศาลปิดประกาศแจ้งกำหนดวันที่จะทำการไต่สวนไว้ที่ศาล
และให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลส่งสำเนาคำร้องและแจ้งกำหนดวันนัดไต่สวน
ให้สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาลหรือญาติของผู้ตายตาม
ลำดับอย่างน้อยหนึ่งคนเท่าที่จะทำได้ทราบก่อนวันนัดไต่สวนไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน และให้พนักงาน
อัยการนำพยานหลักฐานทั้งปวงที่แสดงถึงการตายมาสืบ
	เมื่อศาลได้ปิดประกาศแจ้งกำหนดวันที่จะทำการไต่สวนแล้วและก่อนการไต่สวนเสร็จสิ้น
ให้สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาลหรือญาติของผู้ตายมีสิทธิแต่ง
ตั้งทนายความดำเนินการแทนได้ หากไม่มีทนายความที่ได้รับการแต่งตั้งจากบุคคลดังกล่าวเข้ามา
ในคดี ให้ศาลตั้งทนายความขึ้นเพื่อทำหน้าที่ทนายความฝ่ายญาติผู้ตาย
	เมื่อศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลจะเรียกพยานที่นำสืบมาแล้วมา
สืบเพิ่มเติมหรือเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบก็ได้ และศาลอาจขอให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญ
มาให้ความเห็นเพื่อประกอบการไต่สวนและทำคำสั่ง แต่ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิของผู้นำสืบพยานหลักฐาน
ตามวรรคแปดที่จะขอให้เรียกผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญอื่นมาให้ความเห็นโต้แย้งหรือเพิ่มเติม
ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว
	คำสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้ถึงที่สุด แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิฟ้องร้อง และการ
พิจารณาพิพากษาคดีของศาลหากพนักงานอัยการหรือบุคคลอื่นได้ฟ้องหรือจะฟ้องคดีเกี่ยวกับการ
ตายนั้น
	แพทย์ตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานผู้ได้ทำการชันสูตรพลิกศพและผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญ
ที่ศาลขอให้มาให้ความเห็นตามมาตรานี้มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน หรือค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง
และค่าเช่าที่พัก ตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรมกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
ส่วนทนายความที่ศาลตั้งตามมาตรานี้ มีสิทธิได้รับเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกับทนายความ
ที่ศาลตั้งตามมาตรา 173
	**แก้ไข โดยมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2542
	วรรคสี่ แก้ไขโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2550
	"มาตรา 150 ทวิ ผู้ใดกระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อน
การชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลง
ไป เว้นแต่จำเป็นต้องกระทำเพื่อป้องกันอันตรายแก่อนามัยของประชาชน หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ
อย่างอื่นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสองปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาทหรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือเพื่ออำพรางคดี ผู้กระทำ
ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
	**มาตรา 150 ทวิ เพิ่มเติมโดยมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2542
	มาตรา 151  ในเมื่อมีการจำเป็นเพื่อพบเหตุของการตาย เจ้าพนักงานผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ
มีอำนาจสั่งให้ผ่าศพแล้วแยกธาตุส่วนใดหรือจะให้ส่งทั้งศพหรือบางส่วนไปยังแพทย์หรือพนักงานแยกธาตุ
ของรัฐบาลก็ได้
	มาตรา 152  ให้แพทย์หรือพนักงานแยกธาตุของรัฐบาลปฏิบัติดั่งนี้
	(1)  ทำรายงานถึงสภาพของศพ หรือส่วนของศพ ตามที่พบเห็นหรือตามที่ปรากฏจาก
การตรวจพร้อมทั้งความเห็นในเรื่องนั้น
	(2)  แสดงเหตุที่ตายเท่าที่จะทำได้
	(3)  ลงวันเดือนปีและลายมือชื่อในรายงาน แล้วจัดการส่งไปยังเจ้าพนักงานผู้ทำการ
ชันสูตรพลิกศพ
	มาตรา 153  ถ้าศพฝังไว้แล้ว ให้ผู้ชันสูตรพลิกศพจัดให้ขุดศพขึ้นเพื่อตรวจดู  เว้นแต่จะเห็นว่าไม่จำเป็น
หรือจะเป็นอันตรายแก่อนามัยของประชาชน
	มาตรา 154  ให้ผู้ชันสูตรพลิกศพทำความเห็นเป็นหนังสือแสดงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ผู้ตายคือใคร
ตายที่ไหน เมื่อใด ถ้าตายโดยคนทำร้าย  ให้กล่าวว่าใครหรือสงสัยว่าใครเป็นผู้กระทำผิดเท่าที่จะทราบได้
	มาตรา 155 ให้นำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการสอบสวนมาใช้แก่การชันสูตรพลิก
ศพโดยอนุโลม
	ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 172 ตรี  มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การไต่สวนของศาลตามมาตรา
150 ในคดีที่พยานเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี
	**วรรคสองเพิ่มเติม โดยมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2542
	"มาตรา 155/1 การสอบสวนในกรณีที่มีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงาน
ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่า
ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ หรือในกรณีที่ผู้ตายถูกกล่าวหาว่าต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการ
ตามหน้าที่ ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้พนักงานอัยการเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนในการทำสำนวนสอบสวน
	การทำสำนวนสอบสวนตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้รับผิดชอบโดยพนักงาน
อัยการอาจให้คำแนะนำ ตรวจสอบพยานหลักฐาน ถามปากคำ หรือสั่งให้ถามปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ได้ตั้งแต่เริ่มการทำสำนวนสอบสวนนับแต่โอกาสแรกเท่าที่จะพึงกระทำได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และ
วิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
	ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนและมีเหตุอันควรไม่อาจรอพนักงานอัยการเข้าร่วมในการทำสำนวนสอบสวน
ให้พนักงานสอบสวนทำสำนวนต่อไปได้ แต่ต้องบันทึกเหตุที่ไม่อาจรอพนักงานอัยการไว้ในสำนวน
และถือว่าเป็นการทำสำนวนสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย
	*มาตรา 155/1 เพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2550
	มาตรา 156  ให้ส่งสำนวนชันสูตรพลิกศพในกรณีที่ความตายมิได้เป็นผลแห่งการกระทำผิดอาญาไปยัง
ข้าหลวงประจำจังหวัด

	ภาค 3
	วิธีพิจารณาในศาลชั้นต้น
	ลักษณะ 1
	ฟ้องคดีอาญาและไต่สวนมูลฟ้อง

	มาตรา 157  การฟ้องคดีอาญาให้ยื่นฟ้องต่อศาลใดศาลหนึ่งที่มีอำนาจ ตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายนี้  หรือกฎหมายอื่น
	มาตรา 158  ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ และมี
	(1)  ชื่อศาลและวันเดือนปี
	(2)  คดีระหว่างผู้ใดโจทก์  ผู้ใดจำเลย  และฐานความผิด
	(3)  ตำแหน่งพนักงานอัยการผู้เป็นโจทก์ ถ้าราษฎรเป็นโจทก์ให้ใส่ ชื่อตัว นามสกุล อายุ
ที่อยู่ ชาติและบังคับ
	(4)  ชื่อตัว นามสกุล ที่อยู่ ชาติและบังคับของจำเลย
	(5)  การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับ
เวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ  อีกทั้งบุคคล หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะ
ให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี
	ในคดีหมิ่นประมาท  ถ้อยคำพูด  หนังสือ  ภาพขีดเขียนหรือสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับข้อหมิ่น
ประมาทให้กล่าวไว้โดยบริบูรณ์หรือติดมาท้ายฟ้อง
	(6)  อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด
	(7)  ลายมือชื่อโจทก์  ผู้เรียง  ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง
	มาตรา 159  ถ้าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษเพราะได้กระทำความผิดมาแล้ว เมื่อโจทก์
ต้องการให้เพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบ  ให้กล่าวมาในฟ้อง
	ถ้ามิได้ขอเพิ่มโทษมาในฟ้อง ก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์จะยื่นคำร้องขอเพิ่มเติม
ฟ้อง เมื่อศาลเห็นสมควรจะอนุญาตก็ได้
	มาตรา 160  ความผิดหลายกระทงจะรวมในฟ้องเดียวกันก็ได้  แต่ให้แยกกระทงเรียงเป็นลำดับกันไป
	ความผิดแต่ละกระทงจะถือว่าเป็นข้อหาแยกจากข้อหาอื่นก็ได้   ถ้าศาลเห็นสมควรจะสั่ง
ให้แยกสำนวนพิจารณาความผิดกระทงใด หรือหลายกระทงต่างหาก และจะสั่งเช่นนี้ก่อนพิจารณา
หรือในระหว่างพิจารณาก็ได้
	มาตรา 161  ถ้าฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ศาลสั่งโจทก์แก้ฟ้องให้ ถูกต้อง  หรือยกฟ้อง  หรือไม่
ประทับฟ้อง
	โจทก์มีอำนาจอุทธรณ์คำสั่งเช่นนั้นของศาล
	มาตรา 161/1 ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ หากความปรากฏต่อศาลเองหรือมีพยานหลักฐานที่
ศาลเรียกมาว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่สุจริตหรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลย
หรือโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ ให้ศาลยกฟ้อง และห้ามมิให้โจทก์ยื่นฟ้อง
ในเรื่องเดียวกันนั้นอีก
	การฟ้องคดีโดยไม่สุจริตตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงการที่โจทก์จงใจฝ่าฝืนคำสั่งหรือ
คำพิพากษาของศาลในคดีอาญาอื่นซึ่งถึงที่สุดแล้วโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรด้วย”
	*มาตรา 161/1 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 
(ฉบับที่ 34) พ.ศ. 2562

