Show
@SAHINOP จับความเอามาแจ้ง คำพูดออกรายการ ‘เจาะลึกทั่วไทย’ ของ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ซึ่งถูกลบคลิปรายการออกไปจากยูทู้ปเสียแล้ว เช่นกันกับโพสต์ของ จุลเจิม ยุคล ที่บอก “ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พ้นจาก ‘อุบัติเหตุ’ และโรคภัยทั้งปวง เทอญ” คำในอัญประกาศเดี่ยวข้างต้นบ่งว่าเกิดอะไรขึ้นที่เขาใหญ่ ระหว่างที่เป็นข่าวลือหึ่มเมื่อวาน แล้ว “สื่อยังไม่กล้าลงข่าว” แต่ @ATIKIT14 เอามาเล่าหลังจากฟังรายการ #ยามไทม์ ตอนเที่ยงคืน ว่า กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา หรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘องค์ภา’ ทรงประสบอุบัติเหตุระหว่างทรงงานออกกำลังกายกับสุนัขทรงเลี้ยง พระองค์เสด็จฯ เขาใหญ่เพื่อร่วมการแข่งขัน TWD2022 สุนัขใช้งาน ชิงถ้วยในหลวงฯ โดยที่มีสุนัข ๑๕ ตัวจากกองร้อย Von der 908 ในเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ร่วมแข่งขัน ช่วงวันที่ ๑๐-๑๘ ธันวานี้ อันทำให้ @l2anee เม้นต์ไว้บนหน้าทวิตเตอร์ของ @WassanaNanuam ว่า “ถ้าไม่ได้มาพระราชทานรางวัล เดาว่าข่าวลือคือจริง” แต่ที่แอนดรูว์เล่าไว้จนทำให้ ‘เอ็ดดี้’ เนื้อเต้นก่นว่า “สองคนนักบั่นทอนสถาบันฯ ปล่อยข่าว...ขนาดผู้หลักผู้ใหญ่บางท่านอยู่ใกล้ชิดยังไม่ทราบ มีหนอนที่คอยสอดแนมส่งข่าวจากภายในวัง ต้องหาตัวและจับตัวออกมาให้ได้” ก็ตรงเรื่องที่ว่า “การตรวจหาสาเหตุแห่งพระอาการ ทำให้ต้องกังวลว่าจะไม่ทรงทุเลา แต่พระองค์คงจะได้รับการสวมเครื่อง ‘อีซีเอ็มโอ’ ไว้เป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน” ซึ่งตีความกันว่ามีพระอาการเช่นเดียวกับสมเด็จพระอัยยิกา และพระมารดา ข้อความที่แอนดรูว์เขียนในย่อหน้าสุดท้ายของโพสต์ ‘อัพเดท’ ล่าสุดเป็นเรื่องกินใจเหล่ารอยัลลิสต์ไม่น้อย เมื่อเขาเม้าท์มอยว่า พระอาการป่วยขององค์ภาจะส่งผลกระทบต่อราชสำนักมากทีเดียว ในเมื่อเป็นที่คาดหวังกันว่าพระองค์จะทรงได้สืบราชสันตติวงศ์ หรือไม่ก็จะทรงเป็นผู้สำเร็จราชการ (พี่เลี้ยง) เมื่อเจ้าฟ้าทิปังกรขึ้นครองราชย์ (https://secretsiam.news/.../whos-next-an-analysis-of-thai และ https://m.facebook.com/story.php?story_100001454030105)
In July, Joon Wanavit, the founder of Hatari Electric, one of Thailand’s leading fan manufacturers, and his family donated 900 million baht ($24 million) to Ramathibodi Foundation, which raises funds for Ramathibodi Hospital and its public healthcare services. Of the total, 160 million baht was earmarked for the hospital’s nursing school, 300 million baht for a medical learning center, and 440 million baht for a new hospital building and medical innovation center. According to a Thai news report, the low-profile entrepreneur was quoted as saying at the time, “My children have their own careers and money. I want to donate this money back to general public patients.” Joon started with a small fan repair shop before moving into contract manufacturing for Japanese brands and eventually launching Hatari Electric’s own top-selling brand of fans. The privately held company posted 6.3 billion baht in revenue last year.
