หมายความว่า ผู้สอนประเมนิ การเรียนรู้ของผู้เรียนต้ังแต่เรม่ิ บทเรียน และประเมนิ อย่างสมำ่ เสมอตลอดการสอน 17 แต่ละหน่วย เพื่อให้ได้ข้อมูลมาปรับปรุงการสอน ผู้สอนต้องตั้งเกณฑ์ไว้ล่วงหน้าเพื่อรองรับการสอนและการ ประการที่สอง : การประเมินจะต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลท่ีมีความหลากหลาย ประการที่สาม : การประเมินจะต้องมีความเที่ยงตรง เชื่อถือได้ และยุติธรรม หมายความว่า 2. การประเมินผลการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจ การอ่านเพื่อความเข้าใจ มีวิธีการสอนแบบ 2.1 การประเมนิ ผลอย่างสมำ่ เสมอในขณะทท่ี ำการสอนแตล่ ะหน่วย กระทรวงศึกษาธิการ (2554 : 2) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนจุดมุ่งหมาย ประการแรกคือ การวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลการ ประการที่สองคือ การวัดและประเมินผลเพื่อตัดสินผลการเรียน เป็นการประเมินสรุปผลการ สรุปได้ว่า ในการวัดและประเมินผลความเข้าใจในการอ่าน นิยมใช้แบบทดสอบปรนัยชนิด 18 ประเมินผลสองช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 วัดและประเมินผลเพื่อการพัฒนา (Formative Assessment) ที่เกิดขึ้นใน 3. เอกสารทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับเทคนคิ ซี ไอ อาร์ ซี (CIRC Technique) 3.1 ความหมายและองคป์ ระกอบของเทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี สำหรับสอนการอ่าน การเขียนและทักษะทางภาษา (Language Arts) ใช้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอน นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงหลักการ แนวคิด และทฤษฎีการเรียนด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ Slavin (1990 : 345) กล่าวว่าเทคนิคซี ไอ อาร์ ซี เป็นวิธีการเรียนแบบร่วมมือที่ใช้ในการสอน 1. กจิ กรรมท่เี ก่ียวขอ้ งกบั เรื่องทอ่ี ่าน (Story-Related Activity) 19 3.2 ขน้ั ตอนการสอนโดยเทคนคิ ซี ไอ อาร์ ซี อาร์ ซี มีอยู่ 4 ประการ คอื จัดเป็นชุด ๆ ตามระดับความสามารถของผู้เรียน หรือครูผู้สอนสามารถที่จะเลือกเนื้อหาที่ใช้สอนประเภท 2. การจัดนักเรียนเข้ากลุ่ม (Assigning Students to Teams) ครูเป็นผู้จัดกลุ่มให้กับ 2.1 เรียงลําดับคะแนนผู้เรียนตามคะแนนที่ทําได้ในเกมครั้งก่อน ๆ หรือตามเกรดหรือ 2.2 กำหนดจํานวนทีม แต่ละทีมควรประกอบดว้ ยสมาชิก 4 คน ถา้ หารไมล่ งตัวอาจเพ่ิม 2.3 จัดผู้เรียนเข้าทีม แต่ละทีมประกอบด้วยสมาชิก 4 คนคือ ผู้ที่มีความสามารถในการ 3. การจัดทําใบคะแนนของทีม (Team Score Sheet) เป็นแบบบันทึกคะแนน รายบุคคล 4.