	มาตรา 162  ถ้าฟ้องถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ให้ศาลจัดการสั่งต่อไปนี้
	(1)  ในคดีราษฎรเป็นโจทก์  ให้ไต่สวนมูลฟ้อง แต่ถ้าคดีนั้นพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลย
โดยข้อหาอย่างเดียวกันด้วยแล้วให้จัดการตาม อนุมาตรา (2)
	(2)  ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้อง  แต่ถ้าเห็นสมควรจะสั่ง
ให้ไต่สวนมูลฟ้องก่อนก็ได้
	ในกรณีที่มีการไต่สวนมูลฟ้องดั่งกล่าวแล้ว  ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพ   ให้ศาลประทับ
ฟ้องไว้พิจารณา
	มาตรา 163  เมื่อมีเหตุอันควร โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลขอแก้  หรือเพิ่มเติมฟ้องก่อนมีคำ
พิพากษาศาลชั้นต้น ถ้าศาลเห็นสมควรจะอนุญาต  หรือจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนก็ได้ เมื่อ
อนุญาตแล้วให้ส่งสำเนาแก้ฟ้องหรือฟ้องเพิ่มเติมแก่จำเลยเพื่อแก้ และศาลจะสั่งแยกสำนวน
พิจารณาฟ้องเพิ่มเติมนั้นก็ได้
	เมื่อมีเหตุอันควรจำเลยอาจยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การของเขาก่อนศาล
พิพากษา ถ้าศาลเห็นสมควรอนุญาต ก็ให้ส่งสำเนาแก่โจทก์
	มาตรา 164  คำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องนั้น ถ้าจะทำให้จำเลยเสีย เปรียบในการต่อสู้คดี ห้ามมิให้
ศาลอนุญาต แต่การแก้ฐานความผิดหรือรายละเอียดซึ่งต้องแถลงในฟ้องก็ดี  การเพิ่มเติมฐาน
ความผิดหรือรายละเอียดซึ่งมิได้กล่าวไว้ก็ดี ไม่ว่าจะทำเช่นนี้ในระยะใดระหว่างพิจารณาในศาลชั้น
ต้น มิให้ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบ  เว้นแต่จำเลยได้หลงต่อสู้ในข้อที่ผิดหรือที่มิได้กล่าวไว้นั้น
	มาตรา 165  ในคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ในวันไต่สวนมูลฟ้อง ให้จำเลยมาหรือคุมตัวมาศาล
ให้ศาลส่งสำเนาฟ้องแก่จำเลยรายตัวไป  เมื่อศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริงแล้ว  ให้อ่านและอธิบายฟ้อง
ให้ฟังและถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง  คำให้การของจำเลยให้จดไว้
ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การ ก็ให้ศาลจดรายงานไว้ และดำเนินการต่อไป
	จำเลยไม่มีอำนาจนำพยานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการตัดสิทธิในการที่
จำเลยจะมีทนายมาช่วยเหลือ
	ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ ศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลย  ให้ศาลส่งสำเนาฟ้อง
แก่จำเลยรายตัวไป กับแจ้งวันนัดไต่สวนให้จำเลยทราบ จำเลยจะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้อง โดยตั้ง
ทนายให้ซักค้านพยานโจทก์ด้วยหรือไม่ก็ได้  หรือจำเลยจะไม่มาแต่ตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์
ก็ได้ ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลย และก่อนที่ศาลประทับฟ้องมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2499
	มาตรา 165/1 ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปี
ในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ในการไต่สวนมูลฟ้องตามมาตรา 165 ถ้าจำเลยมาศาลเมื่อใด และจำเลย
ไม่มีทนายความ ก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
	ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก ในการไต่สวนมูลฟ้องตามมาตรา 165 ถ้าจำเลยมาศาลเมื่อใด
ให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการทนายความ ก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
	ให้ศาลจ่ายเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายแก่ทนายความที่ศาลตั้งตามมาตรานี้ โดยคำนึงถึงสภาพแห่งคดี
และสภาวะทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนดโดยความเห็นชอบ
จากกระทรวงการคลัง
	**มาตรา 165/1 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 33) พ.ศ. 2562
	มาตรา 165/2 ในการไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยอาจแถลงให้ศาลทราบถึงข้อเท็จจริงหรือ
ข้อกฎหมายอันสำคัญที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูล และจะระบุในคำแถลงถึงตัวบุคคล เอกสาร หรือวัตถุที่
จะสนับสนุนข้อเท็จจริงตามคำแถลงของจำเลยด้วยก็ได้ กรณีเช่นว่านี้ ศาลอาจเรียกบุคคล เอกสาร
หรือวัตถุดังกล่าวมาเป็นพยานศาลเพื่อประกอบการวินิจฉัยสั่งคดีได้ตามที่จำเป็นและสมควร โดยโจทก์
และจำเลยอาจถามพยานศาลได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาล
	**มาตรา 165/2 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 33) พ.ศ. 2562
	มาตรา 166  ถ้าโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัด ให้ศาลยกฟ้องเสีย  แต่ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุสมควร
จึ่งมาไม่ได้ จะสั่งเลื่อนคดีไปก็ได้
	คดีที่ศาลได้ยกฟ้องดั่งกล่าวแล้ว ถ้าโจทก์มาร้องภายในสิบห้าวัน  นับแต่วันศาลยกฟ้อง
นั้น โดยแสดงให้ศาลเห็นได้ว่ามีเหตุสมควรจึ่งมาไม่ได้  ก็ให้ศาลยกคดีนั้นขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่
	ในคดีที่ศาลยกฟ้องดั่งกล่าวแล้ว จะฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ แต่ถ้าศาลยก
ฟ้องเช่นนี้ในคดีซึ่งราษฎรเท่านั้นเป็นโจทก์   ไม่ตัดอำนาจพนักงานอัยการฟ้องคดีนั้นอีก เว้นแต่จะ
เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว
	มาตรา 167  ถ้าปรากฏว่าคดีมีมูล ให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไป เฉพาะกระทงที่มีมูล 
ถ้าคดีไม่มีมูล  ให้พิพากษายกฟ้อง
	คำสั่งของศาลที่ว่าคดีมีมูลให้แสดงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายพร้อมเหตุผลประกอบ
ตามสมควรด้วย
	**วรรคสองของมาตรา 167 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 33) พ.ศ. 2562
	มาตรา 168  เมื่อศาลประทับฟ้องแล้ว  ให้ส่งสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยรายตัวไป เว้นแต่จำเลย
จะได้รับสำเนาฟ้องไว้ก่อนแล้ว
	มาตรา 169  เมื่อศาลประทับฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัวจำเลยมา   ให้ศาลออกหมายเรียกหรือ
หมายจับมาแล้วแต่ควรอย่างใดเพื่อพิจารณาต่อไป
	มาตรา 170  คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด แต่คำสั่งที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้น โจทก์มี
อำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา
	ถ้าโจทก์ร้องขอ ศาลจะขังจำเลยไว้หรือปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ฎีกาก็ได้
	มาตรา 171  ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการสอบสวนและการพิจารณา  เว้นแต่ มาตรา 175 มา
บังคับแก่การไต่สวนมูลฟ้องโดยอนุโลม
	ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 133 ทวิ และมาตรา 172 ตรี มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การไต่สวน
มูลฟ้องในคดีที่พยานเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี ทั้งในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์และในคดีที่พนักงาน
อัยการเป็นโจทก์
	**เพิ่มเติมความในวรรคสอง โดยมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2542

	ลักษณะ 2
	การพิจารณา

	มาตรา 172  การพิจารณาและสืบพยานในศาล ให้ทำโดยเปิดเผยต่อ หน้าจำเลย เว้นแต่บัญญัติ
ไว้เป็นอย่างอื่น
	เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลแล้วและศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง
ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง
คำให้การของจำเลยให้จดไว้  ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การ ก็ให้ศาลจดรายงานไว้และดำเนินการ
พิจารณาต่อไป
	ในการสืบพยาน เมื่อได้พิเคราะห์ถึงเพศ อายุ ฐานะ สุขภาพอนามัย ภาวะแห่งจิตของพยาน
หรือความเกรงกลัวที่พยานมีต่อจำเลยแล้ว จะดำเนินการโดยไม่ให้พยานเผชิญหน้าโดยตรงกับจำเลยก็ได้
ซึ่งอาจกระทำโดยการใช้โทรทัศน์วงจรปิด สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีอื่นตามที่กำหนดในข้อบังคับของ
ประธานศาลฎีกา และจะให้สอบถามผ่านนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ หรือบุคคลอื่นที่พยาน
ไว้วางใจด้วยก็ได้
	ในการสืบพยาน ให้มีการบันทึกคำเบิกความพยานโดยใช้วิธีการบันทึกลงในวัสดุ ซึ่งสามารถ
ถ่ายทอดออกเป็นภาพและเสียงซึ่งสามารถตรวจสอบถึงความถูกต้องของการบันทึกได้ และให้ศาลอุทธรณ์
ศาลฎีกาใช้การบันทึกดังกล่าวประกอบการพิจารณาคดีด้วย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข
ที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
	ข้อบังคับของประธานศาลฎีกาตามวรรคสามและวรรคสี่ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่
ของศาลฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้”
	**วรรคสาม วรรคสี่และวรรคห้าของมาตรา 172  เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉบับที่ 28 พ.ศ. 2551
	"มาตรา 172 ทวิ ภายหลังที่ศาลได้ดำเนินการตาม มาตรา 172 วรรค 2 แล้ว  เมื่อศาลเห็น
เป็นการสมควรเพื่อให้การดำเนินการพิจารณาเป็นไปโดยไม่ชักช้า ศาลมีอำนาจพิจารณาและสืบ
พยานลับหลังจำเลยได้ในกรณีดังต่อไปนี้
	(1)  ในคดีมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสิบปี จะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม หรือในคดี
มีโทษปรับสถานเดียว  เมื่อจำเลยมีทนายและจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลที่จะไม่มาฟังการ
พิจารณาและการสืบพยาน
	(2)  ในคดีที่มีจำเลยหลายคน ถ้าศาลพอใจตามคำแถลงของโจทก์ว่า การพิจารณาและ
การสืบพยานตามที่โจทก์ขอให้กระทำไม่เกี่ยวแก่จำเลยคนใด ศาลจะพิจารณาและสืบพยานลับหลัง
จำเลยคนนั้นก็ได้
	(3)  ในคดีที่มีจำเลยหลายคน   ถ้าศาลเห็นสมควรจะพิจารณาและสืบพยานจำเลยคน
หนึ่งๆ ลับหลังจำเลยคนอื่นก็ได้
	(4) จำเลยไม่อาจมาฟังการพิจารณาและสืบพยานได้เนื่องจากความเจ็บป่วยหรือมีเหตุจำเป็น
อย่างอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ เมื่อจำเลยมีทนายความและจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลที่จะไม่มาฟัง
การพิจารณาและสืบพยาน
	(5) ในระหว่างการพิจารณาและสืบพยาน ศาลมีคำสั่งให้จำเลยออกจากห้องพิจารณาเพราะ
เหตุขัดขวางการพิจารณา หรือจำเลยออกจากห้องพิจารณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล
	ในคดีที่ศาลพิจารณาและสืบพยานตาม (2) หรือ (3) ลับหลังจำเลยคนใด ไม่ว่ากรณีจะ
เป็นประการใด ห้ามมิให้ศาลรับฟังการพิจารณา  และการสืบพยานที่กระทำลับหลังนั้นเป็นผลเสีย
หายแก่จำเลยคนนั้น
	**(4) และ (5) ของมาตรา 172 ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 33) พ.ศ.2562
	มาตรา 172 ทวิ/1 ภายหลังที่ศาลได้ดำเนินการตามมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว
เมื่อศาลเห็นว่าจำเลยหลบหนีหรือไม่มาฟังการพิจารณาและสืบพยานโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ศาล
ออกหมายจับจำเลย หากไม่ได้ตัวจำเลยมาภายในสามเดือนนับแต่วันออกหมายจับ เมื่อศาลเห็นเป็น
การสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะให้การพิจารณาเป็นไปโดยไม่ชักช้า และจำเลยมีทนายความ
ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยได้ และเมื่อศาลพิจารณาคดีเสร็จแล้ว ให้ศาล
มีคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไป
	การพิจารณาและสืบพยานตามวรรคหนึ่งต้องมิใช่คดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือคดีที่จำเลย
มีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล
	**มาตรา 172 ทวิ/1 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 33) พ.ศ.2562
	มาตรา 172 ทวิ/2 ในคดีที่จำเลยเป็นนิติบุคคล ภายหลังที่ศาลได้ดำเนินการตามมาตรา 172
วรรคสอง แล้ว เมื่อมีกรณีที่ศาลได้ออกหมายจับผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นแล้ว แต่ยังจับตัว
มาไม่ได้ภายในสามเดือนนับแต่วันออกหมายจับ และไม่มีผู้แทนอื่นของนิติบุคคลมาดำเนินการแทน
นิติบุคคลนั้นได้ เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะให้การพิจารณาเป็นไป
โดยไม่ชักช้า ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยได้ และเมื่อศาลพิจารณาคดีเสร็จแล้ว
ให้ศาลมีคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไป
	**มาตรา 172 ทวิ/2 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 33) พ.ศ.2562
	“มาตรา 172 ตรี เว้นแต่ในกรณีที่จำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน ในการสืบพยานที่เป็นเด็กอายุ
ไม่เกินสิบแปดปี ให้ศาลจัดให้พยานอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก และศาลอาจปฏิบัติอย่างใด
อย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
	(1) ศาลเป็นผู้ถามพยานเอง โดยแจ้งให้พยานนั้นทราบประเด็นและข้อเท็จจริงซึ่งต้องการสืบ
แล้วให้พยานเบิกความในข้อนั้น ๆ หรือศาลจะถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ก็ได้
	(2) ให้คู่ความถาม ถามค้าน หรือถามติงผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์
ในการเบิกความของพยานดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง ให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงไปยังห้อง
พิจารณาด้วย และเป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องแจ้งให้นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ทราบ
ก่อนการสืบพยานตามวรรคหนึ่ง ถ้าศาลเห็นสมควรหรือถ้าพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี
หรือคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอโดยมีเหตุผลอันสมควรซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าจะเป็นผลร้ายแก่เด็ก
ถ้าไม่อนุญาตตามที่ร้องขอ ให้ศาลจัดให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงคำให้การของผู้เสียหายหรือพยาน
ที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีที่ได้บันทึกไว้ในชั้นสอบสวนตามมาตรา 133 ทวิ หรือชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
ตามมาตรา 171 วรรคสอง ต่อหน้าคู่ความและในกรณีเช่นนี้ให้ถือสื่อภาพและเสียงคำให้การของพยาน
ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของคำเบิกความของพยานนั้นในชั้นพิจารณาของศาล โดยให้คู่ความถามพยาน
เพิ่มเติม ถามค้านหรือถามติงพยานได้ ทั้งนี้ เท่าที่จำเป็นและภายในขอบเขตที่ศาลเห็นสมควร
ในกรณีที่ไม่ได้ตัวพยานมาเบิกความตามวรรคหนึ่งเพราะมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งให้ศาลรับฟังสื่อ
ภาพและเสียงคำให้การของพยานนั้นในชั้นสอบสวนตามมาตรา 133 ทวิ หรือชั้นไต่สวนมูลฟ้องตาม
มาตรา 171 วรรคสอง เสมือนหนึ่งเป็นคำเบิกความของพยานนั้นในชั้นพิจารณาของศาล และให้ศาลรับฟัง
ประกอบพยานอื่นในการพิจารณาพิพากษาคดีได้”
	"มาตรา 172 จัตวา  ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 172 ตรี มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสืบพยาน
นอกศาลในคดีที่พยานเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี
	**มาตรา 172 ทวิ (1) แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2527
	**มาตรา 172 จัตวา เพิ่มเติมโดยมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2542
	**มาตรา 172 ตรี แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2550
	มาตรา 173  ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปี
ในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ก่อนเริ่มพิจารณา  ให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้ง
ทนายความให้
	ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก  ก่อนเริ่มพิจารณา ให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มี
และจำเลยต้องการทนายความ ก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
	ให้ศาลจ่ายเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายแก่ทนายความที่ศาลตั้งตามมาตรานี้  โดยคำนึงถึงสภาพ
แห่งคดี และสภาวะทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนดโดยความเห็น
ชอบจากกระทรวงการคลัง
	"มาตรา 173/1 เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่องและเป็นธรรม
ในคดีที่จำเลยไม่ไห้การหรือปฏิเสธ เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอหรือศาลเห็นสมควร
ศาลอาจกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐานก่อนกำหนดวันนัดสืบพยานก็ได้ โดยแจ้งให้คู่ความทราบ
ล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน
	ก่อนวันตรวจพยานหลักฐานตามวรรคหนึ่งไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ให้คู่ความยื่นบัญชีระบุพยานต่อ
ศาลพร้อมสำเนาในจำนวนที่เพียงพอ เพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นรับไปจากเจ้าพนักงานศาล และถ้าคู่ความฝ่ายใด
มีความจำนงจะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ให้ยื่นต่อศาลก่อนตรวจพยานหลักฐานเสร็จสิ้น
	การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเมื่อล่วงพ้นระยะเวลาตามวรรคสองจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับ
อนุญาตจากศาล เมื่อผู้ร้องขอแสดงเหตุอันสมควรว่าไม่สามารถทราบถึงพยานหลักฐานนั้นหรือเป็นกรณี
จำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม หรือเพื่อให้โอกาสแก่จำเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
	ถ้าพยานเอกสารหรือพยานวัตถุใดอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก ให้คู่ความที่
ประสงค์จะอ้างอิงขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกพยานเอกสารหรือพยานวัตถุดังกล่าวมาจากผู้ครอบครองโดยยื่น
คำขอต่อศาลพร้อมกับการยื่นบัญชีระบุพยาน เพื่อให้ได้พยานเอกสารหรือพยานวัตถุนั้นมาก่อนวันตรวจ
พยานหลักฐานหรือวันที่ศาลกำหนด
	"มาตรา 173/2 ในวันตรวจพยานหลักฐาน ให้คู่ความส่งพยานเอกสารและพยานวัตถุ
ที่ยังอยู่ในความครอบครองของตนต่อศาลเพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตรวจสอบ เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่ง
เป็นอย่างอื่นอันเนื่องจากสภาพและความจำเป็นแห่งพยานหลักฐานนั้นเอง หรือพยานหลักฐานนั้น
เป็นบันทึกคำให้การของพยาน หลังจากนั้นให้คู่ความแต่ละฝ่ายแถลงแนวทางการเสนอพยานหลักฐาน
ต่อศาล และให้ศาลสอบถามคู่ความถึงความเกี่ยวข้องกับประเด็นและความจำเป็นที่ต้องสืบพยานหลักฐาน
ที่อ้างอิงตลอดจนการยอมรับพยานหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่ง เสร็จแล้วให้ศาลกำหนดวันสืบพยาน และแจ้ง
ให้คู่ความทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ในกรณีที่โจทก์ไม่มาศาลในวันตรวจสอบพยานหลักฐานให้นำ
บทบัญญัติมาตรา 166 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
	ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เมื่อศาลเห็นสมควรหรือคู่ความฝ่ายใด
ฝ่ายใดร้องขอ ศาลจะมีคำสั่งให้สืบพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดีไว้ล่วงหน้าก่อนถึงกำหนด
วันนัดสืบพยานก็ได้"
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉบับที่ 22
พ.ศ. 2547”
	มาตรา 174  ก่อนนำพยานเข้าสืบ  โจทก์มีอำนาจเปิดคดีเพื่อให้ศาลทราบคดีโจทก์  คือแถลงถึง
ลักษณะของฟ้อง อีกทั้งพยานหลักฐานที่จะนำสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยเสร็จแล้วให้โจทก์
นำพยานเข้าสืบ
	เมื่อสืบพยานโจทก์แล้ว จำเลยมีอำนาจเปิดคดีเพื่อให้ศาลทราบคดีจำเลย โดยแถลง
ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายซึ่งตั้งใจอ้างอิงทั้งแสดงพยานหลักฐานที่จะนำสืบ เสร็จแล้วให้จำเลยนำ
พยานเข้าสืบ
	เมื่อสืบพยานจำเลยเสร็จแล้ว โจทก์และจำเลยมีอำนาจแถลงปิดคดีของตนด้วยปาก  หรือ
หนังสือ  หรือทั้งสองอย่างในระหว่างพิจารณา  ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยาน หรือทำการ
อะไรอีก จะสั่งงดพยานหรือการนั้นเสียก็ได้
	มาตรา 175  เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว ถ้าเห็นสมควรศาลมีอำนาจ เรียกสำนวนการสอบสวนจาก
พนักงานอัยการมาเพื่อประกอบการวินิจฉัยได้
	มาตรา 176  ในชั้นพิจารณา ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยาน
หลักฐานต่อไปก็ได้ เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิด ซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น  กฎหมายกำหนดอัตรา
โทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานโจทก์จน
กว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง
	ในคดีที่มีจำเลยหลายคน และจำเลยบางคนรับสารภาพเมื่อศาลเห็นสมควรจะสั่งจำหน่าย
คดี สำหรับจำเลยที่ปฏิเสธเพื่อให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ปฏิเสธนั้นเป็นคดีใหม่ภายในเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้
	มาตรา 177  ศาลมีอำนาจสั่งให้พิจารณาเป็นการลับ เมื่อเห็นสมควร โดยพลการหรือโดยคำร้อง
ขอของคู่ความฝ่ายใด แต่ต้องเพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือ
เพื่อป้องกันความลับอันเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศมิให้ล่วงรู้ถึงประชาชน
	มาตรา 178  เมื่อมีการพิจารณาเป็นการลับ  บุคคลเหล่านี้เท่านั้นมีสิทธิอยู่ในห้องพิจารณาได้ คือ
	(1)  โจทก์และทนาย
	(2)  จำเลยและทนาย
	(3)  ผู้ควบคุมตัวจำเลย
	(4)  พยานและผู้ชำนาญการพิเศษ
	(5)  ล่าม
	(6)  บุคคลผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องและได้รับอนุญาตจากศาล
	(7)  พนักงานศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแก่ศาล  แล้วแต่จะเห็นสมควร
	มาตรา 179  ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ศาลจะดำเนินการพิจารณาตลอด
ไปจนเสร็จโดยไม่เลื่อนก็ได้
	ถ้าพยานไม่มา หรือมีเหตุอื่นอันควรต้องเลื่อนการพิจารณา ก็ให้ศาลเลื่อนคดีไปตามที่เห็น
สมควร
	มาตรา 180  ให้นำบทบัญญัติเรื่องรักษาความเรียบร้อยในศาลใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
แพ่งมาบังคับแก่การพิจารณาคดีอาญาโดยอนุโลม  แต่ห้ามมิให้สั่งให้จำเลยออกจากห้องพิจารณา
เว้นแต่จำเลยขัดขวางการพิจารณา
	มาตรา 181  ให้นำบทบัญญัติใน มาตรา 139 และ 166  มาบังคับแก่การพิจารณาโดยอนุโลม