คาดว่าจีนจะจัดส่งเรือดำน้ำให้ไทยลำแรกในปี 2567-2568
บีบีซีไทย เมื่อ 15 ก.ย. ซึ่งเป็นเส้นตายการพิจารณาสเปกเครื่องยนต์เรือดำน้ำที่ยืดเวลาออกมาแล้วรอบหนึ่ง ท้ายสุดยังไม่ได้ข้อสรุป และแน่ชัดว่าเรือดำน้ำที่ไทยซื้อจากจีนจะไม่ได้ใช้เครื่องยนต์เยอรมนี ตามที่ระบุในสัญญา ตอนนี้ ประเด็นที่สื่อมวลชนและสังคมเฝ้าติดตาม คือ การที่จีนเสนอเครื่องยนต์ CHD 620 ที่จีนพัฒนาและผลิตเอง ให้กองทัพเรือไทยแทน เพื่อใช้สำหรับเรือดำน้ำชั้น Yuan Class รุ่น S26T ลำแรกจากจำนวน 3 ลำที่ไทยสั่งซื้อจากจีน หลังจีนไม่สามารถจัดหาเครื่องยนต์ทดแทนเครื่องยนต์ MTU 396 ของเยอรมนีได้ นับแต่เมื่อวานนี้ (13 ธ.ค.) ถึงวันนี้ (14 ธ.ค.) ตัวแทนของฝั่งจีน คือ ผู้ช่วยทูตทหารจีน และตัวแทนบริษัท CSOC และกองทัพเรือไทย กำลังเจรจาถึงการพิจารณาสเปกเครื่องยนต์จีน เพื่อทดแทนเครื่องยนต์เยอรมนี ในห้วงเวลาของการเจรจานี้ นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมาตั้งคำถามว่า กองทัพเรือกำลังฟอกขาว สร้างความชอบธรรมการใช้เครื่องยนต์จีนหรือไม่ หลังเพจเฟซบุ๊ก “ฐานทัพเรือกรุงเทพฯ” ซึ่งเป็นเพจลูกของกองทัพเรือไทย ได้เผยแพร่อินโฟกราฟิก และลงบทความเชิงอธิบายการทำงานของเครื่องยนต์ที่กำลังเป็นปัญหาว่า ไม่ได้เป็นเครื่องยนต์ที่เป็นส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนใบจักรของเรือดำน้ำ เป็นเพียงเครื่องยนต์เพื่อปั่นกระแสไฟฟ้าเท่านั้น “เป็นความพยายามอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขสัญญาและยอมรับเครื่องยนต์ดีเซล CHD 620 ที่ผลิตจากจีน แทนเครื่องยนต์ MTU 396 ของเยอรมันใช่หรือไม่” นายพิจารณ์ ตั้งคำถาม “ถ้าหากในการเจรจาวันที่ 13-14 ธ.ค. นี้กองทัพเรือยอมแก้ไขสัญญาไทยจะกลายเป็นประเทศแรกในโลก ที่ได้ใช้เครื่องยนต์ดีเซล CHD 620 ของจีนในเรือดำน้ำ เพราะที่ผ่านมาแม้แต่ประเทศจีนเองยังไม่ได้ใช้เองเลย” "เหมือนเราตั้งใจซื้อรถยนต์ที่ระบุในสัญญาว่า เครื่องยนต์เยอรมนี แต่เอาเข้าจริง กลับบอกว่าจะใช้เครื่องยนต์จีน แล้วเราจะยังซื้ออยู่ไหม" รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุเชิงตั้งคำถาม บีบีซีไทยตรวจสอบโพสต์ดังกล่าวในเพจเฟซบุ๊ก “ฐานเรือกรุงเทพ” ที่โพสต์เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา แต่ปัจจุบัน โพสต์ดังกล่าวได้ถูกลบไปแล้ว กองทัพเรืออธิบายบทบาทเครื่องยนต์ โพสต์ต้นทางของประเด็นที่พรรคก้าวไกลถกถามว่า กองทัพเรือกำลังสร้างความชอบธรรมการใช้เครื่องยนต์จีนหรือไม่ มีเนื้อหาว่า “ทหารเรือรู้หรือไม่ ? เรือดำน้ำที่ ทร. สั่งซื้อนั้น ทุกครั้งที่ใบจักรหมุน หมุนด้วยพลังงานไฟฟ้า เรือดำน้ำแบบดีเซล-ไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี ไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อขับเพลาใบจักรให้หมุน” โพสต์ระบุเนื้อหาเชิงเทคนิกการทำงานของเครื่องยนต์ส่วนต่าง ๆ และเรือดำน้ำ ประกอบอินโฟกราฟิก เพื่อแสดงให้เห็นว่า เครื่องยนต์ดีเซลที่กำลังเป็นประเด็นนั้น เป็นเครื่องยนต์สำหรับขับเคลื่อนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และการชาร์จแบตเตอรี สำหรับใช้ในเรือดำน้ำเท่านั้น ไม่ใช่เครื่องยนต์สำหรับขับเคลื่อนใบจักรเรือดำน้ำโดยตรง นายพิจารณ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย อินไซต์ไทยแลนด์” ว่า ข้อมูลที่กองทัพเรือเผยแพร่ออกมา