การจัดทําแบบฟอร์มบันทึกการทํางานที่ได้รับมอบหมาย (Assignment Record Form) คะแนนของนักเรียนได้จากการตอบคําถามทําแบบฝึกหัดแต่ละคาบเรียน และสมุดรายงาน (Book 1. ทีมที่ทําคะแนนในทุกกิจกรรมได้ถึงเกณฑ์ 90% (กิจกรรมที่ได้รับในสัปดาห์หนึ่งจะ 2. ทีมที่ทําคะแนนได้ 80 - 90% จะได้รับการประกาศให้เป็น “Great Teams” และ การจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือผลงานของนักเรียนทุกคนคือ ผลงานของกลุ่มและกลุ่มที่ได้รับ 20 สอบควรเทียบกับคะแนน 100 เสมอ คะแนนฐานอาจได้มาจากคะแนนสอบแต่ละครั้งจากคะแนนฐานที่สามารถ ตารางที่ 2.1 เกณฑก์ ารคาํ นวณคะแนนความกา้ วหนา้ คะแนนจากการทดสอบ/แต่ละคน คะแนนพฒั นา ต่าํ กว่าคะแนนฐาน มากกวา่ 10 คะแนน 0 ในการทดสอบแต่ละครั้งนักเรียนต้องรู้คะแนนฐานของตนเองก่อนและคํานวณว่าตนเอง อาจต้องทํา ตารางที่ 2.2 เกณฑ์การพัฒนา คะแนนพฒั นาเฉลีย่ ของกลุม่ ระดบั การพัฒนา 0 - 15 กลุ่มเกง่ วชั รา เลา่ เรยี นดี (2555) ได้สรุปการเตรียมการสอนโดยเทคนคิ ซี ไอ อาร์ ซี ไว้ดังนี้ กลาง อ่อนเป็น 1 : 2 : 1 แนะนําวิธีการเรียนรู้เทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี อธิบายวิธีการวัดผลประเมินผล การคิด 2. ขั้นสอน ประกอบด้วย ครูทบทวนความรู้เดิม การนําเสนอคําศัพท์ใหม่ นําเสนอบทเรียนใหม่ และสอน วิธีสอนอ่านเพอื่ ความเข้าใจ นักเรยี นอา่ นบทอ่าน ครูฝึกทกั ษะในการอ่านเพอื่ ความเขา้ ใจจากเรอ่ื ง 3. ขั้นกิจกรรมกลุ่ม ดําเนินการสอนตามกิจกรรมการเรียนการสอนแบบร่วมมือกันด้ว ยเทคนิค CIRC ประกอบด้วย ขั้น C (Cooperative) คือ การให้นักเรียนฝึกปฏิบัติโดยจับคู่กนั อ่าน ผลัดกันอ่าน แก้ไขการ อ่านของเพื่อน เข้ากลุ่มช่วยกันสรุป ขั้น IR (Integrated Reading) เป็นการบูรณาการการสอนอ่าน นักเรียน รว่ มกันอ่านบทอา่ น ร่วมกันคดิ พิจารณา จบั ใจความสาํ คัญ บอกรายละเอียดจากเร่ือง เรียงลาํ ดบั เหตุการณ์ บอก ความหมายของคําศัพท์จากบริบท การแปลความ ตีความ ขั้น C (Composition) คือ การเขียนสรุป และแสดง ความคดิ เห็นจากเรือ่ งทีอ่ า่ น 21 4. ขั้นประเมินผล และมอบรางวัล ประกอบด้วย นักเรียนช่วยกันสรุปบทเรียน นักเรียนทํา ทิศนา แขมมณี (2552 : 270 - 271) กลา่ วถงึ ขั้นตอนในการสอนด้วยเทคนคิ ซี ไอ อาร์ ซี ดงั นี้ 3 คน ทำกิจกรรมการอา่ นแบบเรยี นรว่ มกัน กิจกรรมร่วมกัน เช่น เขียนรายงาน แตง่ ความ ทำแบบฝกึ หัดและแบบทดสอบต่าง ๆ และมีการให้คะแนนของแต่ 3. ครูพบกลุ่มการอ่านประมาณวันละ 20 นาที แจ้งวัตถุประสงค์ในการอ่าน แนะนำคำศัพท์ใหม่ 4. หลังจากกจิ กรรมการอ่าน ครนู ำอภิปรายเรื่องที่อ่าน โดยครจู ะเน้นการฝึกทกั ษะต่าง ๆ ในการ 5. นักเรียนรับการทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจ นักเรียนจะได้รับคะแนนเป็นทั้ง รายบุคคล 6. นักเรียนจะได้รับการสอนและฝึกทักษะการอ่านสัปดาห์ละ 1 วัน เช่น ทักษะการจับใจความ 7. นักเรียนจะได้รับชุดการเรียนการสอนเขียน ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อการเขียน ได้ตาม 8. นักเรียนจะได้รับการบ้านให้เลือกอ่านหนังสือที่สนใจ และเขียนรายงานเรื่องที่อ่าน เป็น สังวาล วิริจินดา (2553 : 36 - 38) ได้สรุปกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนด้วยเทคนิค ซี ไอ 1. การจัดกล่มุ อ่าน (Reading Group) 22 7. การฝกึ หาความหมายของคำศัพท์ (Word Meaning) 4. เอกสารที่เก่ยี วกบั ใบงานมชี วี ติ Live worksheet 4.1 ความหมายของใบงานมชี ีวิต Live worksheet ได้เลือกใช้ หรือถ้าคุณครูต้องการยกระดับประสทิ ธิภาพการใช้งานกส็ ามารถสมัครสมาชิกกับทางเว็บไซต์เพื่อให้ 4.2 การใชง้ าน Liveworksheets การสร้างใบงานออนไลน์ สำหรับคนรนุ่ ใหม่ ด้วย Live Worksheet 23 การสรา้ งใบงานออนไลน์ สำหรบั คนรุ่นใหม่ ดว้ ย Live Worksheet การสรา้ งใบงานออนไลน์ สำหรบั คนร่นุ ใหม่ ด้วย Live Worksheet 24 5 จากนนั้ จะกลับเขา้ มา login หน้าเว็บอกี ครง้ั โดยใส่ Username และ Password ที่เราใชส้ มคั ร 5. เอกสารทเ่ี กย่ี วกบั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น 5.1 ความหมายของผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล การ พโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ให้คำจำกัดความผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือ คุณลักษณะรวมถึง อรทัย จันใด (2553 : 18) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถใน สรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ ผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรได้มาตามหลักการวัดและ 5.2 ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล การ 25 พโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ได้จัดประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่ง 1. แบบทดสอบท่ีครูสรา้ งขึ้นเปน็ แบบทดสอบท่ีครสู รา้ งข้ึนเองเพื่อใช้ในการทดสอบผู้เรียนในชั้น 1.1 แบบทดสอบปรนัย (Objective Tests) ได้แก่ แบบถูก - ผิด (True - False)แบบ 1.2 แบบอัตนัย ( Essay Tests) ได้แก่ แบบจำกัดคำตอบ ( Restricted Response 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Tests) เป็นแบบทดสอบที่สร้างโดยผู้เชี่ยวชาญที่มี พิสณุ ฟองศรี (2553 : 124 - 125) ได้กล่าวถึงการสร้างและพัฒนาแบบสอบชนิดเลือกตอบ ไว้ว่า ข้อดขี องแบบสอบชนดิ เลอื กตอบ 3. ในการตรวจไมม่ ปี ัญหาเรอ่ื งการอา่ น 4. สามารถพฒั นาให้เป็นแบบสอบมาตรฐานได้ 5. สอดคลอ้ งกบั พฤติกรรมของมนุษยท์ ่ตี ้องตดั สินใจเลือกอยูเ่ สมอ ข้อเสียของแบบสอบชนดิ เลือกตอบ 1. สร้างยากใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าแบบสอบปรนัยประเภทอื่น เนื่องจากต้องสร้าง ทั้งข้อ คำถามและตัวเลอื ก ยงิ่ มหี ลายตวั เลือกกย็ ่ิงสร้างยาก 2. ใชเ้ วลานานและคา่ ใชจ้ า่ ยสงู 3. ถ้าสร้างไมด่ ีมักจะวดั ไดเ้ ฉพาะพฤติกรรมระดับความรู้ - ความจำ พิสณุ ฟองศรี (2553 : 126 - 147) ได้กลา่ วถงึ การสร้างแบบสอบชนิดเลือกตอบไวว้ ่า การสร้างแบบ สอบชนดิ เลอื กตอบมหี ลกั การสรา้ ง ดงั นี้ 1. ศกึ ษาหลกั สูตร เนอ้ื หา และวัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมหรือการเรียนรู้ 2. สรา้ งตารางวิเคราะห์หลกั สูตร (Table of Specification) 26 3. รา่ งข้อคำถามและองคป์ ระกอบ ขอ้ คำถามทใ่ี ช้สำหรบั วดั พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยท้งั 6 ระดับ โดยมีข้อคำถามหลกั ๆ ดงั นี้ 3.1 ด้านความรู้ความจำ การวัดด้านความรู้ความจำ เป็นความสามารถในการระลึกได้ถึง เรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยประสบมาคำถามประเภทนี้จะเป็นคำถามตามตำราหรือตามประสบการณ์ที่เคยได้รับ หรือ ตามท่ีผู้บอกหรอื สอนไว้ หรอื ถามความจำทเี่ กีย่ วกบั เน้อื หาวชิ าที่เรียนมา แบ่งออกเปน็ 3 ระดับ คือ 3.1.1 ความจำเก่ียวกบั เน้ือเรอ่ื ง 1) การถามความรู้เกี่ยวกับศัพท์และนิยาม เช่น การถามชื่อ ถามคำศัพท์ การถาม ความหมาย การถามตัวอย่าง 2) ถามความรู้เกี่ยวกับกฎและความจริง เช่น การถามสูตร กฎ หลักการ ทฤษฎี สมมตฐิ าน ถามความจริงเก่ียวกับเรื่องราวหรือเนื้อเรื่อง ถามขนาด จำนวน ถามสถานท่ี ถามเวลา ถามคุณสมบัติ ถามวัตถปุ ระสงค์ ถามสาเหตุและผลทีเ่ กิด ถามประโยชน์และโทษ ถามสทิ ธหิ นา้ ที่ 3.1.2 ความรู้เกี่ยวกับดำเนินการ เปน็ การถามความรู้เกย่ี วกับวิธีปฏิบัติ ในการทำกิจการ ต่าง ๆ และเรื่องราวเหตุการณ์ เขียนได้ 5 แบบ ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับระเบียบแบบแผน ความรู้เกี่ยวกับลำดับขั้น และแนวโน้ม ความรูเ้ กี่ยวกบั การจำแนกประเภท ความร้เู กยี่ วกบั เกณฑ์ และความรูเ้ กี่ยวกับวิธีการ 3.1.3 ความรู้รวบยอดในเนื้อเรื่อง เป็นการถามความสามารถในการจดจำข้อสรุปหรือ หลกั การของเรื่องที่เกิดข้ึนจากการผสมผสานหาลักษณะรว่ มเพ่ือรวบรวมและย่นย่อลงมาเป็นหลักหรือหัวใจของ เนื้อหานั้น มี 2 แบบ คือ ความรู้เกี่ยวกับหลักวิชาการกับการขยายหลักวิชา และความรู้เกี่ยวกับ ทฤษฎีกับ โครงสรา้ ง ความจำไปดัดแปลงปรับปรุง เพื่อให้สามารถจับใจความอธิบาย หรือเปรียบเทียบย่นย่อเรื่องราว ความคิด 3.3 การนำไปใช้ การวัดการนำไปใช้ เป็นการถามเก่ยี วกับการนำเอาความรู้ ความเขา้ ใจไปใช้ 3.4 การวิเคราะห์ การวัดการวิเคราะห์เป็นการวัดความสามารถในการแยกแยะ สิ่งต่าง ๆ 3.5 การสังเคราะห์ การวัดการสังเคราะห์เป็นการวัดความสามารถในการรวบรวมผสมผสาน 3.6 การประเมินค่า การวัดการประเมินค่าเป็นการวินิจฉัยตีราคาโดยสรุปอย่างมีหลักเกณฑ์ 27 ไพศาล วรคำ (2556 : 239 - 243) ได้กล่าวถึงการสร้างแบบทดสอบและประเภทของ แบบทดสอบ 1. จำแนกตามคุณลักษณะที่ต้องการวัด ซึ่งเป็นคุณลักษณะทางจิตภาพ แบบทดสอบจึงทำ 1.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัด 1.2 แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพ (Personality Test) เป็นแบบดสอบที่ใช้วดั คุณลักษณะของ 1.3 แบบวดั ความถนัด (Aptitude Test) เปน็ การวดั ศกั ยภาพ (Potential) ของผูต้ อบเพ่ือใช้ 2. จำแนกตามลักษณะการตรวจให้คะแนน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ ความเป็นปรนัยสูง กล่าวคือ ไม่ว่าจะให้บุคคลใดเป็นผู้ตรวจก็สามารถให้คะแนนได้ถูกต้องตรงกันเสมอ เช่น 2.2 แบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test) หมายถึง แบบทดสอบที่การตรวจ ให้คะแนนมี 