	ลักษณะ 3
	คำพิพากษาและคำสั่ง

	มาตรา 182  คดีที่อยู่ในระหว่างไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา ถ้ามีคำร้องระหว่างพิจารณา
ขึ้นมา ให้ศาลสั่งตามที่เห็นควร เมื่อการพิจารณาเสร็จแล้ว ให้พิพากษาหรือสั่งตามรูปความ
	ให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งในศาลโดยเปิดเผยในวันเสร็จการพิจารณา หรือภายในเวลา
สามวันนับแต่เสร็จคดี ถ้ามีเหตุอันสมควร จะเลื่อนไปอ่านวันอื่นก็ได้ แต่ต้องจดรายงานเหตุนั้นไว้
	เมื่อศาลอ่านให้คู่ความฟังแล้ว ให้คู่ความลงลายมือชื่อไว้ ถ้าเป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่
มา จะอ่านโดยโจทก์ไม่อยู่ก็ได้ ในกรณีที่จำเลยไม่อยู่  โดยไม่มีเหตุสงสัยว่าจำเลยหลบหนีหรือจงใจ
ไม่มาฟัง ก็ให้ศาลรอการอ่านไว้จนกว่าจำเลยจะมาศาล แต่ถ้ามีเหตุสงสัยว่าจำเลยหลบหนีหรือจง
ใจไม่มาฟัง  ให้ศาลออกหมายจับจำเลย เมื่อได้ออกหมายจับแล้วไม่ได้ตัวจำเลยมาภายในหนึ่ง
เดือนนับแต่วันออกหมายจับ ก็ให้ศาลอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งลับหลังจำเลยได้ และให้ถือว่า
โจทก์หรือจำเลยแล้วแต่กรณีได้ฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นแล้ว
	ในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งต้องเลื่อนอ่านไปโดยขาดจำเลยบางคน  ถ้าจำเลยที่อยู่จะ
ถูกปล่อย ให้ศาลมีอำนาจปล่อยชั่วคราวระหว่างรออ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2499
	มาตรา 183  คำพิพากษา หรือคำสั่งหรือความเห็นแย้งต้องทำเป็น หนังสือลงลายมือชื่อ
ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณา ผู้พิพากษาใดที่นั่งพิจารณา  ถ้าไม่เห็นพ้องด้วย มีอำนาจทำความเห็นแย้ง 
คำแย้งนี้ให้รวมเข้าสำนวนไว้
	มาตรา 184  ในการประชุมปรึกษาเพื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง  ให้อธิบดีผู้พิพากษา  
ข้าหลวงยุติธรรมหัวหน้าผู้พิพากษาในศาลนั้น หรือเจ้าของสำนวนเป็นประธาน ถามผู้พิพากษา
ที่นั่งพิจารณาทีละคนให้ออกความเห็นทุกประเด็นที่จะวินิจฉัย ให้ประธานออกความเห็นสุดท้าย 
การวินิจฉัยให้ถือตามเสียงข้างมาก ถ้าในปัญหาใดมีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่ายหรือเกินกว่า
สองฝ่ายขึ้นไป จะหาเสียงข้างมากมิได้  ให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมาก 
ยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า
	มาตรา 185  ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี  การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด
ก็ดี  คดีขาดอายุความแล้วก็ดี  มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษก็ดี  ให้ศาลยกฟ้องโจทก์
ปล่อยจำเลยไป  แต่ศาลจะสั่งขังจำเลยไว้หรือปล่อยชั่วคราวระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดก็ได้
	เมื่อศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำผิด และไม่มีการยกเว้นโทษตามกฎหมาย  ให้ศาลลงโทษ
แก่จำเลยตามความผิด แต่เมื่อเห็นสมควรศาลจะปล่อย จำเลยชั่วคราวระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดก็ได้
	มาตรา 186  คำพิพากษาหรือคำสั่งต้องมีข้อสำคัญเหล่านี้เป็นอย่างน้อย
	(1)  ชื่อศาลและวันเดือนปี
	(2)  คดีระหว่างใครโจทก์  ใครจำเลย
	(3)  เรื่อง
	(4)  ข้อหาและคำให้การ
	(5)  ข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความ
	(6)  เหตุผลในการตัดสินทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
	(7)  บทมาตราที่ยกขึ้นปรับ
	(8)  คำชี้ขาดให้ยกฟ้องหรือลงโทษ
	(9)  คำวินิจฉัยของศาลในเรื่องของกลาง  หรือในเรื่องฟ้องทางแพ่ง
	คำพิพากษาในคดีที่เกี่ยวกับความผิดลหุโทษ ไม่จำต้องมี อนุมาตรา (4) (5) และ (6)
	มาตรา 187คำสั่งระหว่างพิจารณาอย่างน้อยต้องมี
	(1)  วัน เดือน ปี
	(2)  เหตุผลตามกฎหมายในการสั่ง
	(3)  คำสั่ง
	มาตรา 188  คำพิพากษาหรือคำสั่งมีผลตั้งแต่วันที่ได้อ่านในศาลโดยเปิดเผยเป็นต้นไป
	มาตรา 189  เมื่อจำเลยซึ่งต้องคำพิพากษาให้ลงโทษเป็นคนยากจนขอสำเนาคำพิพากษาซึ่งรับรองว่า
ถูกต้อง ให้ศาลคัดสำเนาให้หนึ่งฉบับโดยไม่คิดค่าธรรมเนียม
	มาตรา 190  ห้ามมิให้แก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งอ่านแล้วนอกจากแก้ถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิด
พลาด
	มาตรา 191  เมื่อเกิดสงสัยในการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง  ถ้าบุคคลใดที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง
ร้องต่อศาลซึ่งพิพากษาหรือสั่ง ให้ศาลนั้นอธิบายให้แจ่มแจ้ง
	มาตรา 192  ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
	ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดั่งที่กล่าวใน
ฟ้อง  ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้
ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
	ในกรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด เช่น  เกี่ยวกับเวลา  หรือสถานที่กระทำ
ความผิด  หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้
ยักยอก  รับของโจร  และทำให้เสียทรัพย์  หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาท
มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งมิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือ
เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลย
หลงต่อสู้ แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์
ฟ้องไม่ได้
	ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงบางข้อดั่งกล่าวในฟ้อง และตามที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใช่
เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้น ๆ
	ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบท
มาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้
	ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่
ในตัวเอง  ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้
	**วรรคสาม แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2532

