IQ ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ไหม

(Intellectual Disability หรือชื่อเดิม Mental Retardation) เป็นภาวะที่บุคคลมีระดับสติปัญญา (IQ) ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยทั่วไป ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้เข้าใจ การสื่อสาร พัฒนาการ และขาดทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต โดยผู้ป่วยมักมีการเรียนรู้ช้ากว่าปกติ แต่ผู้ป่วยยังสามารถเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ได้ผ่านการฝึกฝนดูแลอย่างเหมาะสม ส่วนใหญ่ภาวะปัญญาอ่อนยังไม่สามารถหาสาเหตุของการเกิดได้ และบางส่วนอาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม การเจ็บป่วย การบาดเจ็บกระทบกระเทือนกับสมอง หรือปัจจัยภายนอกอื่น ๆ อย่างสุขอนามัย การดื่มสุรา การใช้ยาเสพติด หรือสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย เป็นต้น

IQ ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ไหม

อาการของปัญญาอ่อน

ผู้ที่มีภาวะปัญญาอ่อนจะมีความบกพร่องทางสติปัญญา จนทำให้เกิดปัญหาในพัฒนาการด้านต่าง ๆ โดยลักษณะอาการแสดงของปัญญาอ่อนขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความบกพร่องในด้านนั้น ๆ ด้วย สำหรับเด็กที่มีภาวะปัญญาอ่อน อาจไม่ปรากฏอาการแสดงที่ชัดเจนจนกว่าเด็กจะเข้าสู่วัยเรียน อย่างไรก็ตาม การติดตามพัฒนาการของเด็กอย่างใกล้ชิดสม่ำเสมอจะช่วยคัดกรองภาวะปัญญาอ่อนได้

ตัวอย่างพัฒนาการและอาการที่เป็นสัญญาณของภาวะปัญญาอ่อน ได้แก่

  • สามารถพลิกตัว ลุกขึ้นนั่ง คลาน หรือเดินได้ช้ากว่าคนปกติ
  • พูดช้า หรือมีปัญหาติดขัดเกี่ยวกับการพูดคุยสื่อสารให้เกิดความเข้าใจ
  • พูดคุยสื่อสารด้วยภาษาง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน แต่ขาดทักษะในการใช้คำหรือไวยากรณ์อย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับคนในวัยเดียวกัน
  • ใช้สีหน้า ท่าทาง หรือสัญลักษณ์ในการสื่อสารมากกว่าการใช้คำพูดอธิบายสิ่งต่าง ๆ
  • มีพัฒนาการช้าในการทำกิจวัตรประจำวันในวัยเด็ก และอาจทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ช้ากว่าคนปกติ เช่น การขับถ่าย การแต่งตัวสวมเสื้อผ้า การรับประทานอาหาร
  • เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ช้ากว่าปกติ จึงมีปัญหาพัฒนาการด้านการเรียนตามวัย เช่น ด้านการเขียน การอ่าน การคิดคำนวณตัวเลข
  • มีปัญหาด้านการจำ ความจำสั้น มีความยากลำบากในการจดจำสิ่งต่าง ๆ
  • ขาดทักษะในการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
  • ขาดทักษะในการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน
  • ขาดทักษะในการคิดและทำความเข้าใจอย่างเป็นเหตุเป็นผล
  • ไม่สามารถทำความเข้าใจหรือคิดเชื่อมโยงการกระทำกับผลที่จะเกิดขึ้นตามมาได้
  • มีปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น มีอารมณ์เกรี้ยวกราดและไม่สามารถควบคุมได้
  • ขาดทักษะในการเข้าสังคม การทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น หรือการยอมรับปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในสังคม
  • คิดเป็นรูปธรรมมากกว่านามธรรม มีความยากลำบากในการคิดอย่างเป็นนามธรรม
  • ไม่สามารถตระหนักถึงความสำคัญของเงินหรือเวลาได้ ขาดทักษะในการบริหารใช้จ่ายเงินและเวลา
  • มีความยากลำบากในการตัดสินใจ การคิดแก้ไขปัญหา หรือหาทางออกอย่างเหมาะสม

เด็กบางรายที่มีภาวะปัญญาอ่อนอย่างรุนแรง อาจพบว่ามีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น

  • ภาวะชัก
  • ความผิดปกติทางอารมณ์และสังคม เช่น ภาวะวิตกกังวล ภาวะออทิสติก
  • ด้อยความสามารถด้านทักษะการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินเสียง

สาเหตุของปัญญาอ่อน

กว่า 2 ใน 3 ของผู้ที่มีภาวะปัญญาอ่อน ยังไม่สามารถหาสาเหตุของการเกิดได้ ส่วนที่เหลืออาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้

  • ความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ผู้ที่มีภาวะดาวน์ซินโดรม ภาวะผิดปกติของโครโมโซมเอ็กซ์ (Fragile X Syndrome) หรือโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก (Inherited Metabolic Disorders)
  • เกิดปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์ อาจมีปัจจัยที่กระทบกระเทือนต่อพัฒนาการสมองของทารกในครรภ์จนทำให้เกิดภาวะปัญญาอ่อน เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาเสพติด ผู้เป็นแม่มีสุขอนามัยที่ไม่ดี เกิดภาวะติดเชื้อ หรือมีภาวะครรภ์เป็นพิษ
  • เกิดปัญหาระหว่างการคลอด เช่น เด็กขาดออกซิเจนในขณะคลอด หรือคลอดก่อนกำหนด
  • การเจ็บป่วยจากการติดเชื้อ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคหัด หรืออาการไอเสียงก้อง
  • การได้รับบาดเจ็บที่กระทบกระเทือนสมอง เช่น การบาดเจ็บบริเวณศีรษะจากอุบัติเหตุ เกิดการติดเชื้อในสมอง
  • การเจ็บป่วยอื่น ๆ เช่น มีความผิดปกติของเนื้อสมอง สมองผิดรูป โรคลมชัก
  • ปัจจัยภายนอก เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาเสพติด ได้รับสารพิษอย่างสารปรอทหรือสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย มีสุขอนามัยที่ต่ำมาก เคยจมน้ำ เคยถูกทารุณกรรม เคยถูกละเลยการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ผู้ปกครอง และถูกกักขังหรือแยกตัวออกจากสังคมเป็นเวลานาน

การวินิจฉัยปัญญาอ่อน

หากพบว่าเด็กที่ดูแลมีพัฒนาการช้า หรือบุคคลใกล้ชิดมีอาการที่เป็นสัญญาณของภาวะปัญญาอ่อน ควรแนะนำให้พาไปพบกุมารแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด หากมีภาวะปัญญาอ่อนจริง แพทย์จะแนะนำวิธีกาารวางแผนดูแลผู้ป่วยอย่างเหมาะสมต่อไป โดยการวินิจฉัยว่าบุคคลนั้นมีภาวะปัญญาอ่อนหรือไม่ ทำได้โดย

สังเกตอาการ แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะสังเกตพฤติกรรมและอาการแสดงต่าง ๆ รวมไปถึงทักษะในพัฒนาการด้านต่าง ๆ ตามวัย โดยเปรียบเทียบกับผู้ที่อยู่ในวัยเดียวกัน เช่น การรับประทานอาหาร การแต่งตัวสวมเสื้อผ้า การพูดคุยสื่อสาร การเข้าใจความหมาย การมีปฏิสัมพันธ์ต่อคนในครอบครัวและเพื่อน เป็นต้น

ทดสอบไอคิว (IQ Test) หรือทดสอบความฉลาดทางปัญญา โดยการใช้ชุดทดสอบที่เหมาะสมตามวัยของผู้ป่วย โดยผู้ที่มีภาวะปัญญาอ่อนจะมีผลไอคิวที่ต่ำกว่า 70 ลงมา

หากผู้ป่วยมีลักษณะทางกายภาพภายนอกที่ผิดปกติ แพทย์อาจทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อหาโรคที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะปัญญาอ่อน อย่างกลุ่มโรคความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ฉายภาพเอกซเรย์สมอง หรือตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองเพื่อตรวจภาวะลมชัก

สำหรับผู้ป่วยเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า แพทย์อาจตรวจหาความผิดปกติอื่น เช่น ปัญหาสายตา ปัญหาการได้ยิน หรือตรวจหาโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย

การรักษาปัญญาอ่อน

ภาวะปัญญาอ่อนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ครอบครัว ผู้ปกครอง และผู้ดูแลผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือประคับประคองให้ผู้ป่วยเกิดการเรียนรู้และช่วยเหลือตนเอง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถศึกษารับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลผู้ป่วย ซึ่งอาจมีขั้นตอนดังนี้

  • ศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะปัญญาอ่อน เพื่อให้เข้าใจผู้ป่วยซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป
  • ให้ผู้ป่วยมีอิสระในการลองทำสิ่งใหม่ ๆ ด้วยตนเอง โดยคอยแนะนำและชื่นชมเมื่อผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่เหมาะสมหรือทำอะไรได้สำเร็จ
  • ใส่ใจติดตามผลและพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผู้ป่วย เช่น พูดคุยประสานกับครูที่โรงเรียนถึงพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็กปัญญาอ่อน และหมั่นฝึกฝนปรับพฤติกรรมเพิ่มการเรียนรู้ให้แก่เด็กในขณะอยู่ที่บ้านด้วย
  • ให้ผู้ป่วยได้มีส่วนร่วมในสังคม ได้เข้าร่วมกลุ่มทำกิจกรรมกับผู้อื่น เพื่อฝึกฝนให้ผู้ป่วยเรียนรู้ทักษะสังคมมากขึ้น
  • ติดต่อพูดคุยกับผู้ปกครองของเด็กปัญญาอ่อนคนอื่น ๆ เพื่อปรึกษาแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการดูแลเด็กในปกครองของตน