เป็นความพยายามอธิบายกับสังคมแบบเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งดูย้อนแย้งกับพฤติการณ์ของกองทัพเรือตามปกติที่ “เปิดเผยข้อมูลน้อยมาก เพราะอ้างเหตุผลความมมั่นคง” “เราเห็นความพยายามอธิบายสังคมว่าเครื่องยนต์นี้ไม่ได้ขับเคลื่อนเรือดำน้ำ แต่ไปขับเคลื่อนเครื่องปั่นไฟแล้วเก็บประจุในแบตเตอรี เพื่อนำไปสู่การยอมรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ผลิตในประเทศจีนหรือไม่ ยอมรับเครื่องยนต์ที่จะใส่ในเรือดำน้ำที่แม่แต่จีนเองก็ไม่เคยใช้” นายพิจารณ์ ตั้งคำถาม “เราจะเป็นหนูทดลองหรือเปล่า” กองทัพเรือ เลื่อนแล้วเลื่อนอีก พล.ร.อ. เถลิงศักดิ์ ศิริสวัสดิ์ เสนาธิการทหารเรือ ประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการเรือดำน้ำ เคยยืนยันเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ซึ่งเป็นเส้นตายแรกเรื่องเครื่องยนต์เรือดำน้ำว่า หากครบกำหนดครั้งที่ 2 คือ 15 ก.ย. แล้ว หากพิจารณาสเปกเครื่องยนต์ทดแทนแล้วไม่ผ่านตามเกณฑ์ ก็จะไม่ขยายเวลาไประยะที่ 3 แล้ว แต่ท้ายสุด เมื่อถึงวันที่ 15 ก.ย. กองทัพเรือก็ยังไม่ได้ข้อสรุป โดย พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) กล่าวถึงความคืบหน้า การแก้ปัญหาเรือดำน้ำขาดเครื่องยนต์ว่า ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2565 จะมีการประชุมระหว่างกองทัพเรือไทย ผู้ช่วยทูตทหารจีน และ ตัวแทนบริษัท CSOC พล.ร.อ. ลือชัย รุดดิษฐ์ เซ็นสัญญากับจีน “เราจะดูว่าเขามีข้อมูลอะไรมานำเสนอ ซึ่งเราต้องการความชัดเจนว่า โครงการเรือดำน้ำจะขยายเวลาออกไปถึงเมื่อไหร่ เพราะต้องเตรียมในเรื่องงบประมาณมารองรับ มิเช่นนั้นจะตั้งงบประมาณไปทำโครงการอื่นไม่ได้ ก็เป็นเรื่องสำคัญ” ส่วนการส่งมอบเรือดำน้ำนั้น เดิมต้องส่งมอบกลางปี 2566 แต่กองทัพเรือระบุว่า สถานการณ์โควิด-19 ระบาด ทำให้โครงการล่าช้า จึงขยับการส่งมอบเป็นกลางปี 2567 ทั้งนี้ จากปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ ผบ.ทร. ระบุว่า อาจล่าช้าไปอีก เกินปี 2567 รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เชื่อว่า การที่กองทัพเรือและจีนเลื่อนเส้นตายไปต่อเนื่อง เป็นการ “ประวิงเวลา” เพื่อดูว่าจะตัดสินใจใช้เครื่องยนต์จีนแทนของเยอรมนีหรือไม่ พร้อมตั้งคำถามว่า “คนที่อยากได้เรือดำน้ำจากจีน อาจไม่ใช่กองทัพเรือ แต่เป็นคนในรัฐบาล” ดังนั้น จุดยืนของพรรคก้าวไกลต่อประเด็นเรือดำน้ำ จึงเสนอว่า ควรประวิงเวลาออกไปอีก แล้วให้รัฐบาลใหม่เข้ามาเจรจากับฝ่ายจีนต่อ เพราะเวลานี้ “เขารู้ไพ่เราหมดแล้ว ดีที่สุดคือต้องเปลี่ยนคนเจรจา” โพสต์ตั้งคำถามของพรรคก้าวไกล งบบานปลาย ? รัฐบาลไทยไม่เพียงเดินหน้าจัดซื้อเรือดำน้ำจีน 3 ลำ แต่ยังของบประมาณเพิ่มเติม เพื่อจัดซื้อเรือยกพลขึ้นบก เพื่อเป็นเรือพี่เลี้ยงให้กับเรือดำน้ำ รวมถึงของบประมาณก่อสร้างอู่ต่อเรือ และท่าเทียบเรือดำน้ำอีกด้วย โดยมีรายละเอียดตามการรายงานของสำนักข่าวอิศรา และข้อมูลที่กองทัพเรือแถลง ดังนี้