	ภาค 4
	อุทธรณ์และฎีกา
	ลักษณะ 1
	อุทธรณ์
	หมวด 1
	หลักทั่วไป

	มาตรา 193  คดีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ให้อุทธรณ์ไป
ยังศาลอุทธรณ์  เว้นแต่จะถูกห้ามอุทธรณ์โดยประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น
	อุทธรณ์ทุกฉบับต้องระบุข้อเท็จจริงโดยย่อ หรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นลำดับ
	"มาตรา 193 ทวิ ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง ในคดีซึ่งอัตรา
โทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี  หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้ง
ปรับเว้นแต่กรณีต่อไปนี้ให้จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
	(1)  จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกหรือให้ลงโทษกักขังแทนโทษจำคุก
	(2)  จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก แต่ศาลรอการลงโทษไว้
	(3)  ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด  แต่รอการกำหนดโทษไว้ หรือ
	(4)  จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษปรับเกินกว่าหนึ่งพันบาท
	"มาตรา 193 ตรี ในคดีซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตาม มาตรา 193 ทวิ  ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณา
หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้น พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็น
ปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลอุทธรณ์ และอนุญาตให้อุทธรณ์ หรืออธิบดีกรมอัยการหรือพนักงานอัยการซึ่ง
อธิบดีกรมอัยการได้มอบหมายลงลายมือชื่อรับรองในอุทธรณ์ว่ามีเหตุอันควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้
วินิจฉัย  ก็ให้รับอุทธรณ์นั้นไว้พิจารณาต่อไป
	**มาตรา 193 ทวิ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2532
	**มาตรา 193 ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517
	มาตรา 194  ถ้ามีอุทธรณ์แต่ในปัญหาข้อกฎหมาย  ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นๆ ศาลอุทธรณ์
จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
	มาตรา 195  ข้อกฎหมายทั้งปวงอันคู่ความอุทธรณ์ร้องอ้างอิงให้แสดงไว้โดยชัดเจนในฟ้องอุทธรณ์
แต่ต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น
	ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หรือที่เกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ
แห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยอุทธรณ์เหล่านี้ผู้อุทธรณ์หรือศาลยกขึ้นอ้างได้ แม้ว่าจะไม่ได้ยก
ขึ้นในศาลชั้นต้นก็ตาม
	มาตรา 196  คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน  ห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่ง
นั้นจนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญ  และมีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นด้วย
	มาตรา 197  เหตุที่มีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งฉบับหนึ่งแล้วหาเป็นผลตัดสิทธิผู้อื่น
ซึ่งมีสิทธิอุทธรณ์ จะอุทธรณ์ด้วยไม่
	มาตรา 198  การยื่นอุทธรณ์ ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นในกำหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันอ่าน
หรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟัง
	ให้เป็นหน้าที่ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ว่า ควรจะรับส่งขึ้นไปยังศาลอุทธรณ์ หรือไม่ ตาม
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ถ้าเห็นว่าไม่ควรรับ ให้จดเหตุผลไว้ในคำสั่งของศาลนั้นโดยชัดเจน
	ในกรณีที่ตามคำพิพากษาจำเลยต้องรับโทษจำคุกหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้นและจำเลย
ไม่ได้ถูกคุมขัง จำเลยจะยื่นอุทธรณ์ได้ต่อเมื่อแสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นอุทธรณ์ มิฉะนั้น
ให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ทั้งนี้ ประธานศาลฎีกาอาจออกข้อบังคับกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
การแสดงตนของจำเลยก็ได้ ข้อบังคับนั้น เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
	ความในวรรคสามมิให้ใช้บังคับแก่กรณีที่จำเลยได้รับการรอการลงโทษจำคุก หรือรับโทษจำคุก
ตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว
	*มาตรา 198 วรรคสาม และวรรคสี่ เพิ่มความโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 32) พ.ศ. 2559
	"มาตรา 198 ทวิ เมื่อศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์  ผู้อุทธรณ์อาจ อุทธรณ์เป็นคำร้อง
อุทธรณ์คำสั่งของศาลนั้นต่อศาลอุทธรณ์ได้คำร้องเช่นนี้ให้ยื่นที่ศาลชั้นต้นภายในกำหนดสิบห้าวัน
นับแต่วันฟังคำสั่ง  แล้วให้ศาลนั้นรีบส่งคำร้องเช่นว่านั้นไปยังศาลอุทธรณ์พร้อมด้วยอุทธรณ์ และ
คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น
	เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควรตรวจสำนวนเพื่อสั่งคำร้องเรื่องนั้น ก็ให้สั่งศาลชั้นต้นส่งมาให้
	ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องนั้นแล้วมีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น หรือมีคำ
สั่งให้รับอุทธรณ์  คำสั่งนี้ให้เป็นที่สุดแล้วส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่าน
	**วรรคหนึ่ง, มาตรา 198 ทวิ  แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2532
	มาตรา 199  ผู้อุทธรณ์ซึ่งต้องขังหรือต้องจำคุกอยู่ในเรือนจำอาจยื่นอุทธรณ์ต่อพัศดีภายใน
กำหนดอายุอุทธรณ์  เมื่อได้รับอุทธรณ์นั้นแล้ว  ให้พัศดีออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นอุทธรณ์ แล้วให้รีบส่ง
อุทธรณ์นั้นไปยังศาลชั้นต้น
	อุทธรณ์ฉบับใดที่ยื่นต่อพัศดีส่งไปถึงศาลเมื่อพ้นกำหนดอายุอุทธรณ์แล้ว ถ้าหากปรากฏ
ว่าการส่งชักช้านั้นมิใช่เป็นความผิดของผู้ยื่นอุทธรณ์  ให้ถือว่าเป็นอุทธรณ์ที่ได้ยื่นภายในกำหนด
อายุอุทธรณ์
	มาตรา 200  ให้ศาลส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งแก้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่
วันที่ได้รับสำเนาอุทธรณ์
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532
	มาตรา 201  เมื่อศาลส่งสำเนาอุทธรณ์แก่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เพราะหาตัว ไม่พบ หรือหลบหนี  
หรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ หรือได้รับแก้อุทธรณ์แล้ว หรือพ้นกำหนดแก้อุทธรณ์แล้ว ให้ศาลรีบส่ง
สำนวนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อทำการพิจารณาพิพากษาต่อไป
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2532
	มาตรา 202  ผู้อุทธรณ์มีอำนาจยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นก่อนส่งสำนวนไปศาล
อุทธรณ์ในกรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตได้ เมื่อส่งสำนวนไปแล้วให้ยื่นต่อศาลอุทธรณ์ หรือต่อศาล
ชั้นต้นเพื่อส่งไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อสั่ง ทั้งนี้ ต้องก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
	เมื่อถอนไปแล้ว ถ้าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น
ย่อมเด็ดขาดเฉพาะผู้ถอน ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งอุทธรณ์ จะเด็ดขาดต่อเมื่อคดีถึงที่สุดโดยไม่มีการแก้คำ
พิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น

	หมวด 2
	การพิจารณา  คำพิพากษาและคำสั่งชั้นศาลอุทธรณ์

	มาตรา 203  ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาโดยเปิดเผยเฉพาะแต่ในกรณีที่นัด หรืออนุญาตให้คู่ความมา
พร้อมกัน หรือมีการสืบพยาน
	มาตรา 204  เมื่อจะพิจารณาในศาลโดยเปิดเผย  ให้ศาลอุทธรณ์ออกหมายนัดกำหนดวันพิจารณาไป
ยังคู่ความให้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าห้าวัน
	การฟังคำแถลงการณ์นั้นห้ามมิให้กำหนดช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันรับสำนวน  ถ้ามีเหตุ
พิเศษจะช้ากว่านั้นก็ได้  แต่อย่าให้เกินสองเดือน  เหตุที่ต้องช้า ให้ศาลรายงานไว้
	มาตรา 205  คำร้องขอแถลงการณ์ด้วยปากให้ติดมากับฟ้องอุทธรณ์ หรือแก้อุทธรณ์
	คำแถลงการณ์เป็นหนังสือให้ยื่นก่อนวันศาลอุทธรณ์พิพากษา
	คำแถลงการณ์ด้วยปากหรือหนังสือก็ตาม มิให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ ให้นับว่า
เป็นแต่คำอธิบายข้ออุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์เท่านั้น
	คำแถลงการณ์เป็นหนังสือจะยื่นต่อศาลชั้นต้นหรือต่อศาลอุทธรณ์ก็ได้
	มาตรา 206  ระเบียบแถลงการณ์ด้วยปาก มีดั่งนี้
	(1)  ถ้าคู่ความฝ่ายใดขอแถลงการณ์ ให้ฝ่ายนั้นแถลงก่อนแล้วให้อีกฝ่ายหนึ่งแถลงแก้
เสร็จแล้วฝ่ายแถลงก่อนแถลงแก้ได้อีก
	(2)  ถ้าคู่ความทั้งสองฝ่ายขอแถลงการณ์ ให้ผู้อุทธรณ์แถลงก่อน  แล้วให้อีกฝ่ายหนึ่ง
แถลงแก้เสร็จแล้ว ให้ผู้อุทธรณ์แถลงแก้ได้อีก
	(3)  ถ้าคู่ความทั้งสองฝ่ายขอแถลงการณ์และเป็นผู้อุทธรณ์ทั้งคู่  ให้โจทก์แถลงก่อนแล้ว
ให้จำเลยแถลงเสร็จแล้วโจทก์แถลงแก้ได้อีก
	มาตรา 207  เมื่อมีอุทธรณ์คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกหรือจับ
จำเลย ซึ่งศาลนั้นปล่อยตัวไปแล้ว  มาขังหรือปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ก็ได้ หรือถ้าจำเลยถูกขัง
อยู่ระหว่างอุทธรณ์ จะสั่งให้ศาลชั้นต้นปล่อยจำเลยหรือปล่อยชั่วคราวก็ได้
	มาตรา 208  ในการพิจารณาคดีอุทธรณ์ตามหมวดนี้
	(1)  ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าควรสืบพยานเพิ่มเติม ให้มีอำนาจเรียกพยานมาสืบเอง หรือสั่ง
ศาลชั้นต้นสืบให้  เมื่อศาลชั้นต้นสืบพยานแล้ว  ให้ส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์เพื่อวินิจฉัยต่อไป
	(2)  ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นเป็นการจำเป็น  เนื่องจากศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตาม
กระบวนพิจารณา  ก็ให้พิพากษาสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณา และพิพากษา  หรือสั่งใหม่ตาม
รูปคดี
	"มาตรา 208 ทวิ  ถ้าอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เห็นสมควรจะให้มีการวินิจฉัยปัญหาใด
ในคดีเรื่องใดโดยที่ประชุมใหญ่ก็ได้
	ที่ประชุมใหญ่ให้ประกอบด้วยผู้พิพากษาทุกคนซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่  แต่ต้องไม่น้อยกว่ากึ่ง
จำนวนผู้พิพากษาแห่งศาลนั้นและให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นประธาน
	การวินิจฉัยในที่ประชุมใหญ่ให้ถือเสียงข้างมาก ถ้าในปัญหาใดมีความเห็นแย้งกันเป็น
สองฝ่ายหรือเกินสองฝ่ายขึ้นไปจะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่
จำเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า
	ในคดีซึ่งที่ประชุมใหญ่ได้วินิจฉัยปัญหาแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งต้องเป็นไปตามคำ
วินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่   และต้องระบุไว้ด้วยว่าปัญหาข้อใดได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่
ผู้พิพากษาที่เข้าประชุม  แม้มิใช่เป็นผู้นั่งพิจารณา ก็ให้มีอำนาจพิพากษา ทำคำสั่งหรือทำความเห็น
แย้งในคดีนั้นได้
	**มาตรา 208 ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2487
	มาตรา 209  ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยมิชักช้า และจะอ่านคำพิพากษาที่ศาลอุทธรณ์ หรือส่งไปให้
ศาลชั้นต้นอ่านก็ได้
	มาตรา 210  เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องอุทธรณ์มิได้ยื่นในกำหนด ให้พิพากษายกอุทธรณ์นั้นเสีย
	มาตรา 211  เมื่อมีอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาในประเด็นสำคัญ และคัดค้านคำสั่งระหว่างพิจารณา
ด้วย ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาโดยคำพิพากษาอันเดียวกันก็ได้
	มาตรา 212  คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษ
จำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น
	มาตรา 213  ในคดีซึ่งจำเลยผู้หนึ่งอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาซึ่งให้ลงโทษจำเลยหลายคนในความผิด
ฐานเดียวกันหรือต่อเนื่องกัน ถ้าศาลอุทธรณ์กลับหรือแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่ลงโทษหรือลด
โทษให้จำเลย  แม้เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลย
อื่นที่มิได้อุทธรณ์ให้มิต้องถูกรับโทษหรือได้ลดโทษดุจจำเลยผู้อุทธรณ์
	มาตรา 214  นอกจากมีข้อความซึ่งต้องมีในคำพิพากษาศาลชั้นต้นคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้อง
ปรากฏข้อความดั่งต่อไปนี้ด้วย
	(1)  นามหรือตำแหน่งของผู้อุทธรณ์
	(2)  ข้อความว่า ยืน ยก แก้หรือกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น
	มาตรา 215  นอกจากที่บัญญัติมาแล้ว ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณา และว่าด้วยคำพิพากษา
และคำสั่งศาลชั้นต้น มาบังคับในชั้นศาลอุทธรณ์ด้วยโดยอนุโลม

	ลักษณะ 2
	ฎีกา
	หมวด 1
	หลักทั่วไป

	มาตรา 216  ภายใต้บังคับแห่ง มาตรา 217 ถึง 221  คู่ความมีอำนาจฎีกาคัดค้านคำพิพากษาหรือคำ
สั่งศาลอุทธรณ์ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่าน   หรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้คู่
ความฝ่ายที่ฎีกาฟัง
	ฎีกานั้น ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น และให้นำบทบัญญัติในมาตรา 198 มาตรา 200 และมาตรา 201
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
	*มาตรา 216 วรรคสองแก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 32) พ.ศ. 2559
	มาตรา 217  ในคดีซึ่งมีข้อจำกัดว่า  ให้คู่ความฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ข้อจำกัดนี้ให้บังคับ
แก่คู่ความและบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีด้วย
	มาตรา 218  ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำ
คุกจำเลยไม่เกินห้าปี  หรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปี  ห้ามมิให้คู่ความฎีกาใน
ปัญหาข้อเท็จจริง
	ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่าง หรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษ
จำคุกจำเลยเกินห้าปี ไม่ว่าจะมีโทษอย่างอื่นด้วยหรือไม่ ห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
	**วรรคสอง เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา (ฉบับที่  17) พ.ศ. 2532
	มาตรา 219  ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน สองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยไม่เกินกำหนดที่ว่ามานี้ ห้ามมิให้คู่ความฎีกา
ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ข้อห้ามนี้มิให้ใช้แก่จำเลยในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก  และ
เพิ่มเติมโทษจำเลย
	"มาตรา 219 ทวิ  ห้ามมิให้คู่ความฎีกาคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งในข้อ เท็จจริงในปัญหา
เรื่องวิธีการเพื่อความปลอดภัยแต่อย่างเดียว แม้คดีนั้นจะไม่ต้องห้ามฎีกาก็ตาม
	ในการนับกำหนดโทษจำคุกตามความใน มาตรา 218 และ 219 นั้นห้าม มิให้คำนวณ
กำหนดเวลาที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัยรวมเข้าด้วย
	"มาตรา 219 ตรี ในคดีที่ศาลชั้นต้นลงโทษกักขังแทนโทษจำคุก   หรือเปลี่ยนโทษกักขัง
เป็นโทษจำคุก หรือคดีที่เกี่ยวกับการกักขังแทนค่าปรับ   หรือกักขังเกี่ยวกับการริบทรัพย์สิน ถ้าศาล
อุทธรณ์มิได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
	"แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่  17) พ.ศ. 2532
	มาตรา 220 ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่  17)
พ.ศ. 2532
	มาตรา 221  ในคดีซึ่งห้ามฎีกาไว้โดย มาตรา 218 ,219  และ  220  แห่งประมวลกฎหมายนี้
ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษา หรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้น หรือ
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาต
ให้ฎีกา  หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย
ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไป
	มาตรา 222  ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย  ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะ
ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
	มาตรา 223  ให้เป็นหน้าที่ศาลชั้นต้นตรวจฎีกาว่าควรจะรับส่งขึ้นไปยังศาลฎีกาหรือไม่ตามบทบัญญัติ
แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าเห็นว่าไม่ควรรับ  ให้จดเหตุผลไว้ในคำสั่งของศาลนั้นโดยชัดเจน
	มาตรา 224  เมื่อศาลชั้นต้นไม่ยอมรับฎีกา ผู้ฎีกาอาจฎีกาเป็นคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งของศาลนั้นต่อศาล
ฎีกาได้ คำร้องเช่นนี้ให้ยื่นที่ศาลชั้นต้นภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันฟังคำสั่ง แล้วให้ศาลนั้นรีบ
ส่งคำร้องเช่นว่านั้นไปยังศาลฎีกาพร้อมด้วยฎีกาและคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นและศาล
อุทธรณ์
	เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรตรวจสำนวนเพื่อสั่งคำร้องเรื่องนั้น ก็ให้สั่งศาลชั้นต้นส่งมาให้
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่  17) พ.ศ. 2532

	หมวด 2
	การพิจารณา คำพิพากษา และคำสั่งชั้นฎีกา

	มาตรา 225  ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณา และว่าด้วยคำพิพากษา และคำสั่งชั้นอุทธรณ์
มาบังคับในชั้นฎีกาโดยอนุโลม เว้นแต่ห้ามมิให้ทำความเห็นแย้ง

	ภาค 5
	พยานหลักฐาน
	หมวด 1
	หลักทั่วไป

	มาตรา 226  พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์
ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้  แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา
ขู่เข็ญหลอกลวง  หรือโดยมิชอบประการอื่น  และให้สืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยาน
	“มาตรา 226/1 ในกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลว่า พยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐาน
ที่เกิดขึ้นโดยชอบแต่ได้มาเนื่องจากการกระทำโดยมิชอบ หรือเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยอาศัยข้อมูล
ที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยมิชอบ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานนั้น เว้นแต่การรับฟังพยานหลักฐานนั้น
จะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของ
ระบบงานยุติธรรมทางอาญาหรือสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน
	ในการใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลพิจารณาถึงพฤติการณ์
ทั้งปวงแห่งคดี โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ด้วย
	(1) คุณค่าในเชิงพิสูจน์ ความสำคัญ และความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้น
	(2) พฤติการณ์และความร้ายแรงของความผิดในคดี
	(3) ลักษณะและความเสียหายที่เกิดจากการกระทำโดยมิชอบ
	(4) ผู้ที่กระทำการโดยมิชอบอันเป็นเหตุให้ได้พยานหลักฐานมานั้นได้รับการลงโทษ
หรือไม่เพียงใด
	"มาตรา 226/2 ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดครั้งอื่น ๆ
หรือความประพฤติในทางเสื่อมเสียของจำเลย เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดในคดีที่ถูกฟ้อง
เว้นแต่พยานหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
	(1) พยานหลักฐานที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับองค์ประกอบความผิดของคดีที่ฟ้อง
	(2) พยานหลักฐานที่แสดงถึงลักษณะ วิธี หรือรูปแบบเฉพาะในการกระทำความผิด
ของจำเลย
	(3) พยานหลักฐานที่หักล้างข้อกล่าวอ้างของจำเลยถึงการกระทำ หรือความประพฤติในส่วนดี
ของจำเลย
	ความในวรรคหนึ่งไม่ห้ามการนำสืบพยานหลักฐานดังกล่าว เพื่อให้ศาลใช้ประกอบดุลพินิจ
ในการกำหนดโทษหรือเพิ่มโทษ
	"มาตรา 226/3 ข้อความซึ่งเป็นการบอกเล่าที่พยานบุคคลใดนำมาเบิกความต่อศาลหรือ
ที่บันทึกไว้ในเอกสารหรือวัตถุอื่นใดซึ่งอ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาล หากนำเสนอเพื่อพิสูจน์ความจริง
แห่งข้อความนั้น ให้ถือเป็นพยานบอกเล่า
	ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า เว้นแต่
	(1) ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้นน่าเชื่อว่า
จะพิสูจน์ความจริงได้ หรือ
	(2) มีเหตุจำเป็น เนื่องจากไม่สามารถนำบุคคลซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความ
เกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และมีเหตุผลสมควร
เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น
	ในกรณีที่ศาลเห็นว่าไม่ควรรับไว้ซึ่งพยานบอกเล่าใด และคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องร้องคัดค้าน
ก่อนที่ศาลจะดำเนินคดีต่อไป ให้ศาลจดรายงานระบุนาม หรือชนิดและลักษณะของพยานบอกเล่า
เหตุผลที่ไม่ยอมรับ และข้อคัดค้านของคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องไว้ ส่วนเหตุผลที่คู่ความฝ่ายคัดค้าน
ยกขึ้นอ้างนั้น ให้ศาลใช้ดุลพินิจจดลงไว้ในรายงานหรือกำหนดให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นคำแถลงต่อศาล
เพื่อรวมไว้ในสำนวน
	"มาตรา 226/4 ในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ห้ามมิให้จำเลยนำสืบด้วยพยานหลักฐานหรือ
ถามค้านด้วยคำถามอันเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของผู้เสียหายกับบุคคลอื่นนอกจากจำเลย เว้นแต่
จะได้รับอนุญาตจากศาลตามคำขอ
	ศาลจะอนุญาตตามคำขอในวรรคหนึ่ง เฉพาะในกรณีที่ศาลเห็นว่าจะก่อให้เกิดความยุติธรรม
ในการพิจารณาพิพากษาคดี
	"มาตรา 226/5 ในชั้นพิจารณาหากมีเหตุจำเป็นหรือเหตุอันสมควร ศาลอาจรับฟังบันทึก
คำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือบันทึกคำเบิกความของพยานที่เบิกความไว้ในคดีอื่นประกอบ
พยานหลักฐานอื่นในคดีได้
	*มาตรา 226/1, 226/2, 226/3, 226/4, 226/5 เพิ่มเติมโดยพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2551
	มาตรา 227  ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่า
จะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
	เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
นั้นให้จำเลย
	“มาตรา 227/1 ในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า พยานซัดทอด พยานที่จำเลย
ไม่มีโอกาสถามค้าน หรือพยานหลักฐานที่มีข้อบกพร่องประการอื่นอันอาจกระทบถึงความน่าเชื่อถือ
ของพยานหลักฐานนั้น ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้น
โดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือ
มีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน
	พยานหลักฐานประกอบตามวรรคหนึ่ง หมายถึง พยานหลักฐานอื่นที่รับฟังได้ และ
มีแหล่งที่มาเป็นอิสระต่างหากจากพยานหลักฐานที่ต้องการพยานหลักฐานประกอบนั้น ทั้งจะต้อง
มีคุณค่าเชิงพิสูจน์ที่สามารถสนับสนุนให้พยานหลักฐานอื่นที่ไปประกอบมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย
	*มาตรา 227/1 เพิ่มเติมโดยพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2551
	มาตรา 228  ระหว่างพิจารณาโดยพลการหรือคู่ความฝ่ายใดร้องขอ ศาลมีอำนาจสืบพยาน
เพิ่มเติมจะสืบเองหรือส่งประเด็นก็ได้
	มาตรา 229  ศาลเป็นผู้สืบพยาน จะสืบในศาลหรือนอกศาลก็ได้ แล้วแต่เห็นควรตามลักษณะ
ของพยาน
	“มาตรา 229/1 ภายใต้บังคับมาตรา 173/1 ในการไต่สวนมูลฟ้องหรือการพิจารณา
โจทก์ต้องยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐาน โดยแสดงถึงประเภทและลักษณะของวัตถุ สถานที่พอสังเขป
หรือเอกสารเท่าที่จะระบุได้ รวมทั้งรายชื่อ ที่อยู่ของบุคคลหรือผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งโจทก์ประสงค์จะนำสืบ
หรือขอให้ศาลไปตรวจหรือแต่งตั้งต่อศาลไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันไต่สวนมูลฟ้องหรือวันสืบพยาน
พร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานหลักฐานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอเพื่อให้จำเลยรับไป ส่วนจำเลย
ให้ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานพร้อมสำเนาก่อนวันสืบพยานจำเลย
	ในการไต่สวนกรณีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบหรือกรณีร้องขอให้ศาลริบทรัพย์
ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานต่อศาลไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก่อนวันไต่สวนพร้อมทั้ง
สำเนาบัญชีระบุพยานหลักฐานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอ เพื่อให้บุคคลที่เกี่ยวข้องอื่น ถ้ามี รับไป
เมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง แล้วแต่กรณี
ได้สิ้นสุดลง ถ้าคู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งได้ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานไว้แล้วมีเหตุอันสมควร
แสดงได้ว่าตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบ หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐาน
บางอย่างได้มีอยู่ หรือมีเหตุสมควรอื่นใด หรือถ้าคู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องฝ่ายใดซึ่งมิได้ยื่นบัญชี
ระบุพยานหลักฐานเช่นว่านั้นแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า มีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชี
ระบุพยานหลักฐานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้ คู่ความหรือบุคคลเช่นว่านั้น อาจร้องขออนุญาต
อ้างพยานหลักฐานดังกล่าวต่อศาล พร้อมกับบัญชีระบุพยานหลักฐานและสำ เนาบัญชี
ระบุพยานหลักฐานนั้นไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนเสร็จสิ้นการสืบพยานของฝ่ายนั้นสำหรับกรณีที่คู่ความ
หรือบุคคลเช่นว่านั้นได้ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานไว้แล้ว หรือก่อนเสร็จสิ้นการพิจารณาสำหรับ
กรณีที่คู่ความหรือบุคคลเช่นว่านั้นไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานและถ้าศาลเห็นว่าจำเป็นจะต้อง
สืบพยานหลักฐานดังกล่าว เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม
ให้ศาลมีอำนาจอนุญาตให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้
	ห้ามมิให้ศาลอนุญาตให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานใดซึ่งคู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งอ้างพยานหลักฐานนั้นมิได้แสดงความจำนงจะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง
หรือวรรคสาม หรือตามมาตรา 173/1 วรรคสองหรือวรรคสาม แต่ถ้าศาลเห็นว่าจำเป็นที่จะต้อง
คุ้มครองพยาน หรือจะต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าวเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็น
เป็นไปโดยเที่ยงธรรม หรือเพื่อให้โอกาสแก่จำเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ให้ศาลมีอำนาจอนุญาต
ให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้”
	*มาตรา 229/1 เพิ่มเติมโดยโดยพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2551
	มาตรา 230  เมื่อคู่ความที่เกี่ยวข้องร้องขอหรือเมื่อศาลเห็นเป็นการสมควร ศาลอาจเดินเผชิญ
สืบพยานหลักฐาน หรือเมื่อมีเหตุจำเป็นไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาสืบที่ศาลนั้น และการสืบ
พยานหลักฐานโดยวิธีอื่นไม่สามารถกระทำได้ ศาลมีอำนาจส่งประเด็นให้ศาลอื่นสืบพยานหลักฐานแทน
ให้ศาลที่รับประเด็นมีอำนาจและหน้าที่ดังศาลเดิม รวมทั้งมีอำนาจส่งประเด็นต่อไปยังศาลอื่นได้
	ภายใต้บังคับมาตรา 172 และมาตรา 172 ทวิ ให้ส่งสำนวนหรือสำเนาฟ้อง สำเนาคำให้การ
และเอกสารหรือของกลางเท่าที่จำเป็นให้แก่ศาลที่รับประเด็นเพื่อสืบพยานหลักฐาน หากจำเลยต้องขังอยู่
ในระหว่างพิจารณาให้ผู้คุมขังส่งตัวจำเลยไปยังศาลที่รับประเด็น แต่ถ้าจำเลยในกรณีตามมาตรา 172 ทวิ
ไม่ติดใจไปฟังการพิจารณาจะยื่นคำถามพยานหรือคำแถลงขอให้ตรวจพยานหลักฐานก็ได้ ให้ศาล
สืบพยานหลักฐานไปตามนั้น
	เมื่อสืบพยานหลักฐานตามที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นแล้ว ให้ส่งถ้อยคำสำนวนพร้อมทั้งเอกสาร
หรือของกลางคืนศาลเดิม
	*มาตรา 230 แก้ไขโดยโดยพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2551
	“มาตรา 230/1 ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจนำพยานมาเบิกความในศาลได้ เมื่อคู่ความ
ร้องขอหรือศาลเห็นสมควร ศาลอาจอนุญาตให้พยานดังกล่าวเบิกความที่ศาลอื่นหรือสถานที่ทำการ
ของทางราชการหรือสถานที่แห่งอื่นนอกศาลนั้น โดยจัดให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงในลักษณะ
การประชุมทางจอภาพได้ ทั้งนี้ ภายใต้การควบคุมของศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่นั้นตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา โดยได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ของ
ศาลฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
	การเบิกความตามวรรคหนึ่งให้ถือเสมือนว่าพยานเบิกความในห้องพิจารณาของศาล
	"มาตรา 230/2 ในกรณีที่ไม่อาจสืบพยานตามมาตรา 230/1 ได้ เมื่อคู่ความร้องขอหรือ
ศาลเห็นสมควร ศาลอาจอนุญาตให้เสนอบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของผู้ให้ถ้อยคำ
ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศต่อศาลแทนการนำพยานบุคคลมาเบิกความต่อหน้าศาลได้ แต่ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิ
ผู้ให้ถ้อยคำที่จะมาศาลเพื่อให้การเพิ่มเติม
	บันทึกถ้อยคำตามวรรคหนึ่ง ให้มีรายการดังต่อไปนี้
	(1) ชื่อศาลและเลขคดี
	(2) วัน เดือน ปี และสถานที่ที่ทำบันทึกถ้อยคำ
	(3) ชื่อและสกุลของคู่ความ
	(4) ชื่อ สกุล อายุ ที่อยู่ และอาชีพของผู้ให้ถ้อยคำ และความเกี่ยวพันกับคู่ความ
	(5) รายละเอียดแห่งข้อเท็จจริง หรือความเห็นของผู้ให้ถ้อยคำ
	(6) ลายมือชื่อของผู้ให้ถ้อยคำ และคู่ความฝ่ายผู้เสนอบันทึกถ้อยคำ
สำหรับลายมือชื่อของผู้ให้ถ้อยคำให้นำมาตรา 47 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
	ห้ามมิให้แก้ไขเพิ่มเติมบันทึกถ้อยคำที่ได้ยื่นไว้แล้วต่อศาล เว้นแต่เป็นการแก้ไขข้อ
ผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อย”
	*มาตรา 230/1, 230/2 เพิ่มเติมโดยพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2551
	มาตรา 231
	เมื่อคู่ความหรือผู้ใดจะต้องให้การหรือส่งพยานหลักฐาน อย่างหนึ่งอย่างใดดั่งต่อไปนี้
	(1)  เอกสารหรือข้อความที่ยังเป็นความลับในราชการอยู่
	(2)  เอกสารหรือข้อความลับ ซึ่งได้มาหรือทราบเนื่องในอาชีพหรือหน้าที่ของเขา
	(3)  วิธีการ แบบแผน หรืองานอย่างอื่นซึ่งกฎหมายคุ้มครองไม่ยอมให้เปิดเผย คู่ความ
หรือบุคคลนั้นมีอำนาจไม่ยอมให้การหรือส่งพยานหลักฐาน  เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่
หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับความลับนั้น
	คู่ความหรือบุคคลใดไม่ยอมให้การหรือไม่ส่งพยานหลักฐานดั่งกล่าวแล้ว ศาลมีอำนาจ
หมายเรียกเจ้าหน้าที่หรือบุคคลผู้เกี่ยวข้องกับความลับนั้นมาแถลงต่อศาล  เพื่อวินิจฉัยว่าการไม่
ยอมนั้นมีเหตุผลค้ำจุนหรือไม่ ถ้าเห็นว่าไร้เหตุผล ให้ศาลบังคับให้ๆการหรือส่งพยานหลักฐานนั้น

	หมวด 2
	พยานบุคคล

	มาตรา 232 ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน
	มาตรา 233  จำเลยอาจอ้างตนเองเป็นพยานได้ ในกรณีที่จำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน
ศาลจะให้เข้าสืบก่อนพยานอื่นฝ่ายจำเลยก็ได้ ถ้าคำเบิกความของจำเลยนั้นปรักปรำหรือเสียหาย
แก่จำเลยอื่น จำเลยอื่นนั้นซักค้านได้
	ในกรณีที่จำเลยเบิกความเป็นพยาน คำเบิกความของจำเลยย่อมใช้ยันจำเลยนั้นได้ และ
ศาลอาจรับฟังคำเบิกความนั้นประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้
	*แก้ไขโดยพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 28)
พ.ศ. 2551
	มาตรา 234  พยานไม่ต้องตอบคำถามซึ่งโดยตรงหรืออ้อมอาจจะทำให้เขาถูกฟ้องคดีอาญา 
เมื่อมีคำถามเช่นนั้น ให้ศาลเตือนพยาน
	มาตรา 235  ในระหว่างพิจารณา   เมื่อเห็นสมควร ศาลมีอำนาจถามโจทก์  จำเลย  หรือ
พยานคนใดได้
	ห้ามมิให้ถามจำเลยเพื่อประโยชน์แต่เฉพาะจะเพิ่มเติมคดีโจทก์ซึ่งบกพร่อง เว้นแต่จำเลย
จะอ้างตนเองเป็นพยาน
	มาตรา 236  ในระหว่างพิจารณา ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ที่จะเป็นพยานซึ่งมิใช่จำเลย ออกไป
อยู่นอกห้องพิจารณาจนกว่าจะเข้ามาเบิกความอนึ่ง เมื่อ พยานเบิกความแล้วจะให้รออยู่ในห้องพิจารณา
ก่อนก็ได้
	มาตรา 237  บันทึกคำเบิกความพยานชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณานั้น ให้ศาลอ่าน
ให้พยานฟังต่อหน้าจำเลย เว้นแต่ในกรณีดังบัญญัติไว้ในมาตรา 165 วรรคสาม
	ในกรณีที่คู่ความตกลงกัน ศาลอาจอนุญาตให้ถือเอาบันทึกคำเบิกความพยานในชั้นไต่สวน
มูลฟ้องเป็นคำเบิกความพยานในชั้นพิจารณา โดยพยานไม่ต้องเบิกความใหม่หรือให้พยานเบิกความ
ตอบคำถามค้านของจำเลยไปทันทีได้ เว้นแต่ในข้อหาความผิดที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำ
จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น
*มาตรา 237 แก้ไขโดยพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 28)
พ.ศ. 2551
	"มาตรา 237 ทวิ ก่อนฟ้องคดีต่อศาล เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพยานบุคคลจะเดินทางออกไป
นอกราชอาณาจักร ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือเป็นบุคคลมีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดี หรือ
มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการยุ่งเหยิงกับพยานนั้นไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อม หรือมีเหตุจำเป็นอื่น
อันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า พนักงานอัยการโดยตนเองหรือโดยได้รับคำร้อง
ขอจากผู้เสียหายหรือจากพนักงานสอบสวน จะยื่นคำร้องโดยระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าผู้ต้องหาได้
กระทำผิดต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้สืบพยานนั้นไว้ทันทีก็ได้ ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิด และผู้นั้นถูก
ควบคุมอยู่ในอำนาจพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ ให้พนักงานอัยการนำตัวผู้นั้นมาศาล หาก
ถูกควบคุมอยู่ในอำนาจของศาล ให้ศาลเบิกตัวผู้นั้นมาพิจารณาต่อไป
	เมื่อศาลได้รับคำร้องเช่นว่านั้น ให้ศาลสืบพยานนั้นทันที ในการนี้ ผู้ต้องหาจะซักค้านหรือตั้ง
ทนายความซักค้านพยานนั้นด้วยก็ได้
	ในกรณีตามวรรคสอง ถ้าเป็นกรณีที่ผู้ต้องหานั้นถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญา ซึ่งหาก
มีการฟ้องคดีจะเป็นคดีซึ่งศาลจะต้องตั้งทนายความให้ หรือจำเลยมีสิทธิขอให้ศาลตั้งทนายความให้
ตามมาตรา 173 ก่อนเริ่มสืบพยานดังกล่าว ให้ศาลถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ในกรณีที่ศาล
ต้องตั้งทนายความให้ ถ้าศาลเห็นว่าตั้งทนายความให้ทันก็ให้ตั้งทนายความให้และดำเนินการสืบ
พยานนั้นทันที แต่ถ้าศาลเห็นว่าไม่สามารถตั้งทนายความได้ทันหรือผู้ต้องหาไม่อาจตั้งทนายความได้
ทัน ก็ให้ศาลซักถามพยานนั้นให้แทน
	คำเบิกความของพยานดังกล่าวให้ศาลอ่านให้พยานฟัง หากมีตัวผู้ต้องหาอยู่ในศาลด้วยแล้ว
ก็ให้ศาลอ่านคำเบิกความดังกล่าวต่อหน้าผู้ต้องหา
	ถ้าต่อมาผู้ต้องหานั้นถูกฟ้องเป็นจำเลยในการกระทำผิดอาญานั้น ก็ให้รับฟังคำพยานดังกล่าว
ในการพิจารณาคดีนั้นได้
	ในกรณีที่ผู้ต้องหาเห็นว่า หากตนถูกฟ้องเป็นจำเลยแล้ว บุคคลซึ่งจำเป็นจะต้องนำมาสืบเป็น
พยานของตนจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือเป็นบุคคลมีถิ่นที่อยู่
ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดี หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการยุ่งเหยิงกับพยานนั้นไม่ว่าโดยทางตรง
หรือทางอ้อม หรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า ผู้ต้องหานั้นจะ
ยื่นคำร้องต่อศาลโดยแสดงเหตุผลความจำเป็น เพื่อให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้สืบพยานบุคคลนั้นไว้ทัน
ทีก็ได้
	เมื่อศาลเห็นสมควร ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้สืบพยานนั้นและแจ้งให้พนักงานสอบสวนและ
พนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องทราบ ในการสืบพยานดังกล่าว พนักงานอัยการมีสิทธิที่จะซักค้านพยาน
นั้นได้และให้นำความในวรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม
	ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 172 ตรี มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสืบพยานที่เป็นเด็กอายุไม่
เกินสิบแปดปี
	"แก้ไขมาตรา 237 ทวิ โดยมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2542
	“มาตรา 237 ตรี ให้นำความในมาตรา 237 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่กรณี
การสืบพยานผู้เชี่ยวชาญ และพยานหลักฐานอื่น และแก่กรณีที่ได้มีการฟ้องคดีไว้แล้วแต่มีเหตุจำเป็น
ที่ต้องสืบพยานหลักฐานไว้ก่อนถึงกำหนดเวลาสืบพยานตามปกติตามมาตรา 173/2 วรรคสองด้วย
	ในกรณีที่พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จะสามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงอันสำคัญ
ในคดีได้ หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่า หากมีการเนิ่นช้ากว่าจะนำพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อันสำคัญ
มาสืบในภายหน้าพยานหลักฐานนั้นจะสูญเสียไปหรือเป็นการยากแก่การตรวจพิสูจน์ ผู้ต้องหาหรือ
พนักงานอัยการโดยตนเองหรือเมื่อได้รับคำร้องจากพนักงานสอบสวนหรือผู้เสียหาย จะยื่นคำร้องขอ
ให้ศาลสั่งให้ทำการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ตามความในมาตรา 244/1 ไว้ก่อนฟ้องก็ได้ ทั้งนี้
ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 237 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
*มาตรา 237 ตรี เพิ่มเติมโดยพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 28)
พ.ศ. 2551

	หมวด 3
	พยานเอกสาร

	 มาตรา 238   ต้นฉบับเอกสารเท่านั้นที่อ้างเป็นพยานได้   ถ้าหาต้นฉบับไม่ได้ สำเนาที่รับรอง
ว่าถูกต้องหรือพยานบุคคลที่รู้ข้อความก็อ้างเป็นพยานได้
	ถ้าอ้างหนังสือราชการเป็นพยาน แม้ต้นฉบับยังมีอยู่จะส่งสำเนาที่เจ้าหน้าที่รับรองว่าถูก
ต้องก็ได้ เว้นแต่ในหมายเรียกจะบ่งไว้เป็นอย่างอื่น
	มาตรา 239  เอกสารใดซึ่งคู่ความอ้าง   แต่มิได้อยู่ในความยึดถือของเขา ถ้าคู่ความนั้นแจ้งถึง
ลักษณะและที่อยู่ของเอกสารต่อศาล  ให้ศาลหมายเรียกบุคคลผู้ยึดถือนำเอกสารนั้นมาส่งศาล
	มาตรา 240  ในกรณีที่ศาลมิได้กำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐานตามมาตรา 173/1
เมื่อคู่ความประสงค์จะอ้างเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของตนเป็นพยานหลักฐาน ให้ยื่น
พยานเอกสารนั้นต่อศาลก่อนวันไต่สวนมูลฟ้องหรือวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน เพื่อให้คู่ความ
อีกฝ่ายหนึ่งมีโอกาสตรวจและขอคัดสำเนาเอกสารดังกล่าวได้ก่อนที่จะนำสืบพยานเอกสารนั้น เว้นแต่
เอกสารที่คู่ความประสงค์จะอ้างอิงนั้นเป็นบันทึกคำให้การของพยาน หรือเป็นเอกสารที่ปรากฏชื่อหรือ
ที่อยู่ของพยาน หรือศาลเห็นสมควรสั่งเป็นอย่างอื่นอันเนื่องจากสภาพและความจำเป็นแห่งเอกสารนั้น
	ในกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับต้องส่งเอกสารตามวรรคหนึ่ง เมื่อมีเอกสารใช้เป็นพยานหลักฐาน
ในชั้นศาล ให้อ่านหรือส่งให้คู่ความตรวจดู ถ้าคู่ความฝ่ายใดต้องการสำเนา ศาลมีอำนาจสั่งให้ฝ่ายที่อ้าง
เอกสารนั้นส่งสำเนาให้อีกฝ่ายหนึ่งตามที่เห็นสมควร
	ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่ส่งเอกสารตามวรรคหนึ่งหรือสำเนาเอกสารตามวรรคสอง หรือไม่ส่ง
พยานเอกสารหรือพยานวัตถุตามมาตรา 173/2 วรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอำนาจไม่รับฟังพยานหลักฐานนั้น
เว้นแต่ศาลเห็นว่าเป็นกรณีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม หรือการไม่ปฏิบัติดังกล่าวมิได้เป็นไป
โดยจงใจและไม่เสียโอกาสในการดำเนินคดีของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง
	*มาตรา 240 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 28  พ.ศ. 2551

	หมวด 4
	พยานวัตถุ

	มาตรา 241  สิ่งใดใช้เป็นพยานวัตถุต้องนำมาศาล
	ในกรณีที่นำมาไม่ได้ ให้ศาลไปตรวจจดรายงานยังที่ที่พยานวัตถุนั้นอยู่ตามเวลาและวิธีซึ่ง
ศาลเห็นสมควรตามลักษณะแห่งพยานวัตถุ
	มาตรา 242  ในระหว่างสอบสวน  ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา  สิ่งของซึ่งเป็นพยานวัตถุต้อง
ให้คู่ความหรือพยานตรวจดู
	ถ้ามีการแก้ห่อหรือทำลายตรา  การห่อหรือตีตราใหม่ให้ทำต่อหน้าคู่ความ หรือพยานที่
เกี่ยวข้องนั้น

	หมวด 5
	ผู้ชำนาญการพิเศษ

	มาตรา 243  ผู้ใดโดยอาชีพหรือมิใช่ก็ตาม มีความเชี่ยวชาญในการใด ๆ เช่น ในทาง
วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ฝีมือ พาณิชยการ การแพทย์ หรือกฎหมายต่างประเทศ และซึ่งความเห็นของผู้นั้น
อาจมีประโยชน์ในการวินิจฉัยคดี ในการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา อาจเป็นพยาน
ในเรื่องต่าง ๆ เป็นต้นว่า ตรวจร่างกายหรือจิตของผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือจำเลย ตรวจลายมือ
ทำการทดลองหรือกิจการอย่างอื่น ๆ
	ผู้เชี่ยวชาญอาจทำความเห็นเป็นหนังสือก็ได้แต่ต้องส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวให้ศาลและ
คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งทราบ และต้องมาเบิกความประกอบหนังสือนั้น เว้นแต่มีเหตุจำเป็น หรือคู่ความ
ไม่ติดใจซักถามผู้เชี่ยวชาญนั้น ศาลจะให้รับฟังความเห็นเป็นหนังสือดังกล่าวโดยผู้เชี่ยวชาญไม่ต้องมา
เบิกความประกอบก็ได้
	ในกรณีที่ผู้เชี่ยวชาญต้องมาเบิกความประกอบ ให้ส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวต่อศาลในจำนวน
ที่เพียงพอล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก่อนวันเบิกความเพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมารับไป
ในการเบิกความประกอบ ผู้เชี่ยวชาญจะอ่านข้อความที่เขียนมาก็ได้
	มาตรา 244  ถ้าศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่เห็นจำเป็นเนื่องในการ
ไต่สวนมูลฟ้อง พิจารณา หรือสอบสวน ที่จะต้องตรวจศพ แม้ว่าจะได้บรรจุหรือฝังแล้วก็ตาม
	ให้มีอำนาจสั่งให้เอาศพนั้นให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจได้ แต่การกระทำตามคำสั่งดังกล่าวจะต้องคำนึงถึง
หลักทางศาสนาและไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงอย่างอื่น
	*มาตรา 243, 244 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 28  พ.ศ. 2551
	“มาตรา 244/1 ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุก หากมีความจำเป็นต้องใช้
พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดที่เป็นประเด็นสำคัญแห่งคดี ให้ศาลมีอำนาจ
สั่งให้ทำการตรวจพิสูจน์บุคคล วัตถุ หรือเอกสารใด โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้
	ในกรณีที่การตรวจพิสูจน์ตามวรรคหนึ่ง จำเป็นต้องตรวจเก็บตัวอย่างเลือด เนื้อเยื่อ ผิวหนัง
เส้นผมหรือขน น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ สารคัดหลั่ง สารพันธุกรรมหรือส่วนประกอบของร่างกาย
จากคู่ความหรือบุคคลใด ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตรวจดังกล่าวได้
แต่ต้องกระทำเพียงเท่าที่จำเป็นและสมควรโดยใช้วิธีการที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดน้อยที่สุดเท่าที่
จะกระทำได้ทั้งจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรืออนามัยของบุคคลนั้น และคู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ต้องให้ความยินยอม หากคู่ความฝ่ายใดไม่ยินยอมหรือกระทำการป้องปัดขัดขวางมิให้บุคคลที่เกี่ยวข้อง
ให้ความยินยอมโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้สันนิษฐานไว้เบื้องต้นว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่คู่ความ
ฝ่ายตรงข้ามกล่าวอ้าง
	ในกรณีที่พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่อาจทำให้ศาล
วินิจฉัยชี้ขาดคดีได้โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานอื่นอีก หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากมีการเนิ่นช้า
กว่าจะนำพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อันสำคัญมาสืบในภายหน้าพยานหลักฐานนั้นจะสูญเสียไป
หรือยากแก่การตรวจพิสูจน์ เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอหรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลอาจสั่งให้
ทำการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ตามความในวรรคหนึ่งและวรรคสองได้ทันทีโดยไม่จำต้องรอ
ให้ถึงกำหนดวันสืบพยานตามปกติ ทั้งนี้ ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 237 ทวิ มาใช้บังคับ
โดยอนุโลม
	ค่าใช้จ่ายในการตรวจพิสูจน์ตามมาตรานี้ให้สั่งจ่ายจากงบประมาณตามระเบียบที่
คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนดโดยความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง”
	*มาตรา 244/1 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับที่ 28  พ.ศ. 2551

	ภาค 6
	การบังคับตามคำพิพากษาและค่าธรรมเนียม
	หมวด 1
	การบังคับตามคำพิพากษา

	มาตรา 245  ภายใต้บังคับแห่ง มาตรา 246 , 247 และ 248  เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ให้บังคับคดี
โดยไม่ชักช้า
	ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต หรือ จำคุกตลอด
ชีวิตไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่
สุด เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2499
	มาตรา 246  เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำ
หรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่ง
ให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อนจนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป   ในกรณีต่อไปนี้
	(1)  เมื่อจำเลยวิกลจริต
	(2)  เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก
	(3)  ถ้าจำเลยมีครรภ์
	(4)  ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น
	ในระหว่างทุเลาการบังคับอยู่นั้นศาลจะมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในความควบคุม
ในสถานที่อันควรนอกจากเรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุกก็ได้ และให้ศาลกำหนด
ให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายนั้นเป็นผู้มีหน้าที่และรับผิดชอบในการดำเนินการตามคำสั่ง
	ลักษณะของสถานที่อันควรตามวรรคสองให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง 
ซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุมและบำบัดรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของจำเลย และมาตรการเพื่อ
ป้องกันการหลบหนีหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
	เมื่อศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว หากภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือมาตรการ
ตามวรรคสามหรือพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือให้ดำเนินการ
ตามหมายจำคุกได้
	ให้หักจำนวนวันที่จำเลยอยู่ในความควบคุมตามมาตรานี้ออกจากระยะเวลาจำคุกตาม
คำพิพากษา"
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 
(ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2550
	มาตรา 247  คดีที่จำเลยต้องประหารชีวิต  ห้ามมิให้บังคับตามคำพิพากษาจนกว่าจะได้
ปฏิบัติตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยอภัยโทษแล้ว
	หญิงใดจะต้องประหารชีวิต ถ้ามีครรภ์อยู่ ให้รอไว้จนพ้นกำหนดสามปีนับแต่คลอดบุตร
แล้ว ให้ลดโทษประหารชีวิตลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต เว้นแต่เมื่อบุตรถึงแก่ความตายก่อนพ้นกำหนด
เวลาดังกล่าว ในระหว่างสามปีนับแต่คลอดบุตร ให้หญิงนั้นเลี้ยงดูบุตรตามความเหมาะสมในสถานที่
ที่สมควรแก่การเลี้ยงดูบุตรภายในเรือนจำ
	การประหารชีวิต  ให้ประหาร ณ ตำบลและเวลาที่เจ้าหน้าที่ในการนั้น จะเห็นสมควร
	**วรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2550
	มาตรา 248  ถ้าบุคคลซึ่งต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิตเกิดวิกลจริตก่อนถูกประหารชีวิต 
ให้รอการประหารชีวิตไว้ก่อนจนกว่าผู้นั้นจะหาย  ขณะทุเลาการประหารชีวิตอยู่นั้น  ศาลมีอำนาจยก
มาตรา 46 วรรค (2)  แห่งกฎหมายลักษณะอาญามาบังคับ
	ถ้าผู้วิกลจริตหายภายหลังปีหนึ่งนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด  ให้ลดโทษประหารชีวิตลง
เหลือจำคุกตลอดชีวิต
	มาตรา 249  คำพิพากษาหรือคำสั่งให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน ค่าสินไหมทดแทนหรือ
ค่าธรรมเนียมนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
	"แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2548"
	มาตรา 250  ถ้าคำพิพากษามิได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น บุคคลทั้งปวงซึ่งต้องคำพิพากษาให้
ลงโทษโดยได้กระทำความผิดฐานเดียวกัน ต้องรับผิดแทนกันและต่างกันในการคืนหรือใช้ราคา
หรือคำสั่งให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน ค่าสินไหมทดแทนหรือ
ทรัพย์สินหรือใช้ค่าสินไหมทดแทน
	"แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2548"
	มาตรา 251  ถ้าต้องยึดทรัพย์สินคราวเดียวกันสำหรับใช้ค่าธรรมเนียมศาล ค่าปรับราคา
ทรัพย์สิน หรือค่าสินไหมทดแทน แต่ทรัพย์สินของจำเลยไม่พอใช้ครบทุกอย่างให้นำจำนวนเงินสุทธิ
ของทรัพย์สินนั้นใช้ตามลำดับดังต่อไปนี้
	(1) ค่าธรรมเนียม
	(2) ราคาทรัพย์สิน หรือค่าสินไหมทดแทน
	(3) ค่าปรับ"
	"แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2548"

	หมวด 2
	ค่าธรรมเนียม

	มาตรา 252  ในคดีอาญาทั้งหลายห้ามมิให้ศาลยุติธรรมเรียกค่าธรรมเนียม  นอกจากที่
บัญญัติไว้ในหมวดนี้
	มาตรา 253  ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ซึ่งมีคำร้องให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน
ติดมากับฟ้องอาญาตามมาตรา 43 หรือมีคำขอของผู้เสียหายขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนมิได้เรียกค่าธรรมเนียม เว้นแต่ในกรณีที่ศาลเห็นว่าผู้เสียหายเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนสูง
เกินสมควร หรือดำเนินคดีโดยไม่สุจริต ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้เสียหายชำระค่าธรรมเนียมทั้งหมด
หรือแต่เฉพาะบางส่วนภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้ และถ้าผู้เสียหายเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตาม
คำสั่งศาล ให้ถือว่าเป็นการทิ้งฟ้องในคดีส่วนแพ่งนั้น
	ในกรณีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน หรือค่าสินไหมทดแทน
ตามวรรคหนึ่ง  ถ้าศาลยังต้องจัดการอะไรอีกเพื่อการบังคับ ผู้ที่จะได้รับคืนทรัพย์สินหรือราคาหรือ
ค่าสินไหมทดแทน จักต้องเสียค่าธรรมเนียมดังคดีแพ่งสำหรับการต่อไปนั้น
	"แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2548"
	มาตรา 254 ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 253 วรรคหนึ่ง ในคดีที่ผู้เสียหายเรียกร้องให้คืน
หรือใช้ราคาทรัพย์สิน หรือใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งติดมากับฟ้องคดีอาญา หรือที่ฟ้องเป็นคดีแพ่ง
โดยลำพัง ให้เรียกค่าธรรมเนียมดังคดีแพ่ง
	คดีในส่วนแพ่งตามวรรคหนึ่ง ถ้าผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ประสงค์จะขอยกเว้นค่าธรรม
เนียม ศาลในศาลชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ หรือชั้นฎีกา ให้ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นที่ได้ยื่นฟ้องไว้พร้อมกับ
คำฟ้อง คำฟ้องอุทธรณ์หรือคำฟ้องฎีกา แล้วแต่กรณี หากศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีอาญาที่ฟ้องมีมูลและ
การเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนนั้น ไม่เกินสมควรและเป็นไปด้วยความสุจริต ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาต
ตามคำขอ แต่ถ้าศาลมีคำสั่งยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์แต่เฉพาะบางส่วนหรือมีคำสั่งยกคำขอ
ก็ให้ศาลกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าว คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียม
ศาลหรือยกคำขอให้มีผลสำหรับการดำเนินคดีตั้งแต่ชั้นศาล ซึ่งคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาไปจนกว่า
คดีจะถึงที่สุด เว้นแต่ในกรณีที่พฤติการณ์แห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลที่พิจารณาคดีจะแก้ไขเปลี่ยนแปลง
คำสั่งนั้นได้ตามที่เห็นสมควร
	ห้ามมิให้อุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งของศาลตามวรรคสอง"
	"แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2548"
	มาตรา 255 ในคดีดั่งบัญญัติใน มาตรา 253 วรรค 2 และ มาตรา 254 ถ้ามีคำขอ  ศาลมีอำนาจ
สั่งให้ฝ่ายที่แพ้คดีใช้ค่าธรรมเนียมแทนอีกฝ่ายหนึ่งได้
	มาตรา 256 ให้ศาลจ่ายค่าพาหนะ ค่าป่วยการ และค่าเช่าที่พักที่จำเป็นและสมควรแก่พยาน
ซึ่งมาศาลตามหมายเรียก ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนดโดยความเห็นชอบ
จากกระทรวงการคลัง
	พยานที่ได้รับค่าพาหนะ ค่าป่วยการ หรือค่าเช่าที่พักในลักษณะเดียวกันตามกฎหมายอื่นแล้ว
ไม่มีสิทธิได้รับตามมาตรานี้อีก
	*แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉบับที่ 28
พ.ศ. 2551
	มาตรา 257 ในคดีซึ่งราษฎรเป็นโจทก์ โจทก์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการส่งสำเนาคำฟ้อง
และหมายเรียกให้แก่จำเลยโดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะต้องมีจำนวนไม่สูงเกินสมคว
	**แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 
(ฉบับที่ 33) พ.ศ. 2562
	มาตรา 258  ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยค่าฤชา
ธรรมเนียมมาใช้บังคับโดยอนุโลม
	"แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2548"

	ภาค 7
	อภัยโทษ  เปลี่ยนโทษหนักเป็นเบาและลดโทษ

	มาตรา 259  ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษอย่างใด ๆ หรือผู้ที่มีประโยชน์
เกี่ยวข้อง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าจะทูลเกล้า ฯ ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ขอรับ
พระราชทานอภัยโทษ จะยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ได้
	มาตรา 260 ผู้ถวายเรื่องราวซึ่งต้องจำคุกอยู่ในเรือนจำ จะยื่นเรื่องราวต่อพัศดี
หรือผู้บัญชาการเรือนจำก็ได้ เมื่อได้รับเรื่องราวนั้นแล้ว ให้พัศดีปรือผู้บัญชาการเรือนจำ
ออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นเรื่องราว แล้วให้รีบส่งเรื่องราวนั้นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
ยุติธรรม
	มาตรา 261 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่ถวายเรื่องราวต่อ
พระมหากษัตริย์พร้อมทั้งถวายความเห็นว่าควรพระราชทานอภัยโทษหรือไม่
	ในกรณีที่ไม่มีผู้ใดถวายเรื่องราว ถ้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเห็นเป็น
การสมควรจะถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องคำ
พิพากษานั้นก็ได้”
	มาตรา 262 ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 247 และมาตรา 248 เมื่อคดีถึงที่สุด ผู้ใด
ต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิต ให้เจ้าหน้าที่นำตัวผู้นั้นไปประหารชีวิตเมื่อพ้นกำหนด
หกสิบวันแต่วันฟังพิพากษา เว้นแต่ในกรณีที่มีการถวายเรื่องราวหรือคำแนะนำขอให้
พระราชทานอภัยโทษ ตามมาตรา 261 ก็ให้ทุเลาการประหารชีวิตไว้จนกว่าจะพ้น
กำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถวายเรื่องราวหรือ
คำแนะนำขึ้นไปนั้น แต่ถ้าทรงยกเรื่องราวนั้นเสีย ก็ให้จัดการประหารชีวิตก่อนกำหนดนี้ได้”
	**มาตรา 259, 260, 261, 262 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 23) พ.ศ. 2548
	มาตรา 263 เหตุที่มีเรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษในโทษอย่างอื่นนอกจากโทษ
ประหารชีวิตไม่เป็นผลให้ทุเลาการลงโทษนั้น
	มาตรา 264 เรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษอย่างอื่นซึ่งมิใช่โทษประหารชีวิต 
ถ้าถูกยกหนหนึ่งแล้วจะยื่นใหม่อีกไม่ได้จนกว่าจะพ้นสองปีนับแต่วันถูกยกครั้งก่อน
	มาตรา 265  ในกรณีที่มีการอภัยโทษเด็ดขาดโดยไม่มีเงื่อนไข   ห้ามมิให้บังคับ
โทษนั้น ถ้าบังคับโทษไปบ้างแล้วให้หยุดทันที ถ้าเป็นโทษปรับที่ชำระแล้วให้คืนค่าปรับให้ไป
ทั้งหมด
	ถ้าการอภัยโทษเป็นแต่เพียงเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบาหรือลดโทษ โทษที่เหลืออยู่ก็ให้บังคับ
ไปได้
	แต่การได้รับพระราชทานอภัยโทษไม่เป็นเหตุให้ผู้รับพ้นความรับผิดในการต้องคืนหรือ
ใช้ราคาทรัพย์สินหรือค่าทดแทนตามคำพิพากษา
	มาตรา 266  เมื่อผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษเนื่องจากการกระทำความผิดอย่างหนึ่ง
ถูกฟ้องว่ากระทำความผิดอีกอย่างหนึ่ง  อภัยโทษนั้นย่อมไม่ตัดอำนาจศาลที่จะเพิ่มโทษหรือไม่
รอการลงอาญาตามกฎหมายลักษณะอาญาว่าด้วยกระทำผิดหลายครั้งไม่เข็ดหลาบหรือว่าด้วย
รอการลงอาญา
	มาตรา 267  บทบัญญัติในหมวดนี้ให้นำมาบังคับโดยอนุโลมแก่เรื่องราวขอพระ
ราชทานเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา  หรือลดโทษ
-
ความผิดในกฎหมายลักษณะอาญา ที่ 		มาตรา 79
อ้างถึง  ซึ่งราษฎรมีอำนาจจับได้โดยไม่ต้องมีหมาย
ประทุษร้ายต่อพระบรมราชตระกูล                                   มาตรา 97 และ 99
ขบถภายในพระราชอาณาจักร                                         	มาตรา 101 ถึง 104
ขบถภายนอกพระราชอาณาจักร                                     	มาตรา 105 ถึง 111
ความผิดต่อทางพระราชไมตรีกับต่างประเทศ                 	มาตรา 112
ทำอันตรายแก่ธง  หรือเครื่องหมายของต่างประเทศ    	มาตรา 115
ความผิดต่อเจ้าพนักงาน                                                    มาตรา 119 ถึง 112 และ 127
หลบหนีจากที่คุมขัง                                                          มาตรา 163 ถึง 166
ความผิดต่อศาสนา	                                       	มาตรา 172 และ 173
ก่อการจลาจล                                                   	มาตรา 183 และ 184
กระทำให้เกิดภยันอันตรายแก่สาธารณชน กระทำให้สาธารณชนปราศจากความสะดวกใน
การไปมาและการส่งข่าวและของถึงกันและกระทำให้สาธารณชนปราศจากความสุขสบาย
					มาตรา 185 ถึง 194,196,197 และ 199
ปลอมแปลงเงินตรา 				มาตรา 202 ถึง 205 และ 210
ข่มขืนกระทำชำเรา     				มาตรา 243 และ 246
ประทุษร้ายแก่ชีวิต				มาตรา 249 ถึง 251
ประทุษร้ายแก่ร่างกาย				มาตรา 254 ถึง 257
ความผิดฐานกระทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ         	มาตรา 268,270 และ 276
ลักทรัพย์                                                                   	มาตรา 288 ถึง 296
วิ่งราว  ชิงทรัพย์  ปล้นทรัพย์  และโจรสลัด       	มาตรา 297 ถึง 302
กรรโชก                                                                     	มาตรา 303
	พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 20)
พ.ศ. 2542
-
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 34) พ.ศ. 2562
-
เล่ม 136 ตอนที่ 34 ก ราชกิจจานุเบกษา 20 มีนาคม 2562
-
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่บทบัญญัติเกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราว
ผู้ต้องหาหรือจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดให้การปล่อยชั่วคราวในคดีที่มีอัตรา
โทษจาคุกอย่างสูงเกินห้าปีขึ้นไปต้องมีประกัน อาจจะเป็นภาระแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลย ทั้งที่ผู้ต้องหาหรือ
จำเลยไม่มีพฤติกรรมจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น สมควร
ขยายอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเป็นสิบปีขึ้นไปเพื่อให้โอกาสผู้ต้องหาหรือจำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวมากขึ้น
อันจะเป็นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติว่าในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด
และการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยให้กระทำได้เพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี
โดยคาขอประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาต้องได้รับการพิจารณา และจะเรียกหลักประกันจนเกินควรแก่
กรณีมิได้ ทั้งยังให้เจ้าพนักงานศาลมีอำนาจจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หลบหนีในระหว่างที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวได้
ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นด้วย นอกจากนี้ หากปรากฏว่ามีการฟ้องคดีโดยไม่สุจริตหรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง
เพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลยในหลายกรณี หรือฟ้องคดีโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้
ตามปกติธรรมดา อันเป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ที่ถูกฟ้องร้องและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องให้ศาลมีอำนาจ
ยกฟ้อง ดังนั้น เพื่อให้ระบบการปล่อยชั่วคราวและการพิจารณาพิพากษาคดีอาญามีความเหมาะสมกับ
สภาพสังคมในปัจจุบันและสามารถคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
-