ทั้งนี้ ผู้ดูแลสามารถรับบริการความช่วยเหลือทางการแพทย์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ด้วย เช่น

  • อรรถบำบัด เป็นการฝึกการพูด โดยนักอรรถบำบัดจะคอยช่วยเหลือดูแลให้ผู้ป่วยออกเสียงและแก้ไขข้อบกพร่องเกี่ยวกับการพูด
  • กิจกรรมบำบัด นักกิจกรรมบำบัดจะคอยช่วยเหลือดูแลให้ผู้ป่วยฝึกทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันด้วยตนเอง
  • กายภาพบำบัด สำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ นักกายภาพบำบัดจะคอยฝึกฝนและกระตุ้นให้ผู้ป่วยได้ฝึกใช้กล้ามเนื้อในส่วนที่มีปัญหา เช่น ฝึกหยิบจับสิ่งของ หรือเคลื่อนไหวร่างกายในส่วนต่าง ๆ
  • การให้คำปรึกษาแบบครอบครัว เป็นวิธีการที่ให้สมาชิกในครอบครัวได้มาพูดคุยปรึกษาถึงปัญหาที่เกิดขึ้น หาทางออกเกี่ยวกับการรับมือปัญหา ช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยปัญญาอ่อน และให้กำลังใจซึ่งกันและกันภายใต้การดูแลของนักบำบัดผู้เชี่ยวชาญ
  • การใช้อุปกรณ์สนับสนุน เป็นการใช้อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ดีเท่าที่ควร ให้สามารถฝึกฝนทักษะในด้านต่าง ๆ และใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือนี้เป็นส่วนหนึ่งในการอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เช่น เก้าอี้วีลแชร์ ไม้เท้า หรืออุปกรณ์ที่ช่วยเหลือในการเคลื่อนไหวอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาตัวใดที่รักษาภาวะปัญญาอ่อนได้ ส่วนผู้ป่วยปัญญาอ่อนที่มีภาวะอาการป่วยอื่น ๆ ร่วมด้วย ก็ต้องรับประทานยาและปฏิบัติตามขั้นตอนการรักษาของโรคที่ป่วย เช่น

  • ยากระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ใช้ในผู้ป่วยโรคสมาธิสั้นแบบ ADHD หรือ ADD
  • ยาแอลฟา อะดรีเนอร์จิก รีเซพเตอร์ อะโกนิสต์ ใช้ในผู้ที่มีภาวะอาการสมาธิสั้น ก้าวร้าว กล้ามเนื้อกระตุก หรือมีความผิดปกติในการนอน
  • ยาระงับอาการทางจิต สำหรับผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ทำร้ายตัวเอง และมีสมาธิสั้น

การป้องกันภาวะปัญญาอ่อน

แนวทางการป้องกันที่สำคัญเพื่อไม่ให้เกิดภาวะปัญญาอ่อน ควรกระทำตั้งแต่การวางแผนการตั้งครรภ์ไปจนขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์ ได้แก่

  • ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวป่วยด้วยโรคทางพันธุกรรม ควรรับการตรวจหาโรคทางพันธุกรรมก่อนการตั้งครรภ์
  • ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม หรือผู้หญิงตั้งครรภ์ที่แพทย์มีดุลยพินิจว่าอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองเช่นกัน
  • ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการเกิดกลุ่มอาการทารกในครรภ์ได้รับแอลกอฮอล์ (Fetal Alcohol Syndrome) ซึ่งจะกระทบต่อกระบวนการเจริญเติบโตของเด็กจนอาจเกิดภาวะปัญญาอ่อนได้
  • ควรฝากครรภ์ รับยาหรือวิตามินบำรุงครรภ์ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหรือการติดเชื้อต่าง ๆ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์เกิดมาพร้อมกับภาวะปัญญาอ่อน
  • ตรวจครรภ์และไปพบแพทย์ที่ฝากครรภ์ตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น การอัลตราซาวด์ การเจาะน้ำคร่ำไปตรวจ เป็นต้น

นอกจากนี้ การป้องกันและลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดภาวะปัญญาอ่อนกับตนเอง คนในครอบครัว หรือบุคคลใกล้ชิด คือ การรักษาสุขภาพและสุขอนามัยให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ ตรวจร่างกายเป็นประจำ เข้ารับการรักษาโรคประจำตัวหรืออาการที่ป่วยอยู่ และระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุหรือภัยอันตรายที่จะกระทบกระเทือนต่อสมองและร่างกาย เป็นต้น