ย้อนรอยคว้า S26T ก่อนที่กองทัพเรือจะตกลงสั่งซื้อเรือดำน้ำ S26T จากจีน มีแรงต้านจากคนในกองทัพเรืออยู่ไม่น้อย เพราะภาพจำในอดีตเกี่ยวกับอาวุธที่ผลิตจากจีน มีปัญหาทั้งเรื่องอะไหล่ การซ่อมบำรุง อย่างรถถัง T-69 ที่สุดท้ายต้องเอาไปทิ้งทะเลเป็นแนวปะการัง และเมื่อมาถึงเรือดำน้ำที่จะต้องใช้ปฏิบัติการใต้ทะเลลึก เรื่องความปลอดภัยจึงเป็นประเด็นสำคัญเนื่องจากกำลังพลต้องแบกรับความเสี่ยง แต่เมื่อพิจารณาแนวทางโครงการที่จีนยอมให้ส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเข้าไปประกบระหว่างต่อเรือได้ กองทัพเรือจึงฟันธงเลือกเรือดำน้ำจีน จากประสบการณ์ในอดีตที่กองทัพเคยถูกตัดงบประมาณ ทำให้รู้ว่าการได้เรือดำน้ำจีน "ยังดีกว่าไม่ได้" และในเวลาที่ตัวเลือกอื่นที่มี ทั้งราคา และเงื่อนไขโครงการที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลที่มาจากการก่อรัฐประหาร ทำให้กองทัพเรือเอื้อมไปไม่ถึง
ประกาศกระทรวงดีอี ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตต้องลบเนื้อหาผิดกฎหมายภายใน 24 ชั่วโมง ตัดขั้นตอนการโต้แย้ง 24 พ.ย. 2565 โดย iLaw
วิธีการแจ้งให้ลบข้อมูลโดยบุคคลทั่วไป ประกาศฉบับนี้แตกต่างจากประกาศปี 2560 เนื่องจากเพิ่มเงื่อนไขให้บุคคลทั่วไปสามารถดำเนินการแจ้งให้ผู้ให้บริการลบข้อมูลได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ใช้บริการของแพลตฟอร์มนั้นๆ เช่น หาก "ใครก็ตาม" พบเห็นข้อมูลที่เข้าใจว่าผิดมาตรา 14 ของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในทวิตเตอร์ (Twitter) คนทั่วไปก็สามารถแจ้งให้ทวิตเตอร์ลบข้อมูลนั้นได้ แม้จะไม่มีบัญชี (account) กับทวิตเตอร์ก็ตาม ทั้งนี้ ถ้าผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตหรือบุคคลทั่วไปพบเห็นว่าผู้ให้บริการหรือโซเชียลมีเดียเผยแพร่ข้อความที่ผิดมาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ให้ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตหรือบุคคลทั่วไปดำเนินการดังนี้ ลงบันทึกประจำวัน หรือแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหรือบุคคลอื่น พร้อมกับยื่นเอกสารหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการกระทำผิดตามมาตรา 14 และหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องให้กับพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรอกแบบฟอร์มร้องเรียน พร้อมแนบสำเนาใบแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเอกสารหลักฐานอื่นๆ ส่งให้ผู้ให้บริการ วิธีการระงับหรือลบข้อมูลตามที่บุคคลทั่วไปร้องเรียน หลังจากที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตได้รับแบบฟอร์มร้องเรียน และเอกสารที่เกี่ยวข้องจากผู้ใช้บริการหรือบุคคลทั่วไป ให้ดำเนินการดังนี้
ไม่เปิดช่องให้โต้แย้งการลบข้อมูล ตามประกาศปี 2560 เจ้าของข้อมูลที่ถูกลบออกจากระบบคอมพิวเตอร์สามารถโต้แย้งข้อร้องเรียนได้ โดยการแจ้งความต่อตำรวจและแจ้งรายละเอียดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ผู้ให้บริการใช้ดุลพินิจยกเลิกการระงับข้อมูลที่ได้รับแจ้ง อย่างไรก็ตาม ประกาศเรื่อง ขั้นตอนการแจ้งเตือนฯ ฉบับใหม่ ไม่เปิดช่องให้มีการโต้แย้งดังกล่าวได้อีก ดังนั้น เมื่อบุคคลทั่วไปแจ้งข้อร้องเรียนให้ลบข้อมูล ผู้ให้บริการต้องลบข้อมูลเท่านั้น แม้ว่าเจ้าของข้อมูลจะไม่เห็นด้วยการลบข้อมูลออกจากระบบ ก็ไม่มีช่องทางตามประกาศฉบับนี้ให้โต้แย้ง เพื่อขอให้ผู้ให้บริการนำข้อมูลกลับเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ได้อีก การระงับหรือลบข้อมูลโดยคำสั่งของเจ้าหน้าที่ดีอี อีกหนึ่งจุดสำคัญของประกาศฉบับใหม่ คือ การให้อำนาจเจ้าหน้าที่ดีอีออกคำสั่งไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อระงับการทำให้แพร่หลายและนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ผิดมาตรา 14 ของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ออกจากระบบได้ หลังจากที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตได้รับคำสั่งของเจ้าหน้าที่แล้ว ให้ดำเนินการดังนี้
1) ความผิดฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือบิดเบือน ตามมาตรา 14 (1) ต้องระงับภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับข้อร้องเรียน 2) ความผิดฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จที่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือเป็นความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามมาตรา 14 (2) และ (3) ต้องดำเนินการภาย 24 ชั่วโมง 3) ความผิดฐานนำเข้าข้อมูลที่มีลักษณะลามก ตามมาตรา 14 (4) ต้องดำเนินการภายใน 3 วัน แต่หากเป็นการเผยแพร่ภาพลามกอนาจารเด็กซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 287/1 และมาตรา 287/2 ของประมวลกฎหมายอาญา ต้องดำเนินการภาย 24 ชั่วโมง ข้อ 9 ของประกาศเรื่อง ขั้นตอนการแจ้งเตือนฯ ระบุว่า หากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตฝ่าฝืนไม่ทำตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่อย่างครบถ้วนและภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้สันนิษฐานว่าผู้ให้บริการร่วมมือ สนับสนุน หรือยินยอมให้มีการกระทำความผิด ซึ่งผู้ให้บริการจะมีความผิดตามมาตรา 15 ของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งการที่ประกาศกำหนดข้อสันนิษฐานความผิดอาญาเช่นนี้ กลายเป็นการเขียนกฎหมายโดยให้ "สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผิด" ทำให้เกิดประเด็นว่า ประกาศนี้อาจจะขัดกับ “หลักให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์” (presumption of innocence) ซึ่งรับรองไว้ในมาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญ 2560 หรือไม่ เนื่องจากการเขียนกฎหมายในลักษณะนี้อาจทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียที่ "ลบ" เนื้อหาไม่ทันภายในกำหนดเวลาจะกลายเป็นคนมีความผิดทันที และเป็นฝ่ายที่มีภาระการพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ซึ่งแตกต่างกับหลักทั่วไปในคดีอาญาที่โจทก์ต้องมีภาระการพิสูจน์และนำสืบความรับผิดทางอาญาของจำเลยให้ศาลเห็น ทั้งนี้ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำสั่งของเจ้าหน้าที่ มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่ง โดยให้ยื่นต่อปลัดกระทรวงดีอีหรือผู้ที่ปลัดกระทรวงดีอีมอบหมาย ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง หรือนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงคำสั่ง แล้วแต่กรณี ซึ่งจะต้องพิจารณาอุทธรณ์และแจ้งผลให้ผู้อุทธรณ์ทราบ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ แนวทางการดำเนินคดี ตามประกาศเรื่อง ขั้นตอนการแจ้งเตือนฯ หากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตได้รับคำสั่งของเจ้าหน้าที่แล้วเพิกเฉยไม่ลบข้อมูลออกจากระบบภายในระยะเวลาที่กำหนด และไม่ได้ดำเนินการอุทธรณ์คำสั่ง เจ้าหน้าที่ดีอีจะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน แจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับให้บริการอินเทอร์เน็ตในฐานร่วมมือ ยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 และมาตรา 15 ของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากนั้นจะสรุปความเห็นทางกฎหมายส่งให้พนักงานสอบสวน รวมถึงประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หรือหน่วยงานกำกับดูแลอื่น เพื่อให้มีคำสั่งระงับการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดกฎหมาย หรือดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ ถ้าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ฝ่าฝืนหรือกระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ดีอีอาจประสานกับ กสทช. หรือหน่วยงานอื่น เพื่อดำเนินการระงับใบอนุญาต หรือดำเนินการอื่นใดตามสมควร ทั้งนี้ ประกาศนี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 60 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือ ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป ไฟล์แนบ ประกาศกระทรวง เรื่องขั้นตอนการแจ้งเตือน การระงับการทำให้แพรห่ลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์ และการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์.pdf 232.17 KB ที่เกาะหลีเป๊ะ ชาวเลซึ่งบุกเบิกพื้นที่ อยู่อาศัยกันมาหลายชั่วคนก่อนจะเป็นเกาะท่องเที่ยวขึ้นชื่อ กำลังได้รับความเดือดร้อนหนักจากนายทุนเจ้าของโรงแรมริมหาด สร้างรั้วเหล็กกั้นเส้นทางเดินของชาวบ้านที่ใช้ติดต่อกันมานับร้อยปี “เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ มีนายทุนรายหนึ่ง ปิดทางสาธารณะประโยชน์ของชุมชน คือทางเข้า-ออกไปโรงเรียน ทางเข้า-ออกไปอนามัย ทางลงทะเลเพื่อประกอบอาชีพประมงและการท่องเที่ยว” เพจ ‘ชมรมชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ’ ฟ้องสังคม “ชาวบ้านรวมตัวกันออกมาร่วมคัดค้านการปิดเส้นทางเป็นวันที่เจ็ด แต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานราชการไหนเข้ามาแก้ไขปัญหาได้” เมื่อก่อนก็เคยมีการยื่นตรวจสอบเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งก่อให้เกิดการ “เบียดขับชาวเลออกไปจากพื้นที่” แล้วครั้งหนึ่ง “ผ่านไปหลายปีเรื่องก็ยังเงียบหายไป หรือมีใครอยู่เบื้องหลัง” เพจชาวเลถาม “เนื่องจากการออกเอกสารสิทธิทับบ้านพวกเรา ๑๐๐ กว่าครอบครัว (ราวพันกว่าคน) ทับสุสาน ทับร่องน้ำธรรมชาติ ทับทางเดินสาธารณะแบบนี้ดูท่ามีเงื่อนงำ” จะว่าพวกชาวเลอยู่ไกลโพ้น ตกเป็นเหยื่อการเอารัดเอาเปรียบได้ง่าย แต่ความละโมภของนายทุนไม่มีที่สิ้นสุดอย่างที่ว่า แม้แต่ในเรื่องที่เป็นเทคโนโลยี่สมัยใหม่ การสื่อสารโทรคมนาคมถ่ายทอดฟุตบอลโลกจากคาตาร์ จนบัดนี้ใกล้จะชิงชนะเลิศกันแล้ว ยังจอดำหลายสถานี เมื่อเกิดการร้องแรกแหกกระเฌอกันขึ้นมา ผู้ว่า กกท.แจ้งว่าให้ไอพีทีวีถ่ายทอดได้ตั้งแต่รอบควอเตอร์ เซไมไฟนอล จนถึงชิงชนะเลิศ วันนี้ฝรั่งเศสแข่งกับมอร็อคโค ใครชนะจะเข้าไปชิงกับอาร์เจนติน่าที่รออยู่ จอไอพีทีวีก็ยังดำอยู่ เพราะอะไร เพราะ กกท.บอกว่าไอพีทีวีไหน ใครจะถ่ายทอดต้องจ่ายมา ๒๒ ล้าน ข่าวสด @KhaosodOnline รายงานว่า “แต่ไม่ระบุว่าเก็บไปให้ใคร ขณะที่ยังมีคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาห้ามไอพีทีวีถ่ายทอดสดอยู่ ทำให้คนไทยที่อยากดูต้องผิดหวัง” |