2.3 แบบทดสอบอัตนัยประยุกต์ (Modified Subjective Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ทำ 3. จำแนกตามลักษณะการสร้าง จำแนกได้ 2 ประเภท คือ ทางด้านจิตวิทยา ด้านการวัดและประเมิน และนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ร่วมกันพัฒนาขึ้นภายใต้ กระบวนการ 3.2 แบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างเอง (Researcher - Made Test) เป็นแบบทดสอบที่ผู้วิจัย 4. จำแนกตามลักษณะการนำผลที่ไดไ้ ปใชป้ ระเมิน จำแนกเปน็ 2 ประเภท คอื เพื่อวัดความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคลว่ามีความรู้ความสามารถตามเกณฑ์ตั้งไว้หรือไม่ ส่วนใหญ่จะใช้ใน 4.2 แบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม (Norm - Referenced Test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพ่ือ 28 พฤติกรรมที่ต้องการวัด สว่ นใหญแ่ บบทดสอบแบบองิ กลมุ่ จะใช้จัดตำแหน่ง ความรอบรู้ของผเู้ รียนในเร่อื งที่สอน 5. จำแนกตามลักษณะการตอบสนอง จำแนกได้เปน็ 3 ประเภท คือ คำถามแล้วเลือกคำตอบหรือเขียนตอบในกระดาษคำตอบที่จัดให้ มีหลายรูปแบบ ได้แก่ แบบทดสอบเลือกตอบ 5.2 แบบทดสอบปฏิบตั ิ (Performance Test) เปน็ แบบทดสอบทีใ่ ชว้ ัดทกั ษะ ความสามารถ 5.3 แบบทดสอบปากเปล่า (Oral Test) เป็นแบบทดสอบที่มีลักษณะคล้าย แบบทดสอบ สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งได้ 2 ประเภท คือ แบบทดสอบมาตรฐาน ซึ่ง 5.3 ปัจจัยทม่ี ีความสัมพันธ์กบั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ อรทัย จันใด (2553 : 80 - 81) พบว่า ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วนิดา ดีแป้น (2553 : ค - ง) พบว่า ตัวแปรอิสระระดับนักเรียนที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ ศิรินาฏ เจาะจง (2554 : 84 - 93) ได้ศึกษาสภาพปัจจัยการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและ ผลกระทบ 29 สรุปได้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษมีมากมาย ในการจัด 6. เอกสารท่ีเกยี่ วกับแบบสอบถามความคดิ เห็น 6.1 ความหมายของแบบสอบถามความคิดเห็น ทราบ อนั จะทำใหไ้ ดม้ าซ่ึงข้อเท็จจรงิ ทั้งในอดีต ปจั จุบนั และการคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตส่วนใหญจ่ ะอยู่ใน พิชญ์สินี ชมภูคำ (2551) ให้คำนิยามว่า แบบสอบถามเป็นรปู แบบของคำถามเปน็ ชุด ๆ ที่ได้ถูก อุดม กุลธร (2551 : 23) กล่าวถึงความคิดเห็นในแบบความพึงพอใจ เป็นระดับความรู้สึก หรือ ธเนศ ต่วนชะเอม (2552) แบบสอบถาม คือ ข้อคำถามที่ผู้วิจัยต้องสร้างขึ้นตามกรอบแนวคิด สรุปได้ว่า แบบสอบถามเป็นรูปแบบของคำถามเป็นชุด ๆ ที่ได้ถูกรวบรวมไว้อย่างมีหลักเกณฑ์และ 30 6.2 ประเภทของแบบสอบถามความคดิ เห็น Domain) มีผู้จำแนกประเภทของแบบสอบถามความคดิ เห็น ดงั นี้ เครื่องมือที่ใช้สอบถามความคิดเห็นต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือใช้สอบถามพฤติกรรมการปฏิบัติ คุณลักษณะและ 1.จำแนกตามคุณลักษณะที่ต้องการวัด ได้แก่ แบบวัดบุคลิกภาพ แบบวัดเจตคติ แบบวัดความ 2.จำแนกตามลักษณะของมาตรประมาณค่า ได้แก่ มาตรวัดของลิเคิร์ต มาตรวัดของออสกูด มาตรวัดลิเคิร์ต (Likert Scales) ส่วนใหญ่จะใช้ในการถามความรู้สึกหรือเจตคติต่อสิ่งใดส่ิง 3. จำแนกตามลักษณะการตอบ ได้แก่ แบบสอบถามปลายปิด แบบสอบถามปลายเปิด และ ขนั้ ตอนการสร้างแบบสอบถาม ท่เี กยี่ วขอ้ งในการตรวจสอบความเทยี่ งตรงเชงิ เนอ้ื หา สรุปได้ว่า ประเภทของแบบสอบถามความคิดเห็น สามารถจำแนกได้ตามลักษณะ ได้แก่ 3 ลักษะ 31 6.3 หลักการสร้างและขัน้ ตอนการสร้างแบบสอบถาม ไว้ ดงั นี้ แบบสอบถามนานเกนิ ไป มขี นั้ ตอนการสรา้ งแบบสอบถามไว้ ดังนี้ 32 ธเนศ ตว่ นชะเอม (2552) แบ่งข้ันตอนในการสรา้ งแบบสอบถามไว้ 7 ขัน้ ตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 สิ่งที่ผู้วิจัยยกร่างควรคำนึง ก่อนที่จะสร้างแบบสอบถามนั้น ผู้ยกร่างจะต้องคำนึงถึงส่ิง ตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปนีก้ อ่ น คอื 1) ต้องทราบและคำนึงปัญหาการวิจัย วัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของการวิจัย รวมทั้ง สมมตฐิ านการวจิ ัย และทีส่ ำคัญมากท่สี ดุ คือนยิ ามปฏิบัติการ (O.D.) อย่างชัดเจนว่าต้องการศึกษาหรือถามอะไร แล้วจงึ นำเอาความตอ้ งการทราบน้ันมาต้ังเปน็ คำถาม เพียงใดนน่ั คอื คำนึงถงึ หน่วยท่ีจะวิเคราะห์ (Unit of Analysis) เก็บขอ้ มลู ไดส้ ะดวก คำถามเปิด (Open - Ended) จึงจะเหมาะสม จดั ทำปัญหาใหญ่ ๆ ไว้ก่อน เพอ่ื สะดวกแก่การยกร่าง โดยนำเอาวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั ทีต่ อ้ งทราบมาแปลง ขั้นที่ 3 การนิยามตัวแปร เมื่อกำหนดปัญหาการวิจัยและตั้งสมมติฐานการวิจัยแล้วผู้วิจัยจะต้อง 1) นยิ ามทั่วไป (General Definition) หรอื นิยามเชิงทฤษฎี (Theoretical Definition) เปน็ 2) นิยามปฏิบัติการ (Operational, Working Definition) เป็นการนิยามชี้เฉพาะ เจาะจง ขั้นที่ 4 ลงมือยกร่างคำถาม เมื่อได้จัดทำรายละเอียดของปัญหาพร้อมหมดแล้วก็ถึง ขั้นที่จะต้อง 1) ตั้งคำถามใหม้ ากที่สดุ เทา่ ทจี่ ะมากได้ และให้มีหลาย ๆ แบบ 33 5) คำถามที่ตั้งขึ้นนั้น มีซ้ำกันหรือคล้ายคลึงกันหรือไม่ ถ้าซ้ำกันให้ตัดทิ้งหรือดัดแปลงเข้า 6) ถ้าเปน็ คำถามปิด ให้พิจารณาวา่ มีคำตอบใหเ้ ลือกตอบครบถ้วนหรือไม่ แต่ถ้าไมแ่ น่ใจ ให้ 7) ถ้าเป็นคำถามที่วัดทัศนคติให้พิจารณาถึง Scale ที่จะใช้มาตรวัดและควรแบ่งอย่างไร ข้ันที่ 5 ตรวจแกแ้ บบสอบถาม เมอื่ ได้ยกร่างคำถามแต่ละรายการหมดแล้วต้องช่วยกันตรวจสอบ 1) ตรวจสอบโดยผยู้ กรา่ งเอง อาจพิจารณาใน 2 ลกั ษณะใหญ่ ๆ ดงั น้ี ตรวจดูประโยชน์และ 2) ตรวจสอบโดยบุคลากรภายนอก เพื่อให้ผู้ที่มีความรู้และชำนาญทางด้านนี้โดยเฉพาะได้ ข้นั ที่ 6 การทดสอบแบบสอบถาม (Pre - test) เปน็ ข้นั ตอนท่ีมีความสำคัญมากในทางปฏบิ ตั ิ การ 1) เพื่อหาความถูกต้องสมบูรณ์ (Validity) และความเชื่อถือได้ (Reliability) ของ 34 2) เพ่อื ตรวจดวู า่ คำถามทต่ี งั้ ขึน้ นน้ั ผู้ตอบมีความเข้าใจในภาษาท่ีใช้หรือไม่เพียงไร 6.4 ประเภทของคำถามในแบบสอบถาม จะได้นำมาสร้างอย่างเหมาะสมกบั ข้อที่ต้องการจะวัด ซึ่ง ธเนศ ต่วนชะเอม (2552) กำหนดประเภทของคำถามไว้ 1. คำถามปิดแบบปิดหรือปลายปิด (Close-ended Question) ได้แก่ คำถามที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้ 1 1.1 คำถามให้ตอบรับหรือปฏิเสธ (Yes-No Question) ได้แก่ คำถามที่สั้นและง่ายที่สุดท่ี 1.2 คำถามเผื่อเลือก (Check list Question) ได้แก่ คำถามที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้ 1 ข้อ แล้วมี 1.2.1 คำถามให้เลือกตอบเพียงข้อเดียว (Check one Choice) ได้แก่ คำถามที่ผู้วิจัยต้ัง 1.2.2 คำถามที่ให้เลือกตอบได้หลายคำตอบ (Check Multiple Choice) ได้แก่ คำถาม 35 1.2.3 คำถามให้เลือกตอบตามน้ำหนักความสำคัญ (Weighting Question) ได้แก่ 1.2.4 คำถามแบบประเมินคา่ หรอื มาตราสว่ น (Rating Scale) ไดแ้ ก่ คำถามท่ผี ู้วิจยั ต้ังไว้ 2. คำถามเปิดแบบปิด หรือปลายเปิด (Open-ended Question) เป็นคำถามที่เปิดโอกาสให้ สรุปไดว้ า่ ประเภทของคำถามในแบบสอบถามแบ่งได้เปน็ 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ แบบสอบถามแบบปลายเปิด 6.5 ข้อดีและข้อเสียของแบบสอบถาม เลอื กใช้แบบสอบถามในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดงั นี้ และประหยดั กวา่ วธิ ีอ่นื ขอ้ มลู เอง เกยี รติสดุ า ศรสี ขุ (2552) ไดก้ ล่าวว่าข้อดอ้ ยของการเก็บข้อมูลโดยใชแ้ บบสอบถาม มดี งั นี้ ต้องเสยี เวลาในการตดิ ตาม อาจทำใหร้ ะยะเวลาการเกบ็ ข้อมลู ล่าชา้ กว่าท่กี ำหนดไว้ 36 2. การเกบ็ ข้อมูลโดยวธิ ีการใช้แบบสอบถามจะใช้ได้เฉพาะกับกลุ่มประชากรเป้าหมายท่ีอ่านและ 3. จะได้ข้อมูลจำกัดเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เพราะการเก็บข้อมูลโดยวิธีการใช้ 4. การส่งแบบสอบถามไปทางไปรษณีย์ หนว่ ยตัวอยา่ งอาจไม่ได้เป็นผู้ตอบแบบสอบถามเองก็ได้ ทำ 5. ถ้าผู้ตอบไม่เข้าใจคำถามหรือเขา้ ใจคำถามผิด หรือไม่ตอบคำถามบางข้อ หรือไม่ไตร่ตรองให้ 6. ผทู้ ีต่ อบแบบสอบถามกลับคืนมาทางไปรษณยี ์ อาจเป็นกลุ่มที่มลี ักษณะแตกต่างจากกลุ่มผู้ท่ีไม่ ธเนศ ตว่ นชะเอม (2552) ไดจ้ ำแนกขอ้ ดีของแบบสอบถามได้ ดังน้ี ทัง้ หมด (Uniformity) เพราะมคี ำถามท่จี ะให้ได้ขอ้ มูลในลักษณะเดียวกนั ท้ังฉบบั ประหยัดทง้ั กำลงั คน เวลา และงบประมาณ อย่างไรกต็ อบไปตามน้ัน ตารางได้สะดวกและรวดเรว็ ขึน้ ประชากรกลุ่มใหญ่ได้ดี ผู้ตอบมีอิสระในการตอบ และไม่เกิดความลำเอียงอันเนื่องมาจากการสัมภาษณ์หรือการ 37 7. งานวจิ ัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยหลายเล่มที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาผลสัมฤทธิ์ของการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อ เนตรวรา ศรีสิน (2556) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ |